ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Step Into My World

    ลำดับตอนที่ #5 : การพบพานสู่การเปลี่ยนแปลง

    • อัปเดตล่าสุด 20 พ.ย. 55




    การพบพานสู่การเปลี่ยนแปลง

     

                    ภายใต้ท้องฟ้าสีทองอร่าม ก้อนเมฆที่ควรจะลอยเอื่อยเฉื่อยอย่างอิสระกลับหมุนคว้างเป็นวงกลมและซ้อนกันจนเป็นรูปทรงคล้ายขดขยึกขยือ ชายสองคนที่รูปลักษณ์ภายนอกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกำลังเฝ้ามองต้นเหตุที่ทำให้ท้องฟ้าวิปริตเช่นนี้

    เสียงหวีดแหลมราวมีดคมกริบเสียดแทงเข้าไปในรูหู ผืนหญ้าอันเขียวชอุ่มปลิวสะบัดจากแรงลมมหาศาล ป่าไม้อุดมสมบูรณ์เอนเอียงไปในทิศทางเดียวกันราวกับบางอย่างกำลังจะดูดพวกมันเข้าไป

    สิ่งนั้นมีลักษณะเป็นวัตถุทรงกลมสีดำทึบขนาดเท่าลูกฟุตบอลเสมือนหลุมดำขนาดย่อมที่ดูดเอาทุกอย่าง ทั้งต้นไม้ กิ่งไม้ ก้อนหินตั้งแต่ขนาดเท่ากรวดจนถึงขนาดเท่าโขดหิน ณ เวลานี้ แม้แต่เมฆบนฟ้ามันก็ยังดูดลงมา ภาพที่ปรากฎจึงไม่ต่างกับทุ่งกว้างตอนเกิดพายุทอร์นาโด

    เสียงหวีดร้องจากวัตถุสีดำยิ่งแหลมสูงขึ้นอีก และเหตุนั้นก็ยิ่งทำให้ท้องฟ้ามืดลงมากเท่านั้น หากแต่ภายใต้สภาวะราวกับภัยพิบัติเช่นนี้กลับมีเสียงหัวเราะที่ไม่ต่างจากการท้าทายอำนาจที่มองไม่เห็น

    ชายผมบลอนด์รังเกียจกิริยาอันถ่อยสถุลของชายข้างกายจับใจ เพียงแต่สถานการณ์ตรงหน้าได้ฝังกลบความรู้สึกนั้นไปชัวครู่หรือจนกว่าความปกติจะหวนกลับคืนมาอีกครั้ง ซึ่งเขาก็ทายไว้ว่าคงอีกไม่นาน ส่วนชายอีกคนที่ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดมาทำให้เขาหยุดยินดีได้ กำลังจ้องต้นเหตุแห่งภัยพิบัติจนดวงตาเหมือนกับจะถลนออกมา ด้วยรูปหน้าที่บูดเบี้ยวของเขาแล้ว การทำแบบนั้นยิ่งทำให้เขาดูอัปลักษณ์ยิ่งขึ้นอีก

    "ยิ้มสักนิดไม่ดีเหรอครับ? นี่เป็นก้าวแรกของคุณเลยนา"

    ไม่มีคำตอบจากชายร่างสูง ผมบลอนด์ที่ปรกอยู่บนใบหน้าราวภาพวาดนั้นปลิวสะบัดรุนแรง เขาจับผ้าพันคอสีน้ำเงินสดใสไว้เพื่อไม่ให้ถูกบอลสีดำดูดเข้าไป

    "ฮ่าๆๆๆๆ" เสียงแหลมหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของเขาเลื่อมเป็นมันแม้แสงสว่างจะเริ่มลดน้อยลงก็ตาม

    "นี่แหละครับๆ" เขาพูดสลับหัวเราะเสียงดังแข่งกับเสียงหวีดแหลมที่ดังขึ้นเรื่อยๆ และเสียงต้นหมากรากไม้ที่ถูกถอนขึ้นจนชนกันแตกหัก เสียงก้อนหินน้อยใหญ่แตกตัว แต่เสียงพวกนี้ไม่ทำให้ลุคตื่นตะลึงเท่ากับภาพตรงหน้า

    "เตรียมตัวนะครับ มันเริ่มดูดกลืนตัวมันเองแล้ว"

    นามของเขา...หรือความจริงอาจจะไม่ใช่ ชายชุดคลุมมีนามว่าอะไรไม่อาจรู้ได้ แต่ไม่ว่าผู้ใดก็เรียกเขาว่าซาตาน

    เมื่อพูดจบเขากระโดดขึ้นฟ้าและทรงตัวอยู่บนนั้น ลุคเองก็กระโดดเช่นกัน

    แต่ก่อนปีกขาวจะสยาย ขอนไม้ขนาดใหญ่เท่าเรือก็ลอยมาจากด้านหลัง พริบตาที่สัมผัสเย็นเยียบของด้ามโลหะทะลุถุงมือไหมพรมสีเดียวกับผ้าพันคอ ลุคจับมันเอาไว้และสะบัดไปยังขอนไม้ที่กำลังจะชนตัวเขา ทันทีที่คมดาบสัมผัสโดน ขอนไม้กลายสภาพเป็นฝุ่นและถูกดูดผ่านร่างเพรียวไป หลังจากนั้นปีกขนนกขาวปลอดก็ได้สยายออก ชายหนุ่มบินขึ้นไปสมทบกับซาตานซึ่งไม่ได้สนใจเหตุการณ์หวุดหวิดเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย

    แต่ก็อีกนั่นแหละ เหตุการณ์เล็กๆ แค่นั้นลุคเองก็ไม่สนใจเช่นกัน

    เสียงหวีดนั้นแหลมสูงและดังเสียดมากขึ้นเรื่อยๆ กลับกัน ก้อนสีดำด้านล่างกำลังหดเล็กลง แต่ยิ่งมันหดตัวเล็กลงเท่าไหร่อานุภาพของการดูดกลืนยิ่งรุนแรงขึ้นเป็นเท่าตัวจนแม้แต่ชายทั้งสองก็ยังต้องใช้อำนาจของตัวเองรั้งร่างเอาไว้เพื่อไม่ให้เป็นอาหารของวัตถุทรงกลม

    พื้นดินที่ก่อนหน้านี้พวกเขายังยืนอยู่ได้กลายสภาพเป็นหลุมลึก ทุกสิ่งอย่างที่มีมันเป็นศูนย์กลางได้ถูกมันดูดหายไปต่อหน้าต่อตา


                    วี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
     

    ขณะที่ลุคกำลังจะอุดหูเนื่องจากไม่สามารถทนเสียงที่ราวกับจะทำลายโสตประสาทของเขาได้อีกต่อไปเสียงแสบกลับหยุดลง ไม่เพียงแค่นั้น ทั้งการดูดกลืนปานสัตว์ร้ายสวาปามอาหาร การหดตัวของวัตถุทรงกลมดำทะมึนเรืองแสงก็ได้หยุดลงเช่นกัน สิ่งที่รอดพ้นจากการดูดกลืนตกลงสู่ก้นหลุมลึกราวหลุมอุกาบาตจนเกิดเสียงดังแซแซด ดวงตาสองคู่จับจ้องไปยังสิ่งที่ลอยตัวอยู่เหนือพื้นก้นหลุมเพียงไม่กี่ฟุต

    สิ่งที่มีขนาดเท่าไข่ไก่ดำสนิทกำลังหมุนรอบตัวเองด้วยความสว่างและบรรยากาศที่ไม่ต่างกับราตรีกาล เหตุนั้นทำให้คนทั้งคู่มองเห็นกันได้ไม่ถนัด แต่พวกเขาเองก็ไม่ได้สนใจกันมากนัก ลุคเอ่ยเริ่มโดยสายตายังคงถูกสะกดอยู่ที่จุดสนใจเพียงหนึ่งเดียวของมิตินี้

    "แค่นี้เหรอ?"

    "ยังครับ ยังเหลือการระเบิดครั้งสุดท้ายเพื่อคายสิ่งเกินจำเป็นออกมาน่ะครับ"

    ลุครู้สึกขยะแขยงในน้ำเสียงน่าเกลียดนี้ขึ้นไปอีก ความตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้าที่เจือในนั้นทำให้ลุครู้สึกเหมือนเส้นผมตั้งขึ้น เขาเดาว่าถ้าเอามือไปแตะร่างของชายผมทองก็คงรับรู้ได้ถึงแรงสั่นเทาจากความยินดี

    ทุกอย่างเงียบลงอยู่ภายใต้ความมืดได้ไม่นาน เสียงที่ทุ้มต่ำราวกับจะบีบสมองและหัวใจให้หยุดเต้นก็ดังขึ้นอย่างสงบแต่ก้องกังวาน

    สิ้นเสียงจุกอก ท้องฟ้าสีน้ำเงินดำสว่างขึ้นอย่างเชื่องช้า เมฆสีทองลอยคืนสู่เบื้องบนอย่างค่อยเป็นค่อยไป ภาพแรกของแสงแดดที่กลับคืนมาคือสภาพของสถานที่ซึ่งงดงามคล้ายสวรรค์ที่ไม่เหลือเค้าเดิมอีกเลย

    ภูเขาหินที่ตอนแรกไม่เคยมีอยู่กลับเกิดขึ้นเป็นทิวแถวจนสุดสายตา ผืนหญ้าที่เคยปกคลุมดินหลุดล่อนราวถูกยักษ์นับแสนฉุดกระชาก ซากต้นไม้ที่ถูกถอนออกมาเกลื่อนกลาดจนแทบไม่มีที่ยืน ไม้น้อยใหญ่ในป่ารกชัฏที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลล้มครืนจนแทบหมดป่า ลุคมองเห็นเมฆดำที่ส่งสายฟ้าฟาดลงมาอย่างกราดเกรี้ยว ณ ปลายสายตา ขอบของหลุมยักษ์ลุกโชนไปด้วยไฟสีม่วงโชติช่วง เพียงแต่เจ้าวัตถุสีดำอันเป็นต้นเหตุของทั้งมวลกลับลอยนิ่งหมุนรอบตัวเองราวกับไม่รู้สำนึก

    ซาตานโยนตัวลงไปในหลุมทันทีที่คิดว่าทุกอย่างปกติแล้ว ผ้าคลุมสีเขียวสะบัดกับอากาศจนเผยให้เห็นผิวขาวซีดและผอมบางจนกระดูกซี่โครงล้น ลุคตามชายร่างผอมลงไปก่อนทั้งคู่จะลงมายืนที่ก้นหลุมซึ่งเต็มไปด้วมหินก้อนใหญ่อันแข็งทึบ

    "หึหึ" ซาตานหัวเราะกลั้นในลำคอพลางดึงผลึกใสทรงข้าวหลามตัดออกมาจากผ้าคลุม เขาประกบมันด้วยมือทั้งสองไว้ด้านหน้าคล้ายประนมมือก่อนจะผละมือออกจากกัน ผลึกใสลอยเวิ้งระดับอก บางอย่างคล้ายควันสีฟ้าหมุนวนอยู่ภายใน เพียงไม่นานโซ่โปร่งแสงขนาดเท่าเล็บนิ้วก้อยสองเส้น ยืดยาวพุ่งทะยานออกไปจากผลึก เป้าหมายของมีดแหลมที่ติดอยู่ที่ปลายโซ่คือวัตถุดำที่อธิบายไม่ได้ว่าอะไร

    มีดทั้งสองปักฉึกลงไปในวัตถุสีดำขนาดเท่าไข่ทั้งซ้ายขวา โซ่โปร่งแสงหดตัวเองกลับเข้าผลึกทรงข้าวหลามตัดราวกับเสร็จสิ้นภาระกิจพร้อมลากเจ้าวัตถุสีดำเข้ามาในผลึกของตัวเอง ชายผมทองยื่นมือรองรับผลึกไว้และจ้องดูอย่างพินิจพิเคราะห์ครู่หนึ่งก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาจนลุครู้สึกว่าดังกว่าตอนแรก

    "นี่แหละ เสร็จสมบูรณ์แล้วครับ!!!" เขากลับหลังและโชว์ผลึกแก้วให้ลุคดู

    "จัดการตามที่ผมบอกได้เลยครับ"

    พูดเสร็จเขาค่อยๆ ยื่นมือที่มีผลึกแก้วออกมาข้างหน้าระดับหัวไหล่และปล่อยมือ แก้วรูปข้าวหลามตัดลอยนิ่งต้านแรงโน้มถ่วงอยู่ในระดับอกของลุค นางฟ้าหนุ่มถอยหลังหนึ่งก้าวก่อนฟาดดาบเงินประดับอัญมณีแดงลงไปที่ผลึกแก้วเต็มแรงจนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เศษระยิบระยับร่วงหล่นลงแทบเท้านางฟ้า

    แต่ทว่า

    วัตถุสีดำภายในกลับพุ่งทะยานเป็นเส้นตรงราวดอกไม้ไฟที่ถูกจุดฉนวน ขึ้นสู่ฟากฟ้าอย่างดุดันดุจอสูรร้ายกระหายอิสรภาพ

    "จะปล่อยไปงั้นเหรอ?" เสียงนุ่มถามขึ้น ชายผมทองรั้งไหล่เขาไว้ด้วยแรงมหาศาลผิดกับรูปร่างขณะที่เขากำลังจะตามไป

    "นั่นยังไม่ใช่ครับ รอจนจบภาพอันงดงามที่จะได้เห็นต่อไปนี้ก่อนเถอะ"

    หน้าบูดเบี้ยวฉีกยิ้มแต่ลุคกลับไม่เข้าใจความหมาย เขาหยุดนิ่งตามคำบอกซาตาน

    ระเบิดสนั่นหวั่นไหวดังขึ้นเหนือศีรษะของทั้งสองจุดเดียวกับที่วัตถุสีดำพุ่งขึ้นไป เมี่อทั้งคู่เงยหน้ามองก็ได้เห็นภาพที่น่าสยดสยองและน่าตื่นตะลึง

    ไม่มีผู้ใดจะจินตนาการไว้เลยว่าก้อนกลมดำทะมึนขนาดเท่าไข่ไก่จะแตกตัวออกมามากมายมหาศาล

    เส้นสีดำนับล้านกระจายเป็นเส้นตรงปกคลุมท้องฟ้าและแล่นกระจายอาณาเขตออกไประยะหนึ่ง ก่อนที่พวกมัน จะทยอยกันหายไปกลางอากาศราวกับว่าพวกมันได้ทะลุออกจากในมิตินี้ไปแล้ว

