ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Memories Of A Morning Light Angel

    ลำดับตอนที่ #2 : Memory Piece 2

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ย. 64


    Memory Piece 2

    เขาคือชายวัยกลางคนที่มีร่างกายสูงใหญ่ชนิดที่ว่าประมาณผมสองคนยืนต่อกันถึงจะสูงเท่า ใบหน้าเองก็ยังสะอาดเกลี้ยงเกลาเหมือนเมื่อก่อน ผมสั้นตั้งๆ นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมคุ้นเคย ร่างกายมีกล้ามเป็นมัดๆ ในแบบที่พูดได้ว่าล่ำบึ้กสุดๆ ไอ้นิสัยไม่ค่อยชอบใส่เสื้อนี่ก็ยังคงเหมือนเดิมราวกับว่าทุกอย่างของอาได้ถูกหยุดเวลาเอาไว้ตั้งแต่สมัยผมยังสูงเท่าหัวเข่าเขานั่นแหละ

    "หวัดดีครับอา"

    เมื่ออาอยู่ใกล้ซะขนาดนี้ผมเลยต้องแหงนคอมองเพื่อจะได้เห็นหน้าของเขา

    "แลดูสบายดีนี่ เราน่ะ"

    เสียงต่ำลอยมาจากข้างบนหัว ช่วยเขยิบไปหน่อยจะได้มั้ยเนี่ย

    "ก็ดีครับ อาก็แลไม่ทุกข์ไม่ร้อนนี่ครับ"

    ผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายของพ่อหัวเราะ ฮึ ก่อนผายมือไปที่เก้าอี้ ผมเดินไปนั่งตรงนั้นส่วนอาเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานของเขาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเก้าอี้ที่ผมนั่งนัก อาหยิบดาบเล่มหนึ่งออกมาจากลิ้นชักในโต๊ะและใช้ผ้าผืนเล็กๆ สีขาวบรรจงเช็ดมัน

    "ดูอาเป็นงั้นเหรอ?"

    "ก็...อาจจะ...มังครับ"

    อาหัวเราะร่วนกับคำตอบ พวกผู้ใหญ่นี่ขำได้กับเรื่องไม่เป็นเรื่องซะจริงนะ แต่ผมก็แค่ปั้นยิ้มตอบไป

    "มีธุระอะไรถึงได้มาล่ะ"

    "ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่แวะมาเฉยๆ"

    ผมยิ้มกว้าง แต่อาแค่หัวเราะออกจมูก

    "โกหกน่า มีอะไรก็บอกมาสิ"

    คงจะได้เวลาที่ต้องเริ่มการเจรจาแล้วสินะ

    "พ่อเห็นรายงานการจูงวิญญาณของยมทูตน่ะครับ เขาบอกว่าวิธีการที่ยมทูตใช้อยู่ตอนนี้มันป่าเถื่อน เขาก็เลยส่งให้ผมมาคุยกับอาว่าการจูงวิญญาณนางฟ้าขอทำเองได้รึเปล่า"

    อาหยุดชะงักชั่วครู่ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเช็ดดาบต่อ

    "หวังไว้สูงมั้ย?"

    น้ำเสียงอาแข็งขึ้นเล็กๆ แต่ผมไม่ได้สนใจหรอก

    "ไม่ครับ ที่จริงมันจะเป็นยังไงก็ไม่ได้เกี่ยวกับผมเลยสักนิด"

    "อย่ามาโกหก ถ้าเธอไม่ได้หวังว่าจะได้ยินฉันตอบตกลงแล้วเธอจะมาถึงนี่เพื่ออะไร!"

    คราวนี้อาใส่อารมณ์กราดเกรี้ยวอย่างเห็นได้ชัดในน้ำเสียง เขายืนขึ้นแล้วปักดาบลงพื้น อาวุธยาวถูกฝังจนเกือบมิด แต่ผมก็ยังคงนั่งต่อไป

    "ฉันเคยบอกพ่อแกแล้วว่ามนุษย์จะเป็นตัวสร้างปัญหา แต่พ่อแกก็ยังไปรวมหัวกับไอ้พวกปัญญาอ่อนสร้างโลกขึ้นมา แล้วไง ฉันถูกถีบหัวส่งมาที่นี่ ถูกโยนภาระให้จัดการกับพวกขยะอย่างมนุษย์ ฉันก็ทำ วิธีการจะเป็นไงมันก็เรื่องของฉัน!!!"

    สีหน้าน้องชายของพ่อบอกว่าอันตรายแน่ถ้าหากตัวผมไม่รีบหนี

    "แล้วทีนี้บอกว่าจะจัดการเองงั้นเหรอ พ่อของแกนี่เอาแต่ใจเกินไปแล้ว!"

    "ผมก็คิดเหมือนอานั่นแหละ..."

    อาดึงดาบที่ถูกปักเล่มนั้นออกมา เขาพุ่งตัวมาหาผมด้วยความเร็วชนิดที่ว่าไม่ต้องคิดเลยว่ามีเจตนายังไง

    แต่ผมก็เร็วเหมือนกันนา

    "ไอ้นิสัยนี้ของแกนี่ขอทีเหอะ!!!"

    ผมกระโจนลุกขึ้น เสียง โครม ดังสนั่นเก้าอี้ไม้ที่เมื่อไม่กี่วินาทีนี้ยังนั่งอยู่ เพียงแต่บัดนี้มันแตกกระจายเหลือเป็นเพียงแค่เศษซาก กำแพงด้านหลังเก้าอี้ประทับด้วยรอยแตกเป็นทางยาว ผมต้องสยายปีกออกเพื่อที่จะบินหลบดาบต่อไปในอีกไม่ช้า

    อาเหลียวขึ้นมามองผม เขาหยิบเศษขาโต๊ะขึ้นมาแค่แวบเดียวมันกลายสภาพเป็นดาบแบบเดียวกันกับที่อยู่ในมือขวา

    "ท่านยมบาล เกิดอะไรขึ้นหรือครับ"

    ยมทูตหนุ่มคนเดียวกันกับที่ผมเห็นในรายงานของพ่อปรากฏตัวขึ้นพร้อมถามด้วยเสียงแหลมเล็กที่ดูตื่นตระหนก

