ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Step into my World : The Truth of SATAN and The Lie of GOD

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 4 เปิดฉาก

    • อัปเดตล่าสุด 7 เม.ย. 56


     

    บทที่ 4 เปิดฉาก

    "พวกมันยังไม่ตายจริงเหรอเนี่ย..." นางฟ้าสาวเกิดอาการคล้ายมนุษย์ที่กลับบ้านมาและพบว่ามันเหลือแต่ซากเพราะพายุทอร์นาโด เธอจิกตาไม่พอใจไปยังนางฟ้าหนุ่มที่ยังคงหลับตาประสานมืออยู่บนโต๊ะที่เจียระไนจากแก้ว

    "มิคาเอลทำอะไรเข้าสักอย่างสิ"

    จอมทัพหนุ่มลืมตามองเจ้าของเสียงที่ตวาดน้อยๆใส่เขา

    "ไม่ต้องตื่นนาตาลี ฉันสั่งการทุกอย่างหมดแล้ว ไม่ว่าการเชื่อมต่อทุกเส้นทาง หรือส่งกองทัพบางส่วนไปประจำที่ศาลมหาเทพ ฉันคิดว่ามันน่าจะยกกองทัพมาเส้นทางนั้น และเป็นโชคดีของเราที่เหล่าอัยการเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ดี พวกเขาจึงร่วมมือกับฝ่าบาทเพื่อถอนการเชื่อมต่อจากกันและกันแล้ว อีกไม่นานประตูมิติที่เชื่อมกับที่นี่ก็จะปิดลง"

    นางฟ้าหนุ่มหลับลงตาอีกครั้ง

    "ตอนนี้กำลังวางแผนรับมือเพื่อเลี่ยงให้เกิดความสูญเสียกับทางเราให้ได้มากที่สุด"

    นาตาลีมองสหายด้วยสายตาที่ยังไม่อาจวางใจได้เต็มที่ ไม่นาน มิคาเอลลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยสีหน้าตึงเครียดที่ราวกับเป็นสัญลักษณ์ไปแล้ว

    "ฉันคิดว่าเรื่องที่น่ากลัวจริงๆ ไม่ใช่การคืนชีพของพวกลูซิเฟอร์หรอก"

    เขาพูดพลางประสานสายตากับสหายสาว ไม่นานนาตาลีสะดุ้งราวกับลืมสิ่งสำคัญไป

    "ยมทูต...เหรอ?" เธอใส่น้ำเสียงคำถามอย่างไม่มั่นใจ

    "นั่นแหละ ซาตานมันไม่ทำเรื่องไร้ประโยชน์อย่างการฆ่าพวกเขาหรอก มันต้องหาทางหลอกล่อให้เข้าร่วมกับมันแน่ สงครามครั้งกระโน้นก็เป็นตัวอย่างให้เห็น..." มิคาเอลชะงักระหว่างที่กำลังพูดค้างอยู่ แววตาของเขาฉายความคิดที่เพิ่งคิดตกออกมาอย่างชัดเจน

    "อะไรเหรอ?" นาตาลีตั้งคำถามนางฟ้าหนุ่ม เพียงแต่เขาไม่ตอบคำถาม และเดินมายังพื้นที่กลางห้อง พร้อมบอกให้นางฟ้าสาวถอยห่างออกไปก่อน

    "นี่คือวิธีที่จะตัดกำลังส่วนหนึ่งของพวกมันไปได้" มิคาเอลว่า

    บัดนี้เขายืนอยู่กลางห้องที่มีสัญลักษณ์รูปโล่สลักอยู่กลางวงกลม นางฟ้าหนุ่มย่อตัวลงใช้ฝ่ามือทาบกับรอยสลักบนพื้น พริบตา แสงสว่างในห้องลดระดับลง ตรงข้ามกับสัญลักษณ์รูปโล่ที่สว่างขึ้นราวกับดูดกลืนแสงทั้งหมดมาไว้

    "จากข้าพเจ้า ลอร์ดโจนาธาน มิคาเอล เดอแฮพเว่น และฟ้าหญิง คลาวเดีย บริดจ์ นาตาลี เดอแฮพเว่น ขอร่วมลงนามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินถึงหน่วยพิเศษ'ทศพร' บัดนี้ เหล่ากองกำลังลูซิเฟอร์ได้คืนชีพอีกครั้งโดยบุรุษผู้ชั่วร้ายที่สุด บิดาแห่งความมืดนามซาตาน เพื่อคลี่คลายและปกป้องความสงบสุขของทั้ง 3 ภพ ข้าพเจ้าจึงขอบัญชาให้พวกท่านนำกำลังสี่แสนไปยังโลกมนุษย์..."

