ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Memories Of A Morning Light Angel

    ลำดับตอนที่ #7 : Memory Piece 7

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ย. 64


    Memory Piece 7

    ร่างน้อยแสนหอมหวานสั่นเทา ผมกอดเธอไว้โดยหวังว่าอยากจะให้ความหวาดกลัวของเธอลดลงบ้าง เสียงหวานสะอื้นอย่างต่อเนื่อง ผมก็พยายามจะกลั้นน้ำตาให้อยู่แต่สิ่งที่เห็นมันเลวร้ายยิ่งกว่าอะไรที่เคยเจอในชีวิตอันแสนยาวนาน ทำให้น้ำใส อุ่น อาบหน้าเช่นเดียวกัน

    "ไม่เป็นไรแล้วครับเมย์ มันแค่ฝันร้ายเอง"

    กลิ่นหอมละมุนจากเส้นผมดำขลับช่วยเยียวยาหัวใจผมอย่างรวดเร็ว ผมยังกอดสาวน้อยคนนี้เอาไว้ซึ่งเธอก็ขยำอกเสื้อผมแน่น จากนั้นไม่นานเธอก็ปล่อยมือก่อนจะพูดเสียงค่อย

    "เมย์คิดว่าลุคกลับไปแล้วซะอีก"

    หญิงสาวพูดเสียงอ้อนคล้ายคิเรนะ ความน่ารักที่ไม่ว่าหากใครได้สัมผัสก็จะถึงกับเคลิ้มนี้บวกกับความคิดถึงทำ ให้ผมอยากจะกอดเมย์เอาไว้แบบนี้ต่อไปอีกนานๆ

    "ลุคขอโทษที่ไปโดยไม่บอกเมย์"

    ตอนนี้ร่างเธอไม่สั่นแล้ว

    "เมย์ไม่เป็นไรแล้วใช่มั้ย"

    สาวน้อยพยักหน้า ผมจึงพยุงตัวเธอขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้โยก ใบหน้าแสนสวยที่คิดถึงอยู่ตลอดเวลาตอนนี้บวมเป่งและชุ่มไปด้วยน้ำตา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังงดงาม เมย์สวยมากเหลือเกิน เพียงแต่ที่ทำให้หัวใจของผมเจ็บปวดก็คือดวงตาคู่โตสีเทานั้นไม่สามารถมองเห็นได้เลย ผมใช้นิ้วมือปัดเส้นผมที่รกอยู่บนใบหน้าของเมย์ซึ่งเธอก็ไม่ได้รังเกียจอะไร

    "พักผ่อนนะเมย์ ร้องไห้เยอะมากจนหน้าบวมหมดแล้ว"

    ดีใจถึงขั้นภูมิใจในตัวเองเลยทีเดียวที่ทำให้เมย์ยิ้มได้

    "ขอบคุณค่ะลุค"

    เกิดเครื่องหมายคำถามขึ้นในหัวทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ เมย์พูดกับผมแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเธอขอบคุณเรื่องอะไร

    "เพราะลุค...ทำให้เมย์รู้ว่าเมื่อกี้มันเป็นแค่ฝันร้าย เพราะลุคอยู่ตรงนี้ และนี่คือความจริง"

    หัวใจผมเต้นระทึกอยู่ในอก หมายความว่าเมย์ดีใจที่ผมอยู่ตรงนี้งั้นเหรอ?

    สาวสวยพยักหน้าอาย

    "เมย์คิดถึงลุคนะ"

    เสียงหวานพูดค่อย...แต่ชัดเจนที่สุด ชัดเจนอยู่ในหัวใจของนางฟ้าคนหนึ่งที่จวนจะระเบิดออกมาด้วยความยินดี แต่ต้องเก็บอาการไว้ก่อน เพราะเมย์เพิ่งผ่านประสบการณ์ซ้ำรอยอดีตมาสดๆ ร้อนๆ

    ความทรงจำอันแสนเจ็บปวดที่ผมเป็นผู้ดึงออกมาจากส่วนลึกของจิตใจให้เธอเห็นเอง

    ใช่ สำหรับเมย์ผมบอกกับเธอไปว่ามันเป็นแค่ฝันร้ายเพราะยังไงมันก็ผ่านไปแล้ว การจะบอกไปว่าสิ่งที่เห็นน่ะเป็นความจริงนอกจะไม่ช่วยทำให้อะไรดีแล้วยังจะทำให้เธอสับสนกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างการที่มีนางฟ้าหรือยมทูตเปล่าๆ แต่สำหรับผม สิ่งที่เมย์ฝันคือความจริงที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมด ครอบครัวแสนอบอุ่นต้องแหลกสลายทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาเพราะนางฟ้าเลวสองคน เมย์ต้องเสียดวงตาไปกับเหตุการณ์นั่น

    อะไรคือคุณธรรม อะไรคือความถูกต้องกันแน่ ความศรัทธาอันน้อยนิดที่ผมมีต่อสิ่งที่เรียกว่าคุณธรรมบริสุทธิ์ของสวรรค์มันหมดไปทันทีเมื่อเหยื่อของคุณธรรมหน้าฉากหรือ โมนิก้า เมย์รี่ ตื่นขึ้น

    ผมรู้ว่านางฟ้าพวกนั้นต้องถูกตัดสินดับวิญญาณไปแล้วเนื่องจากพวกเขาดูถูกพระเจ้าเกินไป ไม่มีอะไรในโลกมนุษย์หรือสวรรค์จะรอดพ้นสายตาของพ่อไปได้ ความเป็นไปทุกอย่างเขารับรู้ทั้งหมด จะมีก็เพียงแค่ในนรกเท่านั้นที่เขาไม่สามารถสอดสายตาเข้าไปได้

    อันที่จริงผมไม่ได้อยากเห็นเมย์เจ็บปวดกับความทรงจำเก่าๆ นั้น แต่ผมจำเป็นจะต้องรู้เพื่อทำให้การตัดสินใจอะไรบางอย่างเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ผมพร้อมแล้ว เพียงแต่ต้องรอเวลา ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรที่จะจัดการตอนนี้ แต่การตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตก็ต้องดูตาม้าตาเรือบ้าง

    (โอ๊ะ! นั่นลุคนี่)

    เสียงเล็กที่ฟังแล้วรู้สึกได้ว่าความวุ่นกำลังจะตามมาในไม่ช้าอุทานขึ้น ร่างที่เต็มไปด้วยขนแลนุ่มนิ่มนั่งอยู่บนร่างสี่ขาปกคลุมด้วยขนขาว พวกมันเดินออกมาจากห้องที่จำได้ว่าเป็นห้องนอนของเมย์ ร่างเล็กกระโดดตัวปลิวมาสู่อ้อมแขนของผมทั้งที่พาหนะของมันโผล่ออกมาได้ไม่กี่ก้าว

    (คิดอยู่แล้วว่าลุคต้องกลับมาหาพวกเรา!!!)

