คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Memory Piece 10 The Last Piece And Chapter end
Memory Piece 10 The Last Piece
เสียงของดอกไม้ไฟ
เสียงลม
เสียงเอะอะจ๊อกแจ๊ก
ผมยังคงได้ยินมันอยู่อย่างชัดเจน บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองที่แอบรู้สึกน้อยใจเล็กๆ ว่าทำไมตัวเองถึงมีมันน้อยนัก
ณ เวลานี้ ผมเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ชายผู้อยู่เบื้องหน้ากลับมองข้ามมันอย่างไม่ใยดี
"โทษของแกหนักหนาสาหัสนัก ลู กลับไปกับฉัน แล้วฉันจะจัดการเรื่องต่อจากนี้เอง ฉันช่วยแกได้"
รู้สึกขนลุกขนพองกับคำพูดที่ขัดกับการกระทำนี่เหลือเกิน
"ช่วยเหรอ? ถ้าพ่อใจดีพอที่จะช่วยอะไรผมได้สักอย่างล่ะก็ เอาเมย์คืนมาสิ" ผมขบฟันตอบกลับไป
"ลู แกกำลังเดินผิดทางรู้ตัวรึเปล่า"
"แล้วอะไรคือทางที่ควรจะเดินกันเล่า!!!! นี่เหรอการกระทำที่สนับสนุนให้ชาวบ้านเอาเป็นเยี่ยงอย่าง! การฆ่าคนเนี่ยนะ!!!!!"
ผมตวาด แต่ชายคนนั้น…มารร้ายในคราบผู้นำแห่งนางฟ้าตนนั้นกลับแสดงสีหน้าเรียบเฉย
"ฉันไม่ได้อยากทำ แต่จำเป็นต้องทำ"
พูดมาได้…
"แล้วแกล่ะ? เคยทำเรื่องที่'สมควร'ทำบ้างรึเปล่า แกทำแต่เรื่องที่แก'อยาก'ทำจนคนอื่นเขาเดือดร้อนกันไปทั่ว"
นั่นสินะ ยังไงผมมันก็แค่ตัวปัญหา อาจจะจริงก็ได้ งั้นต่อจากนี้แหละผมจะทำแต่เรื่องที่สมควรทำ แต่ไม่ใช่เพื่อพ่อหรอก ผมจะทำเพื่อตัวเอง
"แกจะทำอะไร ฆ่าฉันรึไง แค่เพื่อนของแกสองคนนั้นยังไม่พอใช่มั้ย"
หึ
"พ่อสอนเสมอนี่ว่าเวลาจะแก้ปัญหาต้องแก้มันที่ต้นเหตุ"
"แล้วฉันคือต้นเหตุ?"
ชายชราหัวเราะโดยไร้ความรู้สึกขบขัน
"ฉันดีใจที่มีแกเป็นลูกชายลู แต่แกเคยรู้สึกแบบนั้นแม้สักนิดรึเปล่าที่มีฉันเป็นพ่อ ไม่คิดว่าแกจะออกนอกลู่นอกทางแห่งคุณธรรมได้ขนาดนี้ อย่างแกอย่าว่าแต่พระเจ้าเลย แค่นางฟ้าก็ยังเป็นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ"
ไม่ว่าจะนางฟ้า จะบุตรแห่งพระเจ้า ผมไม่เคยคิดอยากเป็นและก็ไม่เห็นดีใจที่ได้เป็น ถ้าถามว่าอยากเกิดเป็นอะไร หมาบนโลกมนุษย์ยังเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่าเลย ก็รู้อยู่แล้วจะถามเพื่ออะไร
"คุณธรรมงั้นเหรอ? การดับวิญญาณหญิงชาวมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่รู้เรื่องอะไรคือคุณธรรมสินะ งั้นผมว่าตัวเองคิดถูกแล้วล่ะที่ไม่เลือกดำเนินอยู่บนคุณธรรมของพ่อ…"
ผมส่งสายตาเยาะเย้ยอย่างจงใจไปที่ชายชราซึ่งยังคงใบหน้านิ่งเฉยไว้ราวกับรูปหล่อทองแดงสัมฤทธิ์
"ผิดแล้ว ที่เธอต้องตายเป็นเพราะว่าเธอรู้มากไปต่างหาก และคนที่ผิดคือแกลูอิส แกไม่ได้รักเธอหรอกมันแค่อารมณ์หน้ามืดตามัวเท่านั้น แล้วการปกปิดเรื่องของเราให้เป็นเพียงสิ่งที่ให้มนุษย์จินตนาการถึงและเป็นแรงบันดาลใจในการทำความดี นี่ก็เป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นคุณธรรมเหมือนกัน"
ไม่ได้รักงั้นเหรอ? เอาเหอะ พูดกับคนที่ตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะไม่เข้าใจคนอื่นไป เสนอความเห็นอะไรมันก็ผิดหมดแหละ
"หึ...เอะอะก็อ้างคุณธรรมๆ อยากจะอ้วก ผมอาจผิดที่เปิดเผยเรื่องของเราแต่พ่อไม่มีวิธีอื่นแล้วรึไง? เป็นถึงพระเจ้าหมดปัญญาแค่นี้ใช่มั้ย!!!"
อย่าไหลออกมานะน้ำตาเอ๋ย อย่าทำให้ฉันดูน่าสมเพชไปกว่านี้
"สิ่งที่ผมได้รับจากเธอเสมอคือความรู้สึกอบอุ่นหัวใจเมื่ออยู่ใกล้ ผมได้เรียนรู้ที่จะมองทุกอย่างให้เป็นบวกจากเธอ ผมมีเธอคอยเป็นห่วงเป็นใย ผมได้เธอเรียกในชื่อที่ผมอยากได้ยิน และวันนี้…วันนี้เธอมอบคำพูดที่ผมรอคอยมาแสนนานตั้งแต่แม่จากไป คำที่แสนล้ำค่า ผมแค่อยากจะตอบแทนเธอ…แค่นั้น...แต่พ่อกลับทำลายเธอ!!!"
ในที่สุดผมก็คุมน้ำตาไว้ได้
"งั้นแกก็แค่คนเห็นแก่ตัว ถึงฉันจะรู้อยู่แล้วแต่ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้ แกต้องการให้คนอื่นหมุนรอบตัวแกไปซะหมดโดยไม่คิดถึงอะไรสักอย่าง ฉันยังขอยืนยันว่าสิ่งที่ฉันทำทุกอย่างมันคือคุณธรรม และเพื่อคุณธรรม"
บางที…แค่บางทีนะ ส่วนลึกที่สุดในจิตใจของผมมันอาจจะอยากให้พ่อฟังผมบ้าง สงสารผมบ้างและอยากร้องว่าช่วยผมด้วย แต่รู้สึกว่าจะเป็นอะไรที่เปล่าประโยชน์และไร้สาระ ทุเรศตัวเองจริงๆ
พอกันที
"ว่าแล้วต้องคุยกันไม่รู้เรื่อง ถ้าพ่อกล้าพูดว่าตัวเองคือคุณธรรมนักล่ะก็ ผมจะฆ่าพ่อเพื่อคุณธรรมของผมบ้าง"
ผมล้วงมือเข้าไปในรอยแหวกอากาศซึ่งเป็นที่ตั้งของมิติเพื่อหยิบสิ่งๆ หนึ่งออกมา เพียงแค่สัมผัสมันความรู้สึกยินดีก็ไหลพล่านเข้าสู่ร่างกาย รวมทั้งพลังมหาศาลนี่ที่ไม่ว่าจะกี่ครั้งๆ ก็ยังไม่เปลี่ยน
ดูซะสิ ของขวัญชิ้นนี้มันเหมาะสมกับผมแค่ไหน แม้แต่แขนที่ถูกตัดขาดไปแล้วมันก็ยังสามารถสร้างให้ผมใหม่ได้ เอ้า…ตกใจเข้าไป ก็แน่ล่ะ ลำพองตัวเองอยู่ทุกวี่ทุกวันว่าไม่มีใครที่จะเหนือกว่าตนได้ พอมาเจอนี่เข้าคงรู้สึกได้ว่าตัวเองอันตรายแล้วใช่มั้ย? แต่สายไปแล้ว
"แก…ตกต่ำขนาดนี้เลยรึ? แกตกต่ำถึงกับยอมใช้ของๆ คนที่เคยฆ่าแม่ของแกเลยเรอะ!"
