ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Memories Of A Morning Light Angel

    ลำดับตอนที่ #5 : Memory piece 5

    • อัปเดตล่าสุด 16 พ.ย. 64


    Memory piece 5

    "ไหนบอกให้อาท่องโคลงให้จบได้ก่อนถึงค่อยมาไง"

    เจ้านรกที่จ้องดูกระดาษแผ่นยาวพูดโดยไม่เงยหน้ากับผมซึ่งนั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ประจำตำแหน่งยมบาล เรื่องสัดส่วนนั้นไม่ต้องพูดถึง ประมาณว่าผมสามคนถึงจะนั่งกันเต็ม

    "ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ แค่มาดูเฉยๆ"

    อาถอนหายใจพลางถอนสายตาจากกระดาษนั่น

    "เธอเนี่ยเคยพูดอะไรแบบตรงไปตรงมาบ้างมั้ย คนเรามันก็แปลก โกหกไม่เนียนแต่ดันชอบพูดโกหก ระวังเหอะ เดี๋ยวจะตกนรกหมกไหม้"

    เสียงเข้มพูดอย่างเอือมระอาราวกับอยากจะตะโกนใส่ผมว่า'แค่ดูหน้า ก็รู้แล้วเฟ้ย!!'

    "เอ้า ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงเรียกตัว"

    ว่าแล้วน้องชายพ่อก็หันกลับไปสนใจแผ่นกระดาษนั้นต่อพร้อมทำปากขมุบขมิบ ส่วนผมหลับตาลงด้วยความเบื่อหน่ายกับการหาทางสกัดกั้นออร่าที่ไม่ว่าวิธีไหนสุดท้ายก็วนมาที่เดิม

    ในนรกนี้อากาศอบอุ่นด้วยคบไฟสีส้มที่ปักกับเชิงเรียงกันอยู่เต็มกำแพงอิฐ จะพูดว่าในนรกก็ไม่ถูกนัก เรียกว่าในห้องนี้ดีกว่า แต่ก็เอาเถอะ เอาเป็นว่าอากาศอบอุ่นมาก...

    มากซะจนไม่จำเป็นต้องใส่ถุงมือหรือผ้าพันคอ

    อ้อ ลืมบอกไป ยังไม่รู้ที่มาที่ไปของออร่าที่ผมบอกว่ากำลังปวดหัวกับมันและสาเหตุที่ผมอยู่ที่นี่สินะ เราย้อนกลับไปกันดีกว่า ผมเองก็อยากมีอะไรทำแก้เซ็งด้วย

    .

    ...

    .....

    ทันทีที่เข้ามาถึงในบ้าน ผมรีบแตะที่หน้าผากเมย์ หญิงสาวที่ผมหลงรักทันที ทั้งที่ไม่รู้ว่าเพื่ออะไร

    "ร้อน!" ผมอุทานตามที่รู้สึก

    (แน่นอนแล้ว ตอนนี้เมย์เป็นไข้)

    'ไข้'เหรอ? มันคืออะไรกัน?

    ก่อนเจ้าลูอิสจะอธิบายข้อสงสัย มันบอกว่าให้ผมรีบพาเมย์ไปในห้องนอนก่อน ซึ่งตอนนี้เธอทรุดลงมาก หน้าเปลี่ยนจากขาวซีดเป็นแดงไปทั้งหน้า ลมหายใจก็ดูเหมือนจะรวยรินลงเรื่อยๆ อะไรกันเนี่ย...เมื่อเช้ายังดีอยู่เลย อาการไข้มันรวดเร็วปุบปับขนาดนี้เลยงั้นเรอะ

    ผมอุ้มเมย์มาถึงห้องสีชมพูหวานแหววและวางเธอลงบนเตียงที่แลนุ่มสบาย ในสมองตอนนี้มีความคิดมากมายตีกันยุ่งจนสับสน เราควรจะเริ่มทำอะไรก่อนดี โธ่เว้ย! นี่มันเรื่องอะไรกัน

    (นายทำตามที่ฉันบอกก่อน แล้วหลังจากนั้นฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย)

    เรื่องอะไร? แต่ผมยังไม่สนใจหรอก เรื่องเมย์ต้องมาก่อน

    ผมรับคำสั่งจากเจ้าลูอิส มันพูดอย่างรวดเร็วราวกับผู้ชำนาญเฉพาะทาง ผมต่างจากมันที่ไม่ค่อยรู้อะไรก็ได้แต่ทำตามคำสั่งอย่างงกๆ เงิ่นๆ ไม่ว่าจะเป็นหา'กะละมัง' 'ผ้าขนหนู' และอื่นๆ บางอย่างที่ผมไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนมันก็จะวิ่งไปคาบมาเอง ก็ไม่เถียงหรอกว่าตัวเองช้า และก็ไม่ได้โกรธที่เจ้าลูอิสจะด่าว่าผมที่เป็นอย่างนั้น แต่ก็ช่วยเห็นใจคนที่เพิ่งจะเคยเข้ามาที่นี่ครั้งแรกหน่อยเหอะ

    ตอนนี้สิ่งที่อยากจะบอกเจ้าลูอิสสุนัขผู้ซึ่งตะโกนแว้ดๆ อยู่นั่นก็คือ อารมณ์ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นหรอก ฉะนั้นไว้เจ้านายของนายดีขึ้นเมื่อไหร่ ฉันจะยอมให้นายด่าได้ตามใจเลย ส่วนตอนนี้อะไรสำคัญที่สุดพวกเรารู้กันอยู่

    (ฉันรู้แล้วน่า ตอนนี้นายถอดเสื้อเมย์ออกก่อนเพื่อระบายอากาศ)

    เมย์เหงื่อออกเยอะมากแต่เจ้าตัวยังคงสั่นเพราะความหนาว ผมทำตามที่ลูอิสบอก ส่วนตัวมันกระโดดไปกดตรงปุ่มของเครื่องอะไรสักอย่างที่เป็นทรงกระบอกสีขาว หลังจากกดพักเดียวก็มีควันอุ่นๆ พุ่งออกมา ผมเก็บความสงสัยเอาไว้ทีหลังเพราะตอนนี้ต้องเช็ดตัวเมย์แล้ว ตามที่ลูอิสสั่ง ผมเริ่มต้นบิดน้ำออกจากผ้าขนหนูก่อนจะบรรจงเช็ดลงบนผิวหน้าแสนนวลเนียนของหญิงสาวผู้ซึ่งยังไม่ได้สติ