    "เรียกพวกเรามาสั่งสอนไอ้เด็กนี่กันเถอะโบล์ต"

    ยมทูตนามโบล์ตเงยหน้าขึ้นมามองผมเช่นกัน เขายกมือวาดไปในอากาศ แล้วกำแพงห้องก็ละลายหายไปราวกับเทียนโดนความร้อน ผมกลับมาอยู่ในโถงที่สร้างจากอิฐดำอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเต็มไปด้วยยมทูตชายหญิง ดวงตาทุกคู่จ้องผมราวกับเป็นเหยื่อที่จนตรอก

    วิธีทางการทูตหงายหลังนอนแอ้งแม้ง ชัดเจนแล้วสินะสำหรับคำตอบของอา ก็ดี เราก็ขอตอบโต้บ้างละกัน

    ผมแบฝ่ามือก่อนอัดกระแทกไปตรงหว่างขา แค่นั้นแหละ ยมทูตทุกคนแม้แต่อาก็หยุดนิ่ง แขนของพวกเขากางออกก่อนแสงสีขาวจะปรากฏขึ้นที่ด้านหลังเป็นรูปไม้กางเขน

    ใช่แล้ว ตอนนี้พวกเขาทุกคนได้ถูกผมสะกดไว้

    "ก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมพ่อถึงต้องสร้างมนุษย์ขึ้นมา ผมเข้าใจความรู้สึกของอาที่ต้องมาอยู่ที่นี่ มีการกระทำมากมายของพ่อที่ผมและอายังไม่เข้าใจ แต่สิ่งที่พวกเรารู้คือพระเจ้าไม่เคยทำอะไรโดยไร้เหตุผล ใช่มั้ยล่ะครับ?"

    ผมจ้องไปที่อาซึ่งตอนนี้ยิ้มยโส ตัวของเขายังคงถูกตรึงด้วยกางเขนแสง

    "ผมจะกลับไปบอกพ่อว่าคำขอนี้ไม่สำเร็จ ผมจะกลับไปบอกพ่อว่าปล่อยให้อาจัดการกับมนุษย์ต่อไป ลาก่อนครับอา คงไม่ได้เจอกันอีกแล้วล่ะ ขอโทษที่มาวุ่นวายครับ"

    เมื่อไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาก็เลิกเหอะ ผมหันหลังเพื่อเตรียมตัวข้ามมิติกลับ

    "วิชานี้ของเธอเด็ดขาดจริงๆ อายอมแพ้"

    ไม่รู้ว่าที่จริงควรจะตกใจกับการที่ความกราดเกรี้ยวในน้ำเสียงของอาหายไปเป็นปลิดทิ้งในประโยคเมื้อกี้รึเปล่า แต่ถ้ามันเป็นรีแอ็คชั่นบ้านๆ ที่ทำให้มีอะไรเล่าเยอะขึ้นล่ะก็...เอ้า ตกใจจริงแฮะ

    "ถ้าเธอยืนยันซะขนาดนั้น...ก็ได้ อาก็จะรอดูซิว่าจะมีวันที่อาจะสามารถเข้าใจพ่อของเธอได้รึเปล่า"

    ความรู้สึกของตัวเองบอกว่าตอนนี้สถานการณ์น่าจะดีขึ้นแล้ว ผมจึงร่อนลงมาที่พื้นเพื่อคลายผนึกกางเขนแสงให้เหล่ายมทูต

    "ตกลงอารับข้อเสนอของเธอก็ได้ แต่อาคงจะไม่ให้นางฟ้าทำหรอกนะ"

    ใครงงกับคำพูดนี้บ้างขอมือหน่อย

    ยังไม่ได้อธิบายอันใดอาก็วาดมือไปในอากาศ พริบตาห้องทำงานของเขาที่ถูกยมทูตหนุ่มทำให้ละลายหายไปก็กลับมาอีกครั้ง ร่องรอยของความเสียหายที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีนี้นั้นหายไปหมดราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น

    "อาจะเปลี่ยนวิธีการจูงวิญญาณใหม่"

    เขาว่างั้นและหันกลับมาหาผม ส่วนมือก็เท้าโต๊ะทำงานเมื่อนั่งลงตรงที่ประจำ

    "แต่เธอจะต้องสอนวิชาที่เธอใช้เมื่อกี้ให้อา ตกลงมั้ย?"

    คิดเหมือนกันรึเปล่าว่านี่เป็นเค้าลางของความยุ่งยากในชีวิตผมที่กำลังจะมาในอีกไม่ช้า อาฉีกยิ้มกว้างเหมือนเด็กที่รู้ตัวว่ากำลังจะได้ของเล่นใหม่ในอีกไม่นาน การที่ตัวเองรู้ว่างานนี้ยังไม่จบทำให้ผมปฏิเสธไม่ลง

    "ก็ได้ครับ"

    "ถ้าเกิดอาใช้เป็นจะได้เอาไปสอนพวกยมทูตอีกต่อไง ทีนี้เราก็จะใช้วิชานี้ในการจูงวิญญาณ เธอว่าดีมั้ยล่ะ?"

    จะดีกว่านี้มากถ้าบังเอิญผมไม่ได้มาเป็นคนสอนอ่ะนะ ที่พูดนี่ก็หมายถึงหลายๆ ความหมาย แต่นึกสงสัยว่าทำไมไม่ให้ผมสอนมันทั้งหมดพร้อมๆ กันไปเลย จะไม่ง่ายและรวดเร็วกว่ารึไงที่ตัวเองจะต้องเป็นก่อนแล้วจะไปสอนเองทีหลัง

                    "เสียชื่อยมบาลหมดเลยนะทำแบบนั้นน่ะ ไม่เอาด้วยหรอก เมื่อกี้เธอก็ทำอาขายหน้าไปทีแล้วด้วย"

    ถ้าผมไม่ทำแบบนั้นป่านนี้อาก็จะไม่มีวันใช้คาถาที่ทำให้ขายหน้านั้นเป็นหรอก อย่าโยนความผิดมาดื้อๆ สิครับท่าน