ไอ้คำนี้วันนี้ฟังมากี่ครั้งแล้วนะ ทำไมต้องพูดเหมือนตัวเองสูงส่งกันนักกันหนา แล้วไอ้เรื่องโป้ปดอย่างใครฆ่าแม่น่ะจะพูดไปถึงไหน
"ไม่ใช่! มันบอกผมว่าพ่อน่ะแหละที่ปล่อยให้แม่ตาย!!!"
ผมพูดพร้อมมองหน้าแก่ๆ ที่กำลังหวาดกลัว
"แล้วแกเชื่อมันงั้นเรอะ! แกจะโง่ไปถึงไหนกันวะ!!!"
ชักจะหมดความอดทนแล้ว
"อ๋อใช่ ผมก็โง่มาตลอดแหละ ที่ตลอดมาตัวเองทำได้เพียงแค่รู้สึกว่าสวรรค์มันน่ารังเกียจ แต่วันนี้ผมรู้แล้วว่าที่รู้สึกนั้นไม่ใช่เรื่องที่คิดไปเอง!!!"
น่าเบื่อที่จะต้องต่อล้อต่อเถียงกับชายคนนี้ ไม่ว่ายังไงผมจะไม่มีวันอภัยให้เขา
"ร่มคันนี้ถ้าไม่ได้ฝึกวิชาของซาตานไประดับหนึ่งก็จะไม่สามารถรับรู้ถึงพลังของมันได้..."
รู้สึกเหมือนจะลืมบางอย่าง
"จริงสิ…มีเรื่องที่ผมอยากจะขอบคุณพ่ออยู่เหมือนกัน ขอบคุณครับที่ส่งผมไปนรกจนทำให้ได้เจอกับของสิ่งนี้ ไม่ต้องห่วง พ่อจะตายและกลายเป็นคุณธรรมของผมอย่างแน่นอน"
ทันทีที่พูดจบผมร่ายคาถา ดาบแสงนับพันเล่มพุ่งทะยานไปข้างหน้าโดยมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวคือชายแก่ แต่ชายคนนั้นไม่เสร็จของแค่นี้หรอกผมรู้ ถ้าตายเพราะของพรรค์นี้ก็อย่าเรียกตัวเองว่าพระเจ้าเลยดีกว่า
ทุกอย่างเป็นไปตามที่คำนวณไว้ พ่อจะต้องสร้างเกราะที่จะป้องกันคาถาดาบ แต่ผมเตรียมคาถาต่อไปไว้แล้ว
ลำแสงที่ถูกเกลาเป็นรูปใบดาบนับสิบแทงออกมาจากพื้นเป็นรูปวงกลมรอบฆาตกร ไม่ถึงวินาทีมันพุ่งใส่เป้าหมาย ยอดเยี่ยม ร่มของซาตานทำให้คาถาของผมร่ายเร็วขึ้นหลายพันหลายหมื่นเท่า
แต่ก็คาดไว้แล้วนั่นแหละว่าศัตรูของผมยังไม่เสร็จง่ายๆ ก็แน่ล่ะ เขาคือผู้สร้างสรรพสิ่ง ซึ่งตอนนี้เขาหายตัวไปแล้ว
วินาทีต่อมา ผมรู้สึกได้ถึงจิตสังหารรุนแรงและน่ารังเกียจจากด้านหลัง ดาบแสงที่ถูกผมเรียกขึ้นในมือซ้ายสะบัดทานดาบที่สร้างขึ้นจากสายฟ้าขาวได้ทันท่วงที แรงยังเยอะอยู่ไม่น้อยเลยนี่พ่อ
เคยได้ยินว่าพระเจ้ามีอาวุธดาบคู่กายเหมือนกัน ว่ากันว่าเป็นดาบในตำนานที่ใช้เพชรทำทั้งเล่ม แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้เอาออกมาใช้ นี่คิดจะดูถูกกันงั้นเรอะ
ขณะที่เรากำลังคานดาบที่สร้างจากพลังเทพกัน อีกมือหนึ่งของพระเจ้าเรียกสายฟ้าขึ้นมาในรูปของแส้ มันเคยตัดแขนผมขาดได้ แม้จะแค่ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ แต่สำหรับผมนั่นมันแค่เรื่องที่เป็นอดีตไปแล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชายตรงหน้าคิดอะไรที่จะใช้มุกเดิมกับลูกชายที่ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะ ขณะที่เขากำลังง้างมือเพื่อจะฟาดแส้ ผมกระโดดกลับหลังและเตะเต็มแรงไปที่ข้อมือข้างนั้น
"อั่ก!!"
แส้กระเด็นหลุดจากมือของฆาตรกรหายไปในพงหญ้า ผมวาดดาบในมือกลับหลังแต่ชายคนนั้นก้มหลบทัน เขาสวนมาด้วยหมัดดุ้นๆ ที่แม้จะเหี่ยวย่นแล้ว แต่กลับรุนแรงจนผมกระเด็นออกห่างไปหลายช่วงตัว
ผมไม่อายที่จะบอกว่าตัวเองในตอนนี้เอาชนะพ่อได้ลำบาก ถึงแม้จะได้ร่มของซาตานมาอยู่ในมือแต่พลังทั้ง 2 สายของพระเจ้าไม่เป็นรองใครจริงๆ หรือบางทีผมอาจจะใช้คาถาที่ขัดกับพลังที่แท้จริงของร่มอยู่กันแน่นะ รู้สึกบางทีว่าถ้าหากมันพูดได้ก็คงจะบอกว่า ถ้าจะใช้วิชาขมๆ อย่างของสวรรค์ก็เอาพลังไปแค่นี้ก็แล้วกัน
ก็ได้ ฉันแอบเรียนวิชาสายเวทย์มืดก็เพื่อสถานการณ์แนวนี้อยู่แล้ว
ภายใต้ความสลัวของราตรี แสงจากดอกไม้ไฟทำให้ผมเห็นแววตาสีขุ่นจ้องเขม็ง ทันใดนั้นบางอย่างที่ใหญ่และหนักก็ตกลงมาจากฟ้า ถ้าหากไม่หลบร่างผมก็คงแหลกไปกับพื้น ไอ้วิชานี้มัน...