    ลุคคลื่นไส้กับภาพที่เห็นเบื้องบนจึงเสกร่มสีขาวออกมากางเพื่อปิดภาพชวนอาเจียน หากแต่ชายอัปลักษณ์ในชุดคลุมนั้นตรงข้าม เขาพยายามมองให้ทั่วที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยความยินดีอย่างถึงที่สุด

    "งดงามจริงๆ งดงามมาก" น้ำเสียงชื่นชมจากใจจริงทำให้บุรุษใต้เงาร่มรู้สึกขัดหูขัดตา แต่เขาก็ไม่มีและไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด

    "เสร็จแล้วเรียกด้วยล่ะ" ลุคพูด ไม่นานเส้นสีดำก็จากมิตินี้ไปจนเกลี้ยง เหลือเพียงจุดสีดำจุดเดียวบนท้องฟ้าผ่องอำไพ

    "โอเคครับ ตามเขาไปได้เลย"

    สิ้นเสียงแหลมลุคกระโดดขึ้นสู่อากาศ ร่มในมือซ้ายถูกเก็บอย่างเรียบร้อยในซอกมิติที่ไหนสักแห่ง เขากำดาบเงินในมือขวาจนแน่น ปีกสง่าสยายอีกครั้งและบินด้วยความเร็วที่สูงจนวัดได้ลำบาก ขณะเดียวกันวัตถุสีดำหมุนรอบตัวเองกลางเวหา ปีกเล็กดำสนิทงอกออกมาจากด้านข้างซ้ายขวา กลางลำตัวยืดออกเป็นแนวตรง ด้านบนกลายสภาพเป็นหัวของสัตว์ที่มองไม่ออกว่าเป็นตัวอะไร ด้านล่างยืดยาวออกเป็นส่วนของหางตามลำดับ

    บัดนี้วัตถุสีดำได้กลายเป็นปักษานิลขนาดเท่าฝ่ามือ มันส่งเสียงร้องราวสัตว์เดียรัจฉานจากอเวจี กระพือปีกเล็กรอบหนึ่งก่อนจะออกบินด้วยความเร็วดุจแสง ชายหนุ่มผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ติดตามสิ่งนั้นถอนใจอย่างเบื่อหน่ายและเร่งความเร็วเพื่อติดตามจนทะลุหายไปทั้งคู่ ท้องฟ้าทองอร่ามสั่นไหวเป็นระรอกเล็กน้อยเมื่อมองจากด้านล่าง

    บุรุษร่างกายผอมบางยิ้มมุมปากก่อนร่ายคาถาคืนสภาพให้กับทุกอย่างรอบกาย

    "ท่านผู้เป็นเจ้าเอ๋ย แม้แต่ท่านที่ล่วงรู้ได้ทุกสิ่งอย่างตั้งแต่ผืนฟ้าจนกระทั่งส่วนที่ลึกที่สุดในจิตใจมนุษย์ก็ไม่สามารถหยั่งรู้ถึงอนาคตได้เลย ต่อให้วางหมากไว้หลายขุมเพียงใดเรื่องคาดไม่ถึงก็คงยังอยู่ใต้จมูกท่านเสมอ และเมื่อถึงกาลนั้น ดินแดนสวรรค์จะต้องตกเป็นของข้าพเจ้า"

    ซาตานยิ้มกริ่มพลางทัศนาภาพต้นไม้ใบหญ้าผุดงอกขึ้นมาจากผืนดินและเติบโตอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่วินาที

    .

    .

    .

    ณ ดาดฟ้าของตึกสูง 18 ชั้นกลางเมืองใหญ่ของประเทศแห่งหนึ่งในทวีปยุโรป ชายร่างสูงยืนเงยหน้าเพื่อรับเม็ดฝนเย็นฉ่ำซึ่งตกปรอยบ้างแรงบ้างสลับกันมาอย่างนี้ตั้งแต่เช้าจนบางทีเขาก็รู้สึกรำคาญและอยากให้มันหยุดตกเสียที

    เกศาดำยาวประบ่าเปียกโชก สูทดำถูกวางทิ้งตากฝนไว้บนพื้นที่เจิ่งนองอย่างไม่ใยดี ชายหนุ่มดึงเน็คไทกำมะหยี่สีดำให้หลวมคอ ถอดรองเท้าหนังแก้วและปีนขึ้นบนระเบียงกั้นของดาดฟ้า ภาพที่เห็นน่าหวั่นใจหวาดเสียวยิ่งนัก

    เขาโคลงเคลงเล็กน้อยเมื่อปีนขึ้นมาสำเร็จ เพียงแต่ไม่มีความหวาดกลัวใดๆ อยู่ในเซลล์สมองของชายหนุ่มขณะนี้

    สมองที่ด้านชาส่งผลให้หัวใจเย็นเฉียบราวกับถูกฉาบเคลือบด้วยน้ำแข็งหนาหลายนิ้ว ทำให้มันเหมือนจะเต้นช้าลง

    ชายหนุ่มคิดว่าอาจเป็นเพราะด้วยเหตุนี้เลยทำให้ใบหน้าของเขาราวกับเบี้ยวไปครึ่งซีกคล้ายเป็นโรคที่เคยได้ยินชื่อผ่านๆ แต่ไม่ได้ใส่ ใจจะจำ กระนั้นเสียงจอแจอันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองใหญ่ทั่วโลกได้ทำให้ชายหนุ่มเบนสายตาลงไปมองบนถนนราดยางมะตอยที่เปียกฝนจนเงาเลื่อม รถยนต์น้อยใหญ่วิ่งอย่างคล่องตัว มองถัดไปอีกบริเวณที่เป็นทางด่วนก็ยิ่งคล่องตัว สายตาชายหนุ่มเลื่อนกลับมายังถนนหน้าตึกสูงอีกครั้ง เบื้องล่างที่เป็นส่วนของฟุตบาทเนืองแน่นไปด้วยผู้คน

    บุรุษนึกสงสัย...แค่เสี้ยวเล็กๆ ของความคิด ว่าฝนก็ตกอย่างนี้พวกเขาเหล่านั้นทำไมถึงไม่เลือกที่จะนอนอยู่เฉยๆ ในบ้าน แต่แค่แว๊บเดียวความสงสัยนั้นก็แล่นผ่านไปเพื่อเข้าสู่ความคิดใหม่ที่แทรกเข้ามา

    เวลานี้ชายหนุ่มกำลังชื่นชมกับรสนิยมแปลกประหลาดของตัวเอง เขาคิดว่าสีสันต่างๆ ของร่มที่เหล่าผู้คนที่จำเป็นต้องออกมาสัญจรกลางแจ้งในเวลาที่อากาศไม่เป็นใจเช่นนี้นั้นจัดจ้านและสวยสะดุดตา เขาถึงกับเพ้อถึงป่าดิบชื้นที่ดอกเห็ดสีสันแปลกตาจะพากันงอกออกมาเวลาหลังฝนตก แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง ใครเล่าจะกล้านำดอกเห็ดเหล่านั้นมาประทังความโหยหิว เพราะภายใต้สีสันงดงามกลับแฝงด้วยพิษร้ายถึงกับชีวิต

    เมื่อคิดเลยเถิดมาถึงขั้นนี้ชายหนุ่มก็คิดต่อไปอีกจนได้ข้อสรุป สุดท้ายเห็ดพิษกับการดำรงอยู่ของมนุษย์ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไรนัก

    ชายหนุ่มหยุดเปรียบเปรย ดวงตาดำสนิทและมันขลับคล้ายตัวหมากล้อมญี่ปุ่นกวาดไปเห็นหลายคนที่ไม่ได้พกอุปกรณ์กันฝนมาไว้ในกาลจำเป็นเช่นนี้ พวกเขาผ่าสายฝนที่เริ่มจะตกแรงขึ้นอีก บางที...พวกเขาที่พยายามหลบฝนกับชายผมดำคนนี้ซึ่งปล่อยให้ตัวเปียกฝน สุดท้ายก็เปียกพอๆ กัน เพียงแต่เหตุผลกับความต้องการที่เปียกคงแตกต่างกันสิ้นเชิง

    เมื่อเริ่มเบื่อหน่ายกับการที่ต้องเฝ้ามองความวุ่นวายของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ ชายหนุ่มหลับตาลง เขารู้สึกได้ว่าร่างกายสัมผัสเม็ดฝนได้มากกว่าเดิม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างๆ นาๆ หมุนอยู่ในหัว มันหนักอึ้ง สมองพลางคิดหาวิธีที่จะระบายมันออกไปให้ได้ ชายหนุ่มคิดออก 1 วิธี

    เขาไม่แน่ใจว่ามันคือทางออกของปัญหาที่แท้จริง แต่เขาก็ควรที่จะรับผิดชอบกับความไร้ความสามารถของตนเอง

    "เรย์มอนด์เอ๋ย...ถ้าหากนายตายไป นายจะได้ไปอยู่ที่ไหนกันนะ?"

    บุรุษนามเรย์มอนด์ คารอล พูดด้วยเสียงเฉยชากับตัวเอง เขาคิดว่าถ้าหากทิ้งตัวลงเบื้องล่างแล้วปัญหาที่บริษัทกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้หลุดลอยไปพร้อมกับดวงวิญญาณของเขาได้ เรย์ก็ยินดีที่จะทำมัน

    หลังจาก อัลเบิร์ต เจ. คารอล พ่อของเรย์ ผู้ก่อตั้งคารอลคอร์ปฯ เสียชีวิตได้ปีกว่า เรย์ต้องเข้ามาบริหารคารอลกรุ๊ป ถึงจะไม่เต็มใจแต่เขาก็โตพอที่จะรู้ว่าทางเลือกนั้นมีแค่จะขายกิจการหรือบริหารต่อ

    แต่เพียง 2 ปี คารอลคอร์ปฯ ที่เคยรุ่งเรืองกลับตกต่ำถึงขีดสุดภายใต้การบริหารของเรย์ บริษัทในเครือต้องประกาศล้มละลาย 8 ใน 10 ลูกค้ารายใหญ่ฝั่งเอเชียสั่งตีคืนสินค้าและอ้างถึงความไม่ได้มาตรฐานและความชำรุดเสียหาย หุ้นคารอลในตลาดหลักทรัพย์ติดลบตัวแดงกว่าสองเดือน เงินทุนหมุนเวียนในบริษัทหมดลงทำให้แม้แต่เงินเดือนที่จะจ่ายพนักงานยังไม่มี ทุกอย่างขาดสภาพคล่อง บุคลากรชั้นเยี่ยมของบริษัทถูกคู่แข่งทางการค้าใช้วิกฤตินี้ซื้อตัวไปอย่างง่ายดาย เรย์ไม่ตำหนิพวกเขาเพราะเป็นแค่เรื่องธรรมดาของสิ่งมีชีวิตซึ่งมีสันชาตญาณการเอาตัวรอด

    พนักงานชั้นน้อยชั้นใหญ่ทยอยพากันลาออก มีจำนวนคนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่ยังพอมีความรักต่อบริษัทและยังพร้อมร่วมสู้ด้วยความหวังที่ว่าจะนำคารอลกรุ๊ปกลับสู่ความรุ่งเรืองอีกครั้ง

    บางคนที่เป็นคนเก่าคนแก่ก็มาตบไหล่ให้กำลังใจเรย์ เขารู้สึกขอบคุณพวกเขาเหล่านั้นจากความรู้สึกทั้งหมดที่มี และก็รู้สึกผิดที่ต้องบอกพวกเขาทั้งหลายว่าเลิกหวังลมๆ แล้งๆ และหันไปหาสิ่งที่จับต้องได้จะดีกว่า

    สิ่งที่ทำให้เรย์ใจชื้นขึ้นมาหน่อยมีเพียงเรื่องเดียวคือ ไม่ได้มีแต่เขาเท่านั้นที่โดนพิษเศรษฐกิจเล่นงานจนแทบเสียสูญ บริษัทคู่แข่งบางราย บริษัทที่เพิ่งเปิดใหม่ต่างก็ได้พบจุดจบเหมือนที่เขากำลังจะเจอในอีกไม่ช้านี้ แม้แต่สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ระดับโลกก็ยังพลอยโดนร่างแหไปด้วย

    อย่าว่าแต่บริษัทเอกชนที่ไม่ค่อยมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบปากท้องของประชาชนส่วนใหญ่เลย แม้แต่รัฐบาลเองก็ยังหนี้ท่วมหัว จนไม่อยากคิดถึงหนี้สาธารณะที่คิดเป็นรายบุคคล

    จะว่าโชคดีได้หรือเปล่าไม่อาจทราบได้ แต่กฎหมายปรับเพดานหนี้ของเหล่าผู้บริหารประเทศ ผ่านการเห็นชอบพอดี ทำให้สามารถกู้เงินได้ทันพอที่จะหมุนเวียนในโครงการต่างๆ ให้ดำเนินต่อไปได้ แต่ประเทศก็ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงไปทีเดียว 2 ขั้น

    สภาวะที่คนงกเงินเช่นนี้ทำให้หลายประเทศก็เจอแทบไม่ต่างกัน เรย์คิดอย่างเข้าใจว่าถ้าเขาเป็นแค่บุคคลธรรมดาก็อาจจะวางใจใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายอย่างก่อนๆ นี้ไม่ลง

    ในชีวิตอันไม่แน่นอนราวกับแขวนอยู่บนใยแมงมุมของสัตว์สองขาที่มีมันสมองอย่างมนุษย์นี้ เงินตราอาจเป็นสิ่งเดียวที่ยังสามารถยึดมั่นศรัทธาได้อยู่

    คารอลคอร์ปฯ ในปัจจุบันคือบริษัทที่ผลิตเกี่ยวกับอุปกรณ์ไอทีชั้นนำของโลก คารอลคอร์ปเปอเรชั่นในแรกเริ่มเดิมทีไม่ได้ผลิตและพัฒนาอุปกรณ์ไอที ธุรกิจแรกที่อัลเบิร์ต พ่อของเรย์จับก็คือขายส่งรถยนต์ภายใต้ชื่อ 'คารอลออโต้คาร์' เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 1980 จนถึง 1985 เป็นเวลา 5 ปี และด้วยความชอบส่วนตัวบวกกับสายตาอันยาวไกลที่มองออกว่าในอนาคต คอมพิวเตอร์จะจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับมนุษยชาติ เขาจึงผันตัวมาจับเกี่ยวกับอุปกรณ์ไอที