    อาที่ลุกขึ้นยิ้มและเดินมาตบไหล่ผมเบาๆ เอาเหอะ อยากทำอะไรก็ทำ น่าขำที่แม้แต่ในนรกก็ยังไม่วายห่วงเรื่องหน้าเรื่องตา

    "วันนี้ต้องขอโทษด้วยนะ"

    ถึงจะพูดงั้นแต่ก็ไม่ได้เห็นใบหน้าสำนึกผิดของเจ้าแห่งนรกเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าไม่เต็มใจแล้วจะพูดออกมาทำไมว้า

    "งั้นผมกลับก่อนนะครับพรุ่งนี้เจอกัน"

    อาพยักหน้า จากนั้นผมก็ดึงลูกแก้วที่เพิ่งจะสังเกตว่ามันเป็นชนิดพิเศษแบบจดจำต้นทาง ซึ่งเป็นเรื่องดี เพราะผมจะได้ไม่ต้องเจอกับไอ้แสงที่มันจ้าเหลือเกินนั่นหลายๆ รอบ

    ผมถือลูกแก้วไว้ข้างหน้า สัญลักษณ์โล่สีทองหมุนเร็วจี๋ รอบตัวสว่างจ้าซะจนมันแทบจะทะลุเปลือกตาที่หลับอยู่

    ไม่นานเมื่อรู้สึกว่าแสงหายไป ผมได้กลับมาอยู่บนแท่นหินที่มีแสงออร่าสีฟ้าสดใสพุ่งขึ้นมากับลูกไฟสีแดงที่บิน วนเวียนอีกครั้ง ผมรีบเดินออกจากแผ่นหินและมุ่งหน้าสู่ห้องทำงานของพ่อเพื่อรายงานผลการเจรจาที่เกือบทำให้สงครามระหว่างเทพอุบัติขึ้นอีกครั้งหลังจากคราวของพวกลูซิเฟอร์ แต่เชื่อสิ พ่อต้องรู้แล้วล่ะว่าผมจะไปพูดอะไร

    ประตูบานใหญ่เปิดตัวเองด้วยความอืดอาดอย่างเคย ถ้ามันหนักนักก็น่าจะลดขนาดแค่ให้พอเข้าได้และเพิ่มความเร็วให้มันจะดีกว่ามั้ย อลังการแบบมีคุณภาพน่ะรู้จักป่ะ อยากรู้ตัวสถาปนิกจริงๆ

    "พ่อรู้ว่าแกต้องทำได้ ลู"

    ใบหน้าที่เริ่มจะมีริ้วรอยแห่งวัยยิ้มแย้มอย่างมีความสุข ผมสีเงินยาวสะบัดพลิ้วเมื่อเขาเดินไปเปิดหน้าต่าง

    "ไม่หรอก อาเขาไม่ยอมให้พวกนางฟ้าทำน่ะ"

    "เฮ้ย แค่นี้ก็ใช้ได้แล้ว ที่จริงพ่อแค่ไม่ชอบวิธีการของพวกเขา แค่สัญญาว่าจะเปลี่ยนวิธีการจูงวิญญาณก็คงพอแหละ"

    พ่อกลับมานั่งบนเก้าอี้ไม้ขัดเงาที่ตรงพนักพิงสลักลวดลายของปีกนางฟ้าซึ่งเป็นเก้าอี้ตัวโปรดของเขา

    "ที่เหลือก็คงต้องฝากแกด้วยนะ ลู"

    ไอ้ที่เหลือที่ว่านี่คงหมายถึงการฝึกวิชาให้อาล่ะสินะ…

    ก่อนหน้านี้ผมเคยได้ยินเรื่องเล่าหลายๆ เรื่องของอาจากเหล่าเทพทั้งหลาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องก่อนที่ผมจะเกิด น่าแปลกที่แต่ละเรื่องมันก็มักจะเอนเอียงไปทางด้านลบซะด้วย หนึ่งในเรื่องเหล่านั้นคือความหัวทื่อของเขา ซึ่งถ้าหากเป็นเรื่องจริงผมคงต้องได้ปวดหัวอีกนานแน่ เมื่อก่อนเราสนิทกันมากก็จริง แต่เรื่องนี้ของอาผมไม่รู้หรือไม่ได้สนใจกันแน่น้า

    หลังออกจากห้องพ่อมาก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ถึงหลับตาเดินมาตามทางโดยตั้งใจว่าจะกลับไปนอนฟังเพลงที่ห้องสุนทรียจิต แต่ไม่ไหวแฮะ เดินได้แค่ครึ่งทางก็ต้องลืมตาขึ้นเพราะระหว่างทางดันเดินเตะแจกันที่สูงเท่าเอวกับสะดุดแผ่นกระเบื้องที่เผยอออกมานิดหนึ่ง นั่นทำให้รู้เลยว่าการที่มองอะไรไม่เห็นนี่มันลำบากมากๆ เลยนะ

    ความจริงผมกำลังคิดถึงคนที่ผมเดินเข้าไปถามทางไปวัด มนุษย์ผู้หญิงที่ชื่อ โมนิก้า เมย์รี่ เธอบอกว่าตัวเอง 'ตาบอด' ถ้าตาบอดหมายถึงการที่คนเราจะมองอะไรๆ ไม่เห็นล่ะก็เธอน่าจะใช้ชีวิตอยู่อย่างลำบากมากแน่นอน แต่ที่ผมมองว่าแปลกคือมนุษย์ทั่วไปที่ใช้ชีวิตได้ลำบาก ก็หมายถึงคงจะไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่นัก...อันนี้ในความคิดผมนะ แต่เธอคนนั้นไม่ได้มีทีท่าว่าจะเป็นแบบสิ่งที่ตัวเองจินตนาการแม้แต่น้อย ใบหน้าของเธอสดใสและดูเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ทำไมกันน้า...หรือว่าสิ่งที่เรียกว่าตาบอดนั้นเป็นแค่ไม่นานเดี๋ยวก็หาย

    อันที่จริงผมแค่นึกเสียดายดวงตากลมโตสีเทาคู่นั้นของเธอเท่านั้นเอง ใครเห็นก็ต้องเดาออกว่าถ้าเธอไม่เป็นไอ้โรคตาบอดอะไรนั่นคงจะมองเห็นอะไรๆ ได้ชัดเจนกว่าคนปกติแน่นอน เพราะตาของเธอโตจนเรียกว่าผิดปกติได้เลยแหละ