    ผมหัวเราะในลำคอพลางลูบขนนุ่มนิ่มของแมวสาวอย่างคิดถึงก่อนจะพยักหน้าให้หมาสีขาวตัวโตที่ยืนอยู่ด้านหน้า มันทำสีหน้าราวกับเห็นในสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้

    (นาย...โอเคนะ?)

    เจ้าหมาลูอิสถาม ว่าแต่อะไรล่ะที่โอเค แต่ผมก็พยักหน้าตอบไปอีกครั้ง

    (คิเรนะคิดถึงลุคจังเจ้าค่ะ)

    มันพูดพลางใช้แก้มถูไถที่หน้าอกผม ความขี้อ้อนของแมวนี่เกินความอดทนจริงๆ แฮะ ผมเลยกอดคิเรนะแน่นขึ้นอีกพร้อมเอาจมูกไปจิ้มแก้มของมันจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ติดขึ้นมา

    (ลุคก็คิดถึงคิเรนะเหมือนกัน)

    ผมต้องใช้จิตสื่อสารกับพวกมันเพราะตอนนี้เราอยู่ในห้องที่เมย์หลับอยู่ เกรงว่าถ้าหากผมทำเสียงดังหรือพูดอยู่คนเดียวเกิดเมย์ตื่นขึ้นมาผมจะถูกมองว่าพิลึกคนเอาง่ายๆ น่ะสิ

    (คะ...คนบ้า! มาฉวยโอกาสหอมแก้มสาวแบบนี้ได้ไงอ่า คิเรนะเสียหายนะ ลุคต้องรับผิดชอบด้วยนะเจ้าคะ)

    ทั้งที่พยายามทำเสียงโกรธแต่กลับบิดซ้ายบิดขวาอยู่ในแขน น่ามันเขี้ยวกับท่าทางนั่นจริงๆ น่ารักมากสุดๆ เลยล่ะ

    (นี่หล่อนจะดีใจระริกระรี้เกินหน้าเกินตาไปละ ฉันยังต้องมีเรื่องคุยกับหมอนั่นอยู่นา)

    คิเรนะหันไปหาเจ้าของเสียงห้าวนั่นพร้อมทำหน้าล้อเลียน

    (ตัวเองหึงเค้าก็พูดตรงๆ ดี้)

    (ใครจะไปหึงแมวอย่างหล่อนกันเล่า)

    เจ้าหมาลูอิสแกล้งทำเป็นพูดอย่างไม่ใส่ใจซึ่งไม่ได้เนียนเอาซะเลย นอกจากชื่อจะเหมือนกันแล้วเรื่องพูดปดไม่ขึ้นก็เหมือนกันอีกเหรอนาย จะว่าไปเรื่องชอบขนมปังไส้ถั่วแดงก็ด้วยนี่นะ

    (มาด้วยกันหน่อยสิ)

    ลูอิสพูด คิเรนะพ่นลมหายใจออกทางจมูกเฮือกใหญ่ก่อนกระโดดออกจากตัวผม แต่ผมต้องปฏิเสธไปด้วยเหตุผลที่ว่าอยากให้เมย์ตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าผมยังอยู่ข้างๆ

    (ฉันใช้จิตพูดกับนายได้น่า)

    ก็พอจะรู้เลาๆ ล่ะนะว่าลูอิสต้องการพูดเรื่องอะไร

    (ออร่าอันตรายนั่นของนายหายแล้วเหรอ?)

    อย่างที่คิด

    (อื้อ ใช่สิ ถ้ายังฉันจะกล้าโผล่หัวมาเรอะ)

    (เค้าว่าตัวเองไม่ต้องไปถามลุคของเค้าหรอก เค้าว่าลุคต้องรู้อยู่แล้วว่ากำลังทำอะไรอยู่)

    ถูกของคิเรนะ ผมรู้สิ่งที่ตัวเองทำอยู่และสิ่งที่กำลังจะทำ ถึงจะมีนิสัยไม่ค่อยชอบพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วแต่ถ้าอยากรู้จะเล่าให้ฟัง ถึงตอนที่ผมได้รู้วิธีขจัดออร่า

    เรื่องที่น่าดีใจนี้มันเริ่มขึ้นวันนั้น

    .

    ...

    .....

    ขณะที่ผมกำลังปลื้มปิติกับของขวัญชิ้นหนึ่งที่ตอนนี้เก็บรักษาไว้อย่างดีในมิติที่ไม่ใช่ทั้งของสวรรค์ โลกมนุษย์หรือนรก อายมบาลก็บ่นอย่างหมดความอดทนในความไร้ความสามารถของตนเอง

    "ไม่ไหวแล้ว!!!"

    ผู้นำแห่งยมทูตทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ส่วนผมก็ยังคงได้แต่นั่งดูต่อไปเพราะได้พูดในสิ่งที่อาจารย์คนหนึ่งควรจะสอนลูกศิษย์ไปหมดแล้ว และบุคคลที่สามก็คือวิญญาณสังเคราะห์หรือยูก็ทำตัวสมกับที่เป็นสิ่งไม่มีชีวิตจริงๆ มันยืนนิ่งและจะขยับต่อเมื่ออาเริ่มฝึกวิชา ผมมองมันแล้วก็คิดชื่นชมตัวเองที่นานทีปีหนถึงจะเกิดความคิดแบบนี้ขึ้นมากับเขาบ้าง ความสุขเล็กๆ ของการที่มองว่าตัวเองเข้าท่าดีนี่มันก็ดีเหมือนกันนะ รู้สึกดีจริงๆ

    ความอัจฉริยะที่ผมหรือใครก็ว่ามันติดอยู่ที่ตัวผมนี่ก็ดี แต่มันทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูง่ายดายจนน่าเบื่อมากกว่าที่จะทำใจให้สนุกสนานกับสิ่งที่ได้รับมาจากมันได้ หลายครั้งเคยลองถามตัวเองว่าเราเป็นคน(หรือนางฟ้า)ที่มีความสุขรึเปล่า ทั้งที่เพียบพร้อมไปเสียทุกสิ่งแต่ทำไมถึงไม่ค่อยจะเห็นสายรุ้งแห่งความสุขเอาซะเลย

    บางคนอาจมองนิยามที่ว่า 'คนที่พร้อมในทุกสิ่งก็หามีความสุขไม่' เป็นบทพูดแสดงถึงความไม่รู้จักพอของคนที่ไม่รู้จักหาความสุขกับสิ่งที่มี แต่เชื่อผมเถอะ มันไม่ใช่อะไรที่กระทำด้วยความคิดง่ายๆ พรรค์นั้น ต้องเจอกับตัวถึงจะรู้

    แต่ว่าตอนนี้บางอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว

    การที่ได้นึกถึงใครสักคน การที่หัวใจเต้นตึกตักเมื่อเห็นหน้าใครสักคน การได้เป็นห่วงเป็นใยใครสักคน การได้ดูแลใครสักคน สิ่งเหล่านี้ได้หลอมรวมกันเป็นความสุขอยู่ในหัวใจของผม ถ้าจะเรียกความสุขนั่นให้เป็นคำที่กระชับแต่ได้ใจความล่ะก็ ผมขอเรียกมันว่า...

