ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Step Into My World

    ลำดับตอนที่ #4 : คำเตือนของอรุณรุ่ง

    • อัปเดตล่าสุด 20 พ.ย. 55



    คำเตือนของอรุณรุ่ง

     

    ความรู้สึกคลื่นไส้เข้าโจมตีเรย์ เขาใช้จิตสังหารไล่ความกดดันของชายที่ชื่อลุคออกไป

     

     "ฉันจะมาบอกว่า สวรรค์กับนรกรับรู้ถึงความผิดปกติได้แล้ว"

     

     "รู้ได้ยังไง" เรย์กัดฟันกรอด

     

     "แหม...นายคิดว่าพวกนั้นจะถูกนายหลอกไปได้ตลอดเหรอ ถึงจะเป็นพวกน่ารังเกียจแต่ก็ไม่ได้โง่ ก็ต้องยอมรับว่าพวกนั้นก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสมองเหมือนฉันกับนายล่ะนะ"

     เรย์รู้สึกได้ เขาขยะแขยงชายคนนี้ เป็นบุคคลที่เขาจะไม่ขอข้องเกี่ยวด้วยถ้าเลือกได้ แต่ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกสำหรับเรย์

     

     "ว้า...ไม่ไหว นี่ก็สิบกว่าปีแล้วนา ไหนหมอนั่นบอกว่าเจ๋งนักเจ๋งหนาไง"

     "แกเป็นใคร?"

     เรย์พูดลอดไรฟัน พร้อมหยิบปืนที่เอวมาไว้ในมืออีกครั้งด้วยฝ่ามือสั่นไหว

     

     "ถ้าฉันขี้เกียจตอบตอนนี้นายจะว่าไรรึเปล่าล่ะ"

     ชายปริศนาทำเสียงสบายๆ แสงในห้องนั่งเล่นกระพริบเสมือนไม่ได้รับกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเพียงพอ แต่เรย์ยังคงจ้องลุคด้วยสายตาราวสิงห์จ้องคู่แข่งเพื่อเตรียมพิสูจน์ว่าผู้ใดจะได้เป็นเจ้าแห่งทุ่งซาวันน่า

     

     "ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็บอกมาดีกว่า..."

     สิ้นเสียงทุ้มต่ำ ภาพบรรยากาศในห้องนั่งเล่นของบ้านชายหนุ่มค่อยๆ เปลี่ยนแปลง โดยรัศมีแผ่ขยายจากปลายเท้าของชายผมบลอนด์ ซึ่งแม้จนถึงบัดนี้ก็ยังคงยืนยิ้มแป้นอยู่ไม่คลาย ซึ่งท่าทีไม่ประสีประสาของเขาขัดใจเรย์ยิ่งนัก

     

     ราว 30 วินาทีทั้งคู่ยืนอยู่บนหน้าผาเล็กๆ ที่รอบล้อมด้วยต้นไม้ เรย์เห็นดอกไม้ไฟแตกตัวตรงด้านหลังของลุคที่มีแบคกราวด์เป็นฟ้าที่มืด

     

     "โหะ สุดยอดเลยใช้คล่องดีแล้วนี่ พลังที่พวกนายใช้รวบรวมพรรคพวกน่ะ"

     ลุคพูดพลางสอดส่ายสายตาสำรวจไปทั่วบริเวณ

     

     "ช่างน่าคิดถึงซะจริง นายรู้รึเปล่า สถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีอยู่บนโลกอีกแล้ว"

     เรย์หัวเราะในลำคออย่างดูแคลนหลังฟังจบ

     

     "คิดถึงนักจะตามมันไปเลยมั้ยล่ะ? อย่ามาโยกโย้ ถ้าไม่อยากโดนลูกปืนง้างปากก็ตอบฉันมา"

     เรย์ชักปืนทั้งคู่ของเขาออกมาและชี้ปากกระบอกไปที่ลุค บุรุษผมบลอนด์ยิ้มกึ่งหัวเราะ ก้มหน้าลงและยกมือขื้นเท้าสะเอว

     

     "ฉันรู้จักหมาตัวนึงนะ มันเข้มแข็งและเป็นที่พึ่งของใครหลายคนได้ มันมีค่ามากสำหรับบางคน...แต่ฉันไม่เห็นมันจะ 'เห่า' เก่งเหมือนนายเลย"