ฝาโลงศพเปิดออก ภายในนั้นสว่างจ้าต่างจากที่ผมคิดไว้ สิ่งมีชีวิตสีขาวที่มีไฟฟ้าสถิตพัวพันอยู่รอบตัวโผทะยานมาด้วยความเร็วโดยมีเป้าหมายที่ผม ตามด้วยมือจำนวนนับไม่ถ้วนที่ยืดยาวได้ราวกับสัตว์ตัวแรกบินมาเพื่อนำวิถี
ผมกระโดดหลบก่อนท่องมนต์ โลงศพระเบิดเป็นแสงสว่างทันที
กะไว้แล้ว ต่อให้ผมใช้วิชาสายซาตานแต่คาถาของพระเจ้ากลับสลายง่ายเกินเหตุ ไอ้ละอองแสงจะนวนมากมันรวมตัวกันเป็นรูปร่างคน ผมซัดมีดที่เสกขึ้นใส่ไอ้ที่มันขมุกขมัวกันอยู่เพื่อจะหยุดมันให้ได้ แต่ไม่ได้ผล พ่อกลับปัดมันทิ้งและวาดสายฟ้าขาวลำเล็กใส่ผม
เปรี้ยง!!!!
ไม่แน่ใจว่าที่เราฟาดฟันกันอยู่นี่คนข้างล่างจะเห็นมั้ย แต่ตอนนี้ถ้าสนใจเรื่องนั้นชีวิตผมก็อาจอยูได้อีกไม่กี่วิฯ ถ้าขอพรกับอะไรก็ได้ขออย่างเดียวคือให้ลูอิสพาคิเรนะหนีไปไกลๆ
หลังจากหลบสายฟ้าได้คาถาปริศนานั้นของพ่อก็ก่อรูปเสร็จพอดี...
บัดซบ
ผมยังไม่รู้ว่าคาถามีอำนาจขนาดไหน แต่ลักษณะภายนอกก็ทำเอาผมกัดฟันกรอด
ไอ้คาถานั้นก่อรูปเป็นตัวผม ซึ่งเหมือนกันทุกอย่างยิ่งกว่าฝาแฝด สาเหตุที่ผมเจ็บใจไม่ใช่เพราะกลัว แต่กล้าเลียนแบบแม้กระทั่งผ้าพันคอและถุงมือ สำหรับผมนี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก มันจะเกินไปหน่อยแล้ว
"ที่ฉันใช้คาถานี้เพราะแกมันงี่เง่าลู ก่อนจะฆ่าฉันลองชนะตัวเองก่อนจะดีมั้ย เป็นรึเปล่า การเอาชนะตัวเองน่ะ ไอ้เด็กอมมือ"
ถ้ามาขวางไม่ว่าจะใครฉันก็จะฆ่ามันให้หมด กะอีแค่คาถาหลอกเด็กทำเป็นพูดดี
"ถ้ามันหลอกเด็กแกก็เอาชนะมันให้ดูหน่อยเป็นไร"
ว่าจบคาถานั้นกระโดดเข้ามาหาผมพร้อมดาบแสงในมือทั้งคู่ ใบหน้าของผมที่ไร้อารมณ์พาลให้นึกถึงวิญญาณปลอมๆ อย่างยูที่ผมเสกให้อา ไม่รู้ว่าขีดจำกัดของพระเจ้ามีมากน้อยแค่ไหน แต่เท่าที่รู้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่สามารถหลอมวิญญาณทิพย์ได้โดยลำพังได้ ดังนั้น ไอ้ที่ผมกำลังเจออยู่นี่ก็ไม่ได้เป็นอะไรที่มากไปกว่าวิญญาณสังเคราะห์ที่อัพเกรดความสามารถให้เก่งขึ้น
ไอ้ตัวปลอมง้างดาบ ผมแปลงสภาพร่มในมือให้เป็นอาวุธที่ถนัดที่สุดซึ่งก็คือดาบ จากนั้นก็สะบั้นสวนอย่างไม่คิดจะหลบ ผลสรุปก็เป็นไปอย่างที่ตัวเองแน่ใจอยู่แล้ว ดาบของไอ้ตัวปลอมแตกสลาย พร้อมร่างที่เกือบขาดเป็น 2 ท่อน
กึก!
แต่นี่มันอะไรกัน? มีบางอย่างที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับผม ขยับตัวไม่ได้…ความรู้สึกนี้มัน...วิชาของมิคาเอล ทำไมมันยังไม่ตาย!!!
ไม่ไหว คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวภายในเวลาเสี้ยววินาที
นี่เป็นวิชาใหม่…กว่าจะแก้ได้ก็ไม่ทันการณ์ ซวยล่ะสิ พ่อร่ายคาถาที่ถนัดเสร็จแล้ว
ต้องตายแน่...
สายฟ้าขาวลำมโหฬารที่แม้แต่ผมยังไม่เคยเห็นมาก่อนแล่นแหวกท้องฟ้าดำมืดจนเหมือนกับจะตัดเป็นสองส่วน
กะเอาให้ตายเลยสินะ
"พ่ออย่าทำผม!!!!!!!!!!"
ผมไม่ได้ร้องนี่? ใครกันที่ใช้เสียงผมตะโกนปอดแหกพรรค์นั้น
แต่ไม่ทันแล้ว
"รู้สึกดีจัง เหมือนเป็นพระเอกจริงๆ"
เสียงใคร!?! ไม่คุ้นหูแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนเพิ่งเคยได้ฟังเป็นครั้งแรก…ช่างมันเถอะ ยังไงซะผมก็กำลังจะตายแล้ว แต่ยังรู้สึกค้างๆ คาๆ ยังไงชอบกล บ้าจริง…ไม่อยากตายเลย
ขอโทษนะเมย์ที่ลุคปกป้องเมย์ไว้ไม่ได้ ขอโทษนะคิเรนะ ลูอิส ที่ทำให้พวกนายไม่มีเจ้าของ ขอโทษนะครับทุกๆ คน
ขอโทษจริงๆ
ถ้าทำอะไรได้มากกว่านี้…คงไม่รู้สึกค้างคาแบบนี้
เรานี่มัน…เห็นแก่ตัว…จริงๆ…
………
….
.