    รัก

    อ้าว เผลอยาวไปถึงไหนเนี่ย แต่ที่พูดมาก็ความจริงทั้งนั้น ผมพูดค้างอยู่ตรงยูสินะ วิญญาณสังเคราะห์ผู้น่าสงสาร อาซึ่งระเบิดมันจนเหนื่อยก็พูดอย่างนี้

    "ไปจีบสาวดีกว่า"

    รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งมาให้ผมเพื่ออะไรก็ไม่อาจทราบได้

    "ระดับอาต้องนางฟ้าหรือมนุษย์เท่านั้น"

    คำพูดแฝงความภูมิใจไร้สาระ

    "แน่ใจเหรอครับอา ไอ้นางฟ้าคงไม่เป็นไร แต่มนุษย์น่ะ เดี๋ยวก็โดนออร่าของพวกเราอัดตายหรอก"

    อาอมยิ้มและกลั้นหัวเราะ จนสุดท้ายก็กลั้นไม่อยู่ เขาหัวเราะออกมาเสียงดังซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไม

    "อ่า...ฮ่ะ...ก็เพราะว่าในที่สุดเธอก็มีเรื่องที่ไม่รู้บ้างสักทีน่ะสิ"

    ไอ้เสียงอุทานคำแรกน่ายี๋จัง ส่วนเรื่องที่ไม่รู้นั้นก็มีมากมาย แต่รู้สึกว่าข้อมูลที่จะได้รับต่อไปนี้มันจะสำคัญและมีความหมายมาก ผมจึงถามว่ามันคืออะไร

    "เหล่ายมทูตต้องทำงานเกี่ยวกับการล่า...นำพาวิญญาณของมนุษย์ที่ตายแล้วไปยังศาลมหาเทพใช่มั้ย บางครั้งจำเป็นต้องแฝงตัวปะปนกับพวกมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพื่อสังเกตพวกที่กำลังจะตาย..."

    เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมต้องไปสังเกตการณ์พวกมนุษย์ที่ใกล้ตายด้วยล่ะ ในเมื่อนรกก็มีกระดานดวงชะตาที่บอกชื่อบอกที่อยู่กับอายุขัยที่เหลือของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้วนี่ แล้วทำไมต้องแฝงตัว ในเมื่อยมทูตก็ไม่มีใครมองเห็นอยู่แล้ว พวกมนุษย์น่ะนะ ความคิดนี้ของผมส่งเสียงออกไปเป็นคำพูด อาได้ฟังก็อธิบาย

    "แหม ก็ในนรกไม่มีสาวๆ สวยๆ เหมือนที่สวรรค์นี่ เด็กของอามันก็ want เหมือนกันอ่ะ เลยต้องแฝงตัวไปส่องสาวชาวมนุษย์หน่อย"

    นี่คือสิ่งที่เรียกว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ใช่มั้ย ที่ต้องปลอมตัวมันไม่ได้เกี่ยวกับงานเลยสักนิดเลยนี่หว่า เป็นยมทูตแต่กลับมีความต้องการแบบนั้นรึเนี่ย แต่จะไปโทษพวกเขาก็ไม่ถูกนักหรอก ก็ตัวผู้นำไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดีมันถึงพากันเป็นไปกันหมด คิดดูพวกที่สมควรถูกโยนลงบึงไฟนอกจากมนุษย์เลวแล้ว ยมทูตพวกนี้ก็สมควรไม่ใช่น้อย แน่นอนผมไม่พูดออกไปเพราะรู้กาลเทศะดี แต่ก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าอาจะบอกอะไร

    “อย่างพวกเราที่ไม่ได้มีกายเนื้อแบบมนุษย์เนี่ย เค้าเรียกร่างกายตัวเองว่าไงนะ?”

    จะว่าไปก็ไม่เคยสังเกตเลยแฮะ ว่าเรียกว่าอะไร

    "วิญญาณละกัน ง่ายดี การเปลี่ยนร่างวิญญาณของพวกเราให้กลายเป็นร่างที่มีเลือดเนื้ออย่างมนุษย์ โดยทั่วไปจำเป็นต้องปล่อย'ออร่า'ออกมา ซึ่งคาถาที่ใช้แผ่ออร่าออกมามีอยู่บทเดียว เพราะปกติไม่ค่อยจะมีงานอะไรที่ต้องปลอมตัวเป็นมนุษย์อยู่แล้ว แต่ออร่าจากคาถานั่นมันเป็นอันตรายกับสิ่งมีชีวิตเพศหญิงบนโลกใช่มั้ยล่ะ"

    อาถามแบบไม่ต้องการคำตอบ ตัวผมก็ฟังอย่างตั้งใจและพยักหน้าอย่างคล้อยตามในบางเรื่องเสมือนผู้ฟังที่ดี สงสัยนิดหน่อยเหมือนกันว่าทำไมต้องเพศหญิง แต่ผมเชื่อว่าถ้าจะหาคำตอบตัวเองก็จะทำได้ในเวลาอันสั้น

    "อาเลยคิดวิชาที่จะทำให้เรามีร่างเป็นมนุษย์โดยที่ไม่ต้องปล่อยออร่านั้นออกมาไง"

    ท่านยมฯยิ้มพลางกอดอก ดูท่าจะภูมิใจกับมันมากนะนั่น

    "ใช่แล้ว"

    ส่วนผมเมื่อได้ยินก็แทบกระโดดเลยแหละ ขจัดออร่างั้นเหรอ ถึงจุดประสงค์ในการใช้ของอาจะไร้สาระแต่ก็นับว่าโชคดี เป็นครั้งแรกที่รู้สึกขอบคุณชายคนนี้มากถ้าไม่นับเมื่อก่อน บางทีการมีวุฒิภาวะทางความคิดที่มากขึ้นก็ทำให้คนเรามีความสุขน้อยลงจริงๆ แต่ตอนนี้ไม่ใช่สำหรับผม

    "สอนผมบ้างสิ"

    ผมพูดออกไปแบบไม่คิดรีรอ

    "......"