    (ไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องเช็ดแบบซับให้ความร้อนออกมา นายจะต้องรู้สึกได้ถึงความร้อนของผ้าตอนที่นายยกผ้าขึ้น)

    โอเค อย่างนี้ใช่มั้ย

    ชึ่บๆ

    (ตามพวกข้อพับต่างๆ ของร่างกายจะต้องเน้นเป็นพิเศษด้วย)

    เข้าใจละๆ

    มือที่ไร้สิ่งปกปิดของเมย์นั้นเรียวยาวและนุ่มนิ่มมาก ผมบิดน้ำอีกครั้งและเช็ดที่แขนขาวๆ ผอมๆ ของเธอ ตามด้วยร่างที่ขาวผ่องไปทั่วทุกอณู

    หลังจากที่เช็ดใบหน้ากับซอกคออีกครั้งแล้วผมรู้สึกตัวว่าน้ำตาไหล ความรู้สึกที่ทำให้เป็นแบบนั้นของวันนี้ เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองในชีวิต ความรู้สึกแบบที่ว่าถ้าพลาดแม้แต่วินาทีเดียวก็จะสูญเสียสิ่งที่ราวกับเป็นหัวใจของเราไปตลอดกาล

    เพียงแต่ผมรู้อยู่แล้วว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งนั้น ก่อนมนุษย์ทุกคนจะตายจะต้องมีลางมรณะปรากฎขึ้นเหนือหัวและเมย์ไม่มีของพรรค์นั้น ผมเองก็ไม่เห็นยมทูตที่จะต้องมารอหนึ่งวันก่อนวิญญาณมนุษย์จะออกจากร่าง

    แต่เชื่อสิว่าถึงแม้เมย์จะมีลางมรณะปรากฏ ผมจะทำทุกวิธีเพื่อไม่ให้เธอเป็นอะไร เธอเป็นจุดศูนย์กลางของหมู่บ้านนี้รวมถึงผมด้วย มันไม่ยุติธรรมแน่นอนที่จะปล่อยให้เรื่องเห็นแก่ตัวของพวกนางฟ้าอย่างความตายมาพรากจุดศูนย์กลางของพวกเราไป คนรอบข้างคงหมุนต่อไปลำบากถ้าขาดเธอ ส่วนผมเองจะเป็นหนักกว่านั้นล้านล้านเท่า

    สำหรับคนที่ไม่เข้าใจอะไรก็จะสงสัยว่าทำไมผมซึ่งเป็นนางฟ้าไม่ปล่อยให้เมย์ตายไป เพราะเด็กดีอย่างเธอน่าจะได้ขึ้นสวรรค์อยู่แล้ว เป็นความคิดที่เห็นแก่ได้ไปหน่อยแต่ก็ไม่ผิด

    แต่อย่างที่บอก คนที่รักเธอไม่ได้มีแค่ผม ความเสียใจของชาวบ้านที่สูญเสียคนสำคัญของเขานั้นมันคงจะมากเสียจนคนบางคนคิดไม่ออก แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็คือผู้ที่ได้ถูกตัดสินให้ขึ้นสวรรค์ทั้งหมดจะถูกลบความทรงจำเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์...

    ผมล่ะอยากหัวเราะกับนิยาม'ความสุขชั่วนิรันดร์'ที่ใครเที่ยวไปป่าวประกาศกันโครมจริงๆ

    เอาเป็นว่าถ้าเมย์กลายเป็นนางฟ้า เธอก็จะไม่สามารถจำเรื่องที่เคยเจอผมบนโลกมนุษย์ได้เลย บอกตามตรงว่าคงรับไม่ได้ที่ผมจะเป็นคนเดียวที่มีความทรงจำของเราอยู่ หรือจะให้เริ่มต้นสร้างความทรงจำกันใหม่บนสวรรค์ก็รับไม่ได้อีก เมื่อแวดล้อมเปลี่ยน อะไรก็คงไม่เหมือนเดิม แล้วเรื่องที่ผมได้รับขนมปังถั่วแดงจากเธอเป็นครั้งแรกจะให้เอาไปไว้ไหน วาดเป็นภาพเก็บไว้ดูรึไง

    แล้วผมก็เช็ดตัวกับเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เมย์เสร็จเรียบร้อย ถึงแม้จะสังเกตได้ยาก แต่สีหน้าก็ดีขึ้นหน่อยแล้ว ความจริงน่าจะมีคำกล่าวสรรเสริญอะไรสักหน่อยกับนายนะลูอิส นายเป็นสุนัขที่เยี่ยมยอดไปเลยสำหรับฉัน

    (ไม่ต้องมานอกเรื่อง ต่อไปให้เธอกินยา)

    กระปุกสีขาวที่วางอยู่ตรงชั้นไม้ข้างเตียงถูกผมเปิดฝาออก ข้างในมีเม็ดสีขาวแลดูแข็งๆ เหลืออยู่ครึ่ง

    "กินนี่แล้วจะหายเหรอ?" ผมถามเจ้าลูอิสที่ตอนนี้นั่งอยู่ข้างเตียงฝั่งตรงข้าม มันพยักหน้าหงึกๆ

    (ถึงจะช้าแต่ก็หาย)

    แล้วทำไมไม่เอาให้หายตอนนี้เลยเล่า บางทีตอนแรกผมอาจจะตกใจไปหน่อยจึงก้มหน้าก้มตาทำสิ่งที่เรียกว่าการรักษาในวิธีการของมนุษย์ แต่ตอนนี้ผมสามารถทำให้หายได้เลยด้วยพลังของนางฟ้า บทลงโทษที่ได้รับจะเป็นอะไรผมไม่สนใจทั้งนั้น

    (ขอบใจ แต่ไม่ต้อง)

    เสียงห้าวแข็งขึ้น

    (ที่ฉันจะคุยกับนายก็เรื่องนี้แหละ)

    บรรยากาศตึงเครียดจังแฮะ ยังดีที่ห้องอุ่นด้วยเครื่องทรงกระบอกพ่นควัน ไม่งั้นรังสีแห่งความตึงเครียดนี่ต้องทำผิวแตกแทนอากาศหนาวแน่

    หลังป้อนยาเมย์ก็หลับทันที เธอส่งเสียงครางน่ารักเบาๆ ส่วนผมเดินมาข้างหมายักษ์

    (เวลาที่นายอยู่ที่นี่นายต้องปล่อยอะไรออกมาเพื่อคงรูปร่างของมนุษย์รึเปล่า?)