    ว่าแล้วผมก็ยังติดใจเรื่องเจ้าสัตว์ที่เรียกว่า สุนัข อยู่นิดหน่อย ที่จริงจะจัดการมันลงหลุมซะตั้งแต่ตอนที่มันไล่กวดผมเลยก็ได้ แต่ก็นะ ด้วยความที่ตัวเองติดนิสัยชอบใส่หน้ากากเข้าหาคนเลยคิดว่าการแกล้งทำเป็นกลัวมันน่าจะทำให้หญิงสาวตาบอดคนนั้นรู้สึกดีมากกว่า ก็เธอเป็นเพื่อนกับมันนี่

    ในที่สุดก็เดินมาถึงห้องสุนทรียจิต แต่ดันลืมนึกไปว่าพรุ่งนี้จะต้องไปไหน พอนึกได้ผมจึงต้องเปลี่ยนเป้าหมายที่จะไปทันที

    สถานที่ที่ผมจะไปก็คือคลังหนังสือเทพ รวบรวมวิธีการต่างๆ เพื่อที่จะไว้ใช้สอนอาวันพรุ่งนี้

    เรื่องจริงหนึ่งเรื่องที่ยังไม่ได้เล่าให้ฟังคือ บนสวรรค์นั้นผมได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะนะ แต่เชื่อเถอะว่าผมสอนคนไม่เป็น ผมสำเร็จวิชาพื้นฐานด้วยวิธีการที่รวดเร็วกว่าแต่ไม่มีสอนในหนังสือ หลังจากนั้นก็ได้คิดค้นคาถาใหม่ๆ ที่ใช้ประโยชน์ได้จริงออกมาหลายบท สรุปทั้งหมดทั้งมวลคือมันค่อนข้างจะเป็นเซนส์ส่วนบุคคล แค่นี้พอจะเข้าใจเรื่องที่ผมเป็นอาจารย์ใครไม่ได้แล้วสินะ

    เฮ้อ...คิดแล้วก็เริ่มจะเกิดความเซ็งขึ้นมา

    ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะจบเรื่องน่าเบื่อนี่เร็วๆ จัง

    วันรุ่งขึ้นผมข้ามมิติมายังโลกมนุษย์โดยที่ดวงตาต้องทรมานจากแสงสว่างเจิดจ้านั่นเหมือนเคย ผมบอกพ่อไปแล้วว่าช่วยเปิดประตูที่เชื่อมสวรรค์กับนรกโดยตรงให้ที พ่อรับปากก็ดีอยู่หรอก แต่ต้องใช้เวลาประมาณปีหนึ่งเนื่องจากต้องประสานกับนรกด้วย เอาเหอะ ป่านนั้นอาคงใช้วิชาที่ผมกำลังจะสอนให้เขาจนคล่องแล้วล่ะ(มั้ง) ก็มันตั้งปีหนึ่งกับวิชาแค่บทเดียว คนเรามันโง่ขนาดนั้นไม่ได้หรอกใช่รึเปล่าล่ะ

    วันนี้หกโมงเช้าผมปรากฏตัวบนสะพานไม้แห่งเดิม ที่เลือกเวลานี้เพราะเคยได้ยินผ่านหูมาบ้างว่ามันเป็นช่วงที่มนุษย์ส่วนใหญ่ยังคงนอนหลับกันอยู่จึงไม่น่าจะมีคนพลุ่งพล่านมากมาย...

    แต่ผมคิดผิด...

    แม้ท้องฟ้าจะยังสลัวแต่ที่หมู่บ้านนี้ในตอนเช้าคึกคักกันมาก บางทีอาจจะคึกคักกว่าตอนกลางวันซะอีก บนสะพานที่ผมยืนอยู่ตอนนี้มีชาวบ้านเดินสวนกันไปมาและทักทายกันอย่างเป็นมิตร น่าสงสัยว่าคนที่นี่เขาสนิทกันทุกครอบครัวเลยรึไงนะ เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่คนยิ้มแย้มให้แก่กันและพูดคุยราวกับเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ความสงสัยนั้นถูกกลบด้วยเสียงที่ทำให้ต้องหันกลับไปมอง

    "ไงมีมี่ พาเจ้าลูอิสไปตลาดมาเหรอจ๊ะ?"

    ลุงท่าทางแลดูใจดีคนหนึ่งพูดกับหญิงสาวที่เดินจูงเจ้าสุนัขตัวใหญ่ข้ามสะพานมา ในมืออีกข้างของเธอถือถุงใสที่ใส่กล่องสี่เหลี่ยมสีแดงเลือดนก

    "ใช่ค่ะลุงโรเจอร์ หนูไปซื้อของมานิดหน่อยน่ะค่ะ"

    เธอพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เสียงของเธอแจ่มใสผิดกับท้องฟ้า ส่วนเจ้าสุนัขขาวก็นั่งแลบลิ้นอยู่เคียงข้าง

    "โอ้...เก่งจังเลย ขนาดเป็นแบบนี้นะเนี่ย เอ้อ ลุงก็จะไปเหมือนกัน จะเดินจะเหินก็ระวังนะลูก"

    ลุงเอามือลูบหัวเจ้าสุนัขซึ่งสูงเท่าหัวแกพอดี

    "แกก็ทำหน้าที่ให้ดีล่ะ อย่าแวบไปหาแฟนบ่อยนะรู้รึเปล่า ลุงไปนะมีมี่"

    ลุงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีปิดท้าย ส่วนหลานสาวก็ยิ้มแป้นตอบ

    "ขอบคุณค่ะลุง"

    ทั้งสองคนเดินแยกกัน ลุงคนนั้นเดินลงสะพานของแกไป ส่วนหญิงสาวกำลังค่อยๆ เดินมาตามทางที่เดาว่าจะเข้าตัวหมู่บ้าน ซึ่งนั่นทำให้เธอเข้าใกล้ตัวผม

    ไม่รู้ทำไมไอ้เจ้าสุนัขที่เธอพามาด้วยนั้นถึงจ้องผมอย่างเอาเป็นเอาตาย สุดท้ายมันก็ส่งเสียงร้องเหมือนกับตอนที่มันร้องใส่ผมเมื่อวาน ต้องให้หญิงสาวดุมันถึงหยุด