    แผ่นหลังของมิคาเอลดูเหมือนจะแผ่ความเย็นยะเยือกขึ้นอีกในสายตาของนาตาลี แต่เธอเลือกที่จะเงียบและฟังสหายหนุ่มบัญชาการจนจบ

    "...ภารกิจของท่านคือทำลายทุกอย่างให้สิ้นซาก"

    กล่าวจบ มิคาเอลถอนฝ่ามือขึ้น แสงสีขาวของสัญลักษณ์โล่เริ่มมอดลงคืนความสว่างให้กับห้องเช่นเดิม นาตาลีเบิกดวงตากลมสีฟ้าอารามตกใจในคำบัญชาของจอมทัพสูงสุด แต่เธอเลือกที่จะเงียบ เหตุเพราะสหายของเธอไม่เคยปฏิบัติกิจอันใดที่นอกเหนือคำบัญชาจากเจ้าแห่งสรรพสิ่ง

     

    [...เกิดภัยพิบัติขึ้นพร้อมกันทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหวในประเทศญี่ปุ่น อินโดนิเซีย ฟิลิปปินส์ สวิสเซอร์แลนด์ โครเอเชีย อังกฤษและอเมริกา ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตอย่างไม่เป็นทางการสูงถึงสามแสนแปดหมื่นคนและสูญหายอีกเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังได้เกิดคลื่นสึนามิในประเทศที่ติดชายฝั่งหลายประเทศ ยอดรวมผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ภัยพิบัติทุกอย่างมากถึงห้าแสนคนจากทั่วโลกครับ วันนี้ อาจเป็นวันที่เชื่อกันว่าเป็นวาระสุดท้ายของโลก พรุ่งนี้อาจจะไม่มีอีกแล้วสำหรั....]

    ปี๊ป

    "ล้อเล่นน่า..." หญิงสาวนางหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราวกับตัดขาดจากเรื่องราวทุกข์โศกทั้งปวงหลังกดปุ่มสแตนบายบนรีโมทสีดำ

    "...มาแบบนี้ร่าเริงไม่ออกเลยแฮะ...ฮิๆ"

    ลีอาห์ ดิซอน วางรีโมทพร้อมคอมเม้นท์กับภาพของข่าวด่วนในโทรทัศน์ที่ได้เห็นเมื่อครู่

    "โชคดีที่นายลุคนั่นเดาถูกว่านางฟ้าจะมาไม้ไหน ทำให้เราตั้งตัวทัน" สเตฟานี่เอ่ยขณะที่ระบายลิปกรอสมันวาวบนเรียวปาก

    "ยังไงเขาก็นางฟ้านี่ ใช่มั้ยครับ? คุณเอ็ดเวิร์ด หวังว่ากำลังหนึ่งล้านของเราคงพอจะต้านไหวนะ"

    ทั้งที่มีประโยคคำถามอยู่ในคำพูด แต่ ริคาร์โด้ ซี สวอร์ด ไม่รอคำตอบจากบุคคลที่ถูกเขาถาม เขาเสยผมหน้าสีควันบุหรี่ทัดกับใบหูด้านขวาพร้อมจัดปกคอเสื้อเชิ้ต เอ็ดเวิร์ดเองก็ไม่ใส่ใจจะตอบคำถามริคาร์โด้เช่นกัน แต่กิริยาของชายเคราดกทำให้เขาแสยะยิ้มออกมาจนเห็นเขี้ยวแหลม ด้าน เทอร์รี่ การ์ดเนอร์ นั่งยกดัมเบลล์ขนาดร้อยกิโลถ้วนอยู่บนเก้าอี้อย่างเงียบๆ อลิซ แกรนด์สโตน ซึ่งตอนนี้รับรู้ถึงหน้าที่ของตนเองและเรื่องราวทั้งหมดในอดีตกาลแล้วกำลังยืนขมวดคิ้วอยู่ที่ระเบียงภายในห้อง ที่ก่อนนี้เคยเป็นห้องเตรียมตัวก่อนการแถลงการณ์ต่างๆ ของมูลนิธิไลท์ฟอร์ไลฟ์สาขายุโรป หญิงสาวหลุดจากสิ่งที่ตัวเองใคร่ครวญก็เมื่อมือของเธอถูกบีบเบาๆ

    "พี่อลิซ...ไม่เป็นไรนะคะ?"