    รู้เรื่องนี้ได้ไงหว่า

    "ใช่ เดิมทีพวกเราไม่ใช่มนุษย์ ก็เลยต้องแผ่ออร่าบางอย่างออกมาเพื่อให้พวกเรากลายเป็นสิ่งที่มนุษย์มองเห็นได้ อธิบายไปนายก็ไม่เข้าใจหรอก"

    (แล้วเมื่อคืนคิเรนะไปหานายใช่มั้ย?)

    ผมพยักหน้า แต่ชักจะเริ่มไม่เข้าใจเรื่องที่หมอนี่จะคุยขึ้นทุกทีแฮะ ไม่สิ เดาไม่ได้มากกว่า ว่าแต่วันนี้ไม่เห็นแมวน้อยจอมซนตัวนั้นเลยนี่

    (คิเรนะก็ป่วยเหมือนกัน)

    เดาออกละ นายกำลังจะบอกว่า...

    (อาจเป็นเพราะนาย ที่ทำให้เมย์กับคิเรนะป่วย)

    ตรงแบบไม่รักษาน้ำใจกันเลยนะนาย ผมอยากจะปฏิเสธว่ามันไม่ใช่แต่ก็ไม่อาจหาเหตุผลอะไรมาคานข้อสงสัยของลูอิสได้ เพราะที่มันพูดมาก็มีความเป็นไปได้สูง

    "แต่นายก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่"

    (ขอเดานะ ฉันคิดว่าออร่าของนายน่าจะมีผลเฉพาะเพศหญิงเท่านั้น)

    สำหรับเรื่องนี้ผมเองก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่ แต่คิดว่าถ้าถามพ่อคงได้คำตอบ สรุปแล้วสาเหตุที่ทำให้เมย์กับคิเรนะป่วยก็คือผมเอง แต่ถึงจะรู้แบบนั้นแล้วควรต้องทำยังไงดี ผมรักเมย์และก็สัญญาไว้แล้วว่าจะเป็นดวงตาให้เธอ

    อุ๊บบ

    ความรู้สึกคลื่นไส้จู่โจมผมอย่างรวดเร็ว

    (ถ้านายรักเมย์จริงนายจะทำร้ายเธอแบบนี้ต่อไปเหรอ ถึงตอนนี้จะเป็นแค่ไข้แต่เอาอะไรมาประกันว่าจะไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้)

    ผมนั่งเงียบพลางมองใบหน้ายามหลับของเมย์…สมมติว่าถ้าเธอตื่นมาแล้วผมบอกเธอไปว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์ ซ้ำยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอเจ็บป่วย เธอจะรู้สึกยังไงกันนะ เธอจะยังคงพูดคุยกับผมด้วยเสียงอันสดใสเหมือนเดิมรึเปล่า...ไม่อยากจะคิดต่อเลยจริงๆ

    (นายมีอยู่แค่สองทางคือหาทางทำอะไรสักอย่างกับออร่านั่น หรือถ้าทำไม่ได้ฉันคงต้องขอนายอยู่ให้ห่างเมย์เอาไว้)

    น้ำเสียงจริงจังทำเอาผมพูดไม่ออก

    (การที่รู้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้คนที่รักต้องเจ็บปวดไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตใจ ถ้ายังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นหรือตัดใจไม่ได้ นายยังจะสามารถเรียกสิ่งนั้นว่าความรักได้อยู่รึเปล่านายคงรู้อยู่แล้ว)

    ถึงจะรู้ไม่ผลลัพธ์ที่จะออกมา...

    ถึงผมจะต้องเจ็บปวดก็ตาม...

    แต่ก็คงจริงอย่างที่ลูอิสมันพูด

    "พาฉันไปหาคิเรนะหน่อยสิ อยากจะไปขอโทษ..." ผมกลืนบางอย่างที่ไม่มีตัวตนลงคอ "...ครั้งสุดท้าย"

    เมื่อมาถึงหน้าประตูของห้องเล็กๆ หมานำทางร่างยักษ์บอกว่าจะรออยู่ข้างนอก ผมเข้ามาและถอดถุงมือสีน้ำเงินแสนนุ่มที่เมย์ให้ไว้ข้างๆ ตะกร้าที่นอนของคิเรนะแมวสาวสามสีก่อนจะลูบขนนุ่มของมันเพื่อเป็นการทักทาย

    "เป็นไงบ้างคิเรนะ"

    เมื่อได้ยินเสียงผม ร่างที่ใหญ่กว่าฝ่ามือนิดเดียวขยับพร้อมลืมตาเล็กๆ ขึ้นมอง

    (คิเรนะไม่สบายเจ้าค่ะ)

    เสียงของคิเรนะอ่อนเพลียมากแม้จะเป็นการสื่อสารทางจิต

    "ลุคขอโทษนะ เป็นเพราะลุคเองแหละที่ทำให้ทั้งคิเรนะและเมย์เป็นแบบนี้"

    แมวสาวมองหน้าผมตาแป๋วอย่างงงๆ ยังไม่รู้ตัวสินะ

    ผมมีปัญญาแค่เล่าเรื่องทั้งหมดกับพูดขอโทษเท่านั้น เหตุการณ์นี้ทำให้เริ่มไม่มั่นใจในตัวเองที่จะพูดกับใครๆ ว่าพลังของนางฟ้าคือสิ่งอันสรรสร้างจากความบริสุทธิ์

    (ถ้าลุคตั้งใจทำ คิเรนะจะโกรธลุคให้มากๆๆๆๆ ที่สุดเลย แต่ที่เป็นแบบนี้ลุคไม่ได้ตั้งใจหรอกใช่มั้ยเจ้าคะ?)