    ไม่เห็นต้องทำหน้าแปลกใจขนาดนั้นเลย แต่พักเดียวอาก็ยิ้มและยื่นหน้ามาใกล้ผมจนจมูกแทบชนกัน

    "จะไปจีบสาวกับอาเหรอ"

    น้ำเสียงเหมือนจับผิดทำเอาไม่สบอารมณ์ซะเลย แต่ผมต้องเก็บอารมณ์นั้นไว้เพราะจำเป็นต้องพึ่งเขา

    "ล้อเล่นน่า ทำซีเรียสไปได้"

    แต่ดูเหมือนจะเก็บไว้ไม่อยู่ อาถอยหลังห่างออกไปเหมือนสัญชาติญาณการเอาตัวรอดทำงาน

    "ใช้เวลาตามโลกมนุษย์นะ ประมาณ 3 ปี"

    หา!!! 3 ปี!!!

    ผมถามไปอย่างนั้น อาทำหน้าจริงจังแล้วบอกอย่างซีเรียสว่า

    "มันเป็นวิชาขั้นสูงนา ไม่ใช่ว่าใครจะทำก็ได้"

    สายตาอาเบนไปมองยูก่อนจะเอนตัวมากระซิบข้างๆ อยากรู้นักว่าจะทำเสียงเบาทำไมในเมื่ออยู่กันแค่สองคน เพื่อจะแสดงให้รู้ว่ามันเป็นเรื่องสำคัญงั้นเรอะ

    "สร้างยูให้อาสักหมื่นตัวสิ"

    "เอาไปทำอะไรเยอะขนาดนั้นครับ"

    เจ้านรกยิ้มอีกครั้งเหมือนเด็กใบหน้าตอนนี้ช่างไม่สมกับเป็นผู้อยู่จุดสูงสุดของโลกภพหนึ่งเอาซะเลย

    "อาอยากรู้ว่าถ้าอาถูกวิญญาณรุมเป็นหมื่นจะชนะได้มั้ย"

    เขาหัวเราะแฮะๆ เชิงขอร้อง ผมถอนหายใจออกมาอย่างจงใจ จะไปหวังอะไรกับวิญญาณสังเคราะห์ที่อ่อนแอปวกเปียกแบบนั้นกันเล่า ของแบบนั้นต่อให้เสกมาเป็นล้านตัวยังชนะได้เลย

    "ไม่เอาก็ได้"

    ยอมแพ้ง่ายจริงวุ้ย

    "เอาล่ะ อาไม่ไปจีบสาวแล้ว จนกว่าจะสอนวิชาสกัดออร่าให้หลานชายของอาคนนี้สำเร็จ"

    น้องพ่อพูดด้วยน้ำเสียงราวกับทำการใหญ่

    "เริ่มกันเลย"

    .....

    ...

    .

    (ไหนบอก 3 ปีไง)

    ลูอิสตีหน้างงๆ ถามผม

    (สำหรับฉันถ้าจับหลักได้มันก็แค่เรื่องง่ายๆ)

    ผมนึกถึงคำที่อาบอกว่าต้องใช้เวลาขนาดไหนโดยที่ในตอนนั้นก็ลืมคิดถึงความสามารถทางสมองของเขา ในตอนนี้ผมนึกสมเพชตัวเองนิดหน่อยที่ตกใจกับความงี่เง่านั่น

    (อ๋อๆ สรุปว่าลุคลงมาจากสวรรค์เพื่อมาฝึกวิชาให้อาโดยมีโลกของพวกเราเป็นทางผ่านสินะเจ้าคะ)

    ดวงตากลมแป๋วสีเหลืองอำพันมองผมด้วยความอยากรู้อยากเห็นผมจึงพยักหน้าตอบ สัตว์ทั้งสองตัวก็ทำเสียงในลำคออย่างเข้าใจพร้อมกัน

    (เค้าบอกตัวเองแล้วว่าลุคน่ะสุดยอด)

    คิเรนะพูดกับหมาขาว ผมรู้สึกตลกในคำเรียกแทนตัวของแมวน้อยมาก เค้ากับตัวเองเหรอ น่ารักเข้ากับตัวดีจัง

    "ตื่นแล้วเหรอเมย์"

    ดวงตาปิดสนิทของหญิงสาวแสนสวยที่ลืมขึ้นเผยให้เห็นนัยน์ตาสีเทาใสแจ๋วกลมโตที่ผมหลงเสน่ห์ตั้งแต่แรกเห็นจนถึงปัจจุบัน เธอขยับตัวเพื่อลุกจากเก้าอี้โยก ผมกลัวเธอล้มจึงเข้าไปช่วยประคอง

    "ขอบคุณค่ะ"

    ผมรับรอยยิ้มหวานที่ส่งมาด้วยความรู้สึกยิ่งกว่าเต็มใจ

    "เมย์หิวอะไรมั้ย เดี๋ยวลุคทำให้"

    สาวร่างน้อยที่นั่งอยู่ตรงข้างตู้ไม้เล็กๆ ส่ายหัว

    (ลุคทำอาหารเป็นด้วยเหรอเจ้าคะ!?!)

    คิเรนะทำเสียงเหมือนกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน

    (แหม...ลุคก็ต้องศึกษาเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ไว้บ้างล่ะน่า)

    ถึงจะไม่ได้โชว์ฝีมือตอนนี้แต่ต้องมีโอกาสแน่นอน ความรู้ทฤษฏีเกี่ยวกับอาหารสูตรต่างๆ มีอยู่พร้อมแล้วในหัว เพิ่งภูมิใจกับการมีความจำเป็นเลิศก็เมื่อไม่นานนี้นี่เอง เรื่องนั้นไว้ก่อน ผมมีอะไรอยากจะถามเมย์นิดหน่อย

    สังเกตได้ว่าถึงแม้อากาศจะหนาวเย็นอย่างมาก ท้องฟ้าก็มีผลึกสีขาวตกลงมาทับถมกันจนกลบพื้นทั่วหมู่บ้าน แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังเห็นพวกชาวบ้านพากันออกมาข้างนอกเพื่อประดับประดาบ้านตัวเองด้วยเส้นสีเงินสีทองและสีอื่นๆ นอกจากนั้นพวกเขายังเอาสิ่งของมาตกแต่งต้นไม้สีเขียวยอดแหลม เด็กๆ แลสนุกสนานกับการทำแบบนั้น หน้าบ้านของบางหลังก็มีตุ๊กตากลมๆ ที่น่าจะปั้นจากผลึกสีขาวนั้นด้วย มันถูกตกแต่งให้มีหูตาจมูกปากอย่างไม่สมจริงนัก การที่แน่ใจว่าเร็วๆ นี้จะต้องมีวันพิเศษเกิดขึ้นที่นี่ผมเดาถูกรึเปล่า

    "วันคริสมาส..."