    แอนนิต้า คารอล ถามด้วยใบหน้าที่มีอารมณ์ไม่ต่างกับคนอยากจะร้องไห้ อลิซไม่แน่ใจนักว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร แต่เธอก็ยิ้มและตอบด้วยใบหน้าที่แกล้งทำเป็นปกติว่าไม่ได้เป็นอะไร

    "ทุกคน ออกไปกันเถอะค่ะ" เสียงเนิบเสน่ห์บอกกับทุกคน ชายตาเธอเห็นภาพแอนนี่และอลิซเข้ามาในห้องแวบหนึ่งก่อนแผ่นหลังเธอที่เผยออกมาเพราะเสื้อแนบเนื้ออันเว้าลึกจะหายไปเป็นคนแรก

    เมื่อออกมาจนครบทั้ง 7 คน เหล่าผู้อำนวยการของมูลนิธิระดับโลกก็พบว่าตนเองอยู่บนเวทีท่ามกลางเหล่าผู้คนจำนวนมากที่ในครั้งอดีตเคยต่อสู้ร่วมกันมา

    สเตฟานี่ก้าวไปยังไมโครโฟนที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า เธอกระแอม ทุกเสียงที่มีก่อนหน้านี้ทั้งหมดเงียบลง

    "ดิฉันจะขอข้ามคำทักทายหน้าเบื่ออย่างสวัสดีทุกท่าน และจะไม่ถามว่าสบายดีกันหรือเปล่า ในเมื่อพวกเรารู้อยู่เต็มอกว่ามีความต่ำช้ารอเราอยู่เหนือกลีบเมฆนั่น เวลานี้เรารู้ถึงสถานะของตัวเอง ของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ คุณแล้ว แต่เราจะไม่เป็นอย่างที่เคยเป็น เราเกิดใหม่ใต้นามและรูปกายของมนุษย์ที่เรารักยิ่ง ดิฉัน สเตฟานี่ คารอล บัดนี้ในฐานะของผู้นำพวกคุณทุกคน เสียใจที่จะต้องพูดคำว่าเราอาจจะไม่ได้อยู่เห็นวันพรุ่งนี้อีกแล้ว แต่หากเราร่วมแรงสามัคคีกัน ไม่ว่าสิ่งที่รออยู่บนฟ้าจะเป็นอะไร พวกเราจะไม่กลัวและจะทำลายมันให้แหลกคามือ..."

    เริ่มมีเสียงโห่ร้องดังขึ้นอย่างฮึกเหิม ขณะเดียวกันสเตฟานี่ก็ยังคงพูดต่อไป

    "...ผลลัพธ์แห่งความร่วมมือของพวกเราจะผลิดอกออกผลเป็นความนิรันดร์ที่จะตกอยู่ในมือของคุณ พ่อแม่พี่น้องของคุณ และทุกคนที่คุณรัก หากแม้ผู้ใดที่ไม่ได้อยู่เห็นวันพรุ่งนี้ เจตนารมณ์ของคุณจะดำรงอยู่กับเราตราบนานเท่านาน บอกดิฉันสิทุกคน ต้องการแบบนั้นรึเปล่า!"

    รอยยิ้มฉายเจิดจรัสบนใบหน้าขาวผ่อง เสียงแห่งความฮึกเหิมดังขึ้นราวกับคลื่นซึนามิจากทะเลลึก ผู้คนมากมายพร้อมใจกันส่งเสียงเชียร์กึกก้อง

    "งั้นถึงเวลาแล้วพี่น้อง ที่พวกเราจะประกาศศักดิ์ดาให้พวกไม่รู้จักคุณธรรมที่รอเราอยู่ที่นั่น!!!"

    หญิงสาวปิดท้าย ครั้งนี้เสียงดังกระฮึ่มดังลั่นห้องราวกับงานคอนเสิร์ตของซุปเปอร์สตาร์ระดับโลก พริบตา ภาพของห้องแถลงข่าวสีบีชได้หายวับไปราวกับถูกลอกโปสเตอร์

    เบื้องหลังของผู้นำกองทัพลูซิเฟอร์ทั้ง 7 คือทัพปีกดำจำนวนหนึ่งล้าน ส่วนด้านหน้าของพวกเขาและเธอคือกองทัพบุรุษและสตรีในอาภรณ์และปีกขนนกสีขาวสง่างาม โดยเบื้องล่างคือละอองไอน้ำที่ล่องลอยอยู่บนอากาศหลายหมื่นฟุตเหนือผืนโลก

    บัดนี้ แผ่นฟ้าครามที่โอบอุ้มพวกเขากำลังจะกลายเป็นสนามรบที่ผู้ชนะเท่านั้นจึงจะเอ่ยคำว่าคุณธรรมได้อย่างเต็มปาก

    ฉึก!!!