    ไม่ได้นึกถึงเลยด้วยซ้ำ อัจฉริยะบ้าบออะไรกัน

    (พวกเราสามคนสัมผัสได้ถึงความใจดีของลุคนะเจ้าคะ ลุคอย่ามัวแต่โทษตัวเองอยู่เลย)

    คิเรนะเลียปลายนิ้วผมก่อนจะลงไปนอนต่อ จะผิดต่อเมย์รึเปล่าไม่รู้ แต่อยากบอกว่าตอนนี้สบายใจขึ้นมากหลังจากที่คิเรนะพูด แมวนี่น่ารักจริงน้า ต่างกับหมาลิบลับเลย แต่ถึงงั้นหมาก็มีความน่ารักในแบบของมัน แวบหนึ่งผมคิดนอกเรื่องเช่นอยากจะให้ที่สวรรค์มีแมวบ้างสักตัว

    "ลุคอาจจะไม่มาที่นี่อีกแล้วนะ"

    แมวน้อยสะดุ้งเมื่อผมพูด ท่าทางตอนนี้ของมันตลกดี

    (ทำไมล่ะเจ้าคะ ถึงใครจะยอมได้ แต่คิเรนะไม่ยอมหรอก)

    "ลุคทนไม่ได้ที่จะเห็นใครเป็นอะไรไปอีกเพราะลุค เพราะงั้นลุคจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว"

    ผมพยายามจะทำให้บรรยากาศของคำพูดนี้เป็นไปอย่างสบายๆ แต่ก็คงล้มเหลวแน่นอน

    (ใจร้าย...ลุคทำไมเป็นนางฟ้าที่ใจร้ายแบบนี้ ลุคลืมพวกเราได้ง่ายดายขนาดนั้นเลยเหรอเจ้าคะ ลุคไม่รักเราแล้วสินะเจ้าคะ)

    "ก็เพราะลุครักไง ลุคจะทำเฉยได้ยังไงล่ะในเมื่อต้นเหตุที่ทำให้คนที่ลุครักต้องเจ็บก็คือตัวลุคเอง"

    ผมยังคงต้องใช้ความอดทนในการพูดด้วยน้ำเสียงสบายกับแมวน้อยที่ตอนนี้ดูเหมือนจะโกรธแล้ว

    "ถ้าคิเรนะมีวิธีก็บอกลุคได้มั้ย ลุคก็เสียใจที่ต้องทำแบบนี้เหมือนกันนะ"

    คิเรนะทำท่าคิดประมาณสามวินาทีก่อนจะตะโกนงอนๆ ใส่ผม

    (คิเรนะเป็นแค่แมวจะไปทำอะไรได้เจ้าคะ ลุคเป็นถึงนางฟ้าแต่ทำได้แค่นี้เองเหรอ!)

    ที่จริงอยากจะบอกกับคิเรนะว่าเรื่องบางเรื่องมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แต่ช่างเถอะ ถึงพูดไปก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาหรอก

    (คิเรนะขอถามลุคเรื่องหนึ่งได้มั้ยเจ้าคะ?)

    ผมแค่พยักหน้าเพราะตอนนี้กำลังกลั้นน้ำตา อยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่าไม่อยากให้แมวน้อยตัวนี้เห็นมันอย่างไร้สาเหตุ

    (เราจะไม่มีโอกาสเจอกันจริงๆ แล้วใช่มั้ยเจ้าคะ?)

    คำถามนี้ตอบยาก ผมเกาที่คอของมันก่อนจะตอบ

    "ลุคไม่ขอตอบได้มั้ย จริงๆ แล้วลุคก็ไม่รู้ แต่ลุคสัญญากับคิเรนะไว้เลยนะว่าถ้าลุคจัดการตัวเองไม่ให้เป็นตัวอันตรายสำหรับใครๆ ได้เมื่อไหร่ลุคจะกลับมาแน่นอน"

    ผมยิ้มให้คิเรนะซึ่งตอนนี้มันลุกขึ้นยืนและโก่งตัวบิดขี้เกียจก่อนจะกระโดดขึ้นมาโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว แต่ก็รับทันพอดี มันส่งเสียงเล็กๆ ออกมาดัง'เมี้ยว'แบบเบาๆ ว่าแต่ไม่เป็นไรเหรอที่จะอยู่ติดกันแบบนี้

    (ช่างปะไร เอาเป็นว่าคิเรนะยอมก็ได้ แต่ลุคต้องรักษาสัญญาด้วยนะเจ้าคะ คิเรนะเชื่อว่าลุคต้องทำได้)

    ผมหัวเราะกับความน่ารักของแมวน้อยตัวนี้ บางทีมันอาจจะนึกสงสัยว่าผมหัวเราะอะไรแต่ก็แค่นั้นและไม่ได้พูดอะไรต่อ ขอบคุณอย่างที่สุดเลยคิเรนะ ผมเองก็หวังว่าขอให้เป็นอย่างที่แมวน้อยพูด

    .....

    ...

    .