ผมว่านะ มนุษย์มีความเชื่อในเรื่องเหนือจินตนาการมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปิศาจเอย เทพเอย ตำนานเหลือเชื่อต่างๆ นานา เอย สิ่งเหล่านี้ได้ถูกคนยุคโบราณหรืออะไรทำนองนั้นวาดภาพขึ้นก่อนจะถูกเล่าต่อกันมาจนถึงมนุษย์ยุคปัจจุบันเพื่อเหตุผลบางอย่าง ทั้งที่ความจริงแล้วพวกเขาเหล่านั้นเคยเห็นอะไรแบบนั้นจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ สิ่งที่พวกเขาพูดแต่ละอย่างมันก็เป็นเพียงความเชื่อที่จับต้องไม่ได้ แต่เพราะอะไรน้า…ที่ทำให้บางกลุ่มบางคนเชื่อของพวกนั้นกันอย่างเป็นตุเป็นตะ
ไม่ได้พูดว่าความเชื่อเหล่านั้นเป็นเรื่องโกหกยกเมฆอะไรขึ้นมานะ มันมีเค้าโครงของเรื่องจริงบ้าง เรื่องปั้นบ้าง ตามปกติเมื่อคนเราพูดถึงสิ่งที่มันคลุมเครือ
สำหรับตัวผมเองที่อยู่ฝ่ายของผู้ถูกเชื่อตั้งแต่ต้นจำได้ว่าเราปกปิดความลับได้อย่างยอดเยี่ยมเสมอมา ไม่มีทางที่ฝ่ายที่เชื่อฝังหัวว่ามีพวกเราอยู่จะสามารถรับรู้ถึงพวกเรา อาจจะเป็นเพราะอย่างนี้ก็ได้ พวกเราจึงคิดว่าจินตนาการของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งน่ากลัว มันสามารถดึงอะไรก็ตามแต่ให้เข้าไปใกล้กับพวกเขาได้เมื่อต้องการ แต่พวกเราก็มีวิธีการป้องกันเรื่องเหล่านั้นในแบบของเรา
เฮ้อ…คิดถึงการต่อสู้แบบนั้นแล้วทำเอาเมื่อยแทน แต่ก็เชียร์ทั้งสองฝ่ายแหละนะ
แต่เดี๋ยวนี้ต่างไปจากเดิมเยอะแล้ว เมื่อโลกหมุนไปข้างหน้า ความรู้ความเข้าใจของมนุษย์มีมากขึ้นตามอายุขัยของโลก คนกลุ่มหนึ่งยอมรับเรื่องเหลวไหลพรรค์นั้นไม่ได้จึงตั้งสมมติฐานก่อนจะหาข้อพิสูจน์ในเชิงวิชาการกับความน่าจะเป็น เมื่อผลสำเร็จเป็นไปตามที่คาดจึงป่าวประกาศให้โลกรับรู้ และนั่นคือต้นกำเนิดของศาสตร์ใหม่ซึ่งผมรู้ในภายหลังในชื่อ 'วิทยาศาสตร์'
เมื่อความเชื่อหรือศรัทธาของคนรุ่นก่อนที่ความรู้ความเข้าใจน้อยถูกวิทยาศาสตร์อธิบายสาเหตุได้เป็นฉากๆ อย่างสมเหตุสมผล ความเชื่อถูกแปรเป็นความจริงที่เข้าถึงเข้าใจได้ ผู้ที่เชื่ออย่างจริงจังกับเรื่องเหนือจินตนาการก็เริ่มมีน้อยลง การสานต่อความเชื่อนั้นจึงกลายเป็นเพียงเรื่องน่าเบื่อหน่ายและหยุดลงในที่สุด จะเหลือก็เพียงผู้ที่เป็นรอยต่อของประวัติศาสตร์ระหว่างความเชื่อกับความจริงที่ยังพอมีคำบอกเล่าของคนรุ่นก่อนอยู่ในสมองบ้าง แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องหลีกทางให้วิทยาศาสตร์อยู่ดี
การที่มนุษย์นำศาสตร์ที่คิดว่าสามารถวางใจและก้าวไปพร้อมกับมันได้มาไขปริศนาบนโลกนั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดีและฝ่ายเราที่สำหรับมนุษย์แล้วเป็นเรื่องนอกเหนือความเข้าใจก็สนับสนุนเต็มที่ถึงแม้จะได้แต่แอบคิดอยู่ในใจก็เถอะ เพราะความจริงการที่พวกเราต้องคอยระแวงกับพวกหลงยุคที่จะมาค้นคว้าเรื่องของพวกเราอย่างจริงจังมันก็เป็นภาระที่หนักไม่น้อย เมื่อความเชื่อไร้สาระมีน้อยลงคนที่พยายามจะสืบเสาะค้นหาความจริงในความเชื่อก็น้อยลงตาม การปกปิดความลับของพวกเราก็ทำได้สะดวกขึ้น ทำให้มีเวลาไปทำอย่างอื่นได้อีก
แต่ถึงผมจะคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีก็อดเสียดายนิดๆ ไม่ได้ว่า ในอนาคตต่อจากนี้มนุษย์จะมีชีวิตอยู่บนความจริงที่พิสูจน์ได้ไปตลอด ความจริงนั้นเป็นสิ่งจำเป็นและดีต่อทุกคน แต่มันจะน่าเบื่อไปหน่อยรึเปล่า?
การมีความเชื่อหรือความฝันในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้บ้างมันก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่เหรอ?
บางทีถ้าผมเกิดเป็นมนุษย์ก็อาจจะลองคิดเล่นๆ ดูกับสิ่งเหล่านั้นก็เป็นได้
นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่ง มันก้ำกึ่งระหว่างความเชื่อกับความจริง ก้ำกึ่งระหว่างสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้กับสิ่งที่พิสูจน์ได้ ราวกับด้ายบางๆ ที่กั้นสิ่งของที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่สิ่งนี้ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ไหนก็ล้วนแต่รับรู้และรู้สึกถึงมันได้
สำหรับบางคนอาจจะเป็นแค่เรื่องของความเชื่อลมๆ แล้งๆ ที่สามารถปล่อยผ่านไปวันๆ ได้ สำหรับบางคนคือความจริงที่ยึดมั่นถือมั่นอย่างจริงจัง บางคนเป็นสิ่งของ บางคนเป็นบุคคล สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่สัมผัสจับต้องได้เหมือนวัตถุที่มีมวลสสาร แต่ก็ไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนอากาศ ทุกคนรู้ว่ามันมีอยู่จริงแต่แต่ละคนมองเห็นไม่เหมือนกัน ทุกๆ คนรู้สึกอยู่ในหัวใจกับสิ่งๆ นั้น
สิ่งที่ผมกำลังพูดถึงอยู่ก็คือ…ความรัก
ซึ่งของผมจนถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงมันอยู่ และคงจะรู้สึกถึงมันตลอดไป เพียงแต่จะไม่มีวันมองเห็นได้อีกตลอดกาล
"คุณชาย…ตื่นได้แล้วค่ะ"
เสียงใครกันนะ? ช่างสดใสเหลือเกิน เหมือนกับตัวเองกำลังโหยหาถึงมันอยู่อย่างนั้นแหละ
"แฟนของเมย์ ตื่นมาคุยกันก่อนได้มั้ย?"
ผมผุดลุกขึ้นมาก่อนจบประโยคพร้อมมองหาต้นเสียงด้วยความคิดที่ว่าไม่น่าเป็นไปได้
"ต้องใช้มุกนี้ถึงจะตื่นสินะครับ"
ชายผมทองหน้าตาทุเรศทุรังหัวเราะคิกคักจนชุดคลุมที่เหมือนดึงผ้าม่านทั้งผืนมาห่มกระตุก แต่ผมอยู่ในอารมณ์ตรงกันข้าม
"อย่าสะเออะเอาเสียงนี้มาล้อเล่นกับฉันอีก"
"ไม่คิดอยู่แล้วครับไอ้เรื่องล้อเล่นเนี่ย"
หมอนี่ยื่นมือที่เหมือนหนังหุ้มกระดูกออกมาจากชุดคลุมสีเขียวขี้ม้าเป็นนัยว่าช่วยให้ลุกขึ้นแต่ไม่จำเป็นหรอก ฉันยืนเองได้
"ผมต้องแนะนำตัวมั้ยครับ? แต่ที่จริงเราเคยเจอกันครั้งหนึ่งแล้วนะ จำได้มั้ยครับ? นานมาแล้ว"
ใช่…ไม่เคยลืมหรอก ผู้บงการลูซิเฟอร์ก่อกบฏ บิดาแห่งความชั่วร้ายทั้งหมดทั้งมวล
หมอนี่คือซาตาน
"อะไร?" ผมถามห้วนๆ เมื่อหมอนั่นส่งสายตาแปลกๆ มา
"อาจจะรู้สึกไปเองก็ได้ แต่ดูคุณไม่ตกใจหรือกลัวผมที่ยังมีชีวิตอยู่เลยนี่ครับ"
ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงผมจึงเลือกที่จะเงียบ ที่สำคัญคือหมอนี่ช่วยผมไว้
"ไปมุดหัวอยู่ไหนมาล่ะ รู้มั้ยพวกนั้นยังเถียงกันอยู่เลยว่านายยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า"
"ถ้าถามว่าผมอยู่ไหนเหรอครับ? ผมก็อยู่ที่นี่ตลอดแหละ"
ก็ที่นี่มันที่ไหนกันเล่า
"มิติที่ 4 ไงครับ"
ถ้าที่หมอนี่พูดเป็นเรื่องจริงก็ไม่แปลกที่ยังคงซ่อนตัวอยู่ได้โดยไม่มีใครหาเจอ แต่ตกใจไม่น้อยเพราะที่นี่กว้างใหญ่แถมยังอุตส่าห์จำลองบรรยากาศธรรมชาติอันงดงามของสวรรค์ไว้ได้อีก อีกอย่างก็คือผมไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นมิติที่สร้างขึ้นแม้แต่นิดเดียว ไอ้มิติที่ 4 ความจริงผมก็เสกได้ตอนที่แอบฝึกวิชาซาตานไปครึ่งหนึ่ง แต่ได้เพียงช่องเล็กๆ แค่พอเอาไว้ซ่อนของ
สมกับที่ถูกเปรียบให้เป็นพระเจ้าแห่งความมืดจริงๆ แต่ถ้าเก่งขนาดนั้น...