     

     "ฉันจะเก่งแต่เห่ารึเปล่าเดี๋ยวตายไปแกก็รู้"

     ว่าจบเรย์ไม่รีรอ เขาเหนี่ยวไกของปืนโบราณที่อยู่ในมือทั้งคู่ ปลายกระบอกส่งลูกกระสุนแสงสีดำทะมึนออกไปราวห่าฝน เป้าหมายคือชายที่ยืนยิ้มอย่างไม่ยี่หระกับอันตรายที่อีกไม่ถึงเสี้ยววินาทีก็จะมาถึงตัวเขาแล้ว

     

     "นายนี่มันอ่อนแอซะจริง เพราะอ่อนแอนายถึงต้องพูดอะไรให้มันแลแสดงถึงอำนาจปลอมๆ งั้นสินะ"

     ปีกขนนกขาวปลอดขนาดมหึมากางพรึ่บอย่างสง่างามปกคลุมตัวลุคจากห่ากระสุน ภาพนั้นทำให้ความตื่นกลัวของเรย์ทวีสูงขึ้นกว่าเดิม

     ความตื่นตระหนกจากความกลัวทำให้เขาไม่ได้สังเกตเห็นบางอย่างที่โจนทะยานออกมาจากเกราะปีกขนนก บางอย่างที่เป็นเส้นแสงสีขาวพุ่งโค้งวาดข้ามหัวเรย์อย่างงดงามปานสายรุ้งบริสุทธิ์

     ความกลัวทำให้เรย์ช้าไปครึ่งก้าว แต่เพียงครึ่งก้าวนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ลุคชี้ปลายดาบเงินอันแหลมคมและแวววาวระยิบระยับจากแสงจันทร์ไปที่กลางสันหลังของเรย์ได้

     แค่เรย์ขยับเพียงปลายนิ้ว ลุคสามารถแทงเขาได้ทันที

    ร่างกายเรย์แข็งทื่อคล้ายโดนสาปเป็นหิน มีเพียงเส้นผมสีดำสนิทของเขาเท่านั้นที่ยังพลิ้วไหวเพราะลมหนาว

    "แก...นางฟ้า…"

    เรย์พูดขบฟันแต่ไม่กล้าแม้จะเหลือบตามอง เขารู้สึกได้ถึงคมจากปลายดาบที่ทิ่มแทงอยู่กลางแผ่นหลัง

    "เคยเป็น...แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ไม่ต้องห่วงน่า ความลับนายไม่ได้แตกหรอก"

    "หึ...ไอ้เซ่อ..."

    สิ้นเสียงก่นด่า ร่างเพรียวที่อยู่ ณ ปลายแหลมของดาบผู้เป็นเจ้าของเสียงสลายตัวเป็นกลุ่มควันสีดำทมิฬ ไม่ทันที่ลุคจะทำความเข้าใจกับภาพตรงหน้า เขาหันหลังกลับไป

    ทันใดนั้นของมีคมยาวสามฟุตสีทึบเงื้อทาบดวงจันทร์ ทันทีที่บุรุษเจ้าของใบหน้าแสร้งยิ้มเข้าใจสิ่งที่จะเกิดกับตน ลำคอของเขาก็ถูกสะบั้นด้วยดาบดำ ศีรษะอันปกคลุมด้วยเส้นผมนุ่มสีบลอนด์กลิ้งไปชนกับก้อนหินที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่แข็งแรง

    ร่างไร้ศีรษะล้มลง เพียงแต่บาดแผลที่คอนั้นไร้สิ่งที่ควรจะมีอย่างเลือด

    "อย่าถือโทษโกรธกันเลยนางฟ้า ที่ฉันทำก็เพื่อประโยชน์สุขของ'มนุษย์'ส่วนใหญ่น่ะแหละ"

    เรย์หัวเราะสะใจโดยไร้ท่าทีของความรู้สึกผิดอย่างวาจา เขาเดินถืออาวุธสังหารไปยังร่างของเหยื่อพร้อมใช้เท้าเตะร่างไร้ศีรษะเข้าเต็มแรง สิ่งที่ผิดคาดคือเขาไม่คิดว่าร่างนั้นจะระเบิดเป็นแสงจ้าปวดตาจนเขาสูญเสียการมองเห็นไปชั่วขณะ