    นั่นคือตอนก่อนที่ตัวผมจะมายังนรกที่วันนี้บรรยากาศยังคงอึดอัดเหมือนเดิม เพียงแต่กะจิตกะใจไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพรรค์นั้น

    แต่แล้วขณะที่ผมกำลังอยู่ในภวังค์แห่งความคิด เสียงตะโกนก็ดังลั่นแทรกโสตประสาทอย่างไม่ใยดีกับสิ่งใด

    "ในที่สุดก็สำเร็จ! อาท่องจบแล้วนา"

    รอยยิ้มแทบฉีกถึงหูนั่นเป็นอาการแสดงออกถึงความยินดีแบบสุดๆ เอ่อ…คือไม่ต้องบอกก็รู้สินะ

    กระดาษแผ่นยาวนั้นถูกปั้นเป็นก้อนกลมๆ โดยผู้ที่เมื่อกี้ยังใช้ประโยชน์จากมันอยู่ เขาโยนขึ้นลงไปมาประมาณรอบที่ห้ามันก็ลุกเป็นไฟ ว่างขนาดนั่งนับรอบนี่แหละผม

    "ว่าขั้นต่อไปมาได้เลย"

    อยากรู้จริงว่าทำไมถึงแลตื่นเต้นนัก แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก ก็เป็นแค่ความสงสัยวูบหนึ่งเท่านั้น ผมลุกออกจากเก้าอี้ตัวยักษ์และเดินออกมา

    "บอกไว้ก่อนนะครับ วิชานี่เป็นสายผนึกไม่ใช่สายทำลาย ผมจะเสกวิญญาณสังเคราะห์ออกมา ให้อาท่องโคลงทั้งหมดและตั้งจิตแผ่พุ่งคุณสมบัติออกไป ซึ่งเท่าที่ดูของอาคงเป็นไฟสินะครับ"

    ร่างสูงใหญ่พยักหน้าที่เกลี้ยงเกลาพร้อมกอดอกราวกับมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม

    "ถ้าวิญญาณสังเคราะห์ไม่ระเบิดและสามารถทำให้มันขยับตัวไม่ได้ ขั้นที่สองนี้ก็ถือว่าสำเร็จครับ"

    "แค่นี้เองเหรอ"

    ผมพยักหน้าและเริ่มต้นเสกวิญญาณสังเคราะห์ตามที่บอก อาจ้องขั้นตอนนั่นอย่างใจจดใจจ่อ ดูจากกิริยาแล้วที่เดาว่าอาเสกไม่เป็นก็ไม่น่าจะผิด ระหว่างที่รอขั้นตอนการก่อรูป ผมก็มีเรื่องที่อยากจะถามอาอยู่นิดหน่อย

    "ก็พูดมาสิ"

    อาตอบโดยที่ยังไม่ละสายตาจากเส้นเปล่งแสงที่ม้วนพันไปมา ซึ่งตอนนี้เริ่มเห็นเป็นส่วนนิ้วเท้าของมนุษย์

    "ผมมาสอนวิชาให้แล้วหวังว่าคงจะรักษาสัญญานะครับ"

    เจ้านรกละสายตาจากสิ่งที่สนใจมามองผมแวบหนึ่งแบบยิ้มๆ

    "นี่เธอเห็นอาเป็นคนยังไง แต่ถ้าไม่เชื่อจะลองดูในรายงานก็ได้นะ"

    ไม่จำเป็นต้องดูหรอก การที่พ่อไม่ได้ติดต่อผมมาเกี่ยวกับเรื่องการจูงวิญาณนี้ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าวิธีการของเหล่ายมทูตเปลี่ยนไปแล้ว พูดตรงๆ ว่าตอนนี้ผมโล่งใจกับเรื่องนี้มาก ทั้งที่เมื่อก่อนยังไม่ยินดียินร้ายสักเท่าไหร่

    หลังเจอเรื่องราวหลายอย่าง อาจไม่มากมายแต่ก็พูดได้เต็มปากว่าผมหลงรักโลกมนุษย์แล้ว ถ้าหากว่าผมยังคงเห็นวิธีการเดิมที่ยมทูตทำกับมนุษย์อยู่ ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าตัวเองจะมีปฏิกิริยาต่อภาพนั้นยังไง

    "แล้วทำไมเมื่อก่อนถึงได้ใช้วิธีที่บ้าคลั่งแบบนั้นล่ะครับ ต่อให้เกลียดมนุษย์ยังไง..."

    "เป็นรสนิยมของอาเองน่ะ"

    ตัดบทได้อย่างหน้าตาเฉย เอาจริงๆ มันทำให้ผมไม่พอใจเท่าไหร่

    "เรื่องเก่าๆ ก็ช่างมันเหอะน่า จะเอามาพูดให้มันได้อะไรขึ้นมา ที่สำคัญตอนนี้อาก็เปลี่ยนไปแล้วไม่ใช่รึไง"

    ก็จริง แต่ถ้าบอกว่าความเจ็บปวดกับเสียงกรีดร้องคือรสนิยมล่ะก็ อาผมนี่ก็มีรสนิยมที่ทุเรศสิ้นดีเลย มิน่าล่ะทำไมลูกน้องถึงหน้าตาแลอมทุกข์กันนัก เพราะว่ามีผู้นำที่นิสัยเสียแบบนี้มันก็สมควรแล้วล่ะที่ใครๆ ก็ต้องขยะแขยงเมื่อพูดถึงนรก ตัวผมเองก็เริ่มรู้สึกเหมือนจะเป็นหนึ่งในนั้น แต่ก็ต้องขอชมเชยความหน้าด้านของเขาที่กล้าพูดมาได้ว่านั่นคือ'รสนิยม' เป็นผมล่ะไม่กล้าหรอก

    และแล้ววิญญาณสังเคราะห์ก็เสร็จสมบูรณ์ มันมีรูปร่างเหมือนกับมนุษย์ไม่ผิดเพี้ยน เว้นแต่ใบหน้าซึ่งไม่มีเค้าโครงของตา จมูกและปาก มันเป็นเพียงแค่พื้นเรียบๆ เท่านั้น อามองสิ่งนี้ด้วยความชื่นชมราวกับของมีค่า พลางเดินไปรอบๆ เพื่อสำรวจซ้ายขวา

    "เธอนี่สุดยอดไปเลย"

    ผมไม่ตอบอะไรเพราะมันเหมือนการพูดกับตัวเองของอามากกว่า

    "ตามสบายนะครับ ผมสร้างแบบฟื้นฟูตัวเองได้ด้วยความเร็วสูง เพราะฉะนั้นถึงจะโดนระเบิดกี่ครั้งมันก็จะกลับมาเหมือนเดิม"