    "อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณลูอิส มาแต่เช้าเลยนะคะ"

    มีใครสงสัยบ้างว่าเธอรู้ได้ยังไงว่าเป็นผมทั้งที่ก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรสักแอะ อาการตาบอดของเธอคงจะดีขึ้นแล้วสินะ

    "ไม่ใช่หรอกค่ะ เพราะเจ้านี่ต่างหาก"

    หญิงสาวชี้ไปที่เจ้าสุนัขขาว ดวงตาของเธอยังคงมองไปที่ไหนก็ไม่รู้เหมือนเดิม เออ ก็จริงแฮะ

    "เจ้านี่จะคุ้นเคยกับแค่คนในหมู่บ้าน ถ้ามีคนแปลกหน้ามาที่นี่มันก็จะเห่าอย่างที่เห็นนี่ล่ะค่ะ"

    อาจจะเป็นคนอื่นก็ได้นา

    "กลิ่นของคุณลูอิส ฉันจำได้ค่ะ"

    เธอเล่นพูดมาอย่างนี้ทำเอาผมต้องสำรวจตัวเองยกใหญ่เลยทีเดียว แต่ก็ไม่เห็นจะได้กลิ่นอะไรอย่างที่ว่า พูดถึง...กลิ่นมันยังไงหว่า...

    "อ๋อ คือมันไม่ใช่กลิ่นตัวอะไรแบบนั้นนะคะ เอ่อ ประมาณว่าเป็นความสามารถพิเศษของฉันน่ะค่ะ"

    อ้อ งั้นเอง ว่าแต่ตอนนี้ผมรู้สึกแปลกตัวเองนิดๆ

    ทำไมผมต้องมายืนฟังเรื่องอะไรก็ไม่รู้จากเด็กสาวชาวมนุษย์คนหนึ่งล่ะ หรือบางทีสัญชาตญาณการใส่หน้ากากของตัวเองมันคงต้องการบอกว่าทำแบบนี้แหละดีแล้ว

    "จริงสิ คุณลูอิสกินอะไรมารึยังคะ กินขนมปังถั่วแดงด้วยกันมั้ย?"

    กิน...? อ๋อ...คงหมายถึงการกระทำที่มนุษย์ต้องทำเพื่อดำรงชีพอยู่สินะ แล้ว...อะไรนะ ขนมปังถั่วแดงคืออะไรอ่ะ?

    หญิงสาวยกถุงใสขึ้นพร้อมดึงกล่องสีแดงเลือดนกออก ทันทีที่เธอเปิดกล่องกลิ่นหอมจากของข้างในนั้นโชยออกมา ที่แท้กลิ่นหอมเมื่อวานก็คือกลิ่นของขนมปังถั่วแดงนี่เอง ส่วนต้นตอของกลิ่นมีลักษณะเป็นก้อนกลมๆ สีน้ำตาลเรียงกันทั้งหมด 9 ก้อน ความเข้าใจของผมตอนนี้คือจะต้องทำสิ่งที่เรียกว่า 'กิน' กับก้อนสีน้ำตาลนี่ จากที่เคยอ่านเจอในหนังสือดูเหมือนจะต้องเอาเข้าปากแล้วเคี้ยว...สินะ?

    หลังจากมองใบหน้ายิ้มแย้มสดสวยของเธอแล้วผมก็หยิบมาก้อนหนึ่ง

    "ขอบคุณครับ"

    "คนส่วนมากมักจะไม่ให้ความสำคัญกับอาหารเช้า คุณลูอิสก็เป็นหนึ่งในนั้นใช่มั้ยล่ะคะ"

    ก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดีและคงไม่ต้องปั้นยิ้มตอบไปหรอกมั้ง ก็เธอมองไม่เห็นนี่ ผมส่งก้อนนุ่มๆ ที่ถืออยู่เข้าปาก แล้วค่อยตอบเกี่ยวกับขนมปังถั่วแดงแทนน่าจะดีกว่า

    ความรู้สึกแรกคือสุดยอดสุดๆ มันนุ่มแล้วก็หอมมากๆ ข้างในยังใส่อะไรฉ่ำๆ ไว้อีกด้วย ผมกัดมันอีกครั้งก็ยังสุดยอด

    "อร่อยใช่มั้ยล่ะคะ ฟังเสียงเคี้ยวก็รู้แล้ว"

    ไอ้ความรู้สึกสุดยอดนี้มันเรียกว่า 'ความอร่อย' เองรึเนี่ย

    "อ๋อใช่ครับ อร่อยมากๆ เลยครับ"

    ระหว่างนั้นผมสังเกตเห็นเจ้าสุนัขขาวนั่งแลบลิ้นแผล็บๆ ส่วนหญิงสาวก็ยังคงยิ้มแป้นสดใสเหมือนเดิม

    ผมเองก็เพิ่งจะรู้สึกตัวเหมือนกันว่ากำลังยิ้มอยู่ ไม่ใช่การปั้นยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่มีให้กับสิ่งที่กำลังเจอด้วยตัวเองอย่างจริงใจ ถ้าให้เทียบกับเวลาของมนุษย์ ผมยิ้มแบบนี้ครั้งสุดท้ายก็คงเป็นเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว

    "ถ้าคุณลูอิสไม่ถืออะไร ฉันยกให้หมดเลยก็ได้นะคะ"

    "จริงเหรอครับ! ว้าว...ขอบคุณมากเลยครับ"

    ผมรับกล่องที่เธอยื่นมาให้ รู้สึกว่าสายตาของเจ้าสุนัขจะไม่อยากให้เจ้าของมันทำแบบนั้น แต่ใครจะสน

    "หมู่บ้านของเราเป็นหมู่บ้านการเกษตร ถั่วแดงของที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพเลยนะคะ เราส่งออกต่างประเทศด้วย ที่จริงถ้าคุณลูอิสยังไม่รีบกลับ ฉันจะพาไปชิมผลิตภัณฑ์จากถั่วแดงชนิดอื่นๆ อีกด้วยค่ะ"