    "ฉันละเบื่อจริงเชียว ทำไมใครๆ ก็ต้องอ้างว่าตัวเองน่ะดีอย่างนั้นดีอย่างนี้กันนักนะ"

    ลุคที่ตอนนี้พาดร่มสีขาวไว้ที่ไหล่ขวาและพาดดาบเงินไว้ที่ไหล่ซ้ายเดินออกมาอย่างปริศนาจากความมืด เขากระทืบเท้าลงกับพื้นหินเบาๆ ด้วยใบหน้าที่ยังคงเปื้อนยิ้มไม่เสื่อมคลาย

    เรย์รู้สึกได้ว่าร่างตัวเองแข็งทื่อ แขนทั้งสองกางออก ลูกแก้วสีขาวสว่างจ้าโผล่มาจากกลางหลังเพื่อยืดตัวเองออกเป็นรูปเครื่องหมายบวก เพียงไม่นานเรย์ถูกกางเขนแสงสีขาวสะกดตรึง ดวงตาของเขาที่เริ่มคืนสภาพทำให้เห็นชายในชุดไหมพรมขาวลางๆ

    "ไม่ต้องรีบตายตอนนี้หรอก ฉันบอกแล้วไงว่าฉันแค่มาคุยกับนายเท่านั้น"

    เรย์ได้แต่กัดฟันด้วยความเจ็บใจ

    "อย่างที่บอก พวกนางฟ้ากับยมทูตเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบนโลกพวกนายแล้ว บอกตามตรงว่าพวกนายตอนนี้อ่อนแอ ถึงส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะยังขาดกุญแจบางอย่าง แต่พวกนายก็กระจอกกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะ..."

    ฟิ้วววววว

    ดาบลำแสงจำนวนหนึ่งพุ่งทะยานจากฟากฟ้าแหวกอากาศเย็นเฉียบปักลงบนพื้นที่เมื่อครู่นี้ลุคยังยืนอยู่

    "นี่เธอ...?"

    ลุคเอ่ยด้วยความประหลาดใจหลังจากหลบดาบพ้นด้วยการสยายปีกบินขึ้นไปบนอากาศซึ่งห่างจากหน้าผาเล็กน้อย ดอกไม้ไฟที่ยังถูกยิงขึ้นมาอย่างไม่ขาดสายทำให้ปีกสีขาวบริสุทธิ์ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันวูบวาบ

    "ฮ่าๆ สเตฟานี่มาช่วยเรย์แล้ว มาฆ่าไอ้บ้านั่นกันเหอะ เร็วเข้า!!!!!!!!"

    เรย์ตะโกนไม่ต่างจากคนเสียสติกับหญิงสาวซึ่งตอนนี้อยู่ในเสื้อสายเดี่ยวเอวลอยสีม่วงลาเวนเดอร์และกางเกงขาสั้นสีขาว เธอร่อนลงมาจากฟ้าพร้อมกับชายผมยาวดำเหลือบน้ำเงิน ใบหน้าสวยน่ารักราวเด็กสาวถูกคั่นด้วยกรอบแว่นตา

    เขาและเธอยืนจังก้าเผชิญหน้ากับลุค

    "คุณไลท์ทรี คลายผนึกคาถาให้เรย์หน่อยค่ะ"

    ชายผมยาวตอบรับ ดวงตากลมโตเขียวมรกตฉายแววลนลานก่อนจะรีบหันหลังไปจัดการตามคำสั่ง

    "จะมีใครโผล่มาอีกมั้ยเนี่ย? จะได้ไว้พูดทีเดียว"

    น้ำเสียงลุคสบายผิดกับบรรยากาศด้านสเตฟานี่ที่ตึงเครียด ดวงตาสีฟ้าสดใสจ้องประสานกับนัยน์ตาสีเขียวอ่อนของลุคราวกับกำลังหยั่งเชิงเพื่อรอจังหวะรุกฆาต

    "จอห์น สเตฟานี่ มาช่วยกันฆ่ามันกัน"

    เรย์ที่เป็นอิสระจากพันธนาการพูดกับพรรคพวกทั้งสอง เขาเดินผ่านหญิงสาวออกมาข้างหน้าพร้อมกับจอห์นสหายหน้าหวาน

    "เรย์ไม่รู้จริงๆ เหรอว่าระดับของเขากับพวกเราต่างกันแค่ไหน"

    "ก็ช่างมันสิ! มาเหอะมาช่วยกัน..."