    และเป็นไปตามคาด บริษัทคารอลมียอดการสั่งสินค้าในระดับดีเยี่ยม ถึงแม้ในระดับบุคคลทั่วไปจะยังสามารถเข้าถึงได้ยาก ณ ขณะนั้น แต่ส่วนมากบริษัทหรืออุตสาหกรรมขนาดกลางถึงใหญ่ที่กำลังพัฒนาต่างก็ต้องการระบบคอมพิวเตอร์ที่มีความเสถียรของคารอลทั้งนั้น

    ใช้เวลาสองปีคารอลเติบโตอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว จากนั้นได้ขยายสาขาเป็นทั่วประเทศและทั่วยุโรปภายในสามปี ตามลำดับ ปีต่อมาคารอลได้เปิดบริษัทในเครือที่แบ่งแยกตามอุปกรณ์ต่างๆ ที่เริ่มมีมากขึ้นกว่าสิบบริษัท และจากนั้นได้เปลี่ยนชื่อเป็น คารอลคอร์ปเปอร์เรชั่น

    อัลเบิร์ต นำหุ้นคารอลเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 1992 ผลก็เหนือคำบรรยาย นักลงทุนแห่ซื้อทำกำไรและก็ได้ผลดี ปี 1994 คารอลคอร์ปฯ รุ่งเรืองถึงขีดสุดจนติดอันดับบริษัทเอกชนที่มีทุนทรัพย์สูงในโลก แต่กลับกัน สุขภาพ อัลเบิร์ต คารอล ผู้ก่อตั้งทรุดหนักด้วยสารพัดโรคและเสียชีวิตในปีถัดมา นิโคล ซึ่งเป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนยากของเขาเข้ารับตำแหน่งรักษาการซีอีโอ

    ในช่วงปีกว่าที่นิโคลอยู่ในตำแหน่งรักษาการ เธอได้ควบตำแหน่งอาจารย์พิเศษของ เรย์มอนด์ ซึ่งเป็นลูกชายของเพื่อนรักไปด้วย ช่วงนั้นเรย์จึงถูกเคี่ยวอย่างหนัก จนเมื่อเธอคิดว่าเรย์พร้อม นิโคลจึงเกษียณตัวเองเพื่อเปิดทางให้ทายาทแห่งคารอลได้ขึ้นเป็นหัวเรือใหญ่

    แต่สำหรับคนหนุ่มอายุ 23 ปี ที่ยังมีอารมณ์รักความสนุกของชีวิตวัยรุ่นก็ยังถือว่าเร็วไปมากที่จะคอนโทรลธุรกิจยักษ์ใหญ่ขนาดนี้ให้เป็นอย่างที่ต้องการ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไม 2 ปีต่อมา คารอลคอร์ปฯ ที่อุตส่าห์ก่อร่างสร้างมาเกือบสองทศวรรษจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า บวกกับพิษเศรษฐกิจเข้าไปอีก ทำให้ เรย์มอนด์ คารอล อายุ 25 ปี มายืนอยู่ในที่ ที่เข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากกำลังจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย

    เมื่อเขาคิดได้ว่า นี่เป็นแค่การหนีปัญหา คิดได้ว่าแอนนิต้าน้องสาวจะอยู่ยังไงถ้าเขาตายไป คิดได้ว่าไม่อยากตาย ก็เมื่อร่างกายของเขารู้สึกเจ็บปวดรุนแรงไปทุกส่วน เขารับรู้ได้ถึงของเหลวอุ่นๆ สีเข้มนองเต็มพื้นและฝนเม็ดใหญ่ที่กระหน่ำตกลงมาแรงขึ้นราวกับซ้ำเติม ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดลงหูก็พาลได้ยินเสียงผู้ชายบ่นงึมงัม ซึ่งพอจับใจความได้ว่า 'แย่จังน้า…' ฝีเท้าบนพื้นที่มีของเหลวเจิ่งนองก้าวเข้ามาใกล้และหยุดลงข้างๆ ไม่มีเม็ดฝนสาดลงมาบนตัวอีกราวกับเจ้าของเสียงนุ่มนั่งยองๆ พร้อมกับกางร่มคันใหญ่ให้กับเขา

    เรย์รู้สึกตัวอีกทีเขาไม่เจ็บแล้ว เพียงแต่ยังลืมตาไม่ขึ้นเพราะในหัวขาวโพลนไม่รู้ทิศรู้ทาง เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองนั่ง นอน หรือยืนอยู่กันแน่ รู้เพียงว่านี่คงจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าความตาย

    สักครู่ เขาชั่งใจตัวเองอยู่ว่าจะเอายังไงต่อดี สุดท้ายก็คิดได้ว่าควรจะลืมตาขึ้นดีกว่า ด้วยเหตุเพราะไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือตายไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องยอมศิโรราบให้แก่อำนาจแห่งความเป็นจริง ภาพที่เห็นจะเป็นอะไร รับได้หรือรับไม่ได้ ดีหรือเลว ค่อยว่ากันใหม่หลังจากนั้น

    เรย์ค่อยๆ เผยอเปลือกตาบางขึ้น แสงแดดค่อนข้างแรงแต่กลับไม่รู้สึกปวดตา พอลืมตาขึ้นเขาก็รู้ว่าตัวเองกำลังนอนหงายอยู่บนพรมต้นอ่อนหญ้าแสนนุ่มสบาย เรย์ลุกนั่งเมื่อรู้สึกนิดหน่อยว่าผมดำประบ่าของเขานั้นเหมือนถูกจัดแต่งทรงให้เรียบร้อยขึ้นเนื่องจากไม่มีเส้นผมมาเกะกะรกหน้าผากเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นสำรวจดูก็รู้สึกได้อีกว่าสะอาดเกลี้ยงเกลากว่าปกติ ชุดเชิ้ตคอตต้อนสีขาวแขนยาวกับกางเกงที่เขาสวมอยู่ก็ขาวราวกับจะเรืองแสงออกมาได้ เมื่อเรย์ลุกยืนร่างกายก็เบาหวิว เขาสูดเอาอากาศสดชื่นเข้าเต็มปอดและแอบคิดว่าถ้าความตายคืออะไรแบบนี้ล่ะก็ ทุกคนไม่เห็นจะต้องกลัวอะไรมากมาย ก่อนจะเริ่มต้นสำรวจสถานที่ปัจจุบัน

    ในขณะนี้ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบตัว สิ่งที่เด่นที่สุดที่อธิบายได้ทันทีก็คงจะเป็นลำธารใสสะอาด น้ำไหลเอื่อยและดูท่าจะเย็นชื่นใจ ผีเสื้อน้อยใหญ่บินตอมดอกไม้พิลึกที่เขาไม่เคยเห็นบนโลกมนุษย์ พุ่มไม้เขียวสดไม่แปลกตา แต่ให้ความรู้สึกสบายและผ่อนคลายดั่งมนุษย์ที่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันอาทิตย์

    เรย์แปลกใจตัวเอง ทั้งๆ ที่รู้ว่าตายไปแล้วแต่กลับไม่รู้สึกแย่ เขายังจำทุกอย่างที่โลกของเขาได้อยู่แต่ก็ไม่ได้ทุกข์ใจกับเรื่องพวกนั้นอีกแล้ว

    เท้าเปล่าแสนสะอาดเริ่มออกเดินโดยมีหญ้าเย็นสบายเป็นพรมปูตลอดทาง ยิ่งจำนวนก้าวมากขึ้นเท่าใดความยินดีก็ยิ่งเอ่อล้นมากขึ้นท่วมร่างกายจนระบายออกแทบไม่ทัน ความยินดีแสนประหลาดราวได้กลับมาสู่ถิ่นฐานเดิม ความยินดีราวกับญาติมิตรที่ไม่ได้พบกันแสนนานกลับมาอยู่รวมกันในบ้านอันแสนอบอุ่น...บ้านที่เป็นของเขาเพียงหนึ่งเดียว

    เรย์ ไม่เคยรู้สึกว่ามีครั้งไหนที่เขามีความยินดีเท่าตอนนี้ เขาเริ่มออกวิ่ง ร่างกายที่เบาหวิวทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังโบยบินอย่างอิสระ อากาศแสนสดชื่นปะทะใบหน้าคมเข้ม แสงแดดอบอุ่นอาบทั่วร่างที่ปราดเปรียว เรย์หัวเราะออกมาเต็มเสียง ในหัวเข้าใจซ้ำไปซ้ำมาว่านี่แหละคือสวรรค์

    ทุกอย่างในเวลานี้ช่างสมบูรณ์แบบเกินกว่าจะหาที่ติ ไม่มีสุขใดๆ ที่เกินกว่านี้อีกแล้ว

    สิ่งเดียวที่เรย์คิดว่ามันไม่ใช่หรือไม่ปกติคือสวรรค์นั้นออกจะได้อยู่ง่ายไปนิดขัดกับหลักศาสนาที่เขานับถือ เขาวิ่งไปไกลแต่กลับไม่รู้สึกเหนื่อยแม้แต่น้อย เขากระปรี้กระเปร่าราวกับได้ดื่มเครื่องดื่มชูกำลังไปครึ่งโหล ชายหนุ่มหัวเราะและสะดุดล้มที่ไม่ทำรู้สึกเจ็บและไม่มีบาดแผล เรย์ตะโกนออกมาหลังจากรับรู้สิ่งเหล่านั้น

    "ขอบคุณพระเจ้าที่อนุญาติให้ผมขึ้นสวรรค์!" เรย์ตะโกนซ้ำไปมา อารมณ์ของเขาในตอนนี้ไม่มีอะไรมาทำให้ขุ่นมัวได้

    "อย่าไปขอบคุณเขาเลย เขาไม่ยินดีจะรับนายกลับขึ้นไปหรอก"

    เสียงนุ่มหูพูดลอยมาจากด้านหลัง เมื่อเรย์หันไปก็พบกับชายผมบลอนด์ทองที่เขาไม่รู้จัก

    เรย์ลุกขึ้นปัดเศษหญ้าออกจากกางเกง ดวงตาดำจ้องเขม็งด้วยความสงสัยในรอยยิ้มที่ดูยังไงๆ ก็เป็นการแสร้งปั้นขึ้น

    แต่ถึงจะน่าสงสัยเรย์ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย ชายปริศนาหันมองวิวทิวทัศน์รอบตัวก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงสบายๆ

    "จะบอกให้นะ ที่นี่น่ะคือสวรรค์ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่หรอก"

    คิ้วเรย์ขมวด ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่แต่เขารู้สึกว่าตัวเองทำปากเหวอ ทว่าพอเรียบเรียงสิ่งที่ได้ยินดีๆ และคิดต่ออีกนิดหน่อยว่านี่คือสวรรค์ เรื่องที่ชายคนนี้พูดมาก็อาจเป็นเพียงมุกตลกที่ทำให้เรย์ได้สนุกสนานขึ้นอีกก็เป็นได้

    "อะไรของนายวะ สวรรค์แต่ไม่ใช่สวรรค์" เรย์พูดยิ้มๆ เชิงดูแคลน แต่ก็ขำๆ ราวกับเห็นพฤติกรรมแปลกประหลาด ของคนสติไม่สมประกอบ เขาเท้าสะเอว ลมเย็นที่พัดมาทำให้ผ้าพันคอสีน้ำเงินของชายผมบลอนด์ปลิวเล็กน้อย

    "ก็หมายความอย่างที่พูดนั่นแหละ"

    เรย์ได้ฟังก็ขมวดคิ้วอีกครั้งและคิดว่าคงป่วยการที่จะเสวนาในเรื่องที่เข้าใจได้กับชายคนนี้ เขาจึงตัดความรำคาญโดยการเปลี่ยนเรื่องคุย

    "เออๆ ช่างเหอะ นายชื่ออะไรล่ะ"

    ยังไม่ทันที่ชายผมบลอนด์ร่างสูงหรือลุคจะตอบเรย์ก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน ลุคไม่ติดใจเพราะเขาก็ไม่ได้ยินดีที่จะตอบอยู่แล้ว

    "ลองวิ่งไปคฤหาสน์ตรงโน้นดูมั้ย? บางทีที่นั่นอาจเป็นที่อยู่ของเราบนสวรรค์นี่ก็ได้นะ" เรย์ชี้ไปยังสิ่งก่อสร้างอันใหญ่โตแสนงดงามที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลและชักชวนเพื่อนใหม่ที่ยังไม่รู้จักชื่อ แต่ลุคกลับถอนใจ

    "ไปที่นั่นก็อยู่อะไรไม่ได้หรอก"

    เรย์ซึ่งกำลังจะหันหลังเดินไปหยุดชะงัก

    "สิ่งที่นายกำลังเห็นอยู่ในตอนนี้ไม่มีอะไรที่เป็นจริงเลยสักอย่าง มันก็แค่จำลองออกมาจากของจริงเท่านั้น ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ นี่มันเป็นความฝันของนาย"

    "หมายความว่าฉันยังไม่ตายใช่รึเปล่า?" เรย์พูดด้วยน้ำเสียงสั่น รอยยิ้มสุขสันต์เริ่มจางไปจากใบหน้า

    "ตายแล้ว" ลุคตอบหน้าตาเฉย ความงุนงงของเรย์เริ่มเบียดบังความสุขที่ก่อนหน้านี้ยังมีอยู่เต็มเปี่ยม

    "แต่ถ้านายเชื่อสิ่งที่ฉันกำลังจะพูดต่อจากนี้ สักวันนายจะได้มาอยู่ที่นี่แบบจริงๆ"

    คำพูดชวนสงสัยของลุคแม้แต่ตอนนี้เรย์ก็ยังไม่เข้าใจ ลุคถามต่อทั้งที่รู้คำตอบดี

    "ชอบที่นี่รึเปล่า?"