    เสียงใสพูดกับผม บวกกับหัวคิ้วยู่ย่นทำให้รู้ว่ากำลังแปลกใจ

    "ลุคไม่รู้จักวันคริสมาสเหรอคะ?"

    ผมไม่อยากโกหกหน้าด้านๆ จึงยอมรับว่าไม่รู้จัก เมย์ทำหน้าสงสัยเหมือนถูกถามว่าโดยปกติหมามีสี่ขารึเปล่า เธอเหมือนมีเรื่องที่อยากจะถามแต่กลับไม่พูดออกมา

    วัน'คริสมาส'นี่มันสำคัญมากถึงขนาดว่าจะถูกมองว่าแปลกถ้าไม่รู้ถึงความหมายของมันงั้นสินะ

    "ก็เป็นวันประสูติของพระเยซูไงลุค วันที่ 25 ถึงจะเรียกว่าคริสมาสจริงๆ พรุ่งนี้เขาเรียกว่าคริสมาสอีฟ"

    พระเยซูนี่ใครอ่ะไม่ยักรู้ คงเป็นบุคคลสำคัญมากน่ะแหละมั้ง ก็ถึงขนาดที่ต้องทำอะไรพิเศษๆ ให้ในวันเกิดเลยนี่

    ผมหลีกเลี่ยงไม่ให้เมย์มองตัวเองแปลกไปกว่านี้จึงถามสัตว์ทั้งสองดูเผื่อว่ามันอาจจะรู้

    (ก็นะ มันเป็นวันที่มนุษย์เชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าส่งบุตรคนเดียวของเขามาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อให้ช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกัน โดยสุดท้ายเขาก็ตายด้วยมือมนุษย์ แต่อีกหลายวันให้หลังก็ฟื้นและกลับสวรรค์ไป)

    เสียงห้าวบ่งบอกว่าไม่เชื่อนิทานนี่แม้แต่น้อย ผมก็ไม่เชิงว่าไม่เชื่อหรอก ออกจะชื่นชมด้วยซ้ำที่ความเชื่อพวกนี้มันก็มีความจริงอยู่บ้าง จะผิดนิดหน่อยก็มีแค่ผมไม่ได้ชื่อเยซู และก็ไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่เรื่องพระเจ้ามีลูกชายคนหนึ่งที่ลงมาเยี่ยมโลกมนุษย์น่ะเรื่องจริง แต่ถ้าเป็นอย่างที่ว่าผมก็อิจฉาพระเยซูในแง่ของการได้เกิดเป็นมนุษย์ไม่น้อยเหมือนกัน สุดยอดจริงนะจินตนาการมนุษย์เนี่ย ไว้วันหลังต้องขอหาเรื่องพระเยซูมาอ่านสักหน่อยละ ถ้าในคลังหนังสือเทพมีน่ะนะ

    "แล้วในสองวันนี้เขาจะทำอะไรกันมั่งเหรอเมย์"

    "ที่อื่นเมย์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำยังไง แต่ที่หมู่บ้านเราวันนี้ก็จะทำความสะอาดบ้านกับตกแต่งสถานที่อย่างที่ลุคเห็นน่ะจ้ะ"

    เมย์พูดไปพลางยิ้มไป ความโล่งอกที่ได้เห็นรอยยิ้มเปล่งประกายของเธอมันมากมายจริงๆ เมื่อนึกถึงเรื่องที่เธอได้เจอเมื่อเช้า ได้แต่หวังว่าขออย่าให้ภาพเหล่านั้นติดตาเธอเลย และไม่รู้ใครจะคิดยังไง แต่ผมคิดว่าตัวเองโชคดีอยู่บ้างที่เลือกวันนี้เป็นวันที่ลอบเข้าไปดูความทรงจำของเธอ

    "พอเข้าคริสมาสอีฟพวกเราก็ใช้ชีวิตกันแบบปกติ แต่หลังจากหกโมงเย็นทุกคนจะต้องอยู่แต่ในบ้านเพื่อขอพรกับพระเจ้า พอเที่ยงคืนระฆังที่โบสถ์ก็จะถูกตีเพื่อเป็นการส่งพรที่ขอให้ลอยไปถึงสวรรค์จ้ะ"

    เมย์มีสีหน้าที่มีความสุขมาก ถึงผมจะไม่เคยได้ยินเสียงขอพรของมนุษย์จากบนโลกเลยแม้แต่ครั้งเดียวแต่ก็คิดว่าเรื่องที่ได้ฟังนั้นโรแมนติกดี

    "และพอถึงวันที่ 25 ก็จะเลี้ยงฉลองครั้งใหญ่ที่ลานกิจกรรมท้ายหมู่บ้าน ชาวบ้านแต่ละคนจะนำผลผลิตของตัวเองมาปรุงอาหารแล้วเอามาแบ่งกันกิน เป็นวันที่เมย์ชอบมากที่สุดเลย ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่าทุกๆ คนใจดี แต่วันนั้นจะเป็นวันที่เมย์รู้สึกอบอุ่นที่สุดตั้งแต่ที่เสียพ่อกับแม่ไป"

    เมื่อเรื่องนี้ถูกพูดถึงผมได้พบว่าตัวเองค่อนข้างที่จะสะเทือนใจ

    เป็นเพราะพวกนางฟ้านั่น ผมจะไม่มีวันลืมการกระทำอันเลวทรามของพวกมันถึงแม้จะดับสูญไปแล้ว ให้แช่งแถมท้ายกี่บทก็ยังได้

    เมื่อลองมองไปรอบๆ บ้านหลังนี้ เท่าที่สังเกตก็แลสะอาดและเรียบร้อย ส่วนต่างๆ ในบ้านก็มีเส้นหลากสีพันประดับแล้วด้วย ที่ประตูมีพู่สีทองติดเป็นแถบตัวอักษรซึ่งพอลองอ่านดูมันก็เขียนไว้ว่า 'Merry Christmas'

    ………...