    บุรุษตวาดหญิงสาว แต่เพียงแค่เธอตอบโต้ด้วยมองกลับจากหางตา เรย์ถึงกับต้องเงียบ บางอย่างที่ส่งมาจากสายตานั่นของสเตฟานี่ทำให้เขารู้สึกสยดสยอง

    "ดูท่าจะมีคนพูดรู้เรื่องอยู่เหมือนกันนี่ หึ ฉันพอจะเข้าใจและว่าทำไมหมอนั่นถึงย้ำนักหนาว่าอย่าเรื่องมากกับผีเสื้อ"

    ลุคพูดและร่อนลงมาที่ปลายหน้าผาหิน ปีกสีขาวสลายตัวฟุ้งกระจายเป็นขนนกลอยในอากาศทันทีที่เท้าสัมผัสพื้น

    "สมมติว่าถ้ายมทูตซึ่งเป็นด่านแรกของการนำพาวิญญาณจากโลกมนุษย์ไปสู่ศาลเทพเกิดแน่ใจในเรื่องที่พวกมันสงสัยกันอยู่ตอนนี้แล้วเกิดการเผชิญหน้าขึ้นมา พวกนายไม่รอดแน่"

    ลุคหันหลังกลับไปมองวิวยามค่ำคืนของหมู่บ้านที่อยู่ด้านล่างของผานี้ ความรู้สึกผิดเข้าโจมตีเขาจนอยากจะหลั่งน้ำตาออกมา ความรู้สึกทั้งดีใจและเสียใจสุมขึ้นพร้อมกันในอกเขาเมื่อทอดสายตาไปยังพื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของบ้านเล็กๆ หลังหนึ่ง

    แน่นอน สิ่งที่เขาแอบหวังจากมิติปลอมๆ นี่จะไม่เกิดขึ้น เขารู้อยู่ แต่ก็อดที่จะคิดไม่ได้

    "ถ้าหากว่าโลกมนุษย์ถูกทำลายพวกนายจะไปอยู่ไหนกัน รู้รึเปล่าว่าโลกนี้น่ะ ถูกวางแผนที่จะทำลายทิ้งตั้งแต่มนุษย์คู่แรกเกิดมาแล้ว ถ้าถึงเวลานั้นจริงๆ นรกจะเป็นที่อยู่ต่อไปของพวกนาย"

    ลุคหันหน้ากลับมาที่พวกเรย์ยืนอยู่

    "สวรรค์น่ะงดงามและกว้างกว่าโลกมนุษย์จนนายนึกไม่ออกเลยล่ะ ตลอดหลายปีที่ฉันอยู่ที่โลกนี้ ดูเหมือนคนส่วนใหญ่จะกังวลเรื่องทรัพยากรกันมาก แต่ที่สวรรค์มีให้พวกนายผลาญได้ไม่จำกัด สวรรค์นะสวรรค์ชื่อก็บอกอยู่ พวกนายไม่สนใจตั้งรกรากใหม่บนนั้นรึไง?"

    เสียงนุ่มพูดอย่างอารมณ์ดีพร้อมขำเล็กๆ ในใจที่เห็นสีหน้าตื่นตะลึงอยู่บนใบหน้าของมนุษย์ทั้งสาม

    "อย่าใช้เวลาไปกับเรื่องไร้สาระอยู่เลย ฉันบอกใบ้ให้นิดละกัน พรรคพวกของนายที่ยังหลับไหลอยู่เหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น เมื่อเธอตื่นขึ้นกุญแจของนายก็จะครบ และพลังอำนาจทุกอย่างของพวกนายจะคืนมาโดยสมบูรณ์ ถ้าถึงตอนนั้น นายจะรู้ทุกอย่างเอง"