"ทำไมนายถึงไม่ช่วยเมย์ ถ้านายเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรกทำไมถึงมาช่วยฉัน ทำไมไม่ช่วยเธอ!!!"
ผมเริ่มบันดาลโทสะใส่ใบหน้าที่ยิ้มอ่อนๆ แสนน่าเกลียด
"ฉันยอมตายแทนเธอได้ ขอเพียงเธอมีชีวิตรอดฉันยอมทุกอย่าง ชีวิตของเธอไม่ควรต้องมาตายแบบนี้"
และตะโกนด้วยอารมณ์ที่พร้อมจะฆ่าใครก็ได้ ว่ากันตามตรงมันก็ไม่ใช่ความผิดของหมอนี่หรอก บางทีผมแค่อาจจะอยากโยนทุกสิ่งอย่างใส่อะไรก็ได้รอบตัวเพื่อไม่ให้รู้สึกว่าตัวเองทำพลาด แต่ก็ไม่คิดเสียใจหรอกที่ทำแบบนั้นไป
"คนที่ผิดไม่ใช่คุณ ไม่ใช่คุณโมนิก้า เพราะงั้นไม่จำเป็นต้องเสียสละขนาดนั้นหรอกครับ"
พูดอะไรอยู่น่ะ ถึงงั้นเมย์ก็ตายไปแล้วไม่ใช่รึไง ไม่จำเป็นต้องเสียสละบ้าบออะไรกัน
"ผมจะบอกคุณว่าเพราะผมช่วยคุณโมนิก้าได้ ผมจึงเลือกที่จะช่วยคุณออกมาก่อนครับ"
ไอ้บ้านี่พูดจากวนประสาทจริง
"โอกาสน่ะ บางทีมันก็ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องมือเหมือนกันนะครับ ตอนนี้ผมต้องปกปิดความจริงที่ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ไว้ก่อน จะให้ช่วยคุณกับคุณโมนิก้าพร้อมทั้งทำให้พ่อคุณคิดว่าทุกคนตายไปแล้วมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยครับ พูดง่ายๆ คือพ่อของคุณไม่โง่ขนาดนั้น อย่างตอนที่ช่วยคุณออกมาผมก็ต้องรอให้พระเจ้าใช้คาถาที่ทำให้ทัศนวิสัยการมองเห็นรอบด้านลดลงก่อน"
"การปกปิดตัวตนมันสำคัญขนาดนั้นเลยสินะ ถ้าอย่างนั้นนายอาจจะพลาดแล้วล่ะที่มาช่วยฉัน"
"ไม่หรอกครับ จากนี้ไปผมก็คงปกปิดตัวตนต่ออีกไม่นานแล้ว แต่ที่ตอนนี้ยังเปิดเผยไม่ได้ก็เพราะถ้าสวรรค์เคลื่อนไหว‘เรา’จะลำบาก"
ผมเงียบโดยที่ในใจยังมีความสงสัยแล่นพล่านไปหมดจนนึกว่ามันเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงร่างกายแทนเลือดไปแล้ว
"คุณคงเห็นผลึกสีชมพูหลังจากที่ร่างของคุณโมนิก้าสลายไปใช่มั้ย? นั่นแหละครับคือกุญแจของเรา"
มันคืออะไรยังไม่รู้เลย ชักสงสัยแล้วเหมือนกันว่าทำไมถึงภูมิใจในคำว่าอัจฉริยะในตัวเองนักหนา
"นั่นคือ'ความทรงจำ'ของเธอครับ"
แล้ว...?
"ถ้าชิงความทรงจำของเธอมาได้ ผมจะชุบชีวิตคุณโมนิก้าให้คุณ"
เรื่องนี้ทำให้อึ้งไปชั่วขณะ ถึงจะเป็นข่าวดีแต่ยังปักใจเชื่อไม่ได้
"สิ่งที่ผมพูดและกำลังจะพูดต่อไปนี้คุณจะเชื่อหรือไม่มันก็แล้วแต่คุณ แต่ผมคิดว่าผมช่วยคุณได้นะ"
ทำไมหมอนี่ถึงต้องช่วยผม อ่านไม่ออกจริงๆ
"ช่วยยังไง?"
"ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละครับ ถ้าคุณอยากได้คุณโมนิก้าคนเดิมกลับมาคุณต้องร่วมมือกับผมเพื่อชิงความทรงจำของเธอ ถ้าสำเร็จผมจะใช้วิชาต้องห้ามชุบ'ร่างเนื้อ'ของเธอขึ้นมา จากนั้นก็ใส่ความทรงจำของเธอที่ชิงมาได้เข้าไปก็บิงโก"
ร้องเป็นเด็กๆไปได้
"ที่จริงผมจะชุบชีวิตเธอที่นี่ตอนนี้เลยก็ได้ คอยดูนะครับ ถือว่าเป็นการแสดงหลักฐานไง"
ผมอยากจะห้ามแต่ปากกลับไม่ยอมพูดออกไป หมอนั่นดีดนิ้วดังเป๊าะ พริบตาก้อนสีฟ้าๆ ผุดขึ้นมาจากผืนหญ้า
ใช้เวลาชั่วครู่มันกลายร่างเป็นหญิงสาวที่รูปร่างหน้าตางดงามที่สุด ผมดำยาวเป็นลอนอ่อน ผิวขาวอมชมพู ทุกๆ อย่างของคนที่ผมรัก ของเมย์ เพียงแต่ดวงตาที่กลมโตนั้นเฉยชาและเยือกเย็นไร้แวว
"อย่างที่เห็น เธอคนนี้ก็แค่ตุ๊กตาที่ทำได้แต่สิ่งที่เราสั่ง ไม่ใช่คนที่คุณรักอย่างแท้จริง..."
เมย์...ลุคขอโทษ...ลุคผิดไปแล้ว...
ขณะที่ผมกำลังจะเอื้อมมือไปคว้าเธอคนนั้นหมอนั่นก็ดีดนิ้วอีกครั้ง ร่างของหญิงสาวย่อยสลายเป็นของเหลวซึมลงสู่ดิน
"ใจเย็นสิครับ คุณรับแบบนี้ได้จริงเหรอ? ถ้ายอมรับได้คุณโมนิก้ารู้เข้าจะต้องเสียใจแน่ ส่วนผมก็จะมองคุณราวกับคนโง่ผู้น่าสงสาร"
.........