    อยู่ดีๆ ผมก็รู้สึกแปลกๆ

    มีหลายสิ่งที่อยากจะพูดอยากจะบอกกับเมย์เหลือเกิน ทั้งที่รู้ว่าตัวเองรักเมย์มาก แต่สิ่งที่พูดกับเธอ สิ่งที่ทำกับเธอแต่ละอย่างนั้นก็เป็นเพียงแค่เรื่องโกหก ลองคิดดูว่าถ้าเกิดสลับจุดยืนกัน ผมไปเป็นเมย์ มาคิดดูกันให้ลึกๆ เลยนะ ผมคิดว่าเมย์ไม่รู้จักผมเลยแม้แต่น้อย

    สิ่งที่เรียกว่ารักของนายมันมีค่าแค่ต้องขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ รึไงลุค ความมั่นใจในความสามารถในการเพิกเฉยต่อทุกสิ่งเพื่อสิ่งที่นายต้องการมันหายไปไหนหมดฮะ ถ้าตอบยากนักก็จะขอถามใหม่ มันเป็นคำถามที่ตอบไม่ยากเพราะคำตอบมีให้นายเลือกอยู่แค่สองข้อเท่านั้น

    นายต้องการอะไรกันแน่?

    ความรัก หรือว่า อำนาจ

    สำหรับนายสองอย่างนี้ไปด้วยกันไม่ได้อยู่แล้ว จงเลือกมาซะ

    หึ

    ถามอะไรน่ะ?

    ลุค เมื่อก่อนนายอาจจะยังสับสนแต่นายก็เรียกตัวเองด้วยชื่อเล่นใหม่ว่า ลุค อย่างไม่ข้องใจเลยไม่ใช่รึไง? แล้วยิ่งได้มาเห็นเรื่องที่ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างนางฟ้าฆ่าคนด้วยแล้วยังจะต้องลังเลอะไรอีก นายพร่ำเพ้อหาความสุขอยู่ตลอดเวลาจนสุดท้ายก็เจอ ขนาดนี้แล้วยังมีอะไรให้พะว้าพะวงอยู่อีกหา?

    เอาล่ะ ทีนี้เลือกได้รึยัง...พร้อมนะ

    "ลุคไม่เคยปั้นตุ๊กตาหิมะเลย เมย์สอนลุคได้มั้ย"

    ต้องอย่างนี้สิ

    "พูดถึง...เมย์ก็ไม่ได้ปั้นมานานแล้วเหมือนกันนะ"

    สิ่งที่ผมได้เลือกทำเสียงเล็กตรงคำว่า'เหมือนกันนะ' ทำให้ใจผมเต้นแรงและร้อนผ่าวที่ใบหน้า ความอดทนในการต้องทำเป็นเฉยเมื่อมองสิ่งที่น่ารักของผมมันใกล้จะหมดลงทุกขณะจนอยากจะหาระบายใส่อะไรสักอย่าง

    เมื่อตกลงกันแล้วพวกเราทั้งสี่ก็ออกมาสู่สวนหน้าบ้านที่มีผลึกสีขาวบริสุทธิ์ที่เรียกว่าหิมะกลบอยู่เต็มสนาม ลูอิสพาคิเรนะขึ้นขี่หลังและวิ่งออกไปทันทีที่เปิดประตู พวกมันคงดีใจมากเพราะมันเกลือกกลิ้งไปมาอย่างร่าเริง ส่วนผมก็เตรียมจูงเมย์ออกมามั่ง

    "แป๊บนึงนะลุค" เมย์เอื้อมตัวไปหยิบของที่เคยเป็นของผม "ลุคลืมของไว้ค่ะ"

    มันคือถุงมือและผ้าพันคอแสนนุ่มสีน้ำเงินสดใส

    "ขอบคุณอีกครั้งครับ"

    ผมพูดพลางพันมันไว้ที่คออย่างรู้สึกผิด เพียงแต่หญิงสาวที่ยืนตาแบ้วอยู่ตรงหน้าคงไม่คิดสักนิดเดียวว่านี่คือความผิดผมและคงไม่มีวันที่จะคิดด้วย

    "เมย์เก็บไว้ให้ก็เพราะเมย์เชื่อว่าลุคต้องกลับมา ก็ลุคสัญญากับเมย์ไว้แล้วนี่เนอะ ว่าลุคจะเป็นคนพาเมย์เดินไปด้วยกันกับลุคเอง"

    รอยยิ้มไร้เดียงสาทำให้รู้สึกผิดยิ่งขึ้นไปอีก แต่คราวนี้ล่ะ ผมไม่มีทางผิดสัญญาอีกแน่นอน สัญญาเลย

    เราเริ่มต้นด้วยการเอาหิมะมาปั้นเป็นก้อนกลมและตั้งใจจะให้มันใหญ่ขึ้นเยอะๆ เมย์มอบหน้าที่ให้ผมเป็นคนปั้นส่วนล่างซึ่งต้องใหญ่กว่าหัว ส่วนบนเมย์อาสาปั้นเอง ผมต้องใช้ความพยายามอยู่หลายครั้งเพราะไม่ว่ากี่ทีมันก็มักจะแตกก่อนที่จะได้เป็นก้อนใหญ่ ความทรงจำตอนที่ห่อแซนวิชหวนกลับมาอีกครั้ง ผมสะบัดหน้าแรงๆ เพื่อไล่มันไป ระหว่างนั้น เผลอแว่บเดียวเมย์ก็ได้หิมะก้อนกลมใหญ่เท่าหัวคน

    "เมย์ทำได้ไงอ่ะ ลุคทำแล้วแตกอยู่ตลอดเลย"

    สาวสวยหัวเราะคิกคักจนลมหายใจขาวๆ พ่นออกมาถี่

    "งั้นเราเอาก้อนนี้ทำตัวดีมั้ย? แล้วลุคไปหาพวกก้อนหินกับกิ่งไม้มาทำตา ปากแล้วก็แขน"

    เสียดายนิดหน่อยที่ต้องทำตัวเล็กแค่นี้ แต่ก็ได้แต่ยอมรับว่าคงทำดีกว่านี้ไม่ได้ เอาน่า ปล่อยให้ผู้ชำนาญการเขาทำส่วนที่ถนัดไปเถอะ หน้าที่ที่ผมได้รับนี้ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้งานชิ้นนี้เสร็จสมบูรณ์เหมือนกัน

    ระหว่างที่กำลังจะไปหาของตามที่เจ้าหญิงน้อยบอก ผมก็เหลือบไปเห็นสัตว์เลี้ยงสองตัวที่เล่นกลิ้งตัวบนหิมะโดยไม่มีท่าทีว่าจะเหน็ดเหนื่อย สักครู่เดียวเมื่อมันกลิ้งมาชนกัน ทั้งคู่ก็หยุดไปราวกับเพิ่งรู้ตัวว่าลืมอะไร

    สักพักลูอิสเอาขาหน้าของมันคล้องตัวเล็กๆ ของคิเรนะแล้วใช้ลิ้นเลียขนที่มีหิมะติด คิเรนะบิดตัวไปมาและก็เลียขนที่หน้าอกให้เจ้าหมายักษ์บ้าง ลูอิสพูดเบาๆ กับแมวน้อยเพราะกลัวผมได้ยิน แต่ก็อย่างว่า หูผมดีนะขอบอก