    ที่เธอพูดมามีหลายอย่างที่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก แต่ที่รู้คือยังมีอย่างอื่นที่ทำจาก 'ถั่วแดง' อีก ผมบอกเธอว่าไว้โอกาสหน้าและขอบคุณอีกครั้ง

    คุยไปคุยมาก็รู้ว่าเธอกำลังจะกลับบ้าน ผมจึงบอกว่าจะไปส่งเพื่อเป็นการตอบแทนซึ่งเธอก็ตกลง

    พวกเราสองคนกับอีกหนึ่งตัวเดินเข้าไปในหมู่บ้าน เป็นธรรมดาของผู้ไม่คุ้นผมจึงกวาดตามองดูบ้านเรือนของพวกชาวบ้านซึ่งแต่ละหลังไม่ได้สร้างใหญ่โตอะไรมากนัก แค่บ้านเล็กๆ ที่ดูเหมือนไม่ได้มีพื้นที่ใช้สอยสักเท่าไหร่ ภาพเหล่านั้นทำให้เกิดสงสัยขึ้นมาว่าพวกที่อาศัยในที่แบบนี้จะมีความสุขรึเปล่า เพราะขนาดผมเองอยู่ในพระราชวังอันใหญ่โตแต่ก็ไม่ได้รู้สึกดีอะไรมากมาย แน่นอนผมถามคำถามนี้กับเธอผู้ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ ก่อนจะได้รับคำตอบที่ทำให้ผมรู้สึกบอกไม่ถูกเลยจริงๆ

    "ฉันคิดว่าพวกเรามีความสุขนะคะ มากด้วย ถึงพวกเราจะไม่ได้ร่ำรวยเงินทอง แต่พวกเรารวยน้ำใจค่ะ"

    ก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจหรอกนะ แต่มันน่าดีใจถึงขนาดที่ทำให้คนเรายิ้มไม่หุบได้ด้วยเหรอ ว่ากันตรงๆ ใบหน้ายิ้มแย้มของเธอชักจะเริ่มทำให้คนคุยด้วยอย่างผมรู้สึกละอายใจนิดๆ ส่วนสาเหตุไม่อยากพูดถึงหรอก

    "ชาวบ้านทุกคนคือครอบครัวเดียวกัน เวลามีอะไรก็จะแบ่งปันกัน คนไหนเดือดร้อนอะไรก็จะช่วยเหลือกัน พวกเรามีหลักในการใช้ชีวิตเหมือนกันก็คือ พอมีพอกิน แค่นี้ก็ไม่ต้องการอะไรแล้วล่ะค่ะ"

    จะว่าเข้าใจก็เข้าใจ จะว่าไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจแฮะ

    "คุณลูอิสคงมาจากประเทศที่มีสังคมแตกต่างกับพวกเราสินะคะ แต่สำหรับฉันถ้าถามว่านิยามของความสุขคืออะไร คำตอบก็คือหัวใจที่มีความรักต่อกันนี่แหละค่ะ"

    ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่ราวกับใบหน้าของเธอคนนี้กำลังเปล่งประกายเมื่อเธอพูดถึงหมู่บ้าน และที่แปลกกว่านั้นก็คือตรงหน้าอกของผมมันเต้นตุ้บๆ อย่างบอกไม่ถูก นี่ผมเป็นอะไรกันนะ?

    ระหว่างทาง ทุกผู้ที่เดินผ่านไปมาแทบทุกคนทักทายโมนิก้า เมย์รี่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และก็แทบทุกคนที่มองคนแปลกหน้าอย่างผมด้วยความแปลกใจ แต่พวกเขาก็ยังอุตส่าห์สามารถทักทายผมด้วยความเป็นมิตรได้ แค่ยิ้มฝืนทักทายกลับไปก็คงพอมั้ง เราหยุดเมื่อยายสวมหมวกปีกกว้างกับเสื้อสีบานเย็นคนหนึ่งเดินเข้ามา

    "พ่อหนุ่มรูปหล่อนี่ใครกันจ๊ะหนูมีมี่"

    ปล่อยเป็นหน้าที่ของคนถูกถามคงไม่ผิดบาปอะไร อย่างน้อยดูเหมือนสาวน้อยคนนี้จะไม่คิดแบบนั้นล่ะนะ ถ้าดูจากรอยยิ้มที่พูดได้ว่าช่วยเสริมให้ใบหน้าสวยๆ นั่นดูน่ารักขึ้นอีกเป็นกอง

    "คุณคนนี้เขาเป็นนักท่องเที่ยวน่ะจ้ะคุณยายโรส เขามาวันนี้วันที่สองแล้ว"

    "อย่างนั้นเองเหรอจ๊ะ แล้วพ่อหนุ่มชื่ออะไรล่ะ"

    คราวนี้ตาเรา

    "ผมลูอิสครับ"

    "โอ๊ะ ชื่อเหมือนกันกับเจ้าลูอิสเลยนี่"

    ยายยิ้มเล็กๆ และดูเหมือนสาวสวยที่ยืนอยู่ข้างผมนั้นจะแอบหัวเราะอย่างเงียบๆ

    "เออ งั้นยายไปก่อนนะหนูมีมี่ ตาเขารออยู่ที่ไร่น่ะ"

    "ค่ะคุณยาย อย่าหักโหมนะคะเดี๋ยวจะไม่สบาย ถึงหนูจะชอบกินมันฝรั่งของคุณยายมากที่สุดก็เถอะ"

    เป็นลูกอ้อนที่ได้ผลอย่างแรง ยายเอามือลูบผมสีดำดัดเป็นลอนของเมย์รี่อย่างเอ็นดูไม่ต่างกับสายตาที่มองอย่างอบอุ่น

    "เพราะอะไรกันนะ ทำไมเด็กดีน่ารักอย่างหนูมีมี่ถึงต้องเป็นแบบนี้ สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ"

    ยายพูดพลางถอนหายใจก่อนจะหอมแก้มขาวๆ ของสาวน้อยและเดินจากไปโดยทิ้งความรู้สึกผิดไว้กับผมซะอย่างนั้น

    แต่บางที่มันก็อาจจะจริงอย่างที่ยายพูด เพราะผมก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรเมื่อเธอพูดถึงบ้านของผมในแง่ลบ ว่าแต่ไอ้ความรู้สึกอิจฉายายนิดๆ นี่มันอะไรกันน้า...