    อาหันมามองผมด้วยสายตาที่เหมือนกับมองวิญญาณสังเคราะห์ ผมเลยแกล้งทำเป็นสนใจอุปกรณ์คล้ายอัญมณีสีม่วงที่บินวนรอบแท่งสีเงินสลักตัวอักษรประหลาดทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากสนใจหรอก แต่ผมเป็นคนขี้เกียจจะอธิบายอะไรให้มันยืดยาว

    ซ่าาา

    แล้วเสียงวิญญาณระเบิดครั้งแรกหลังจากเสียงร่ายโคลงก็มาถึงตามที่คาดไว้แล้ว

    ถึงตอนแรกผมจะบอกว่าขี้เกียจสนใจอา แต่ดูๆ ไปตัวเองก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่ดี แม้ยังมีหลายเรื่องที่พากันประดังเข้ามาให้คิด แต่ผมก็ไม่มีความสามารถพอให้คิดตกได้ บางทีการปล่อยวางเรื่องต่างๆ และทำตัวเสมือนอาจารย์ที่ดีบ้าง อาจจะเป็นตัวเลือกแห่งการกระทำที่ดีที่สุด ณ ขณะนี้ก็เป็นได้

    ผมยังคงต้องดูร่างที่แตกสลายของวิญญาณเทียมอยู่หลายร้อยรอบ หลังจากบอกทริคทุกอย่างไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน บอกทุกอย่างที่รู้ แต่ผมก็รู้ว่าตัวเองยังคงจะต้องดูวิญญาณไร้ใบหน้าตนนั้นระเบิดอีกหลายร้อยรอบเหมือนเดิมด้วยเหตุผลที่ว่า...

    "ทำไมมันยากแบบนี้ฟะ"

    เขาคนนั้นบ่นอย่างคนที่ความอดทนใกล้ถึงขีดสุด มันก็ของแน่อยู่แล้วล่ะ ถ้ามันฝึกได้ง่ายๆ จะเรียกว่าเป็นวิชาระดับสูงเรอะ

    มีอยู่รอบหนึ่งที่วิญญาณสังเคราะห์หยุดการเคลื่อนไหวไปชั่วครู่แต่ไม่นานก็ระเบิดออกเช่นเดิม ผมถูกขอร้องให้แสดงวิชาให้ดูอีกครั้งโดยที่ผู้ร้องขอตัวโตบอกว่าเผื่อจะจับเคล็ดได้ ซึ่งผมก็ไม่ขัดข้องเลยโชว์อีกสักที

    "อืม...เธอทำก็แลดูง่ายๆ เนอะแปลกจัง"

    เจ้านรกกอดอกและทำท่าราวกับเค้นสมองอย่างหนักเพื่อคิดว่าลืมอะไร ไม่นานเขาก็ได้ลองอีกครั้งผลสรุปคือระเบิดเหมือนเดิม

    ถึงแม้ว่าวิญญาณสังเคราะห์...ชื่อเรียกยาวจังแฮะ ขอเปลี่ยนเป็น 'ยู' ละกัน ถึงแม้ยูจะไม่ใช่จิตใจของแท้ เป็นแค่ของที่สร้างขึ้นจากคาถา แต่โดนระเบิดนับครั้งไม่ถ้วนแบบนี้ผมก็ชักรู้สึกเห็นใจและสงสารมันนิดหน่อยเหมือนกันนะ ถึงความรู้สึกนี้จะส่งไปไม่ถึงมันก็ตาม...เอ๋...?

    "นั่นอะไรครับอา" ผมชี้ไปยังกล่องสี่เหลี่ยมที่วางอยู่ตรงมุมห้อง ในนั้นมีอุปกรณ์ทำจากไม้ด้ามเรียวยาววางอยู่ ตรงปลายดูเหมือนจะผุนิดหน่อย ตรงกลางลำถึงปลายที่หัวมันทิ่มอยู่ด้านในกล่องถูกหุ้มด้วยผ้าสีขาวๆ

    มันคืออะไรกันนะ

    "มนุษย์เรียกมันว่าร่มน่ะ"

    อาตอบสบายๆ แต่ปัญหามันต่อจากนี้ต่างหาก

    "นี่มันวัตถุของโลกมนุษย์นี่ครับ แล้วทำไมมันถึง'คงอยู่'ในนรกที่เป็นโลกคนละมิติได้"

    อาแบมือขึ้นฟ้าแล้วยักไหล่

    "ก็ไม่รู้สิ พวกอาก็เคยสงสัยเหมือนกันเลยลองตรวจสอบดูแล้วแต่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นอำนาจของฝ่ายไหน แต่ที่พวกเรางงก็คือการคงอยู่ของมันนี่แหละ"

    ไม่เชื่อเด็ดขาด มันต้องมีอะไรแน่

    "ขอผมลองไปดูหน่อยได้มั้ย?"

    เพราะอาไม่ปฏิเสธผมจึงเดินไปยังร่มสีขาวที่ดูเหมือนถูกวางทิ้งไว้ส่งๆ ก่อนจะหยิบมันขึ้นมา

    แล้วก็รู้ว่าข้อสงสัยของผมนั้นถูกต้อง

    มีบางอย่างไหลผ่านจากมันมาสู่ร่างกายผม บางอย่างที่ไม่เป็นรูปธรรม ความรู้สึกยินดีราวกับเจอเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่ไม่ได้เจอกันมาแสนนานกำลังไหลเวียนส่งมาอย่างบ้าคลั่ง ผมรู้สึกได้ถึงพลังอันแสนวิเศษและทรงอำนาจยิ่งกว่าพระเจ้าเพียงแค่สัมผัส ถ้าให้พูดแบบเว่อร์ๆ หน่อยก็คงต้องพูดว่ามันเกิดมาเพื่อผมแน่นอน

    ว่าแต่ของระดับนี้ทำไมถึงไม่มีใครรู้ตัวนะ...ไม่สิ เพราะเป็นของระดับนี้แหละที่ทำให้ผมรู้ว่ามันคืออะไรอยู่คนเดียว

    "ผมขอได้รึเปล่า...ร่มนี่"

    อามองผมด้วยสายตาแปลกๆ คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย หวั่นๆ เหมือนกันว่าจะถูกสงสัย แต่ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างผมโดยที่ผู้บันดาลโชคนั้นอาจอยู่คนละฝั่งกับพระเจ้า