    (ยัยบ๊องเอ๊ย ตัวเลอะเทอะหมดแล้ว)

    (ไม่กลัวหรอก ก็เค้ามีตัวเองคอยทำความสะอาดให้นี่)

    ลูอิสส่งสายตาเสมือนพ่อเอ็นดูลูกสาวให้คิเรนะ

    (นี่เธอ ฉันมีอะไรจะบอก)

    (ตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ บอกว่ามีอะไรจะบอกแล้วตัวเองก็หายไปไหนไม่รู้ แต่เค้าก็พอจะเดาได้นะว่าตัวเองจะบอกอะไรเค้า)

    (โอ้...ไหนลองบอกมาซิ จะดูว่าเดาถูกมั้ย)

    ลูอิสกลั้นหัวเราะเหมือนกำลังสนุกกับการหยอกแมวน้อย

    (จะบ้าเหรอ เรื่องแบบนี้จะให้สุภาพสตรีเริ่มก่อนได้ไงล่ะยะ)

    ทั้งที่น้ำเสียงเหมือนงอน แต่คิเรนะก็เอาแก้มถูไถไปกับขาหน้าที่ใหญ่เท่ากับตัวทั้งตัวของมันอย่างขวยเขิน บางทีท่าทางที่ตรงกันข้ามกับน้ำเสียงที่ใช้อาจเป็นนิสัยของแมวสาวตัวนี้

    (ไปกันใหญ่แล้วเธอ ฉันจะบอกว่าเมื่อวานฉันไปหาแพทตี้มา)

    คิเรนะชะงัก

    (ตัวเองอ่ะ!)

    แล้วคราวนี้ก็โดนโกรธจริง ลูอิสเอ้ย...

    (อ๊ะๆ ล้อเล่นน่า)

    เสียงห้าวยังคงแสดงความสนุกสนานต่อไป คิเรนะเตรียมสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนหนาหนัก

    (ฉันรักเธอนะ)

    คราวนี้เป็นเสียงที่จริงจังเหมือนกับตอนที่มันพูดเชิงดุกับผมเรื่องที่เมย์ป่วย แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเครียด เมื่อได้ยินเช่นนั้นคิเรนะก็กลับมาเขินอีกซึ่งไม่แปลก เพราะขนาดผมได้ฟังก็ยังรู้สึกเขินตามไปด้วย

    (ถึงฉันจะรู้ว่าเรามีลูกด้วยกันไม่ได้แต่ฉันก็รักเธอ แล้วเธอล่ะ?)

    ผมคิดว่าตอนนี้หมอนี่เท่สุดๆ ไปเลย แมนโคตร

    (ต้องถามเค้าด้วยเหรอตาบ้า ตัวเองไม่รู้จริงเหรอ?)

    (ก็แน่ล่ะ ถ้าเธอไม่พูดแล้วฉันจะรู้ได้ไง ว่าไงล่ะหึ?)

    (เค้าก็รักตัวเองเหมือนกันแหละน่า...เจ้าเล่ห์นักนะ ฮิฮิ)

    คิเรนะเข้าไปซุกตัวในอกแฟนหนุ่มหล่อที่นอนคว่ำอยู่ ซึ่งลูอิสก็เอาแขนซุกจนเห็นแต่หัวเล็กๆ ออกมา

    (ต่อไปนี้เธอห้ามแบ่งอาหารให้ใครแล้วก็ห้ามทำความสะอาดขนให้ใครด้วยนะรู้มั้ย)

    (แหม...พูดกับตัวเองดีกว่านะเจ้าคะ เค้าไม่เคยทำตัวเองก็รู้ มีแต่ตัวเองน่ะแหละที่ชอบไปหาแพทตี้)

    (รู้แล้วน่า ว่าแต่ไอ้ เจ้าคะ เจ้าขา น่ะขอทีเหอะ ต่อไปนี้ให้พูดกับฉันได้คนเดียว)

    คิเรนะกระโดดลุกออกมาจากอกลูอิสมายืนประจันหน้ากับมันด้วยท่าทางซุกซน

    (ตัวเองหึงเค้าจริงๆ ด้วย ตัวเองหึงเค้ากับลุคใช่มั้ยๆ)

    เสียงคิเรนะเหมือนผู้ได้รับชัยในสงครามแสนยาวนาน

    (บ้าเหรอ ฉันแค่เห็นว่า...)

    (ฮั่นแน่...ใช่จริงๆ ด้วย)

    หมาขาวเบือนหน้าหนีอย่างหมดปัญญาที่จะหาคำเถียง แวบหนึ่งมันเหลือบมองผมที่ตอนนี้แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน และวางของที่หาได้มากองไว้ตรงข้างๆ ตุ๊กตาสีขาวที่สร้างขึ้นโดยหิมะสองก้อนต่อกัน

    (ตัวเอง...)

    คิเรนะเริ่ม ซึ่งเจ้าลูอิสตอบรับด้วยอารมณ์ที่แสร้งทำเป็นรำคาญ

    (น่ารักมากๆ เลยรู้ตัวป่ะ?)

    แมวน้อยหัวเราะร่า ส่วนลูอิสมองแฟนสาวด้วยสีหน้าราวกับมองเด็กๆ

    (หนาวแล้วเข้าบ้านเถอะ)

    (แล้วมีมี่ล่ะคะ?)

    ลูอิสหันหน้ามาหาผม

    (อยู่กับหมอนั่นไม่ต้องห่วงหรอก)

    คิเรนะไม่ได้พูดอะไรต่อก่อนกระโดดขึ้นหลังที่ปกคลุมด้วยขนยาวสีหิมะและเดินเข้าบ้าน

    (ฝากมีมี่ด้วยนะเจ้าคะ)

    คิเรนะพูดเสียงซนขณะเดินผ่านพวกผม

    "จริงสิลุค เห็นแมวตัวเล็กๆ นั่นมั้ย มันชื่อคิเรนะ เป็นเพื่อนของเมย์เอง"

    ผมตอบแค่ว่า'เหรอครับ?' เพราะถ้าบอกไปว่ารู้จักกันแล้วมันจะชวนให้สงสัยไม่น้อยเลย

    "เรียบร้อยละเมย์ น่ารักดีจัง"

    ในที่สุดตุ๊กตาหิมะก็เสร็จสมบูรณ์ มาดูดีๆ มันก็มีศิลปะเหมือนกัน ถึงจะตัวเล็กแต่ก็น่ารักดี มนุษย์นี่เจ๋งแฮะ ที่สวรรค์ไม่มีให้เห็นหรอกของแบบนี้ เพราะถ้าให้เปรียบกับที่นี่ สวรรค์มีเพียงแค่ฤดูเดียวคือฤดูใบไม้ผลิที่อากาศอบอุ่น