    เรย์พยักหน้า คำตอบไม่ต่างจากที่ลุคคิดไว้ และนี่ก็เป็นคำพูดเดียวที่เรย์เข้าใจได้

    "ที่นี่ทำให้นายมีความสุข ถ้านายอยากที่จะได้ที่แห่งนี้เป็นที่อยู่ล่ะก็ นายต้องกลับไปมีชีวิต...ในฐานะมนุษย์อีกครั้ง"

    ลุคหยุดพูดและสังเกตสีหน้างงงวยของเรย์

    "เพียงแต่ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาเหมือนก่อนหน้านี้"

    เรย์ยังคงฟังเสียงนุ่มร่ายสิ่งที่ยังเขัาใจทันทีไม่ได้ แต่ความคิดเกี่ยวกับภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่หรืออะไรทำนองนั้นก็ผุดขึ้นในจินตนาการของเขา

    "โทษทีนะนาย เรื่องที่นายเล่ามามันก็น่าสนุกอยู่หรอก แต่เชิญไปหาคนอื่นเหอะ ยังไงฉันก็ตายไปแล้ว ขออยู่โลกคนตายดีกว่า"

    เรย์พูดแสดงความเบื่อหน่ายอย่างตั้งใจ เขายิ้มให้ชายผมบลอนด์ก่อนจะหันหลังและเดินจากไป

    เคล้ง...

    เสียงคล้ายโลหะกระทบกับของแข็งดังขึ้นหลังจากที่เรย์ออกเท้าได้เพียงก้าวเดียว จากนั้นบางอย่างที่ยาว แหลมคม และเย็นเยียบอย่างชั่วร้ายก็ถูกพาดอยู่บนไหล่ของเขาโดยมีเจตนาร้ายสะท้อนอยู่บนคมสีเงินอย่างชัดเจน

    ทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่เรย์ก็รู้สึกว่าความตายอยู่ข้างใบหูเขานี่เอง

    ความหวาดหวั่นว่าดาบเงินนั่นจะสะบั้นคอขาดเมื่อใดก็ได้เข้าโจมตีเรย์อีก เมื่อความเงียบเข้าปกคลุม เรย์ชูมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือหัวและค่อยๆ หันหลังกลับมา

    "โอเคๆ ฉันฟังนายก็ได้" เรย์พูดหวาดๆ พร้อมเลื่อนสายตาลงไปที่ดาบยาวซึ่งพาดอยู่บนไหล่ ชายผู้มีใบหน้าที่ยิ้มจากการปั้นขึ้นจ้องหน้าเรย์

    "เอามันออกไปสิ"

    สิ้นคำขอ ลุคค่อยๆ ชักดาบกลับเข้าหาตัวและปักลงบนพื้นหญ้า มันสลายกลายเป็นละอองแสงทันทีที่ลุคปล่อยมือจากด้าม

    "ถึงนายบอกว่าจะฟัง แต่คนหัวแข็งอย่างนายฉันไม่เชื่อว่ะ"

    ลุคพูดและเลิกปั้นยิ้ม มือทั้งสองที่ถูกหุ้มด้วยถุงมือสีน้ำเงินล้วงกระเป๋ากางเกง เขารู้สึกเหยียดหยามในยิ้มแห้งๆ ขณะนี้ของเรย์และคิดโมโหกับตัวเองที่มีนิสัยชอบตั้งความหวังกับผู้อื่นมากเกินไป

    ถ้าเอากันตรงๆ ลุคคิดว่าชายตรงหน้าคงไม่สามารถมีประโยชน์อะไรกับเขาได้เลย ไม่ว่าตอนนี้หรือในอนาคต เห็นรอยยิ้มแสนจะปวกเปียกนั่นก็เดาได้ไม่ยาก แต่เขาแค่ถอนใจก่อนเอ่ย

    "เอาเป็นว่าฉันจะให้นายดูอะไรก่อน จากนั้นคำตอบของนายจะเป็นยังไงฉันจะรับฟังไว้ก็แล้วกัน" ลุคดึงถุงมือสีน้ำเงินให้กระชับ "เริ่มได้" เสียงนุ่มว่า

    สิ้นคำ ภาพบรรยากาศของสถานที่ที่เรย์คิดว่าเป็นสวรรค์นี้หมุนคว้างราวกับโดนดูด ถึงตอนนี้เขาเริ่มเชื่อในสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ขึ้นมานิดหน่อยแล้ว

    ภาพที่หมุนไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว เป็นรูปร่างที่เหมือนจะดูออกแต่กลับดูไม่ออกนี้ทำให้เรย์เวียนหัวคลื่นไส้ คล้ายอาการที่เป็นอยู่บ่อยๆ ในยามเช้า สักครู่ภาพหยุดหมุนพร้อมกับแสงสว่างที่น้อยลงราวกับมีคนหรี่ไฟ

    เรย์และลุคมายืนอยู่บนฟุตบาทที่ทั้งสองฝั่งรายล้อมไปด้วยตึกสไตล์ยุโรป เวลาในขณะนี้เรย์เดาไว้ว่าน่าจะเป็นกลางดึกไม่ต่ำกว่าสี่ทุ่ม เพียงแต่เป็นที่ไหนเขาก็ไม่อาจรู้ได้

    ชายทั้งสองพยายามเหลียวซ้ายแลขวา แต่เพียงครู่เดียวชายผมบลอนด์ก็เหมือนจะเบื่อที่ต้องทำกิริยาอย่างพวกบ้านนอกมาจากต่างถิ่น ทิ้งให้เรย์หันหน้าหันหลังอยู่เพียงคนเดียว

    แต่กระนั้นเรย์ก็ไม่ได้เห็นอะไรมากกว่าที่ดวงตาดำสนิทจะมองเห็นอยู่มากนัก เนื่องจากหมอกที่ลงหนา อากาศก็เย็นชื้น พื้นถนนเปียกแฉะทั่วบริเวณเพราะฝน ไฟถนนที่อยู่บนเสาเหล็กสูงก็ติดบ้าง ดับบ้าง ภายในตึกปูนแสนโทรมนั่นก็ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต

    หลังจากรับรู้สภาพโดยรวมของสถานที่แห่งนี้อย่างคร่าวๆ แล้ว เส้นขนภายในกายของเรย์ลุกชันอย่างพร้อมเพรียง ราวกับชายชาติทหารซึ่งพรั่งพร้อมไปด้วยระเบียบวินัยอันเต็มเปี่ยม

    เขาคิดว่าแม้แต่ตัวเองที่เป็นผู้ชายแข็งแรงดีก็ยังต้องยืนรวบรวมความกล้าอยู่ไม่ช้าไม่นาน เพื่อที่จะเดินผ่านถนนสายนี้

    "กรี๊ดดดดด!!!!!"

    เรย์สะดุ้งเฮือก

    เสียงผู้หญิงกรีดร้อง ไม่ต้องเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเธอเจอเข้ากับเรื่องอันตราย และไม่ผิดจากที่เขาคิด ร่างบางในชุดกระโปรงวันพีซวิ่งสุดแรงเข้ามาใกล้ที่ซึ่งชายทั้งสองยืนอยู่ ใกล้ขึ้น มากขึ้น เรย์คิดว่าผู้หญิงคนนี้ต้องโล่งใจที่ได้เจอบุคคลซึ่งดูจากภายนอกแล้วไม่เห็นถึงจุดประสงค์ร้ายอย่างเขา

    แต่เรย์คิดผิด

    เขาถึงกับงุนงงว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงทำเหมือนไม่เห็นพวกเขา ทั้งที่ขณะนี้เธอกำลังจะชนเรย์อยู่แล้ว

    เรย์ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผู้หญิงผมทองยาวในชุดวันพีซสีเชยๆ วิ่งร้องกรี้ดทะลุผ่านตัวเขาไปอย่างหน้าตาเฉย

    "ตามไปดูสิ" เสียงนุ่มกล่าวอย่างราบเรียบ เขาไม่มีท่าทีแสดงออกถึงความตกใจหรือห่วงหญิงสาวคนนั้น

    อารมณ์ของเรย์พุ่งสูงปรี๊ดแต่ความเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้หญิงคนนั้นมีมากกว่าความโกรธที่อยากจะเอากำปั้นตะบันหน้าทองไม่รู้ร้อนของลุค ว่าแล้วเรย์วิ่งตามหลังผู้หญิงคนนั้นไป

    "ฮิฮิฮ่าฮ่า" เสียงหัวเราะน่ารังเกียจของผู้ชายไล่หลังเรย์มา เขาจึงหันกลับไปดู

    ชายคนนั้นสวมหมวกไหมพรมดำกับเสื้อกล้ามเหลืองและกางเกงยีนส์เก่าๆ ขาดๆ ในมือถือมีดทำครัวเล่มโตวิ่งหลังโก่งตามมา ซึ่งเรย์เข้าใจทันทีว่าหญิงสาวคนนั้นได้ตกเป็นเหยื่อของไอ้คนโรคจิตคนนี้อย่างแน่นอน

    เรย์เบรกตัวเองและหันหลังกลับหมายจะหยุดชายโรคจิตให้จงได้

    กำปั้นโตง้างขึ้นจนสุดและถูกปล่อยออกไปเมื่ออยู่ในระยะของใบหน้าโสโครกนั่น หมัดของเรย์พุ่งไปเต็มแรง ในช่วงที่เขากำลังคิดว่าจะทำยังไงต่อเมื่อชายคนนี้ล้มลง หมัดของเรย์ก็ทะลุผ่านร่างของชายโรคจิตไป

    แรงเหวี่ยงของหมัดตัวเองทำให้เรย์ถลำไปข้างหน้า ชายโรคจิตวิ่งหลังโก่งทะลุผ่านตัวเขาไป เรย์สบถออกมาอย่างเจ็บใจและรีบกลับตัววิ่งตามสองคนข้างหน้า

    สิ่งที่จินตนาการอยู่ทำให้เขาใจเสีย ทั้งท่อน้ำ ถังขยะผ่านเข้ามาและผ่านออกไปจากสายตาด้วยความเร็ว เรย์ยังคงติดตามหญิงสาวและชายโรคจิตต่อไป แม้ตอนนี้ร่างกายเขาใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที

    เขาคิดหาวิธีที่จะหยุดเรื่องบ้าๆ พรรค์นี้ แต่ไม่ว่ายังไงก็คิดไม่ออก เพราะมั่นใจเกินร้อยว่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องที่ดี

    หญิงสาวเลี้ยวตรงทางแยกข้างหน้า เรย์คิดโมโหเธอคนนั้นว่าทำไมถึงได้วิ่งเข้าไปทางที่เดาได้โดยไม่ต้องคิดเลยว่ามันจะเป็นทางตัน

    และแล้วเรย์ก็สามารถคาดเดาชะตาของหญิงสาวได้อีกเช่นกัน เมื่อเห็นว่าสุดตรอกแห่งนี้ถูกปิดด้วยอิฐจนสูงเท่าชั้นสามของตึกทั้งสองฟาก

    เธอวิ่งไปจนสุดตรอก เมื่อเห็นว่าหมดหนทางที่จะไปต่อเธอจึงร้องกรี๊ดออกมาและหันหน้าร้องขอชีวิตกับชายโรคจิตซึ่งตามหลังเธอมาทันอย่างจนปัญญา ใบหน้าที่เริ่มเหี่ยวย่นแสดงถึงความหวาดกลัว ในตรอกแคบๆ ชื้นๆ แม้แต่เสียงหอบหายใจก็ยังได้ยินดังก้องอย่างชัดเจน

    "อย่าทำฉันเลย ฉันขอร้อง ต้องการอะไรฉันจะยกให้..." หญิงสาวไหว้ปลก เธอร้องไห้อย่างน่าเวทนา

    "ฮิฮี่ฮี่ งั้นขอแค่อย่างเดียว" ชายโรคจิตดึงชายเสื้อมาเช็ดมีดเล่มโตที่เงาวับอยู่แล้ว "ผมหิวน้ำ ขอดื่มเลือดแดงๆ ในนั้นหน่อยนะ"

    มันค่อยๆ ย่างกรายไปหาหญิงสาว เธอทรุดตัวนั่งลงกับพื้นที่เฉอะแฉะและสกปรก ตัวเธอสั่นเทาจนเห็นได้ชัดแม้บริเวณนี้จะค่อนข้างมืด

    เรย์เพิ่งสังเกตเห็นว่าตรงปากซอยที่เขายืนอยู่นี้ ชายผมบลอนด์ปริศนาก็มาอยู่ข้างๆ เขาแล้วเช่นกัน

    "ทำอะไรซักอย่างซิ!" เรย์ ตะโกนเสียงดัง เขาไม่อายที่ในเสียงของเขามีความตื่นตระหนกปนอยู่เกินครึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือด เส้นผมดำเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

    "ทำไม่ได้" เสียงนุ่มเอ่ยพร้อมใบหน้ายิ้มแย้มปลอมๆ

    "โธ่เว้ย!"

    "ลองดูนั่นสิ" ลุคชี้ขึ้นไปด้านบน เรย์เงยหน้าขึ้นมองทันทีเหมือนโดนสะกดจิต

    เงาทะมึนใหญ่ยักษ์ซึ่งเรย์มั่นใจว่าเป็นของมนุษย์ ฉายทาบบนดวงจันทร์สีเงิน เขาเท้าสะเอวลักษณะท่าทางองอาจ เรย์ใจชื้นเพราะในมือของชายบนตึกนั้นมีอาวุธยาวและเขาก็กำลังมองดูเหตุการณ์เบื้องล่างอยู่ด้วย

    "เฮ้ แกน่ะ มัวแต่ยืนมองทำไมวะ ลงมาช่วยผู้หญิงคนนี้เร็วเข้า!"

    เขาตะโกนสุดเสียง แต่เงาของชายร่างยักษ์ยังคงมองเบื้องล่างอย่างนิ่งเฉย เรย์คิดว่าทำไมถึงทำแค่เฝ้ามอง จะปล่อยให้เหตุการณ์บ้าบอนี้เกิดขึ้นงั้นหรือ?

    "อย่าไร้สาระน่า ฉันนึกว่าจินตนาการของมนุษย์จะทำให้นายเข้าใจสถานะพวกเราตอนนี้แล้วซะอีก" ลุคแตะไหล่ของเรย์ ชายผมดำหยุดนิ่ง เขารู้ตัวแล้วว่าตนเองถูกบางอย่างสะกดไว้

    ชายข้างหลังไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ในความคิดของเรย์

    "บัดซบเอ้ย!"