    "ก็ได้ เก็บไว้ก็รกห้อง"

    ยังกล้าพูดอีกเนอะ สภาพห้องตอนนี้แค่เก็บร่มอันเดียวไว้มันก็ไม่ได้ดูสะอาดขึ้นมาหรอกน่า แต่ยังไงก็ขอบคุณละกันครับ

    อาหันกลับไปสนใจกับการระเบิดยูต่อ ส่วนผมซึ่งไม่รู้จะบอกอะไรกับเขาแล้วก็หยิบร่มสีขาวที่เต็มไปด้วยปริศนาคันนั้นขึ้นมาดูอีกที ที่จริงอยากจะถามอีกสักสองสามเรื่องเกี่ยวกับร่มคันนี้แต่ไม่เอาดีกว่า ขืนซักมากอาจโดนสงสัยได้ ร้ายที่สุดมันก็จะถูกส่งไปให้พ่อตรวจสอบและเขาจะต้องรู้แน่ว่ามันคืออะไร ปล่อยให้ความธรรมดาเป็นหน้าฉากของบางสิ่งที่ควรจะเป็นแบบนั้นแหละดีแล้ว มันสมเหตุสมผลกว่าด้วย ในความคิดผมล่ะนะ

    เอาล่ะ ทีนี้ก็ได้เวลาเฉลยซะทีว่าร่มนี่เป็นของใคร

    คำตอบก็คือ ของคนที่ชั่วร้ายที่สุดในประวัติกาลของทุกสรรพสิ่ง ผู้ที่มีพลังเทียบเคียงกับพระเจ้าและว่ากันว่าเกิดมาพร้อมกับโลกมนุษย์

    เจ้าแห่งความมืด ซาตาน

    นี่เป็นของที่หมอนั่นสร้างขึ้นแน่นอน ส่วนเจ้าตัวนั้นหายสาบสูญไปหลังสงครามระหว่างนางฟ้ากับลูซิเฟอร์จบลง สงสัยมั้ยว่าทำไมผมถึงรู้ว่านี่คือสิ่งตกค้างของซาตาน ไม่บอกดีกว่า เพราะผมมีความรู้สึกว่าจะได้รู้กันในไม่ช้านี้ สุดท้ายของความสงสัยผมกางร่มคันนั้นออก จากนั้นทุกอย่างก็มืดลงตามที่คิดไว้อีกเช่นกัน

    ร่มคันนี้สามารถแยกผู้ใดก็ตามที่ต้องการหลบจากการหยั่งรู้ของพระเจ้าไปอีกมิติได้อย่างสมบูรณ์ไร้ที่ติ ที่นั่นจะเป็นสถานป้องกันการตรวจจับทุกรูปแบบ...สุดยอด...

    ตัวผมสั่นเทิ้มด้วยความดีใจจนต้องยิ้มออกมา

    นี่แหละสิ่งที่ตามหา

    เมื่อหุบร่มลงทุกอย่างสลายไป ตัวผมกลับมาสู่ห้องที่ถูกย้อมด้วยสีส้มอบอุ่นอีกครั้ง เป็นครั้งแรกที่อยากจะขอบคุณความเซ่อของอาที่ดูเหมือนจะไม่รู้เลยว่าหลานชายนั้นหายไปอีกโลกหนึ่งมาเมื่อกี้ แต่ก็นะ ถึงจะรู้ตัวผมก็มีคำตอบที่ฟังขึ้นเตรียมไว้แล้ว ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่ยอมเสียของขวัญชิ้นนี้จากหมอนั่นไปหรอก

    ผมจัดการเก็บร่มคันนั้นไว้ในรอยแหวกของอากาศตามถนัด จะว่าไปการแหวกมิตินี่ก็ถือเป็นความสามารถพิเศษของผมอย่างหนึ่งเลยนะ ทั้งแบบลับๆ และแบบเปิดเผยได้

    "ไม่ไหวแล้ว..."

    ลูกศิษย์คนแรกผมว่างั้น หน้าอกล่ำบึ้กนั่นขยับขึ้นลงด้วยความเหน็ดเหนื่อย

    "เหมือนจะได้แต่ก็ไม่ได้ซะที"

    ก็เห็นเป็นแบบนั้นแหละครับ แต่คิดว่าแค่นี้ก็ใช้ได้แล้วล่ะสำหรับผู้เริ่มต้น

    "การแปลงคุณสมบัติเป็นพลังสายจิตนี่ยากสุดๆ ไปเลยเธอว่ามั้ย"

    จะพูดไงดีล่ะ ตั้งแต่จำความได้ผมก็ใช้แต่สายนั้นนะ ก็หุ่นผมมันไม่ได้เห็นชัดว่าเป็นสายกำลังแบบอานี่ การควงกำปั้นไล่ชกชาวบ้านหรือทำลายสิ่งของมันใช่อิมเมจของผมซะที่ไหนกันเล่า

    อาคว้าเก้าอี้ไม้ที่อยู่ใกล้มือที่สุดมานั่งพัก ยูยืนนิ่งไม่ได้ขยับตัวอย่างว่องไวเหมือนตอนที่จำลองเป็นวิญญาณของมนุษย์ ส่วนผมก็ยังนั่งเอาเท้าขึ้นมาพาดบนโต๊ะทำงาน ที่แปลกก็คือไม่เห็นมียมทูตคนไหนเข้ามารายงานอะไรสักอย่าง

    "อากำชับทุกคนไว้เอง"

    เมื่อได้ยินแบบนั้นผมก็ถอนหายโดยไม่ได้แฝงความหมายอะไรเป็นพิเศษ

    ผมแค่กำลังคิดถึงคนๆ หนึ่งอยู่

    ไม่รู้ตอนนี้จะเป็นยังไงบ้าง รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่ไร้ความรับผิดชอบเอามากๆ ทั้งๆ ที่เป็นคนทำเธอเจ็บแต่กลับหนีออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย ถึงจะรู้ตัวว่ายิ่งอยู่นานปัญหาก็มีแต่จะยิ่งมากขึ้น แต่ถ้าได้ดูแลเธอจนหายก่อนก็คงจะไม่รู้สึกผิดเท่านี้

    อยาก...