    "ฮ้า...อยากเห็นจังเลย"

    น้ำเสียงใสแสนไร้เดียงสาพูดออกมาอย่างไร้จริตจะก้านจนนึกสงสัยว่าเธอผู้นี้มีด้านมืดในจิตใจหรือเปล่า

    พ่อมักบอกผมเสมอว่าตั้งแต่เกิดมามนุษย์ทุกคนก็ล้วนแต่มีบาปติดตัว ไม่มีสักคนเดียวที่ชอบธรรม ถึงจะพูดอย่างงั้นก็เหอะ แต่ผมไม่เห็นเจออะไรแบบนั้นในตัวเมย์เลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าอะไรที่เข้าข่ายเรียกว่าความบาป แต่ยิ่งนึกก็ยิ่งรู้ ยิ่งรู้ก็ดันเกิดกลัวขึ้นมาซะเฉยๆ เพราะว่าตัวเองเป็นถึงนางฟ้าแต่กลับมีอะไรที่เข้าข่ายบาปเต็มไปหมด พูดถึงเมย์ยังน่าจะเกิดไปเป็นนางฟ้ามากกว่าผมซะอีก

    "หนูมีมี่มาปั้นตุ๊กตาหิมะเล่นเหรอจ๊ะ?"

    ป้าคนหนึ่งซึ่งอยู่ข้างบ้านเมย์ยืนเกาะรั้วฝั่งที่ติดกับต้นไม้ ดูแล้วพิลึกเหมือนตัวอะไรบอกไม่ถูก

    "ค่ะป้าแมนดี้ ป้ามีอะไรรึเปล่าคะ?"

    สายตาป้าแมนดี้สอดส่ายมาที่คนแปลกหน้าเพียงหนึ่งเดียว ผมต้องรู้สินะว่าควรทำอะไร แต่ไม่ค่อยชอบแววตาป้าคนนี้เลยแฮะ หรือบางทีมันอาจจะเป็นอคติของผมเองก็ได้

    "ผมลุค เป็นเพื่อนเมย์ครับ"

    ว่าแล้วก็โค้งตัวตามมารยาทแถม เธอยิ้มฝืนได้เยี่ยม ส่วนร่างผอมกะหร่องในชุดหนาสีแดงยกของบางอย่างขึ้นมาซึ่งมันนอนนิ่งอยู่บนจานใบใหญ่

    "ป้าเอาไก่งวงมาให้ เอาไว้กินกันตอนวันคริสมาสไง อบได้เลยนะจ๊ะป้ายัดเครื่องมาแล้ว"

    เมย์ยิ้มหวาน

    "ขอบคุณค่ะป้า"

    แต่กลับเห็นได้ชัดว่าเป็นยิ้มฝืนๆ ผมไปรับจานที่ใส่'ไก่งวง'มาจากป้าและกล่าวขอบคุณ เธอมองผมด้วยหางตาก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงดัดๆ

    "งั้นป้าไปก่อนนะจ๊ะ พวกหนูก็ระวังเป็นหวัดนะ"

    ผมกับเมย์ไม่ได้พูดอะไรต่อจนป้าคนนั้นหันหลังกลับเข้าบ้านไป

    ให้เดามั้ยว่าที่จริงแล้วจุดประสงค์เธอไม่ได้ตั้งใจมาเพื่อจะให้ไก่งวงอย่างเดียวหรอก เธอคงอยากจะรู้ว่าผมเป็นใคร ก็แน่ล่ะ เป็นผมก็อยากรู้ ตั้งแต่ที่เมย์เสียพ่อกับแม่ไปเมย์ก็อยู่คนเดียวมาตลอด แล้วมาวันหนึ่งก็มีผู้ชายแปลกหน้าเข้าออกบ้านอย่างสนิทสนม เป็นใครก็สงสัย เพียงแต่คนเราก็อย่าสงสัยอะไรจนออกนอกหน้าเกินไปนัก เก็บเอาไว้บ้างก็คงไม่มีใครว่าหรอก

    "แกเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เมย์เล็กๆ แล้วล่ะลุค"

    เมย์เอามือป้องปากกระซิบกระซาบ น้ำเสียงแลขำขันกับเรื่องที่จะบอก

    "ถึงแกจะ...อืม...พูดง่ายๆ ว่าอยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้านมากไปหน่อย แต่ป้าแกไม่มีอะไรหรอก"

    ที่จริงไม่ต้องอธิบายผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรอยู่แล้ว แค่คิดนิดหน่อยว่าตลกดี แต่การที่เมย์ป้องปากเหมือนกำลังบอกความลับสำคัญกับผมแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกมีค่าขึ้นมายังไงก็ไม่รู้สิ ดีใจนะเนี่ย

    "ฮิฮิ เข้าบ้านดีกว่าเนอะ เมย์อยากรู้จังว่าไก่ตัวใหญ่รึเปล่า"

    หลังจากที่ได้ยลรอยยิ้มและเสียงหัวเราะทรงเสน่ห์ถึงกับเคลิ้มจนชื่นใจแล้ว ผมก็เปิดประตูให้เมย์ด้วยมือข้างที่เหลือก่อนจะเดินตามเธอเข้าไปโดยต้องแบกไอ้ไก่นี่เข้าไปด้วย ทิ้งให้เจ้าตุ๊กตาหิมะคู่นั่น(สงสัยผมจะลืมบอกว่าเมย์ปั้นไว้ 2 ตัว)ยืนเคียงกันไปท่ามกลางลมหนาวที่พัดแรงขึ้น ผมหวังอยากให้มันอยู่ด้วยกันจนกว่าจะหมดหน้าหนาวเลย ถ้าได้อย่างนั้นก็ดี

    เมย์บอกว่านั่นเป็นตุ๊กตาชายกับหญิง ถึงผมไม่มีศิลปะพอที่จะมองว่ามันเป็นชายกับหญิงแต่ก็ไม่สำคัญ ที่อยากรู้จริงๆ ก็คือพวกมันนั้นเป็นตัวแทนของผมกับเมย์รึเปล่า เธอปั้นขึ้นสองตัวนั้นมีความหมายอะไรกันแน่นะ

    "อ้าว ลุคดูไม่ออกเหรอว่าเมย์ปั้นพวกเราสองคนนะนั่น"

    สาวน้อยแสนสวยหันหลังกลับ เรือนผมดำพลิ้วไสวงดงามราวกับกำลังเต้นรำ

    ถ้าตาผมไม่ฝาด...เสี้ยวหน้าอันน่ารักเกินใครกำลังแดงซ่าน

    ขออย่าให้มันเป็นเพราะอากาศหนาวเลย...



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×