จริงอย่างที่มันพูด โง่จริงๆ ที่เพ้อได้ถึงขนาดนี้ ผมเรียกสติกลับคืนมาอีกครั้งระหว่างที่คิดว่าไอ้หมอนี่ช่วยผมได้ ต้องยอมรับเรื่องหนึ่งว่า แต่ละเรื่องที่ชายคนนี้พูดมาทำให้ผมมีความหวังขึ้น และความหวังนั่นก็ราวกับเป็นทีมช่างซ่อมบำรุงที่ทำให้หัวใจผมกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม แต่ยังไงก็ต้องใช้สมองอย่างหนักเพื่อคัดกรองสิ่งที่ได้ยินว่ามันมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนเพราะยังไงหมอนี่ก็ยังไม่น่าไว้ใจ ซึ่งพอคิดทบทวนดีๆ ก็เจอเข้าจนได้ ไอ้สิ่งที่เรียกว่า'ทางตัน'เนี่ย
ทีมซ่อมก็เลยหยุดทำงานไปตามระเบียบ
"ตามที่ฉันเข้าใจ พ่อต้องตรวจสอบความทรงจำของเมย์เพื่อที่จะรู้ให้ได้ว่าความลับที่พวกเขาพยายามจะปกปิดนั้นรั่วไหลเลยเถิดไปถึงไหน หลังจากนั้นคนที่รู้เรื่องทั้งหมดก็จะถูกจัดการ..."
หมอนั่นกอดอกและพยักหน้าอย่างคล้อยตาม
"...แต่หลังจากเสร็จเรียบร้อยทุกอย่างแล้ว ความทรงจำของเมย์ก็จะถูกทำลายไม่ใช่เหรอ?"
รู้สึกว่ามีความกังวลอยู่ในน้ำเสียงของตัวเองมากเกินไป ต้องปรับลงหน่อย
"นั่นมันความทรงจำของคนธรรมดาที่บังเอิญรู้มากกว่าครับ"
แล้วความทรงจำของเมย์มันไม่ธรรมดายังไงวะ?
"เอาแบบง่ายๆ แต่ได้ใจความเลยนะครับ ที่จริงแล้วผมเคยปรากฏตัวให้คุณโมนิก้าเห็นครั้งหนึ่งน่ะครับ"
ผมค่อยๆ เรียบเรียงสิ่งที่ได้ยินให้เป็นความเข้าใจ แต่ถึงงั้นกระบวนการนี้ของผมก็ใช้เวลาไม่นาน
"เพราะฉะนั้นในความทรงจำของคุณโมนิก้า เมื่อตรวจสอบไปพวกนางฟ้าก็จะพบว่าผู้ที่ทำให้สวรรค์สั่นคลอนเมื่อ ครั้งกระโน้นยังไม่ได้หายไปไหน เมื่อเป็นเช่นนั้นความทรงจำของเธอจะถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในฐานะหลักฐานชิ้นสำคัญครับ ผมมั่นใจ"
อย่างที่คิด
"แต่ในเมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วผมก็คงต้องบอกอีกเรื่องกับคุณด้วยเลยแล้วกัน"
หมอนั่นตีสีหน้าซีเรียสเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่คุยกันมา ซึ่งทำให้ผมตกใจเล็กน้อยเหมือนตอนที่กิลเบิร์ตพี่ชายของเมย์ทำนั่นแหละ
"ความจริงแล้วที่แม่ของคุณต้องตาย เหตุผลก็คล้ายๆ กันกับกรณีของคุณโมนิก้าครับ"
เรื่องบ้าอะไรอีกเนี่ย? ระหว่างที่ผมเริ่มสับสนหมอนั่นก็พูดต่อโดยเหลือบมองผมด้วยหางตาแวบหนึ่ง
"ก่อนสงครามที่ลูซิเฟอร์ก่อขึ้นจะจบลงไม่นาน ในตอนนั้นรู้ผลกันแล้วว่านางฟ้าเป็นฝ่ายชนะ แต่พ่อของคุณยังไม่สามารถฆ่าผมได้ พ่อของคุณถึงกับหน้ามืดตามัว ทำทุกอย่างเพื่อจะฆ่าผม เขาจึงตัดสินใจดับวิญญาณแม่ของคุณเพื่อดึงเอาความทรงจำทั้งหมดของเธอออกมา สาเหตุเพราะในอดีตผมเคยเป็นเพื่อนสนิทกับแม่ของคุณ เมื่อเขาคิดว่าเขาฆ่าผมได้สำเร็จ หลังจากนั้นสวรรค์ก็คืนสู่ความสงบสุขภายในเวลาไม่นาน ใช่…อย่างที่คุณรู้นั่นแหละ"
หมอนั่นพูดเสริมเมื่อสังเกตสีหน้าของผม
"ความผิดความสูญเสียทั้งหมดถูกโยนให้กับเหล่าลูซิเฟอร์และผม ไม่ว่าจะด้านการทหาร หรือเรื่องใหญ่กว่านั้นคือองค์ราชินีสิ้นพระชนม์ ทั้งหมดทั้งปวงถูกโยนมาอย่างชาญฉลาดในการใช้สถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ของพ่อคุณ จนถึงตอนนี้จะมีเพียงกี่คนกันล่ะที่รู้ความจริง"
หมอนี่มันจะพูดความจริงแค่ไหนกันเชียว…คิดจะปั่นหัวกันเรอะ? ยังไงมันก็เป็นตัวร้ายวันยังค่ำนั่นแหละ ผมไม่เชื่อมันหรอก…ว่าเข้าไปนั่น…
ผมก็คงจะคิดอย่างนี้ถ้าหากไม่ได้เจอกับเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเอง
เหตุการณ์ที่พ่อฆ่าเมย์ และฆ่าผมด้วย
ผมพยายามจะคิดเข้าข้างพ่อบ้างในเวลาแบบนี้ แต่คิดยังไงมันก็เหมือนเดินอยู่ในวงกตที่ไม่มีทางออก ไม่คิดว่าที่สวรรค์จะเคยมีเรื่องฉาวโฉ่ขนาดนี้เกิดขึ้น
สิ่งที่หมอนี่พูดมีความจริงอยู่ไม่มากก็น้อย…ผมคิดงั้น
"ไม่นานคุณจะรู้เองว่าควรเชื่อผมหรือไม่ ตอนนี้ถ้าผมเป็นคุณผมก็ยังเชื่อไม่ลงเหมือนกัน คุณคงถูกเลี้ยงให้อยู่แต่ในฉากที่จัดไว้น่ะสิครับ"
ไม่อยากจะเชื่อ...แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงได้ ผมเริ่มสับสนปั่นป่วนรุนแรงอีกแล้ว…คลื่นไส้…ผู้หญิงที่ผมรักทั้งสองคนถูกฆ่าโดยคนๆ เดียวกัน เมื่อเรื่องราวทุกอย่างแปรเป็นความเข้าใจเข่าผมถึงกับทรุดลงพื้น หมอนั่นฉุดมือผมขึ้นแต่ผมสะบัดออก
"นี่นายน่ะ ยอมช่วยฉันทุกอย่างแถมตัวตนที่ปกปิดมานานก็ยอมเผยเพื่อฉันอีก ใจดีเหลือเกินนะ"
ผมประชดพร้อมยันตัวลุก
"พูดไปก็จะดูเหมือนผมเป็นคนเลวมากขึ้นอีก แต่ก็อย่างที่ผมบอกไปแล้ว และนี่ยังเป็นสถานการณ์ในอุดมคติของผมเลย ถ้าคุณตกลงพวกเราก็เหมือนได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผมน่ะไม่ได้ใจดีขนาดนั้นหรอกครับ คุณเองก็ต้องช่วยผมด้วย ยังไงก็ตัวร้ายนี่นะ แต่ก่อนอื่น..."