    "ต้องการให้พวกเราหยุดการคืนชีพมนุษย์ใช่มั้ย?" สเตฟานี่ถามขึ้นราวกับรู้บางอย่าง

    "เข้าใจง่ายดีแต่ก็ไม่เชิงหรอก พวกนายรักมนุษย์ ฉันก็เช่นกัน ถ้าพวกนายคิดหาวิธีที่จะแหกตาพวกยมทูตต่อไปได้ ฉันก็สนับสนุนการคืนชีพ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ควรจะหยุดไว้ก่อน เพราะถ้าพวกนายถูกเพ่งเล็งในขณะที่ยังปวกเปียกแบบนี้มีแต่เสียกับเสีย ฉันเสียใจที่แม้แต่ฉันก็ยังต้องพูดว่าต่อให้แผนการจะเพอร์เฟคแค่ไหน ก็ต้องมีผู้ที่ยอมเสียสละ"

    ลุคมีสีหน้าที่เจ็บปวด เรื่องนี้ทุกคนสัมผัสได้แม้แต่เรย์

    "ช่วงระหว่างที่รอกุญแจสุดท้าย พวกนายทุกคนจงรีบลับฝีมือซะ สิ่งไม่คาดคิดมันเกิดได้ทุกนาที ที่ฉันจะบอกพวกนายก็มีแค่นี้แหละ"

    ลุคเสกดาบเงินขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ตอนแรกเขาทำให้มันหายไปตอนโจนขึ้นฟ้าเพื่อหลบดาบของสเตฟานี่

    "สุดท้ายขอพูดกับหัวหน้าพวกนายคนเดียวละกัน เรย์มอนด์ ถึงฉันจะว่านายว่าอ่อนแอแต่นายตอนนี้ก็ยังเข้มแข็งกว่าฉันในตอนแรกที่เราเจอกัน ฉันยอมรับว่าเป้าหมายของฉันเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับเป้าหมายที่แท้จริงของพวกนาย ใครจะดีจะเลวก็ขอให้ไปตัดสินกันเองเหอะ แต่สำหรับฉัน การกระทำเพื่ออำนาจเป็นความเลว แต่ถ้าเพื่อความรักแล้ว ทุกอย่างที่ทำลงไปนั้น...คือคุณธรรม"

    เมื่อได้ฟังเช่นนั้นเรย์หัวเราะเยาะ

    "ทำเป็นพูดดี แกก็แค่คิดยืมมือพวกฉันแก้แค้นไม่ใช่รึไง สิ่งที่แกคับแค้นคืออะไรฉันไม่สน ฉันจะทำลายทั้งสวรรค์ทั้งนรกเพื่อโลกของฉัน และด้วยวิธีการของฉัน"

    "เอาเถอะ ไอ้ฉันมันขี้เกียจร่ำรี้ร่ำไรจะพูด แต่ที่ฉันบอกวันนี้ก็ขอให้เก็บไปคิดหน่อยละกัน ฉันเข้าใจว่าคนทุกคนแหละมักต้องรอให้เจอด้วยตัวเองถึงจะสำนึก ลาก่อนเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย เจอกันอีกทีเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว"

    พูดจบลุคใช้ดาบเล่มยาวในมือฟันไปบนอากาศด้านหลังจนท้องฟ้าฤดูหนาวยามค่ำคืนเกิดรอยปริแตก

    "อ้อ...'พลังนั้น' ของนายสุดยอดว่ะเรย์ ถึงว่าทำไมพวกนั้นถึงกลัวกันนักหนา ใช้ดีๆ ฆ่าฉันได้เลยนะ"

    ลุคปั้นยิ้มทิ้งท้าย ทั้งเรย์ สเตฟานี่และจอห์น เห็นดอกไม้ไฟบิดเบี้ยวผิดรูปร่างจากรอยแยกของมิติ เรย์มองดูร่างสูงโปร่งยืนเกาหัวก่อนจะใช้ดาบเงินฟันอีกครั้งจนอากาศเกิดรอยแตกสีดำเป็นรูปกากบาทอันใหญ่ ลุคชักร่มสีขาวออกมาก่อนจะใช้ขาเตะรอยปริของอากาศจนแตกเป็นรู เขากางร่มคันนั้นและหายตัวไปคล้ายกับโดนรอยดำนั้นกลืนกิน

    หลังลุคจากไปรูโหว่เริ่มขยายตัวใหญ่ขึ้น มิติเริ่มคืนสู่สภาพเดิมโดยการร่วงกราว ด้วยความรำคาญบวกกับความหงุดหงิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ทำให้เรย์ชักปืนคู่ใจสีดำทั้งสองกระบอกออกมาก่อนจะรัวยิงไปรอบทิศทาง ภาพของหน้าผา ต้นไม้ใบหญ้า แตกเป็นเสี่ยงและร่วงลงสู่พื้นราวเศษกับกระจกแตก จอห์นส่ายศีรษะช้าๆ ราวกับเบื่อหน่าย ส่วนสเตฟานี่ครุ่นคิดเหตุการณ์ในวันนี้