    ผมกับเมย์รี่เดินคุยกันมาเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีเจ้าลูอิสก็ส่งเสียงร้องที่เรียกว่า'เห่า'เมย์รี่จึงได้บอกว่าถึงบ้านของเธอแล้ว

    หลังนี้ก็เช่นกัน ไม่ได้ต่างจากบ้านอื่นๆ ในละแวกนี้มากนัก ส่วนของหน้าบ้านปลูกไม้ต้นไม่ใหญ่มากไว้สองต้นระหว่างประตูรั้วสีขาวเตี้ยๆ ที่ทำจากไม้ ดอกชมพูเล็กๆ ออกเต็มต้นผิดกับใบที่แห้งเป็นสีน้ำตาล ดอกไม้เล็กๆ ที่ร่วงอยู่เต็มทางเดินก่อนเข้าประตูบ้านทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าอัศจรรย์ ที่สวนมีชุดเก้าอี้ทำจากหินอ่อนตั้งอยู่ ตัวบ้านเป็นสีฟ้าอ่อนและสร้างแบบง่ายๆ ชั้นเดียว มีประตูหน้าต่างตามปกติ แต่รวมๆ แล้วก็จัดเป็นบ้านที่น่าอยู่กว่าหลังไหนๆ ในแถบนี้

    "ขอบคุณที่มาส่งนะคะคุณลูอิส"

    ใบหน้าของเธอยังเปื้อนด้วยรอยยิ้มเป็นประกายเหมือนเดิม อย่าพูดว่าเหมือนเดิมเลย พูดว่าตลอดเวลาน่าจะตรงที่สุด

    "ผมก็ขอบคุณสำหรับขนมปังถั่วแดงนะครับ...?"

    ......

    ท่าทางของคนที่กำลังอยากจะพูดอะไรออกมาสักอย่างแสดงซะชัดผ่านใบหน้าน่ารัก

    "คือว่า...ที่จริงแล้ว...เจ้าลูอิสก็ชอบขนมปังถั่วแดงเหมือนกันน่ะค่ะ ของโปรดมันเลย"

    แค่นั้นแหละ ผมหัวเราะเสียงดังลั่น เพราะหมายความว่าผมไปแย่งของๆ มันนั่นเอง ตลกจริงๆ

    "ตะ...แต่ฉันไม่ได้คิดอะไรหรอกนะคะ คุณเอาไปเถอะ มันมีอาหารของมันอยู่ค่ะ"

    "ดูก็รู้แล้วล่ะครับว่าคุณไม่ได้เป็นคนอย่างนั้น เอาเป็นว่าขอบคุณอีกครั้งนะครับ ผมไปก่อนนะ"

    เมย์รี่ยิ้มตอบ เธอบอกลาและโบกมือให้ซึ่งผมก็ทำเช่นเดียวกัน ไม่ได้ลืมเรื่องที่เธอมองไม่เห็นนะ แต่คนเราก็ควรทำอะไรที่แสดงถึงมารยาทบ้างโดยเฉพาะคนที่มีมันค่อนข้างจะน้อยแบบผม

    ณ เวลานี้ผมมีความคิดต่างๆ มากมายหมุนวนกันอยู่ในหัวราวกับว่ามันกำลังต่อสู้กันอยู่ ขอเดาว่าศึกนี้คงเป็นศึกยืดเยื้อพอดู

    ถ้าให้พูดตามตรง ตั้งแต่ที่ได้พบกับโมนิก้า เมย์รี่ผมก็เริ่มสงสัยในความคิดด้านลบของตัวเองที่มีต่อโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความโหดร้ายป่าเถื่อน หรือการเกลียดชังซึ่งกันและกัน อคติเหล่านี้มันเหมือนเริ่มจะเปลี่ยนไป

    เมย์รี่เธอเป็นใครกัน...

    ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษหรอก เพียงแต่เรื่องที่เคยฟังผู้ใหญ่เล่ากรอกหูจนกลายเป็นปรสิตติดหัวมากับเรื่องที่เจอด้วยตัวเองผิดกันนิดหน่อย...

    ...ไม่สิ ก็มากเหมือนกันแหละ ใครมาเป็นผมก็คงบอกอย่างนั้น เชื่อเหอะ

    ผมเดินตรงมาอีกนิดหน่อยก็ถึงทางที่มีรูปปั้นพระตั้งอยู่สามองค์จึงเลี้ยวเข้าวัด ก่อนจะอาศัยจังหวะของความไร้ผู้คนหายตัวจากโลกมนุษย์ไปอย่างเงียบๆ มีเพียงสายลมเย็นเฉียบและแสงแดดอันอบอุ่นของยามเช้าเท่านั้นที่รับรู้ถึงการจากไป

    .

    .

    .

    17 นาฬิกา

    ชื่อของผมคือ ลูอิส ทายาทผู้ที่จะสืบทอดบัลลังก์พระเจ้าในอนาคต และเพิ่งจะเคยรู้สึกถึงความลำบากเป็นครั้งแรกในชีวิต

    ว่ากันว่าคนที่จะขึ้นเป็นใหญ่ได้ต้องเคยผ่านความลำบากซึ่งเปรียบเสมือนบททดสอบมาก่อนจึงจะสามารถปกครองผู้ที่อยู่เบื้องล่างได้อย่างสมภาคภูมิ แต่นี่ผมก็ว่ามันเกินไป

    ภารกิจที่ผมได้รับมานั้นคือการสอนวิชาให้กับท่านยมบาลเจ้าแห่งนรก ซึ่งเป็นอาบังเกิดเกล้าของผมเอง

    วันแรกของการสอน ผลสรุปคือท่านอาไม่สามารถเรียนรู้ในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อออกไปได้เลย มันกลับกลายเป็นผมซะเองที่รู้ รู้ว่าอานั้นเป็นพวกหัวช้าและไม่สามารถปรับตัวเข้าหาสิ่งใหม่ได้