    ยังไม่ทันที่เรย์จะเตรียมใจ ชายโรคจิตใช้มีดจ้วงแทงหญิงสาวอย่างไม่ยั้งมือ เสียงร้องเธอดังก้องสะท้อนพื้นที่แคบๆ เช่นตรอกแห่งนี้และไม่นานเสียงเธอก็แผ่วลงๆ จนเหลือแต่เพียงเสียงฝนโปรยกับเสียงหายใจของฆาตกรโรคจิต

    น้ำตาของผู้เฝ้ามองเช่นเรย์หลั่งริน เขาคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเอาซะเลยที่ชีวิตๆ หนึ่งต้องมาจบลงง่ายดายเพียงนี้

    แต่ทว่าขณะที่ดวงตาของเรย์พร่ามัวไปด้วยน้ำตา เขาเห็นบางอย่างที่คาดไม่ถึง

    หญิงสาวคนเดียวกันกับที่โดนปลิดชีพเมื่อครู่กระเด็นผ่านทะลุฆาตกร ร่างของเธอราวกับมีแสงในตัวเอง หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะชุดกระโปรงที่เธอสวมอยู่เป็นสีขาวสะอาด เธอดูเหมือนจะประหลาดใจแต่เมื่อเธอสำรวจดูสภาพแวดล้อมในขณะนี้ก็ร้องไห้ออกมาเบาๆ แต่ก็ดังพอที่ชายทั้งคู่จะได้ยิน

    มองข้ามไหล่เธอที่นั่งอยู่ไป ฆาตกรโฉดหันหน้ามองซ้ายมองขวาล่อกแล่กก่อนผละจากร่างไร้วิญญาณของเหยื่อและวิ่งอย่างรีบเร่งออกมา มันทะลุผ่านตัวหญิงสาว เรย์และลุคไปโดยที่ใบหน้าโสมมยังคงเต็มไปด้วยเลือดแดงสด

    "บ้าชิบ ทำไม..ทำไม ไอ้หมอนั่นตัวใหญ่สู้ไอ้โรคจิตนั่นได้สบาย อาวุธก็มี ทำไมถึงปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น"

    น้ำตาเรย์ไหลพราก ลุคเหลือบมองเขาเพียงหางตาราวกับไม่อยากเห็นใบหน้าที่น่าสงสารของเรย์ตรงๆ

    "ผู้ชายข้างบนนั่นเรียกว่า 'ยมทูต' พวกเขาจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องของโลกมนุษย์ เขามีหน้าที่แค่พาวิญญาณคนตายนำไปส่งยังอีกโลกหนึ่งแค่นั้น ที่สำคัญเรื่องนี้ยังไม่จบหรอก ดูต่อซะ"

    ตึงงง

    เสียงของบางอย่างที่ใหญ่และหนักตกลงมาจากที่สูง เมื่อเรย์เงยหน้าขึ้นมองก็ต้องตกตะลึง

    ร่างกายที่สูงไม่น้อยกว่าสองเมตรยืนจังก้าอยู่ข้างหน้าเรย์กับลุค ชายคนนั้นกระโดดลงมาจากดาดฟ้าตึกนั่น ร่างกายใหญ่โตเปลือยท่อนบนทำให้เรย์เห็นกล้ามเนื้อที่เป็นมัดภายใต้ผิวดำแดง ผมดำมันแลดูสกปรกถูกผ้าคลุมไหล่มีฮู๊ดปกปิด ข้อมือทั้งสองข้างสวมเครื่องประดับทองแดงเต็มพรืด ที่เอวพันผ้าสีขาวไว้หลายชั้นและปล่อยชายออกมายาวถึงเข่า อาวุธยาวที่เขาถือมีลักษณะคล้ายเคียวอันยักษ์ที่ปลายติดโซ่เส้นเล็กดังกรุ๊งกริ๊ง

    เรย์เหวอไปชั่วขณะ แม้แต่ลุคก็ดูเหมือนจะเกิดอาการเดียวกัน

    ยมทูตเดินลากขาตรงไปยังจุดที่วิญญาณหญิงสาวนั่งก้มหน้าดูร่างตัวเองที่สภาพขณะนี้แทบมองไม่ออกว่าเป็นใคร

    "คุณครับ มากับผมเถอะ" น้ำเสียงสุภาพผิดกับบุคลิคภายนอกที่แลดูดิบเถื่อนเอ่ยขึ้นเบาๆ

    "คุณเป็นใครคะ?"

    "ยมทูตครับ ผมเสียใจกับเรื่องที่คุณต้องตาย แต่ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะครับ เวลานี้คงต้องขอให้คุณมากับผมก่อน"

    ดวงตาหญิงสาวเบิกกว้าง

    "ไปไหนคะ? ขอร้องล่ะ ฉันไม่อยากไปไหนทั้งนั้น ลูกชายฉันยังดูแลตัวเองไม่ได้"

    "คุณก็มีสามีอยู่นี่ครับ"

    ชายร่างยักษ์ก้มตัวลงไปประคองหญิงสาว แต่เธอปฏิเสธและสะบัดร่างออกจากท่อนแขนอันน่าเกรงขาม ร่างเล็กวิ่งหนีมาจนเกือบถึงตรงที่เรย์นั่งนิ่งอยู่เธอก็หยุดกึก และเหมือนถูกกระชากล้มลงยมทูตคว้าผมยาวของเธอไว้ก่อนดึงเต็มแรง โดยไม่สนใจเสียงร้องโอดครวญของหญิงสาว

    "ผมบอกคุณดีๆ แล้วนะ ต้องขอประทานโทษ..."

    สิ้นเสียงสุภาพ ยมทูตดึงทึ้งผมของหญิงสาว เขาลากตัวเธอไปข้างหน้า ความสะใจแฝงอยู่ในแววตาร้ายกาจนั่น ยมทูตมองเธออย่างหยามเหยียดก่อนจะยกอาวุธคู่กายเคาะกับกำแพงเหนือศพที่จมกองเลือด

    ยมทูตลากตัวหญิงสาวต่อไปจนทั้งคู่ทะลุผ่านกำแพงซึ่งควรจะเป็นทางตัน พริบตาที่ทั้งคู่หายไป วงแหวนสีม่วงสว่างจ้าขึ้นมาแว่บหนึ่งก่อนภาพทั้งหมดจะหมุนคว้าง

    เรย์และลุคกลับมายังสถานที่อันแสนงดงามอีกครั้ง เพียงแต่มันไม่ได้ทำให้เรย์หัวเราะได้อีกต่อไป

    น้ำอุ่นใสไหลอาบสองแก้ม เรย์ไม่อยากจะนึกถึงเรื่องเมื่อครู่แต่ภาพทั้งหมดโหดร้ายจนติดตา

    "จนถึงตอนนี้พวกมนุษย์ยังไม่สามารถหาตัวชายคนนั้นเจอ แต่แค่นั้นยังไม่เท่าไหร่ การจากไปของภรรยาทำให้สามีกลายเป็นคนเสียสติในเดือนถัดมา ลูกชายถูกส่งไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแต่ก็ถูกเด็กคนอื่นกลั่นแกล้งสารพัด สุดท้ายลูกชายก็ผูกคอตายในอีกปีให้หลัง"

    ลุคพูด เขาตัวสั่นด้วยความโกรธและกำหมัดแน่นอย่างคับแค้น

    "สำหรับฉันเรื่องพรรค์นี้มันไม่ควรเกิดขึ้น ความตายเป็นความไม่ยุติธรรมที่ถูกยัดเยียดมาให้มนุษย์อย่างพวกนาย อย่างที่เห็น ความตายของแม่ทำให้ครอบครัวหนึ่งซึ่งควรจะมีชีวิตอย่างปกติสุขต้องพังทลาย ผิดกันกับพวกยมทูต ทุกวันพวกเขามีหน้าที่แค่คอยลงโทษวิญญาณมนุษย์กับเล่นสนุกแต่กลับมีชีวิตอยู่เป็นนิจนิรันดร์..."

    "ฉันหยุดมันได้ใช่มั้ย?" เรย์พูดลอดไรฟันอย่างเจ็บใจ ลุคชะงักชั่วครู่ก่อนจะหัวเราะในลำคอ

    ความยินดีก่อตัวขึ้นเมื่อเรื่องที่เขาหวังดำเนินไปในทิศทางที่เขาต้องการ

    "ที่นายบอกว่าจะให้ฉันกลับไปในฐานะมนุษย์พิเศษ...หมายความว่า...ฉันสามารถหยุดความตายได้สินะ"

    ชายผมบลอนด์ขบขัน เขาคาดไม่ถึงว่าเรื่องจะง่ายดายขนาดนี้ เขาอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ แต่ก็ต้องกลั่นไว้และเสแสร้งตีหน้าเศร้าเจ็บปวดให้เข้ากับบรรยากาศ

    "อืม ใช่ ถ้านายเห็นว่าเรื่องนี้มันไม่ถูกต้อง ไม่ยุติธรรมล่ะก็ ฉันจะให้โอกาสนายกลับไปแก้ไขมัน"

    เมื่อฟังจบประโยคเรย์ยันตัวเองลุกขึ้น เขาหันมาหาชายผมบลอนด์ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ แต่เหมือนกับความอยากรู้เรื่องนั้นจะถูกบางอย่างทำให้ลืมไปจึงทำให้เขาจ้องหน้าลุคเขม็ง

    "ความตายไม่ควรมีในโลกมนุษย์" เสียงทุ้มต่ำกล่าวอย่างเข้มแข็ง ถึงแม้เรย์จะยังรับไม่ได้เรื่องบริหารคารอลกรุ๊ปล้มเหลว แต่เขาก็รู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าความไม่เป็นธรรมควรจะได้รับการแก้ไขเช่นไร

    "ดี ฉันจะให้นายกลับไปมีชีวิตอีกครั้ง เพียงแต่..."

    "?"

    "เมื่อนายกลับไปแล้วนายจะรู้ว่าคนที่มี 'สิ่งพิเศษ' จะไม่ได้มีแค่นาย หลังจากนี้พวกพิเศษจะกระจายกันไปทั่ว ขอให้นายใช้วิธีอะไรก็ได้ค้นหาพวกเขา และพวกนั้นจะเป็นมือเป็นเท้าให้นาย ส่วนปัญหาหยิบย่อยก็ไม่ต้องห่วง ฉันจะจัดการเอง เอ้า หลับตาซะ"

    ลุคออกคำสั่ง แต่เรย์ได้หยุดเขาไว้ก่อน

    "เดี๋ยวนะ พูดมาซะยาวแต่ฉันไม่เข้าใจเลย ฉันยอมรับว่านายไม่ใช่คนแน่ แต่ฉันน่ะอยู่กับความธรรมดามายี่สิบกว่าปีนะ ช่วยอธิบายช้าๆ ให้ฉันเข้าใจด้วยสิ ไหนจะยมทูต ไหนจะคืนชีพคนตายและก็ทุกเรื่องน่ะ"

    "ก็บอกว่าไม่ต้องห่วงไง เรื่องแบบนี้ถ้าเป็นนายที่ทำใจยอมรับได้แล้ว ไอ้เรื่องจะเข้าใจก็ไม่ยากหรอก" ลุคเท้าสะเอวพูดสบายๆ ก่อนเสริม "หลับตาซะ ยิ่งมัวแต่พูดกันอยู่คนที่ต้องเจ็บปวดจากความตายก็ยิ่งมากเท่านั้น"

    เสียงนุ่มส่อแววรำคาญใจ เรย์ยังรู้สึกงงๆ อยู่ไม่น้อยซึ่งมันก็แสดงออกมาทางสีหน้าของเขาและลุคก็ดูออก แต่ลุคไม่ใส่ใจ พลางส่งสายตาเป็นนัยๆ ว่า 'จะเอายังไง?' ซึ่งเมื่อเรย์เห็นก็ไม่คิดจะพูดอะไรต่อก่อนจะหลับตาลง

    พริบตาในหัวเรย์หมุนคว้าง สัมผัสของเท้าที่ก่อนหน้านี้เป็นใบหญ้าเย็นๆ นุ่มสบายหายไป เขารู้สึกไม่ต่างกับถูกดึงขึ้นฟ้าอย่างรุนแรง ในหัวขาวโพลนไม่รู้ทิศทางอีกครั้ง

    บัดนี้เรย์รู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่น สีขาวในหัวเริ่มสลายตัวกลายเป็นแสงจ้าๆ ทะลุเปลือกตาที่ยังหลับสนิท เสียงก๊อกแก๊กดังขึ้นเบาๆ ทางหูด้านซ้ายตามด้วยเสียงที่แสดงถึงความประหลาดใจของผู้หญิงที่อายุไม่น่าจะเกินสามสิบ

    "เอ๋?"

    เขาได้ยินเสียงก๊อกแก๊กอยู่อีกพักหนึ่งก่อนเสียงฝีเท้าจะเดินออกห่างตัวเขาไป เรย์พยายามจะเรียกประสาทการรับรู้ของตัวเองคืนมาทั้งหมด แต่ขณะนี้ร่างกายดูเหมือนจะไม่ยอมทำตามความต้องการของสมอง เขาสัมผัสได้เพียง เสียง กลิ่น และความรู้สึกรับรู้สัมผัสเท่านั้น

    เสียง ปิ้บ ของเครื่องบางอย่างเริ่มดังขึ้นหลังจากที่เสียงฝีเท้าเดินจากไปไม่นาน กลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อโรคคละคลุ้ง ที่ๆ เขานอนอยู่แข็งนิดหน่อยและถูกยกสูงช่วงท่อนบน ไม่นานเสียงฝีเท้าก็ดังใกล้เข้ามามากขึ้นและดูเหมือนจะมีกันหลายคน

    เสียงฝีเท้าหยุดลงตรงใกล้ๆ กับที่เรย์นอนอยู่

    "พระเจ้า..."

    ข้อมือเรย์ถูกดึงออกจากข้างลำตัวก่อนจะถูกนิ้วของบางคนในกลุ่มนั้นกดไว้เบาๆ จากนั้นเสียงผู้ชายที่เรย์คิดว่าเป็นหมอคนเดิมพูดต่อ

    "พรุ่งนี้ต้องได้ลงข่าวหน้า 1 แน่"

    "ฉันบอกแล้วคุณหมอก็ไม่เชื่อ" เสียงผู้หญิงคนแรกพูดอย่างตัดพ้อ

    "แหม...ครับๆ เชื่อแล้วล่ะ บอกชีพจรเขาทีสิครับ"

    "ปกติค่ะ"

    "อัตราการเต้นหัวใจล่ะ"

    "30,46,70,80 ปกติแล้วค่ะ รวมถึงความดันของเขาด้วย"

    "บ้าชัดๆ ฮะๆๆๆ" หมอผู้ชายหัวเราะ "เขาฟื้นจากความตาย คุณคารอลฟื้นจากความตาย!"

