คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Memory Piece 4
Memory Piece 4
เป็นเช้าที่บรรยากาศอืมครืมที่สุด เมฆลอยต่ำหนาทึบ อากาศเย็นเฉียบ นี่อาจเป็นเพราะโลกมนุษย์ได้เข้าสู่ช่วงที่เรียกว่าฤดูหนาวแล้ว
มาสังเกตดูดีๆ ก็เห็นว่าต้นไม้ใบหญ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ แทนที่จะเป็นสีเขียว ที่จริงก็รู้สึกถึงความเย็นตั้งแต่วันแรกที่มาเหยียบโลกแล้วล่ะ แต่อาจเป็นเพราะมีอย่างอื่นที่ต้องใส่ใจมากกว่าเลยทำให้มองข้ามอุณหภูมิแสนเย็นจมูกนี้ไป
ท้องฟ้าเริ่มสาดแสงสลัวๆ ออกมาให้เห็นแล้ว ดวงจันทร์ซึ่งราวกับทำงานของมันเสร็จก็ดับแสงลงอย่างเงียบๆ เพื่อรอให้ถึงเวลาที่ตัวเองจะต้องออกมาอีกครั้ง
ผมแอบชื่นชมดาวสองดวงที่คอยโผล่มาเยี่ยมเยียนโลกนี้เป็นประจำทุกวันอยู่ลึกๆ ถ้าพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตก็คงมีนิสัยขยันขันแข็งน่าดู
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมรู้ว่าสำคัญต่อการดำรงชีพในฐานะมนุษย์นอกจากเงินและอาหารแล้วก็คือการรับรู้วันเวลา คิดดูผมก็น่าจะมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า'นาฬิกา'พกติดตัวไว้สักหน่อย เพราะเมื่อวานที่เจอกับเมย์ที่บอกว่าไปตลาดมา ผมรู้ว่าเป็นเวลาหกโมงกว่าเพราะดูนาฬิกาจากบนสวรรค์ นั่นหมายความว่าเธอน่าจะออกจากบ้านมาก่อนหกโมง เรื่องง่ายแค่นี้ไม่น่าจะเดาผิดหรอก หรือถ้าผิดก็คงต้องโทษอากาศแล้วล่ะ เพราะวันนี้ช่างแตกต่างกับเมื่อวานเหลือเกิน
เมื่อวานเจ้าลูอิสบอกว่าเมย์ชอบดูพระอาทิตย์ขึ้นมาก ตอนนี้ผมว่าก็ใกล้จะถึงเวลานั้นแล้ว ใจหนึ่งก็อยากจะไปดูเพราะไม่เคยเห็น แต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะดูมันพร้อมกับเมย์ผู้ซึ่งมองไม่เห็นอีกแล้ว ผมไม่ได้มีความลำบากใจในการตัดสินใจที่จะเลือกอย่างหลัง ไม่จำเป็นต้องรีบเพราะยังไงมันก็ต้องขึ้นวันละครั้งอยู่แล้ว วันที่เมย์จะกลับมามองเห็นอีกครั้งอาจจะไม่ต้องรอนานก็ได้ใครจะรู้
และแล้วตัวเองก็มายืนรอสาวสวยอยู่ตรงประตูรั้ว อาจจะดูว่างมากแต่ก็ไม่แปลกที่ใครจะมองแบบนั้นโดยเฉพาะพ่อ
เมื่อคืนพ่อติดต่อมาถามถึงเรื่องที่สอนวิชาให้อาว่าไปถึงไหนแล้ว ผมก็บอกพ่อไปตรงๆ ถึงหัวสมองของอา ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องตลกและออกจะเป็นความลำบากของผมด้วยซ้ำ แต่พ่อก็ยังหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนจะบอกว่าถ้าเอามาตรฐานตัวผมตั้งใครๆ ก็ดูโง่หมด ถึงจะรู้เรื่องนั้นดีแต่ว่าอาจะโง่เกินมาตรฐานไปหน่อยรึเปล่า พ่อบอกส่งท้ายว่าให้ทนๆ เอาเพราะงานนี้มันเกี่ยวกับความสมดุลของทั้งสามโลก
มาถึงตอนนี้ แน่นอน อดทนได้อยู่แล้ว...
เพราะยิ่งอาใช้เวลาฝึกวิชานานเท่าไหร่ผมก็ยิ่งมีเวลาอยู่บนโลกมนุษย์ได้นานขึ้นเท่านั้น ถึงจะเป็นเหตุผลแบบเด็กๆ เขาคิดกันแต่ก็ไม่สนใจหรอก ถ้าถึงที่สุดผมสามารถเฉยเมยกับทุกสิ่งอย่างได้เพื่อจะทำในสิ่งที่ต้องการให้บรรลุเป้าหมาย ผมเป็นคนแบบนั้น แต่เป้าหมาย ณ ขณะนี้คืออะไร...ก็ยังไม่แน่ใจ...