    ข่าวลือที่ว่าอาเป็นคนหัวทื่อนั้นมันจริงซะยิ่งกว่าจริง จะให้แถมท้ายอีกกี่คำก็ได้ถ้าไม่กลัวมันจะหยาบคายเกินไป

    วิชาที่อาอยากได้คือ'กางเขนผนึกมาร'เป็นวิชาขั้นสูงที่พ่อของผมเป็นผู้คิดค้น ถึงจะเป็นวิชาขั้นสูงที่เรียนยากอยู่สักหน่อยแต่ผมก็คิดว่าระดับเจ้าแห่งนรกน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ขั้นต้นของวิชาคือต้องจำคาถาที่ไว้ใช้สำหรับร่ายให้ได้ มันเป็นแค่โคลง 28 บทเท่านั้นเอง ในเวลาสิบเอ็ดชั่วโมงของการสอน อามีความสามารถในการจำได้แค่ท่อนเดียว ส่วนตัวผมที่เรียนวิชานี้ในวันแรกใช้เวลาแค่สี่ชั่วโมงก็จำได้ขึ้นใจทุกบท โดยส่วนตัวผมคิดว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับสมองจะดีหรือไม่ดีหรอก เพียงแต่อยากจะเข้าใจสิ่งที่อยากรู้จริงๆ รึเปล่าแค่นั้น ถ้าทุกๆ อย่างมีของสะดวกสบายที่เรียกว่าทางลัดผมก็คงจะไม่ถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะได้เลย

    เหนื่อย...คำเดียวที่รู้สึกในขณะนี้ หรือบางทีมันก็อาจจะเป็นความผิดของผมเองที่ประเมินและคาดหวังกับอาไว้สูง เกินไป พอมันไม่ได้เป็นตามที่คิดเอาไว้ กำลังใจและความอดทนในการสอนต่อไปของผมมันก็แทบจะหมดลง

    เมื่อถึงเวลากลับ ผมให้การบ้านอาคือการไปท่องคาถาให้จบ ซึ่งเขาก็รับปากด้วยสีหน้าเซ็งๆ ก่อนที่จะบอกลา

    แม้จะเหนื่อยมากก็จริงแต่ไม่รู้ว่าทำไมผมจึงไม่ค่อยอยากกลับสวรรค์ อาจเป็นเพราะรู้สึกสงสารดวงตาตัวเองที่ยังไม่คุ้นและไม่ชอบเข้าขั้นเกลียดกับแสงสว่างช่วงข้ามมิติกลับ

    หรือมีเหตุผลอื่นกันนะ?

    หลังจากข้ามมิติมายังโลกมนุษย์ ผมมายืนอยู่ตรงข้างบันไดหินที่เป็นทางขึ้นไปกุฏิพระ ตอนนี้หมู่บ้านถูกย้อมด้วยสีส้มของพระอาทิตย์ยามเย็น ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเดินแบกอุปกรณ์แปลกๆ หัวเราะหัวใคร่กันอย่างสนุกสนานผ่านหน้าวัด

    บรรยากาศกำลังน่าประทับใจกับภาพอันงดงามทำให้ผมต้องรีบหน่อยแล้ว

    นางฟ้าที่เคยมาปฏิบัติงานที่โลกมนุษย์เคยเล่าให้ฟังว่าปรากฏการณ์พระอาทิตย์ตกดินนั้นเป็นความสวยงามมากที่สุดอย่างหนึ่งในหลายๆ อย่าง ว่าแล้วผมก็ใช้โอกาสตอนที่คนเผลอสยายปีกสีขาวบริสุทธิ์บินไปที่เขาด้านหลังวัด

    มันคงจะใกล้แล้ว พระอาทิตย์เป็นสีส้มเข้มและเริ่มจะไม่เต็มดวงเพราะถูกพื้นดินที่ปกคลุมด้วยสีเขียวของต้นไม้สุดลูกหูลูกตากลืนกิน

    ในที่สุดผมก็บินมาถึงยอดเขา มีที่ว่างพอที่จะนั่งปล่อยอารมณ์ไปกับลมเย็นเฉียบนี้ได้

    วิเศษจริงๆ ราวกับดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับจากโลกนี้ไปแล้ว

    ราวกับว่าภารกิจสุดท้ายของมันในวันนี้คือย้อมสีของหมู่บ้านแห่งนี้ให้งดงามเพื่อเป็นของขวัญแก่ผู้ที่พบเห็น

    ผมวาดมือล้วงเข้าไปในอากาศเพื่อดึงกล่องสีแดงเลือดนกออกมา เพียงแค่เปิดมันออก กลิ่นหอมก็ฟุ้งกระจายทันที

    ขนมปังถั่วแดง

    กัดคำที่หนึ่ง แม้ว่ามันจะไม่ได้ร้อนเหมือนตอนที่ได้รับมาแต่ก็ยังรู้สึกว่าสุดยอด มันทำให้ตอนนี้ผมรู้สึกทึ่งในความสามารถในการเอาตัวรอดของมนุษย์ยิ่งกว่าเดิม

    ขนมปังถั่วแดง สายลมพัดเย็นบาดผิว กับแสงอาทิตย์อุ่นๆ ของที่ขัดกันอย่างน่าประหลาดนี้กลับทำให้ผมผ่อนคลายลงมาก

    (ว่าไงพวก)

    เสียงต่ำๆ แหบห้าวลอยมากับสายลม ไม่สิ มันไม่ใช่เสียงจากภายนอก ต้องมีใครใช้จิตสื่อสารกับผม แต่เสียงนี้เห็นจะไม่คุ้นเลย

    (หันหลังกลับมาสิ)

    ทำตามโดยทันทีแบบไม่มีลังเล

    ภาพที่เห็นคือสิ่งมีชีวิตเดินสี่ขาตัวยักษ์ร่างกายปกคลุมด้วยขนสีขาวยาวสะอาดสวมปลอกคอสีชมพูสดใส สิ่งมีชีวิตที่รู้จักกันในชื่อของสุนัข

    สุนัขตัวเดียวกันกับที่หญิงสาวตาบอดนาม เมย์รี่ จูงเดินเล่นเมื่อเช้า

    (ฉันรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่านายไม่ใช่คนธรรมดา ใช่มั้ยล่ะ?)

    เจ้าลูอิส!!!



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×