หมอนั่นหักกิ่งไม้ที่อยู่บนต้นไม้สีพิลึกกึกกือมาท่อนหนึ่งก่อนดีดนิ้วใส่และยื่นให้ผม ทันทีที่ผมรับมาด้วยความรู้สึกระวังปนระแวงมันก็ได้กลายสภาพเป็นดาบเงินเล่มยาวที่ตรงกั่นดาบฝังอัญมณีสีแดงรวมถึงปลายของด้ามดาบ ดูๆ ไปมันคล้ายกับไม้กางเขนมากกว่าดาบเสียอีก
"สิ่งนี้กับร่มคันนั้น ผมขอมอบให้คุณเพื่อเป็นศาสตราวุธในการดำเนินแผนการที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้"
หมอนั่นก้มหัวให้ผมราวกับเป็นผู้สูงศักดิ์
"ผมรู้ว่าคุณยังมีคำถามอีกมากมายกับทุกๆ เรื่อง แต่เก็บมันไว้ก่อนเถอะครับ เรื่องต่อไปนี้สำคัญกว่า"
ผมไม่แน่ใจว่าหมอนี่อ่านใจได้รึเปล่าแต่มันก็เดาถูกเป๊ะ ที่พูดก็ถูกเช่นกัน ผมต้องสนใจเรื่องต่อจากนี้
บางทีอาจจะพูดได้ว่าวางใจได้แล้ว ไม่สิ อยู่ในสถานะต้องแสร้งวางใจไปก่อนและคิดว่าหมอนั่นก็คงคิดเหมือนกัน เพราะยังไงเราทั้งคู่ก็ต่างหันหน้าไปพึ่งใครไม่ได้ ถึงสุดท้ายต่างคนจะต้องหักหลังกันแต่นั่นมันเรื่องของอนาคตอันไกล ในตอนนี้เราต้องร่วมมือกันเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
"การจะชิงความทรงจำนั้นปฏิเสธไม่ได้เลยว่าจะต้องบุกไปถึงที่เก็บหรือก็คือบนสวรรค์ เมื่อบุกไปสวรรค์นั่นหมายความว่าคำว่าสงครามจะต้องถูกเขียนขึ้นอีกครั้ง"
หมอนั่นหันหลังกลับเอามือไพล่หลังแล้วเริ่มออกเดิน ท่าทางราวกับคนแก่นั่นทำให้ขัดหูขัดตาผมเล็กๆ
"ไม่ว่าจะเพื่ออะไรแต่สงครามก็คือการฆ่าฟันของคนหมู่มาก เราผู้ประกาศคำๆ นั้นกลับมีกันแค่สองคน ถึงจะเป็นสองคนที่ฝีมือฉกาจฉกรรจ์แค่ไหนก็ต้องแพ้จำนวนอยู่ดี"
ผมเริ่มคิดตามกับสิ่งที่ได้ยิน
"กองทัพสวรรค์ เทพชั้นสูงอีกหลายสิบ มิคาเอล นาตาลี รวมถึงพ่อของคุณ ทั้งหมดคือสิ่งที่เราจะต้องเจอเมื่อสงครามเริ่มต้น"
ก็จริง
"แต่ผมว่าคราวนี้จะไม่เหมือนคราวที่แล้ว"
ทำไม?
"ได้ข่าวว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างนรกกับสวรรค์นั้นดีขึ้นแล้วด้วยฝีมือใครคงไม่ต้องบอกนะครับ"
หมอนั่นหันกลับมามองผมด้วยสายตาที่ราวกับจะทำให้รู้สึกผิดให้ได้ แต่ผมตอบโต้โดยการแค่จ้องกลับไปเท่านั้น
"สงครามคราวนี้พวกนรกต้องมาแจมด้วยแน่ ไอ้ผมน่ะแค่นาตาลีกับมิคาเอลก็ตึงมือแล้วครับ ถ้าให้เจอพวกนั้นอีกแจ๋วแค่ไหนก็จอด ไหนจะไอ้ยมบาลบ้าดีเดือดนั่น ไหนจะโบลต์ แล้วยังมีคริสที่เป็นแม่ทัพของทัพยมทูตอีก ไอ้พวกนี้มันก็ไม่เหมือนกับนางฟ้าด้วย ป่าเถื่อนจะตาย"
ที่น่าสนใจจริงๆ สำหรับผมคือคริส นี่ข่าวใหม่เลย ตอนไปที่นั่นไม่เห็นเจอ ไม่ยักรู้ด้วยว่านรกก็มีทัพยมทูตเหมือนกัน
"ขืนสุ่มสี่สุ่มห้าก่อสงครามมีหวังได้เป็นแบบพวกลูซิเฟอร์แน่"
ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องมีกองทัพที่จะไว้ทานกำลังของพวกนั้น จะบอกอย่างนี้ใช่มั้ย? แต่ปัญหามันอยู่ที่ใครจะมาสนับสนุนพวกที่ได้ชื่อว่าเป็นกบฏอย่างเรา มนุษย์งั้นเหรอ?
"ไม่มีหรอกครับ"
ตอบหน้าตาเฉยเหมือนไม่ใช่ปัญหาของตัวเองเลยนะ
"ใครว่าล่ะครับ นี่แหละปัญหาของเรา แต่ก็ไม่ได้เกินความสามารถหรอก ต่อจากนี้เห็นทีพวกเราจะต้องเหนื่อยกันหน่อยล่ะครับ"
หมายความว่าไง? นี่…ฉันชักจะเบื่อไอ้พวกเหล่าประโยคคำถามแบบนี้เต็มทีแล้วนะ เหมือนคนโง่เลยที่ต้องพูดออกมาบ่อยๆ
"เราจะคืนชีพลูซิเฟอร์ครับ"
ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องน่าตกใจ แต่การรีแอ็คชั่นบ่อยๆ ผมก็เบื่อพอๆ กัน
"เป็นกองทัพที่เข้มแข็งและไว้ใจได้มากที่สุด พวกเขาเชื่อฟังผมคุณก็รู้"
ถ้าเข้มแข็งจริงป่านนี้นายยังต้องมานั่งหลบซ่อนๆ แบบนี้เรอะ
"บอกแล้วไงว่าครั้งนี้จะไม่เหมือนครั้งโน้น ฝ่ายเราก็ด้วยนะครับที่ผมหมายถึง"
หมอนั่นมองผมด้วยหางตา
"เดิมทีลูซิเฟอร์เป็นนางฟ้าก็เปรียบได้ดั่งแสงสว่าง แต่เมื่อคิดกบฏ ความคิดชั่วร้ายนั่นก็เปรียบได้ดั่งความมืด พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ตัวตนของพวกเขาคือทั้งแสงสว่างและความมืด"
เริ่มจะเข้าใจแล้ว
"แสงสว่างของคุณกับความมืดของผมบวกกับคาถาต้องห้ามที่ผมและคุณมี จะกำเนิดใหม่กองทัพอดีตอัครเทวทูตขึ้นมาได้ เพราะผมมีแต่ความมืดทำให้ก่อนหน้านี้ไม่สามารถคืนชีพพวกเขาขึ้นมาโดยลำพังได้ ที่ผมบอกว่าสถานการณ์ในอุดมคติก็หมายถึงเรื่องนี้แหละครับ เรื่องที่คุณหันหลังให้พ่อของคุณ ที่ว่ามันเป็นอุดมคติก็เพราะไม่คิดว่ามันจะมีไงล่ะครับ"
หมอนั่นหยุดเดิน รู้สึกว่าหมอนี่จะเป็นพวกชอบอธิบาย ซึ่งมันตรงกันข้ามกับผมซะยิ่งกว่านรกกับสวรรค์ อธิบายอะไรในช่วงที่ต้องทำความเข้าใจก็ดี แต่ระยะยาวผมคาดว่าตัวเองจะต้องรำคาญแน่