    หมอแลมีน้ำเสียงที่ยินดีแต่เรย์กลับตกใจอย่างเงียบๆ เพราะหมายความว่าเรื่องที่เขาเจอกับชายปริศนาไม่ใช่เพียงความฝัน

    "คุณโซเฟีย ช่วยเรียกคุณแอนนิต้าน้องสาวของเขามาหน่อย เธอต้องดีใจแน่"

    พยาบาลคนแรกตอบรับด้วยเสียงที่ราวกับเก็บความยินดีเอาไว้ไม่อยู่พอๆ กันกับหมอ

    "คุณไวท์ฮอร์ส ช่วยไปตามหมอไบรอันกับหมอโดมินิคให้ผมหน่อย เราจำเป็นต้องตรวจดูหัวใจกับสมองของคนไข้"

    พยาบาลสาวอีกคนที่ดูเหมือนจะแก่กว่าคนแรกตอบรับเช่นกัน

    "ส่วนคุณ...ชื่ออะไรนะ? ช่วยเจาะน้ำเกลือกับสายให้เลือดที ส่วนคุณที่อยู่ตรงนั้นเข็นรถอ๊อกซิเจนมาทางนี้หน่อยครับ"

    หมอคนเดิมบัญชาการอย่างช่ำชอง เสียงสิ่งของดังโคล้งเคล้ง หลังมือของเรย์เย็นวาบด้วยสำลีที่ชุ่มแอลกอฮอล จากนั้นก็เจ็บจี๊ดจากเข็มที่ถูกแทงทะลุเส้นเลือด

    "มันเป็นไปได้ยังไงกันคะคุณหมอ คนตกจากตึก 18 ชั้น แต่ไม่ตายเนี่ย"

    "ผมว่าไม่ใช่เขาไม่ตายหรอก มันเหมือนกับเขาฟื้นขึ้นมาต่างหาก จากความตาย นี่ผมยังตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูกอยู่เลยนะ"

    เรย์ซึ่งได้ยินทุกอย่างก็รู้สึกทึ่ง ที่เขาฝันเมื่อครู่คือความจริง เขาอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่กลับพูดไม่ออก เหมือนกับกล่องเสียงยังไม่ถือกำเนิดหรือเสียหายอย่างหนัก

    บางทีอาจไม่ได้เป็นเพราะกล่องเสียงไม่ฟังคำสั่งของสมองที่มีกระแสไฟฟ้าเป็นสื่อ เขาอาจจะเหนื่อยและอ่อนเพลียเป็นอย่างมากจนทำให้ไม่สามารถออกเสียงได้ เขาแปลกใจที่ความอ่อนล้านั้นกลับมีมากกว่าความเจ็บปวด แต่เขาก็ทิ้งความสงสัยจิ๊บจ๊อยเช่นนั้นซึ่งยิ่งคิดก็รังแต่จะทำให้เขาเหนื่อยมากยิ่งขึ้นไปและเลือกที่จะพักฟื้นในฐานะของคนไข้ในโรงพยาบาลอย่างคนไข้ปกติทั่วไป

    ก่อนที่เรย์จะหลับไปอีกครั้ง เขาได้ยินเสียงใสๆ แฝงแววซุกซนเรียกชื่อเขาซ้ำไปซ้ำมา เธอร้องไห้ทำให้ชื่อ 'เรย์' ของเขานั้นออกจะฟังไม่เป็นศัพท์เท่าไรนัก ร่างของเรย์หนักขึ้นเล็กน้อย น้ำอุ่นๆ หยดบนหน้าเขาพร้อมกลิ่นหอมสดชื่นของแชมพู

    ความคิดที่ราวกับเป็นความสำนึกผิดอย่างตัวเองเป็นพี่ชายที่แย่ที่สุดในโลกผุดขึ้นในสมองก่อนจะถูกห้วงนิทราชิงเอาสติสัมปชัญญะไป

    …..

    .

    ชาย ผมดำลุกพรึ่บไม่ต่างจากสปริง สองมือยันเตียงนอนแสนนุ่มเอาไว้ ใบหน้าหล่อเท่ตามแบบฉบับคนยุคใหม่ชุ่มเหงื่อ ทันทีที่เรียบเรียงสติได้ข้างในหัวเขาปวดจี๊ดจนต้องกุมขมับ แสงไฟสีส้มสลัวในห้องที่ถูกตกแต่งอย่างดีทำให้รู้ว่าตัวเอง เพิ่งตื่นจากความฝัน

    ข้างตัวเรย์ขยับดุ๊กดิ๊กตามด้วยเสียงเนิบนาบเซ็กซี่

    "เรย์ มีอะไรอีกงั้นเหรอ?" หญิงสาวกระพริบตาปริบๆ ทรวดทรงองเอวแสนงดงามขยับตะแคงด้านข้าง

    "ไม่มีอะไรหรอกสเตฟานี่ เรย์แค่ฝันถึงเรื่องที่เรย์เล่าให้จอห์นกับสเตฟานี่ฟังน่ะ"

    หญิงสาวมองเขาด้วยดวงตาสีฟ้าสดใสแต่ลึกลับที่สะท้อนแสงไฟในห้องจนงดงามดุจเพชร เธอไม่พูดอะไรและเลื่อนศีรษะมาหนุนบนตักของเรย์

    เขาดันหลังขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียงและดึงมือเรียวยาวนุ่มนิ่มของสเตฟานี่มาบีบเล่น เล็บยาวสีม่วงประกายมุขของเธอ ให้ความรู้สึกไม่ต่างกับได้เข้าเฝ้าเจ้าหญิงเลอโฉม ที่ต้องตะลึงในความงามแต่ก็น่ากลัวและประหม่าในเวลาเดียวกัน

    ไม่ถึง 1 นาที เจ้าหญิงสิ้นฤทธิ์จนส่งเสียงกรนเบาๆ ออกมา ซึ่งทำเอาเรย์อดอมยิ้มไม่ได้

    เขาภูมิใจ...เพราะมีเขาเพียงคนเดียวที่ได้เห็นบุคลิคนี้ของเธอ เขาลูบเส้นผมสีกาแฟนุ่มมือและพิจารณาใบหน้างดงามแต่น่ารัก สมองพาย้อนกลับไปยังวันแรกที่พวกเขาได้เจอกัน

    วันแสนวิเศษ...ที่ไม่ว่าอะไรก็ดูเหมือนจะไหลไปในทางที่เขาต้องการ

    .

    …..

    "ไชโย!!!"

    ความยินดีถูกถ่ายทอดออกมาเป็นเสียงที่ดังลั่นและพร้อมเพรียง

    "ขอให้พวกเราดื่มฉลองกับบอสซึ่งกลับมาเดินหน้าคารอลกรุ๊ปอีกครั้งหนึ่งครับ"

    สิ้นเสียงจากไมโครโฟนก็เป็นเสียงแก้วกระทบกันดังไปทั่งห้องโถงสำหรับจัดอบรมในตึกใหญ่ของคารอลคอร์ปฯที่ตอนนี้กลายสภาพเป็นห้องจัดเลี้ยงซึ่งมีโต๊ะกลมวางอาหารอยู่เกลื่อนกลาด

    "และนอกจากนั้น..."

    พิธีกรจำเป็นพูดอย่างออกรสออกชาติ เขามีใบหน้าน่ารักคล้ายเด็กสาวซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ จอห์น ไลท์ทรี นั่นเอง

    ชายผมดำยาวมัดเกล้าหางม้ายืนอยู่บนเวทีที่ทำขึ้นมาชั่วคราว ด้านหลังขึงด้วยผ้าเลื่อมสีขาวตกแต่งด้วยดอกไม้นานาชนิด ถัดจากดอกไม้คือป้ายพลาสติกซึ่งพิมพ์เป็นอักษรตัวเบ้อเริ่มสีเงินวาวขอบดำว่า 'ฉลองชิปประมวณผลที่เร็วที่สุดในโลก CR-R.Speace280 มียอดจำหน่ายกว่าล้าน' เรย์มอนด์ผู้เป็นประธานรอฟังพิธีกรสวมแว่นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

    "...ขอให้ทุกคนดื่มให้กับการเกิดใหม่อีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่ดั่งนกฟีนิกซ์ของคารอลกรุ๊ปครับทุกท่าน"

    เรย์โค้งตัวอย่างขอบคุณสำหรับเสียงปรบมือและรอยยิ้มจากพนักงานทั้งหลาย ซึ่งบางคนก็คุ้นหน้าคุ้นตา แต่บางคนก็เพิ่งเคยเห็น

    "ยินดีด้วยเพื่อน" จอห์นกล่าวออกไมค์ เรย์หันไปโบกมือให้แทนคำขอบคุณ

    หากแต่...

    ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มและสถานการณ์ที่ดีขึ้นแบบก้าวกระโดดของบริษัท เรย์นั้นมีเรื่องที่สงสัยและอยากรู้คำตอบมากมาย

    หลังออกมาจากโรงพยาบาล ทุกอย่างกลับตาลปัดไปหมด เรย์พอรับได้เรื่องที่ว่าทำไมชิปเซทที่เขาพัฒนาต่อยอดจากของอัลเบิร์ตผู้เป็นพ่อถึงขายดีจนยอดขายถล่มทลาย แต่เรื่องเงินสองแสนห้าหมื่นล้านยูโรที่อยู่ดีๆ ก็โผล่เข้ามาในบัญชีของบริษัทนั้น เป็นเรื่องที่ไม่น่าและไม่ควรจะเป็นไปได้หรือปล่อยปละให้มันเป็นไป

    เรย์พยายามไม่ทำหน้าตื่นตาตื่นใจให้น่าสงสัย เขาลองหลอกถามอลิซซึ่งเป็นเลขาเก่าของพ่อดูก็ได้ความว่ามันคือเงินสำหรับหมุนเวียนปกติของบริษัทอยู่แล้ว เรย์พยักหน้าและเปลี่ยนเรื่องเพื่อกลบเกลือนทั้งที่ใจจริงอยากจะร้องตะโกนดังๆ ว่าไม่ใช่

    ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทคู่แข่งหลายเจ้าประกาศล้มละลายและปิดตัวไปนับไม่ถ้วน หุ้นคารอลกรุ๊ปเขียวเด่นสวนกระแสขึ้นมาในสายอุตสาหกรรมไอที เงินกำไรไหลเข้ามาบริษัทอย่างไม่หยุดหย่อน เรย์ลองคิดในแง่ที่ความเป็นไปได้ของโลกจะพาไปว่า หรือบางทีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะได้ผลเกินคาด

    ไม่

    เรย์คิดปฎิเสธ มันเร็วเกินกว่าที่ระยะเวลาแค่ 2 เดือนจะทำเงื่อนไขพวกนั้นได้ มันเร็วเกินไปราวกับเรื่องที่คารอลกรุ๊ปเจอวิกฤติจนเกือบจะล้มละลายไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

    ไม่อีก เขาคิด

    มันเกิดขึ้น

    เพียงแต่คนทั้งโลกที่เหมือนจะจำเรื่องนั้นได้มีแต่เรย์คนเดียว

    เขาเลิกคิดต่อเพราะถึงยังไงคำตอบของเรื่องนี้มีเพียงหนึ่งเดียวในหัวของเขา นั่นคือ ต้นเหตุทั้งหมดน่าจะเกิดขึ้นเพราะชายร่างสูงหน้าตาหล่อไว้ผมสีบลอนด์ที่เรย์ยังไม่รู้จักชื่อ เขายังจำเรื่องราวทุกอย่างได้ดี ไม่ว่าจะเป็นสถานที่อันแสนงดงาม ภายในซอกตึกที่มีผู้หญิงถูกฆาตกรรม พระจันทร์ ยมทูต วิญญาณ เขาจำได้ดีราวกับเปิดหนังสือที่เคยอ่านหลายรอบ

    พลังที่ชายคนนั้นบอก พลังที่เขาว่าเรย์มอนด์นั้นมีอยู่ จนถึงบัดนี้ก็ปาเข้าไปเดือนที่สองแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เห็นอะไร ที่เกินกว่าความสามารถของมนุษย์ทั่วไปที่เขามีมาตั้งแต่เกิด

    "คุณคารอล..." เสียงนุ่มหวานทำให้เรย์ดึงตัวเองออกจากวังวนความคิด

    "คุณยังไม่หายดีใช่มั้ยคะ? มีอะไรให้ดิฉันช่วยรึเปล่า? บอกดิฉันได้เลยค่ะ"

    เจ้าของเสียงราวกับขนมมาชเมลโลนี้คือ อลิซ แกรนด์สโตน เลขาสาวซึ่งรับช่วงต่อในการเป็นมือขวาของผู้นำแห่งคารอลกรุ๊ปถึง 2 คน ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ชุดราตรีสีครีมทำให้เธอดูจืดชืดนิดหน่อยในสายตาของเรย์ แต่สำหรับพวกหวังพืชหวังผลส่วนใหญ่ก็จะชมว่าสวยอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ถึงจะค่อนข้างจืดชืดเธอก็ยังเปล่งรัศมีแห่งความสง่างามออกมาให้เห็นอยู่เหมือนกัน

    "เปล่าครับ ไม่มีหรอกคุณแกรนด์สโตน คนที่เพิ่งฟื้นไข้ก็อย่างนี้แหละครับ ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วง คุณไปสนุกกับงานดีกว่าครับ"

    พูดจบเรย์ยื่นแก้วไวน์ที่มีน้ำสีฟ้าอยู่ครึ่งหนึ่งในมือตัวเองให้กับอลิซ

    "แต่ผมขอตัวไปสูดอากาศข้างนอกสักพักนึงนะครับ ฝากบอกทุกคนด้วย"

    เลขาสาวพยักหน้าหงึกและซ่อนสายตาสงสัยปนเป็นห่วงจากเรย์ เขาเห็น แต่ก็คิดเพียงแค่เธออาจจะได้รับคำสั่งจากพ่อว่าให้ดูแลเขาหน่อยก็เป็นได้

    เรย์เดินออกมาจากห้อง ทันทีที่ประตูปิดเสียงเอะอะอึกทึกก็เงียบลงทันที

    การที่คารอลกรุ๊ปนั้นฟื้นกลับมาเป็นเรื่องที่น่าดีใจอยู่ แต่มันไม่ใช่การดำเนินไปอย่างปกติ ทำให้เรย์ยังรู้สึกว่ารับไม่ได้หรือได้ลำบาก คำพูดที่มีความหมายดาษๆ ว่าของฟรีไม่มีในโลกกำลังวนรอบตัวเขาเช่นเดียวกันกับโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ เพียงแต่สำหรับเขา การที่คำๆ นี้หมุนอยู่รอบตัวช่างเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์