    บุรุษในชุดขาวร่างหนึ่งสังเวยให้กับแสงสว่างที่เกลาเป็นอาวุธยาวมีกั่นจนร่วงหล่นหายไปในกลีบเมฆ

    "เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง"

    รอยยิ้มของสเตฟานี่ชวนขนลุกแม้แต่ในสายตาของพวกเดียวกันเอง ความตกใจทำให้ความเงียบสนิทปกคลุมได้เพียงวินาที เสียงโห่ร้องเริ่มต้นสงครามก็ดังขึ้นจากทั้งสองฝ่ายราวเสียงฟ้าคลั่ง

    สงครามย่อยระหว่างนางฟ้าและลูซิเฟอร์...เริ่มต้นแล้ว

     

    อีกด้านหนึ่ง เรย์ที่นั่งยองๆ ตรวจสอบสภาพปืนโบราณสีดำชะงักชั่วครู่ เขากลืนอากาศลงคอที่แห้งผากก่อนจะเก็บทุกอย่างลงไปในช่องว่างของมิติสีดำ

    "โชคดีแฮะ พวกนางฟ้ามาวุ่นวายกับประตูระหว่างนรกกับศาลมหาเทพไม่ได้"

    ชายผมทองผอมแกร็นเอ่ยและถอนฝ่ามือออกจากพื้น ก่อนจะชื่นชมวงแหวนแสงสีม่วงขนาดใหญ่เท่าห้องที่ตัวเองเสกขึ้นด้วยสายตา จอห์น ไลท์ทรี เองก็เอ่ยชื่นชมอย่างเทิดทูน

    "นายท่านปรีชาสามารถมากครับ"

    ลุคที่นั่งกอดอกอยู่บนเก้าอี้ทำตาเหยียดกับคำพูดนั่น แต่ผู้ถูกเอ่ยชมนั้นรับไว้ด้วยความยินดี

    "แหม ไม่หรอกครับ จากนี้ไปก็ต้องยืมแรงทุกคนช่วยกัน"

    ซาตานเกาหลังคอพร้อมยิ้มขวยเขิน

    "ผมว่าเราเร่งมือกันสักหน่อยเถอะครับนายท่าน สงครามบนโลกมนุษย์เริ่มไปแล้ว"

    เรย์ตัดบทอย่างนอบน้อม เขาซ่อนสายตากังวลจากชายร่างผอม แต่ดูเหมือนซาตานจะอ่านออก เขามองเรย์แวบหนึ่งด้วยปลายตาก่อนจะหันไปพูดกับจอห์น

    "พวกคุณๆยมทูตพร้อมกันแล้วหรือยังครับ?"

    ยังไม่ทันที่ชายหน้าสวยจะตอบสิ่งใด ร่างกายใหญ่ยักษ์ก็เดินออกมาจากทางเดินที่เชื่อมกับโถงนี้พร้อมลูกน้องฝีมือฉกาจ 2 คน คริสและโบล์9

    "ทำไมพวกฉันต้องเสี่ยงอยู่ข้างหน้าด้วย" ยมบาลเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์เมื่ออยู่ห่างจากซาตานเพียงฟุตเดียว ชายผอมต้องเงยคอเพื่อตอบ

    "คุณกลัวเหรอครับ?"

    ยมบาลที่กำลังหันไปทางอื่นหันควับกลับมาทันทีที่ประโยคนี้เข้าสู่หูชั้นใน

    "แกเห็นว่าฉันเป็นแบบนั้นเหรอ?"

    "แหม...ตอนแรกก็เปล่าหรอกครับ แต่พอคุณถามผมก็เริ่มไม่แน่ใจในสายตาตัวเอง"

    อกของเจ้านรกเคลื่อนขึ้นลงพร้อมลมหายใจที่กระฟัดกระเฟียด ซาตานเห็นเช่นนั้นจึงรีบตัดบท หากแต่ไม่ใช่ด้วยความยำเกรง

    "ล้อเล่นครับ ล้อเล่น คุณคนเดียวที่ไหน ก็มีพวกเราอีกไง"

    ซาตานกวาดสายตาไปยังทุกคนในห้อง ยมบาลมองตามและเดินกระแทกไหล่ของร่างผอมผ่านไปและเดินเข้าไปในวงแหวนแสงสีม่วงก่อนจะหายวับไปทันที 3 ร่าง ไม่นาน เรย์ จอห์น ลุค และซาตาน ก็มายืนอยู่ด้านหน้าวงแหวนแสงเช่นกัน

    "เอาล่ะครับ ถึงเวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างควรจะกลับสู่มือเจ้าของที่แท้จริงได้แล้ว"

    ซาตานกล่าวปิดท้ายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เรย์และจอห์นสบตากันก่อนจะพยักหน้าอย่างลับๆ ให้กัน ลุคเองแม้กรอบตาจะยังโค้งพริ้มจากรอยยิ้มจอมปลอมอยู่ แต่ภายในกลับไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของอารมณ์ขัน

    และพริบตาที่พวกเขาก้าวเข้าไปในวงแหวน ทุกอย่างก็ราวกับกดปุ่มเริ่มต้น



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×