"จากนี้ไปก็...ขอแรงด้วยนะครับ"
ด้วยชีวิตอันเป็นนิรันดร์และหลังจากผ่านหลายเรื่องมาทำให้รู้ตัวว่าเซนส์ของผมนั้นมีความเฉียบแหลมมากแค่ไหน โดยขณะนี้มันกำลังบอกผมว่าเรื่องนี้จะทำให้เดือดร้อนถ้าให้ความร่วมมือกับเจ้าหมอนี่ จะไม่มีความสงบสุขเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ความทุกข์ทนแสนสาหัสจะแผ่กระจายเมื่ออำนาจแห่งความชั่วหวนคืนกลับมา และไม่ว่ายังไงผมกับหมอนี่ก็ไม่มีวันเป็นพวกเดียวกันได้ ความรู้สึกของผมบอกเช่นนั้น
แต่ผมไม่สนใจ
ขอแค่ให้ได้เมย์คืนมาตัวผมจะเป็นยังไงหรือที่ไหนจะล่มสลายผมไม่สน ถ้าการร่วมมือกับปิศาจแล้วมันทำให้ตัวเองได้สิ่งที่เสียไปกลับคืนมาล่ะก็ ผมจะทำมันไม่ว่าจะเป็นวิธีใดก็ตาม
ถ้ามารร้ายกล้าอ้างถึงเรื่องคุณธรรมผมก็ไม่อายที่จะพูดบ้าง นี่คือคุณธรรมของผม…
"เริ่มกันเลย"
ใช้เวลาหนึ่งปีเราก็ทำสำเร็จ ในที่สุดก็คืนชีพลูซิเฟอร์ขึ้นมาได้
มีบางอย่างที่ผิดพลาด แต่เรื่องเล็กน้อยในความผิดพลาดนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อแผนการที่วางเอาไว้
จนถึงตอนนี้หัวใจของผมยังมีแผลจากคืนวันคริสมาสนั้นอยู่ มันยังไม่หายสนิทและถึงหายสนิทก็ยังจะคงอยู่ในฐานะของแผลเป็นแน่นอน มันยังปวดแปลบเมื่อนึกถึงใบหน้าแสนงดงาม ดวงตาสีเทาที่โตสดใส ผมยังจำประกายของมันตอนที่ภาพของตัวเองสะท้อนอยู่ในนั้นได้อย่างชัดเจน เสียงใสที่เรียกชื่อผม บอกรักผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยังจำได้ แต่ถึงจะรู้สึกปวดใจเมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านั้น มันก็เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมมีความสุขจนยิ้มออกมาได้
อย่างนี้แล้วจะไม่ให้ผมคิดถึงมันได้อย่างไรล่ะจริงมั้ย?
ที่ทำให้ผมยิ้มไม่ออกและยังทำให้หัวใจผมเจ็บปวดขึ้นมาอีกหลังจากที่เมย์ตายมีเพียงเรื่องเดียวคือหมู่บ้านแสงอรุณที่เคยมีอยู่นั้นบัดนี้ได้กลายเป็นเพียงป่าที่มีแต่ต้นไม้ และคนบนโลกก็จะไม่มีใครจำหรือนึกถึงมันได้อีกต่อไป ช่างโหดร้ายจริงๆ พวกนางฟ้า ผมไม่มีวันยกโทษให้เด็ดขาด
อีกไม่นานพวกมันจะได้รับรู้ถึงคุณธรรมของผมบ้าง เมื่อรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดแบบเดียวกันก็คงจะเข้าใจกันได้บ้างสักที
"รู้สึกว่าพวกเขาจะจำอะไรไม่ได้เลยนะครับ แย่จริงๆ"
"พวกเราแค่ต้องรออีกหน่อยเท่านั้นเอง"
ดูท่าคำพูดของผมจะไปสะกิดต่อมสงสัยอะไรอีกแหง เพราะหมอนั่นมองมาแปลกๆ
"ดูคุณไม่รีบร้อนเลยนี่ครับ?"
"ไม่ว่าจะเป็นพวกนั้น ฉัน หรือว่านาย ก็ต่างต้องการหลักประกันว่าตัวเองจะไม่ตายให้หนักกว่านี้"
ผมตอบพลางปรายตามองถุงมือกับผ้าพันคอสีน้ำเงินสดใสที่วางอยู่ข้างตัวโดยเตรียมที่จะใส่มันถึงแม้อากาศจะร้อนมากก็ตามที
"ไม่ต้องห่วงหรอก ความรู้สึกฉันมันบอกว่าแค่อีกไม่นาน"
เริ่มจากสวมถุงมือ และพันผ้าที่คอตามลำดับ
ยังหอมอยู่เลย…มันยังหอมเหมือนตอนแรกที่ได้มา ตอนที่เมย์พันมันที่คอผมเพราะกลัวว่าผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งจะหนาว กลิ่นของความรักที่ทักทอผ่านมือคู่งามทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีเธออยู่ใกล้ๆ
ผมสาบานกับตัวเองไว้ว่า จะสวมมันตลอดเวลา
Chapter End
12 ปีต่อมา
15 เมษายน 2010
"คิดอะไรอยู่หรือครับ?"
เสียงเล็กที่ฟังดูคล้ายกับพูดกวนประสาททำให้ผมซึ่งนั่งหลับตาอยู่ลืมขึ้นจนรู้สึกแสบตานิดหน่อยเมื่อลมปะทะ
"เรื่องเก่าๆ น่ะ"
ใบหน้าที่รู้สึกจะดูดีกว่าตอนแรกที่เจอกันอมยิ้ม
"มีอะไร?"
"ผมจะมาบอกว่า'เขา'เริ่มเคลื่อนไหวแล้วครับ ประกาศสงครามแทนเราไปเรียบร้อยแล้ว นึกไม่ถึงว่าเขาาจะกำจัดโบล์ตได้ง่ายดายจริงๆ"
ไอ้พวกตัวร้ายเอ๊ย! ไม่คิดจะฟังใครเขาบ้างรึไงนะ
"ฮ้า…'หมอนั่น' ยังใจร้อนไม่เปลี่ยนเลยน้า แต่รู้สึกว่าเขาจะโดนพวกยมทูตซ้อนแผนน่ะครับ คงไม่มีทางเลือก"
ทำเป็นตีหน้าเศร้า
"ถึงจะเร็วไปหน่อยแต่พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องรออะไรอีกแล้ว"
ผมดึงถุงมือไหมพรมให้กระชับและกระโดดลงจากต้นไม้ก่อนหยิบร่มสีขาวที่วางพิงอยู่ตรงโคนพาดที่ไหล่แล้วเดินออกมา
"ไปกันเถอะ"
"ก่อนไปผมจะขอเตือนอะไรไว้อย่าง"
ผมหยุดฟังแต่ไม่หันหน้ากลับไป
"อย่าไปยุ่งกับผีเสื้อนะครับ"
ผมพ่นลมออกจมูก นึกว่าเรื่องอะไร
"แล้วไง"
คำตอบมีแค่นี้ หัวใจผมเต้นรัวสลับกับหยุดนิ่งในเวลาที่รวดเร็ว…ได้เริ่มสักที…คอยลุคเดี๋ยวเดียวนะเมย์ ลุคกำลังจะไปรับแล้ว
ความคิดเห็น