    แต่เรย์ก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าเขารู้สึกไม่ดีกับสถาณการณ์ในตอนนี้ เพราะยังไงมันก็ทำให้เกิดการจ้างงาน ซึ่งในสภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้ น้อยบริษัทนักที่จะเปิดรับบุคลากรเข้าไปเพิ่มภาระค่าใช้จ่าย ดังนั้นเรย์จึงคิดว่าควรจะใช้โอกาสที่ถูกจัดฉากขึ้นมานี้ทำเรื่องที่ควรทำต่อไป อย่างน้อยก็เพื่อความสบายใจส่วนตัวเขาเอง

    และเขาก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นดอกไม้ที่แลดูสดชื่นซึ่งอยู่หน้าห้องน้ำแล้ว ความคิดที่จะเปิดมูลนิธิอะไรซักอย่างเพื่อโลกจึงเด้งขึ้นมา

    แต่นั่นก็ทำให้เขาหน้ามืด จึงตัดสินใจเดินเข้าห้องน้ำเพื่อหาน้ำล้างหน้าก่อนจะออกไปรับลมที่ระเบียง

    เรย์ผลักประตูไม้ขัดเงาวับสลักลวดลายงดงาม เป็นนกแสนสง่าสองตัวบินล้อมกับเถาของต้นอะไรสักอย่าง แต่เมื่อก้าวเท้าเข้าไป เขารู้สึกราวกับสมองด้านชา

    ไม่มีอ่างล้างหน้า ไม่มีกระจกบานโต ไม่มีห้องส้วมที่ควรจะถูกแบ่งเป็นห้องๆ อย่างระเบียบเรียบร้อย หรืออะไรที่ห้องน้ำควรจะมี

    ลมเย็นพัดปะทะใบหน้า กลิ่นเหม็นสาบตลบอบอวล ภาพที่ดวงตาของเรย์รับเพื่อส่งให้สมองประมวลผลเป็นความคิด ไม่ต่างจากสนามรบที่สงครามเพิ่งจบลงหมาดๆ และท้องฟ้าแดงฉาน

    ที่ๆ เรย์ยืนอยู่มีไฟลุกอย่างเกียจคร้านเป็นหย่อมๆ เขาตะลึงอยู่บนเนินเล็กๆ ที่มองเห็นภาพรวมของที่นี่ได้ค่อนข้างชัดเจน ร่างของคนนับร้อยนอนกองอยู่กับพื้นหญ้าที่แห้งตาย อวัยวะบางส่วนถูกตัดออกมาจากบางร่าง เรย์สะกิดใจเรื่องที่ไม่มีเลือดไหลออกมาจากปากแผล ดาบโลหะที่ส่วนใหญ่หักบิ่น กระจัดกระจายไม่ต่างกับจำนวนศพ

    ความรู้สึกแรกที่เรย์เห็นภาพนี้ เขาขนลุกมากกว่าตกใจ แต่เมื่อกวาดสายตาไปพักเดียว ความรู้สึกอีกอย่างก็เอ่อขึ้นมาแทนที่

    ตอนแรกเขาพยายามปฏิเสธ ว่ามันไม่ใช่ เขาไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้น แต่ยิ่งมองภาพศพมันก็เริ่มมากขึ้นจนยากจะบอกปัด

    ความรู้สึกนั้นของเรย์คือความยินดี

    ความยินดีอีกครั้ง เป็นความรู้สึกดีไม่ต่างจากเมื่อสองเดือนก่อนตอนที่เขานึกว่าตัวเองตายไปแล้ว

    ในที่สุดเขาก็นึกออกจนได้

    ที่ตรงนี้จะทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไป แต่นี่ก็คือสถานที่เดียวกันกับที่ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่ามันคือสวรรค์ สภาพของสถานที่ที่ต่างกันกับตอนนั้นโดยสิ้นเชิงทำให้เรย์จำได้ทันทีไม่ได้ แต่เขาคิดว่าไม่น่าจะจำผิด

    ด้วยความที่ยังไม่แน่ใจทำให้เขาจำเป็นต้องพิสูจน์ เรย์มอนด์วิ่งด้วยความเร็ว ข้ามหลายร่างที่นอนเกลื่อนกลาดอย่างไม่รู้สึกผิด

    และแล้วเขาก็พิสูจน์สิ่งที่ค่อนข้างจะมั่นใจอยู่แล้วได้

    ก่อนหน้านี้เรย์เคยเห็นมันเป็นคฤหาสน์อันโอ่อ่างดงามราวกับไม่ใช่สิ่งที่ก่อร่างสร้างโดยมนุษย์ แต่ ณ ขณะนี้ มันเหลือเป็นเพียงเศษซากปรักหักพังที่เห็นได้ทั่วไปตามโบราณสถานที่มีประวัติการล่มสลายของอาณาจักร

    ที่แห่งนี้คือที่เดียวกันกับที่เขาเคยชวนชายปริศนาให้ไปด้วยกัน

    เรย์ซึ่งมั่นใจแน่แล้วว่าที่นี่คือที่เดียวกันกับที่เขาเคยมาเมื่อสองเดือนก่อน คำถามก็ก่อเค้าขึ้นมามากมายราวกับเมฆก่อนที่ฝนจะตก

    เกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวขจีอุดมสมบูรณ์? ที่นี่คือที่ไหนกันแน่? เขาอยู่ที่ไหนกันแน่? หรือว่าตัวเองได้ตายลงอีกครั้ง?

    ไม่ใช่

    เรย์รู้

    มีเสียงอื่นดังแทรกมากับสายลมที่พัดเย็นเฉียบแต่ไม่ชื่นใจ เสียงนั้นแผ่วลงๆ คล้ายเครื่องยนต์ที่ใกล้หมดกำลัง

    ไม่ได้การ...

    เรย์วิ่งตามหาต้นเสียง มันขาดเป็นห้วงๆ และเต็มไปด้วยความเศร้าโศก

    มันคือเสียงสะอื้น...ของผู้หญิง

    เรย์วิ่งไล่ตามเสียงนั้นอย่างร้อนรน ในหัวคิดเรื่องเลวร้ายไว้หลายเรื่อง

    และแล้วก็เจอจนได้

    ความคิดแรกที่ได้เห็นคือโล่งอก ที่ไม่เห็นเหตุการณ์ร้ายๆ อย่างที่สมองจินตนาการไว้ จะมีสักกี่ครั้งกันที่น้ำตาและเสียงสะอื้นนั้นเกิดขึ้นจากเรื่องดีๆ

    เธอคนนั้นยืนอยู่หน้าประตูไม้เก่าๆ โทรมๆ ของซากคฤหาสน์ มองจากด้านหลังในจุดที่เรย์ยืนอยู่ เขาเห็นร่างบางในชุดกระโปรงวันพีซขาวกระตุกไม่เป็นจังหวะ ทำให้ผมยาวจนถึงต้นขาสีน้ำตาลอ่อนคล้ายกาแฟผสมนมของเธอสั่นไหวตามไปด้วย

    เรย์ก้าวเดินในความเร็วที่ช้ากว่าปกติก่อนเรียกหญิงสาวที่แผ่รัศมีความเศร้าออกมาเป็นบริเวณกว้าง เธอเงยหน้าขึ้นและเอียงคอราว 3 มิลฯ พลางนึกว่าตัวเองคงหูฝาด เรย์เห็นเช่นนั้นจึงเรียกเธอซ้ำอีกหนหลังจากอยู่ห่างจากด้านหลังเธอเพียงไม่ถึง 2 เมตร

    หญิงสาวหันขวับอย่างรวดเร็วอารามคนตกใจ เรย์ตะลึงงันชั่วครู่ในความงดงามดุจภาพเขียนของศิลปินระดับโลกของเธอ

    "คุณ..เป..เป็นใครคะ?"

    แม้จะยังติดขัด แต่เสียงไพเราะของเธอช่างเข้ากันกับใบหน้า ดวงตาสีฟ้าที่ชุ่มแฉะด้วยน้ำตา คือความสดใสหนึ่งเดียวที่เรย์สัมผัสได้ แต่เมื่อมองลึกลงไปกลับเห็นเพียงความมืดซึ่งไม่แม้แต่จะอาจเอื้อมเข้าไปสัมผัสเพียงปลายก้อย

    อะไรกันนะ? ผู้หญิงคนนี้

    "ผม เรย์มอนด์ คารอล ครับ"

    หญิงสาวเบิกตาโตเล็กน้อยเมื่อได้ยิน

    "คารอล...จูเนียร์?"

    "จะเรียกงั้นก็ได้ครับ แต่เรียกเรย์ผมจะชอบมากกว่า" เรย์ตอบ ลักษณะท่าทางราวกับเธอคือผู้ที่เกิดมาในตระกูลชนชั้นสูงของโลก ซึ่งนั่นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเกร็ง

    "นี่คือที่ไหน คุณรู้มั้ย?" เธอชิงถามเรย์ก่อนที่เขาจะได้ถามชื่อเธอที่น้ำตาเริ่มแห้ง

    "ไม่ทราบครับ แต่ผมเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง"

    "นั่นสินะ...แล้วคุณรู้มั้ย ทำไมฉันถึงร้องไห้"

    น่าแปลก...

    สำหรับเรย์ ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นทาสรับใช้ของผู้หญิงคนนี้กัน น้ำเสียงวางอำนาจนั่น หรืออาจเป็นเรื่องที่เธอไม่ยอมเปิดโอกาสให้ถามอะไรเลย ความเห็นทั้งหมดของเรย์ดูจะถูกทิ้งไว้โดยที่เธอไม่แยแสได้อย่างง่ายดาย

    "ผมคิดว่าคุณกลัวการที่คนเราตื่นมาแล้วอยู่ในที่ๆ ตัวเองไม่ได้นอนหลับ เป็นธรรมดาที่จะต้องแตกตื่น แล้วนี่ยังเป็นที่ซึ่งมีศพนอนอยู่เกลื่อน ไม่แปลกที่คุณจะต้องกลัวจนร้อง..."

    "ไม่ใช่หรอก" หญิงสาวขัด ดวงตาเธอเลื่อนไปยังสุดปลายสายตาโดยที่ไม่ได้เห็นใบหน้าที่อารมณ์เริ่มขุ่นแว่บหนึ่งของบุรุษ

    แต่ถึงกระนั้นเขาก็อยากจะฟังเหตุผลของหญิงสาวซึ่งตอนนี้ เธอใช้นัยน์ตาสีฟ้าจ้องเข้ามาในดวงตาสีดำสนิท ริมฝีปากแย้มยิ้มราวอสรพิษ

    "ท่าทางฉันดูเหมือนคนตกใจกลัวงั้นเหรอ? ฉันว่าไม่หรอกนะเรย์" เธอเงยหน้าขึ้นและขำขันคล้ายคนสติไม่สมประกอบ

    "ฉันร้องไห้เพราะรู้ว่าจะไม่สามารถกลับไปแก้แค้นสามีที่เป็นคนฆ่าฉันได้ยังไงล่ะ"

    ดวงตาคมแข็งกร้าว แรงกดดันมหาศาลโถมใส่ตัวเรย์เมื่อเธอพูดจบ ถ้าหากเขาไม่ตั้งตัวไว้ก่อน ป่านนี้เข่าของเขาคงทรุดพื้นไปแล้ว

    อันตราย...

    นิยามเดียวที่เรย์สามารถจำกัดความผู้หญิงคนนี้ได้ เส้นขนของเขาลุกชันไปทั่วร่าง รอยแสยะยิ้มนั่นแม้จะงดงาม แต่ก็รู้สึกว่าไม่ควรเข้าใกล้ แต่ถ้าสลัดปัจจัยตรงนั้นทิ้งไปเธอก็เป็นผู้หญิงที่น่าสงสาร

    ถึงตอนนี้เรย์ฉุกใจคิดได้สองเรื่อง

    หญิงคนนี้รู้ว่าตัวเองนั้นตายแล้ว และเธอก็ถูกส่งมายังสถานที่ที่เขาเคยมาตอนที่รู้ว่าตัวเองตายแล้วเช่นกัน แม้สภาพจะต่างแต่ทำไมต้องเป็นที่เดียวกัน

    อีกเรื่องไม่เชิงเป็นเรื่องที่ฉุกคิดได้ แต่เป็นเรื่องที่เพิ่งนึกออกหลังจากที่เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้วมากกว่า

    มันคือคำพูดของชายปริศนาที่บอกว่าเขาจะไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอีกต่อไป

    ผ่านมาสองเดือนกว่า ถึงจะไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองวิเศษกว่าใคร แต่สถานการณ์นี้จะเรียกว่าเป็นหลักฐานพิสูจน์คำพูดเหล่านั้นได้รึเปล่า? ความคล้ายคลึงกันของเรย์กับผู้หญิงคนนี้คือคำตอบของความพิเศษที่ชายผมบลอนด์ต้องการจะบอกกับเขาหรือ?

    เรย์เหลือบตามองหญิงปริศนาคนนี้อย่างครุ่นคิด ถ้าอย่างนั้นเธอคงต้องมี 'อะไร' เช่นเดียวกันกับเขาแน่นอน

    ความคิดหลายอย่างที่ประดังเข้ามาทำให้เรย์ลืมเรื่องที่จะถามถึงตัวตนของหญิงสาวไปสนิท

    "ส่วนที่นี่ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าคือที่ไหนแต่ฉันไม่ได้รู้สึกว่ามันน่ากลัวขนาดนั้น กลับกัน ฉันรู้สึกว่ามันควรจะเป็นแบบนี้แหละ"

    เธอเดินออกห่างจากหน้าประตู ชายกระโปรงยาวระไปตามพื้น เส้นผมสีสวยพลิ้วเล่นกับลม ถ้าหากว่าท้องฟ้าปลอดโปร่งสดใสและพื้นดินปูด้วยหญ้าเขียวแทนซากศพ ภาพนี้ก็ไม่ต่างจากนางฟ้าลงมาจากสวรรค์เพื่อมาเที่ยวเล่นบนผืนปัฐพี

    "เรย์ คุณรู้จักคนพวกนี้มั้ย?"