    ทั้งสามกลับมาอยู่ในห้องนั่งเล่นในบ้านของเรย์

    "บีว่าเขาไม่พูดขึ้นมาลอยๆ หรอกเรย์ เขาต้องรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเรามากกว่าตัวพวกเราเองแน่นอน"

    "เพิ่งรู้ว่าสเตฟานี่ก็เชื่อคนง่ายเหมือนกัน" เรย์ประชดสาวสวยและทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาไม่ต่างกับพนักงานออฟฟิสหลังเลิกงาน

    "แต่ดูก็รู้แล้วว่าหมอนั่นเป็นนางฟ้า ถ้ามันเป็นพวกเดียวกันกับพวกสวรรค์จริงฉันว่าป่านนี้เราเสร็จไปแล้ว"

    จอห์นเห็นด้วยกับสเตฟานี่ แต่เขาก็คิดว่าควรระแวงไว้ก่อนอย่างเรย์ก็เป็นทางเลือกที่ดี เขาพาร่างตัวเองไปนั่งตรงโซฟาตัวเดียวกันกับที่เรย์นั่งอยู่ สายตาสะดุดเข้ากับร่างอรชรของสเตฟานี่ที่เขาเพิ่งจะมีเวลาสังเกต

    "มองอะไรมิทราบคะ คุณไลท์ทรี?" สเตฟานี่ยิงคำถามส่งมาให้ชายหน้าหวานพร้อมแววตาที่แฝงเลศนัย

    "แหม ก็ผู้ชายนี่ครับ ของสวยๆ งามๆ ก็ต้องชอบมองเป็นธรรมดา"

    จอห์นขยับกรอบแว่นด้วยนิ้วอ่อนช้อย หญิงสาวอมยิ้มอ่านยาก

    "ถ้าไม่มองให้ดีดิฉันนึกว่าคุณเป็นสาวมหา'ลัยซะอีก"

    "จะจีบกันก็ไว้ทีหลังได้รึเปล่า" เรย์พูดอย่างหงุดหงิดพลางเอนหลังพิงโซฟาก่อนเสริม "เรียกประชุม 'ทัชออฟก๊อด' ดีมั้ยนะ?"

    ด้วยเสียงครุ่นคิด ใบหน้าหล่อเหลาของเขาตอนนี้แผ่ออร่าความเครียดออกมาจนแทบจับต้องได้ คิ้วเรียวสวยได้รูปขมวดจนแทบชนกัน

    "บีก็คิดอยู่ เพราะเรื่องนี้มันใหญ่ระดับนั้นไปแล้ว ถึงคำพูดของเขาคนนั้นจะเชื่อถือได้หรือไม่ บีคิดว่าต้องบอกให้ทุกคนรู้แล้วค่อยตัดสินใจดีกว่า" สเตฟานี่เดินมานั่งที่โซฟาอีกตัวที่อยู่ใกล้กัน

    "จอห์น นายว่าไง"

    ใบหน้าคล้ายเด็กสาวที่ทำหน้าครุ่นคิดยิ่งเสริมให้เขาน่ารักขึ้นไปอีก

    "นายเป็นผู้นำเรานา ฉันเห็นด้วยอยู่แล้ว" เขาขยับแว่นตาให้เข้าที่ "แต่ก่อนอื่นนายไม่คิดจะเล่าให้เราฟังหน่อยเหรอ?"

    เรย์ทำหน้างง ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงงงๆ ไม่ต่างจากใบหน้า

    "เรื่องอะไร?"

    "เจอกับเขาครั้งแรกตอนไหน" เสียงเนิบสุดเซ็กซี่ตอบแทนชายหน้าสวย

    "ใช่ตอนแรกที่เรย์ได้รับ 'สิ่งนั้น' มารึเปล่า?"

    หนุ่มหล่อมองหน้าสหายทั้งสองสลับกัน

    "อืม...ใช่ ก็ได้ ฉันจะเล่าให้พวกนายฟัง"



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×