    ผมอยากจะเห็นหน้าที่งดงามของเมย์เหลือเกิน แค่สักครั้งก็ยังดี

    แต่ถึงทำแบบนั้นจะได้ประโยชน์อะไร

    ความกลัวที่กำลังคืบคลานเข้ามาที่ผมเคยบอกไปก่อนหน้านี้คือความแตกต่างของเผ่าพันธุ์ ผมเป็นนางฟ้า เมย์เป็นมนุษย์ สักวันหนึ่งที่ผมจัดการทุกอย่างเสร็จก็ต้องกลับสวรรค์อย่างแน่นอนไม่ว่าจะด้วยความสมัครใจหรือไม่ ไม่ถึงกับต้องใช้หัวคิดเลยว่าถ้าเรารักกันปลายทางก็จะเจอกับความเจ็บปวดจากการจากลา ถึงผมจะเคยพูดไว้ว่าสามารถเฉยเมยให้กับทุกอย่างได้เพื่อสิ่งที่ต้องการ แต่สุดท้ายแล้วผมก็ต้องเลือกสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อโลกทั้งสามน้อยที่สุด นั่นก็คือการสืบทอดตำแหน่งพระเจ้าต่อจากพ่อ

    เรื่องที่ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัวยังมีอีก

    ทั้งที่รู้ว่าต้องเป็นอย่างนั้นไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่อารมณ์ชั่ววูบก็ยังบอกให้ผมไปรักเมย์ สร้างความทรงดีๆ กับเธอ ผมยังไม่อาจรู้ได้ว่าตัวเองจะทนรับความเจ็บปวดเมื่อเวลาแห่งการจากลาของจริงมาถึงได้มั้ย แต่ตัวผมจะเป็นยังไงก็ช่าง ได้เจอกับความเจ็บปวดบ้างบางทีนิสัยอาจดีขึ้น

    แต่ว่าเมย์ล่ะ ถ้าหากเธอคิดกับผมในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง อันนี้แค่คิดนะ เธอก็อาจจะแค่ซึมๆ ไม่กี่วันและคงจะเก็บความทรงจำดีๆ ที่เคยได้เจอผมไว้ในมุมเล็กๆ ที่ไหนสักแห่งภายในจิตใจ

    แต่สมมติ แค่สมมตินะ สมมติว่าถ้าหากเมย์ก็มีความรู้สึกเหมือนที่ผมรู้สึกกับเธอ พูดง่ายๆ ก็คือความรักนั่นแหละ ถ้าหากเมย์รักผม การที่ผมจากไปแบบนั้นเธอคงจะต้องเจ็บปวดมากแน่นอน แล้วความเจ็บปวดนั่นเธอจะเอาไปไว้ที่ไหน

    ผมทำเรื่องที่เห็นแก่ตัวมากไปซะแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมถึงโดนพ่อเหน็บอยู่บ่อยๆ เลวจริงๆ เรา ทำร้ายความรู้สึกคนๆ หนึ่งซึ่งเขาควรจะมีความสุขกับชีวิตตามปกติได้ลงคอ เรามันก็ไม่ต่างจากยมทูตที่เคยเห็นเท่าไหร่หรอก

    หรือจะขอพ่อว่าให้ส่งผมไปเกิดเป็นมนุษย์ดี...ไร้สาระน่า ยังไงก็ไม่ได้อยู่แล้ว

    ระหว่างที่กำลังหัวเราะเยาะตัวเอง อาได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็วจนผมถึงกับสะดุ้งอยู่ข้างใน คงฝึกต่อล่ะสิ ขยันจริงๆ

    "เปล่าหรอก"

    ชายตัวโตยิ้มมีเลศนัย เป็นยิ้มที่ประกายด้วยฟันขาว

    "อาจะไปจีบสาวสักหน่อยน่ะ"

    ดูเหมือนอยากจะตีหน้าขรึมอย่างไม่จำเป็นแต่ดันกลั้นยิ้มไม่อยู่ซะเอง มีความหมายอะไรงั้นเรอะ อาชวนผมให้ไปด้วยกันแต่เอาเหอะตามสบาย ยมทูตสาวๆ ที่นี่ก็สวยน่ารักกันทั้งนั้นนี่ (ประชด)

    อีกอย่างผมก็...

    "ใครจะไปจีบลงเล่า ยมทูตน่ะ" อาตัดพ้ออย่างเซ็งๆ "อย่างอามันต้องขาวสวยอย่างมนุษย์หรือนางฟ้านู่น ซึ่งเป้าหมายวันนี้ของอาก็คือมนุษย์"

    ไม่รู้จะป่าวประกาศด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างกับจะไปรบกับใครทำไม ไม่เห็นจะมีเหตุผลเลย แล้วไอ้เป้าหมายของพ่อคุณจะไม่เป็นไรแน่เหรอ นางฟ้าน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่กับมนุษย์นี่สิ เดี๋ยวได้มีการตายก่อนกำหนดจากออร่าจนได้ ถ้ายังไม่มีประสบการณ์ก็มาถามหลานคนนี้ดูสิ

    "ว่ะ ฮ่า ฮ่า"

    พูดอะไรผิดรึไงถึงหัวเราะซะเสียงดังขนาดนั้น หน้าผมก็ไม่ได้แปลกตรงไหนด้วย

    แต่หลังจากรู้ที่มาของการหัวเราะก็ทำให้ผมอยากจะหัวเราะให้ดังกว่าร้อยเท่าพันเท่า

    และเป็นธรรมดาที่เรื่องปลื้มปิติมักจะอยู่กับคนเราได้ไม่นานแบบไม่เลือกเผ่าพันธุ์

    เพราะต่อจากนี้คืออะไรที่ทำให้ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนในใจอีกครั้งกับเรื่องความเน่าเฟะของผู้ที่เรียกตัวเองอย่างภูมิใจว่านางฟ้า…

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×