    หญิงสาวถามเสียงเรียบและชี้ไปยังร่างผอมของชายผมยาวซึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่ใกล้เธอ เรย์นิ่งเงียบแทนคำตอบ พลางเลื่อนสายตาตามร่างอรชรที่ก้าวเดินไปยังศพนั่น

    "งั้นเหรอ…"

    ดาบเล่มยาวที่ปักอยู่บนพื้นห่างจากศพไม่ถึง 3 ฟุต ถูกดึงขึ้นโดยมือขาว หญิงสาวถือมันราวกับเป็นของรักที่คิดว่าสูญหายไป

    "ภาพของศพเหล่านี้ ภาพที่พวกเขามีสภาพไม่ต่างกับหมาข้างถนนเช่นนี้ทำให้ฉันรู้สึกสะใจลึกๆ ทั้งที่รู้ว่าไม่ควร"

    เธอเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ สายตาคมมองไล่ไปตามความยาวของอาวุธมีคมพลางใช้นิ้วมือลูบไล้อย่างเอ็นดูหลงใหล

    "รู้สึกเหมือนคนชั่วถูกพิพากษา รู้สึกเหมือนกับว่าถ้าพวกเขามีชีวิตอยู่ ความถูกต้องของพวกเราจะถูกดูแคลนหยามเหยียด ภาพที่พวกมันตายอยู่นี่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเพิ่งเคยรู้จักว่าอิสระภาพเป็นเช่นไร"

    เธอมองเรย์ด้วยหางตาซึ่งเขายังยืนกอดอกนิ่ง หญิงสาวชูดาบขึ้น วินาทีถัดมาเธอแทงลงไปบนกลางหลังของศพชายผมยาว

    "ฉันแปลกล่ะสิ?" เธอเสริมพร้อมมองใบหน้ายิ้มกริ่มของชายหนุ่ม

    "ไม่แปลก เพราะผมก็คิดแบบนั้น" เรย์เดินมาขนาบข้างหญิงสาวจนได้กลิ่นกายหอมเย้ายวน

    สตรีมองเขาด้วยสายตาทรงเสน่ห์ทว่าแฝงเคลือบด้วยพิษร้ายก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายคำสั่ง แต่เป็นเรื่องที่ทำให้เรย์ถึงกับตะลึงเล็กน้อย

    "ฉันรู้ว่าคุณไม่ธรรมดา เรย์ คุณช่วยฉันได้ใช่มั้ย? ช่วยฉันกลับไปอีกครั้ง หมายถึง ชุบชีวิตน่ะ"

    ไม่เคยเห็นใครเชื่อเรื่องที่เหมือนกับอ่านนิยายแฟนตาซีได้ง่ายขนาดนี้ โดยการอธิบายเล็กๆ น้อยๆ เพียงไม่กี่คำ

    กระหายที่จะพิสูจน์ว่าตัวเองมีความพิเศษกว่าคนอื่นขนาดนั้นเชียวหรือ? เรย์คิดสงสัย

    "ถ้าทำได้ก็ไปกันเหอะ" หญิงสาวคว้าข้อมือชายหนุ่มและจูงกลับไปยังหน้าประตูไม้บานยักษ์แสนทรุดโทรมก่อนจะชี้ไปที่มัน

    "ดูไม่น่าจะแข็งแรงเลย แต่ฉันกลับเปิดไม่ออก"

    เธอปล่อยมือเรย์ทิ้งและทำท่าดันบานประตูสุดแรง เขาบอกกับเธอว่าขอลองดูบ้าง หญิงสาวผละจากประตูและถอยออกมา

    ตึกตักๆๆๆๆ

    ความรู้สึกแห่งชีวิตใหม่ของบางอย่างในอีกฟากของประตูไหลเข้าสู่ร่างเรย์ทันทีที่ปลายนิ้วเขาสัมผัสมัน เขาหันหน้าไปมองตาหญิงสาวอย่างแฝงความนัย

    "ฉันเชื่อว่าคุณต้องเปิดมันได้"

    แพขนตางอนยาวกระพริบอย่างร่าเริงพร้อมแววตาสดใสที่มีความหวังหล่อเลี้ยงเต็มเปี่ยม เรย์มองมันด้วยรอยยิ้ม

    "จับมือผมไว้นะ" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอย่างสำคัญพร้อมยื่นมือแข็งแรงให้หญิงสาวที่งามสะพรั่งซึ่งเธอก็รับไว้ด้วยมือเรียวยาวงดงาม

    ทั้งที่แค่มองตากันแต่ก็ราวกับอ่านใจกันออก มือข้างที่เหลือของทั้งคู่เหยียดแตะประตูไม้ ความอบอุ่นและสัมผัสของชีพจรแล่นวนอยู่บนฝ่ามือของเขาและเธอซึ่งกำลังยิ้มให้กันด้วยความปลื้มปิติ

    ทั้งคู่ออกแรงเพียงนิดหน่อยประตูไม้ก็เลื่อนเปิดอย่างง่ายดาย

    ทันทีนั้น แสงสีขาวสว่างจ้าออกมาราวกับระเบิดแสงก่อนจะมืดลง

    .

    .

    "คุณคารอลคะ"

    เรย์ซึ่งหลับตาอยู่รู้สึกได้ถึงแรงอันน้อยนิดจากปลายนิ้วที่สะกิดไหล่เขา ดวงตาดำเบิกโพลงด้วยความตกใจ ร่างสูงโปร่งในชุดสูทลุกพรวดจากเก้าอี้ฟ้าในห้องสีขาวที่เปิดไฟสว่าง

    "เป็นอะไรไหมคะ?" เสียงของผู้หญิงคนเดิมถามอีก เธอกอดแฟ้มสันหนาไว้ตรงอก ในมือขวามีปากกาพลาสติกเรียวยาวถืออยู่ เธอโค้งตัวเล็กน้อย ดวงตาหรี่เล็กนั่นคงกำลังคิดชั่งใจว่าผู้ชายคนนี้น่าจะต้องรับการตรวจสักหน่อย

    เรย์บอกปัดไปเรื่องอื่นเหมือนกับที่หลบสายตาจากเข็มกลัดทรงกลมติดเครื่องหมายบวกสีแดงที่สะท้อนแสงไฟจนเข้าตาเขาตรงปกคอชุดขาวของเธอ

    "ไม่เป็นไร ผมสบายดีคุณพยาบาล"

    ในหูยังคงส่งเสียง วิ้ง กังวาล สมองยังเต้นตุบๆ เรย์ใช้มือทั้งสองกดอย่างแรงที่ขมับซ้ายขวา เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่ายืนอยู่ ก็เมื่อเขาทรุดลงเก้าอี้อีกครั้ง

    "อ๊ะ! ระวังค่ะ" พยาบาลสาวอุทานด้วยความตกใจ

    หลังจากสูดอากาศเย็นๆ ของแอร์ผสมน้ำยาฆ่าเชื้อซึ่งเป็นกลิ่นเอกลักษณ์ของทุกโรงพยาบาลไปแล้วเรย์ก็รู้สึกดีขึ้น และถามพยาบาลสาวถึงเหตุผลที่เรียก

    "คนที่คุณคารอลพามาฟื้นแล้วค่ะ"

    คิ้วเข้มขยับม้วนตัวเข้าหากันทันทีหลังฟังจบ เรย์ไม่มีเหตุผลที่ต้องพาใครมาโรงพยาบาล อีกทั้งตอนแรกเขาก็ยังอยู่ในตึกของบริษัทตัวเองอยู่เลย จำได้ว่าเขารู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศของงานจึงเดินออกมา แล้วเปิดประตูเข้าห้องน้ำ...

    "พาผมไปหาเขาหน่อย" เสมือนสลับจากโหมด 'เตรียมพร้อม' เข้าสู่โหมด 'เล่น' พยาบาลสาวสะดุ้งท่าทางน่ารักไม่เข้ากับหน้าตาที่เหมือนหุ่นดินน้ำมันฝีมือเด็กอนุบาล ก่อนจะเดินนำเรย์เข้าประตูห้องที่ติดป้ายเหนือบานเหล็กว่า 'ห้องฉุกเฉิน'

    เมื่อถึงเตียงเป้าหมาย เวลารอบตัวเรย์มอนด์ ก็เหมือนหยุดนิ่งไปนานหลายชั่วโมง

    "เรย์!"

    ชื่อเขาถูกเรียกโดยเสียงไพเราะ เจ้าของเสียงคือหญิงร่างเล็ก นัยน์ตาสีฟ้าสดใส ผมสีกาแฟใส่นมยาวระเตียงเมื่อเธอนั่งอยู่บนนั้น ใบหน้าขาวผ่องงดงามระบายด้วยความดีใจเมื่อเขาเข้ามา

    "คุณ…?" ชายหนุ่มเอ่ยก่อนสมองจะประมวลผล

    ข้างเตียงเธอมีชายวัยกลางคนสวมแว่นกับเสื้อกาวด์ขาวห้อยอุปกรณ์ประจำตัวที่ให้อิมเมจหมอไว้ที่คอ เขาทักทายเรย์ด้วยสีหน้าเหมือนเจอโจทย์สอบเข้าองค์การนาซ่า

    "นี่มันอะไรกันครับหมอ?"

    คำถามปกติเมื่ออยากจะรู้คำตอบของเหตุการณ์ตรงหน้าจากผู้ที่รู้ก่อนแล้ว

    "พูดง่ายๆ แบบรวบรัดเลยก็คือความจำเธอเสื่อม แต่ในกรณีนี้มันต่างจากที่ผมเคยเจอ"

    หมอยังคงอธิบายต่อโดยเหลือบมองหญิงสาวในชุดคนไข้เป็นพักๆ

    "เธอลืมทุกสิ่งเกี่ยวกับความทรงจำในอดีต เช่นเหตุการณ์ที่เคยเจอ บุคคลที่เคยรู้จักแม้แต่ชื่อตัวเองก็จำไม่ได้"

    "แล้วมันแปลกยังไงล่ะครับ?"

    "ก็ตรงที่คุณเป็นสิ่งเดียวที่เธอจำได้ดี"

    ตอนแรกเรย์คิดจะปฎิเสธ แต่เรื่องที่เขาฝันว่าพาเธอกลับมาได้ฉุดปากไว้ได้ทัน แววตาของเธอในตอนนี้คล้ายลูกแมวเปียกฝน ไม่มีรังสีของอันตรายแผ่ออกมาจากตัวเธอเหมือนตอนที่อยู่ในสถานที่ปานสนามรบนั่นแม้แต่น้อย รวมถึงท่าทางเย่อหยิ่งนั่นด้วย

    "เรย์ ฉันจำอะไรไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร ฉันกลัว ถ้าต้องอยู่คนเดียว เรย์ ช่วยฉันด้วย"

    แต่ไหนแต่ไรเรย์แพ้การถูกอ้อนวอนอยู่แล้ว เจอแบบนี้เข้าก็คงต้องยอม แต่ปัญหานั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ สิ่งที่เขารู้เรื่องเดียวจากผู้หญิงคนนี้คือเธอถูกสามีตัวเองฆ่าตาย ดังนั้นเขาก็จะทำเป็นเฉยไม่ได้

    "ครับ ไม่ต้องกังวลอะไรนะ คุณพักผ่อนเถอะ" เรย์บอกอย่างนุ่มนวล และก็แลดูมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้หญิงสาวคลายใจ เธอเอนตัวลงนอนก่อนหลับไปอย่างรวดเร็วจนน่าอมยิ้ม

    คำพูดของชายผมบลอนด์กลับหวนมาในหัวเรย์ สิ่งที่คนๆ นั้นพูดไว้ วันนี้เขาเพิ่งได้พิสูจน์เป็นครั้งแรก

    การเก็บตัวผู้หญิงคนนี้ไว้เพื่อศึกษา 'สิ่งพิเศษ' ดูเหมือนจะมีประโยชน์กว่าการตามหาตัวตนของเธอ

    "งั้นผมขอตัวนะครับ จะได้ไปดูคนไข้คนอื่นด้วย ส่วนกรณีเธอคนนี้ดูเหมือนจะผูกพันกับคุณมาก คุณก็คอยพูดคุยกับเธอถึงเรื่องเก่าๆ บ่อยๆ นะครับ ไม่แน่ว่าบางทีความทรงจำเธออาจจะกลับมา แต่ผมไม่ขอยืนยันนะ"

    ว่าแล้วหมอก็เดินออกห่างจากเตียงไปโดยที่ส่ายหัวเล็กน้อย

    "ขอทำประวัติคนไข้หน่อยนะคะ คุณคงสนิทกับเธอมากเลยสินะ"

    พยาบาลสาวยกแฟ้มในมือตัวเองขึ้นและคลิกที่หัวปากกาเตรียมตัวพร้อมสำหรับจดสิ่งที่ได้ยินได้ในทันที หน่วยก้านราวกับเลขามือฉมังทำให้เรย์นึกชื่นชมอยู่ในใจ

    "ชื่อของเธอคือ...?" เธอลากเสียงในขณะที่มองหน้าเรย์ด้วยความหมายของคนที่ต้องการคำตอบ

    ชายหนุ่มรู้ว่าตัวเองอึกอัก คำพูดจุกอยู่ที่ลำคอ สายตาช่างสงสัยของพยาบาลคนนี้ทำให้เรย์กดดันเหมือนแม่ที่รู้อยู่แล้วว่าลูกไปทำผิดอะไรมาแต่แกล้งเซ่อเพื่ออยากรู้ว่าคนเป็นลูกจะโกหกเช่นไร

    เขาหลบสายตานั่นพลางมองทอดไปยังหญิงสาวที่นอนหลับปุ๋ยโดยบังเอิญ เขาเปรียบเธอตอนนี้ไม่ต่างจากลูกนกที่ยังไม่รู้วิธีบินแต่พ่อแม่กลับถูกยิงตายไปซะก่อน ถ้าไม่มีใครเอาอาหารไปป้อน ลูกนกน้อยตัวนี้ต้องอดตาย รึไม่ก็ต้องเป็นอาหารของงูโฉด

    เรย์แสร้งยกมือเกาหลังคอเพื่อไล่การเปรียบเปรยที่ฟังดูดีแต่เหมือนจะเข้าใจได้ยากก่อนหันมาเผชิญหน้ากับพยาบาลสาวซึ่งรอจดข้อมูลอยู่สักพักแล้ว

    "สเตฟานี่..."

    ในที่สุดเขาก็ตอบออกไป พยาบาลสาวก้มลงเตรียมจดแต่ก็ต้องเงยหน้ามองเรย์อีกทีเสมือนคนได้ยินไม่ชัดหรือไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน

    "ชื่อของเธอคือ สเตฟานี่ คารอล"

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×