ไม่หรอก...เพิ่งจะมาเริ่มไม่แน่ใจเอาตอนหลังๆ นี่เอง แต่ตอนนี้ช่างก่อน
เพราะสิ่งที่ผมรอตั้งแต่เมื่อคืนเปิดประตูออกมาแล้ว
นำหน้าด้วยเจ้าหมาสีขาวซึ่งถูกคล้องด้วยสายจูง ส่วนผู้ที่ถือสายจูงนั้นแค่พาร่างบางเดินออกมา หัวใจของผมก็เต้นตูมตามราวกับจะระเบิด
เมย์สวมชุดสีขาวลูกไม้คลุมไหล่ด้วยผ้าคลุมตัวยาวสีน้ำตาล กระโปรงสีน้ำตาลยาวปิดเข่า รองเท้าบูทยาวแต่งพู่สีน้ำตาล ทุกอย่างดูเข้ากันได้ดีน่ารักมากจนอยากลากเสียงให้ยาวที่สุดที่ทำได้ เจ้าลูอิสเห่าเสียงดังเมื่อเห็นผมยืนสลอนอยู่หน้ารั้วซึ่งนั่นทำให้เมย์ยิ้มกว้าง
"ไม่ต้องรีบหรอกเมย์ เดี๋ยวล้มนะ" ผมพูดขึ้นเพราะจังหวะเดินของเธอนั้นเร็วเกินไปสำหรับคนที่มองอะไรไม่เห็น
"จ้ะ ลุคมานานแล้วเหรอคะ?"
เมย์ตะโกนด้วยเสียงหวานที่ดังพอๆ กับฝนตกกระทบกิ่งไม้ เธอหยิบหมวกที่มีขนฟูๆ กับถุงกระดาษใบใหญ่ออกมาก่อนปิดประตู
"ลุคเพิ่งจะมาเอง เมย์อย่ารีบนะ" ผมผลักรั้วไม้สีขาวเข้าไปในสวนหน้าบ้านเพื่อประคองร่างน้อย เมื่อไปถึงเมย์ขมวดคิ้ว
"หนาวขนาดนี้ไม่ใส่ถุงมือได้ยังไงลุค"
ว่าแล้วเธอก็ใช้มือน้อยที่ถูกห่อหุ้มด้วยถุงมือคลำที่ตัวผม
"เสื้อหนาๆ กับผ้าพันคอก็ไม่มี"
เมย์นิ่วหน้าราวกับเด็กที่ถูกผู้ใหญ่ห้ามให้หยุดซน สาเหตุก็มาจากว่าผมไม่ได้ใส่อะไรกันหนาว ความรู้สึกเป็นห่วงคนอื่นอย่างจริงจังนี้ราวกับภาพมันซ้อนกันกับแม่ของผม ซึ่งความรู้สึกรักในกิริยานั้นๆ ของพวกเธอทำให้ค่าความสุขของผมพุ่งทะยานดุจม้าชั้นเยี่ยม สาวน้อยค้นของในถุงกระดาษและหยิบผ้าผืนยาวสีน้ำเงินออกมา
"ผ้าพันคอจ้ะ"
เสียงเล็กใสเจือกับลมเย็นทำให้นึกถึงบรรยากาศแสนอบอุ่นได้ยังไงก็ไม่อาจรู้ เจ้าของเสียงพันผ้าผืนนั้นที่คอผม กลิ่นหอมจากทุกส่วนบนใบหน้าของเมย์กำลังทำร้ายหัวใจให้แทบจะหยุดเต้นอยู่แล้ว นี่ยังไม่รวมดวงตาแสนกลมโตนั่นนะ
"ถึงจะช่วยได้ไม่เยอะแต่ก็ดีกว่าไม่มีค่ะ ยังเหลือถุงมืออีก"
ว่าแล้วเมย์ก็หยิบถุงมือสีเดียวกันกับผ้าพันคอออกมาจากถุงยื่นให้ผม
"อันนี้ลุคใส่เองนะคะ"
ผมรับผ้านุ่มๆ มาพร้อมกับรอยแย้มยิ้มอันงดงามจนหาอะไรมาเปรียบได้ยากหรืออาจไม่มีอะไรมาเปรียบได้เลย
"ลุค...ขอบคุณเมย์มากๆ นะ" รู้ตัวเลยว่าเสียงสั่น สิ่งที่ได้รับมาทำให้ที่คอกับฝ่ามือเย็นเฉียบตอนแรก ในตอนนี้อุ่นสบายมากๆ มันอุ่นมากซะจนน้ำตาผมไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว บางทีความอบอุ่นนี้อาจจะไปทำปฏิกิริยากับอะไรบางอย่างในตัว แต่ก็ภาวนาอย่าให้เมย์รู้ว่าผมเป็นแบบนั้น
เอาล่ะ ควบคุมน้ำตาได้แล้ว
"ทำไมเมย์ใจดีกับลุคจัง เชื่อมั้ย ลุคไม่เคยคิดเลยนะว่าจะมีคนแบบเมย์อยู่บนโลกนี้"
หญิงสาวยิ้มกว้างเหมือนอย่างเคยก่อนตอบ
"ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่ลุค"
เธอพับถุงกระดาษใบใหญ่ให้เล็กลงก่อนเจ้าลูอิสจะงับถุงนั่นจากมือเจ้านายสาวและวิ่งเอาไปเก็บตรงชั้นวางของหน้าบ้าน
"ลุคเก็บไว้ดีๆ นะ เมย์ให้เป็นของขวัญที่ลุคมาเที่ยวหมู่บ้านเรา เมย์ถักเองเลยนะจะบอกให้"
ไม่ต้องบอกก็ต้องเก็บรักษาอย่างดีอยู่แล้วล่ะครับผม ว่าแต่เมย์บอกว่าทำเองเหรอ เก่งจัง เมย์มองไม่เห็นจริงเหรอเนี่ย
"เป็นความสามารถพิเศษน่ะจ้ะ"
สาวสวยยืดอกอย่างภูมิใจ ผมก็ได้แค่ยืนขำในกิริยาน่ารักๆ ของเธออยู่ใกล้ๆ
"ไปกันเถอะจ้ะ"
เมย์ชวนทุกคน(ตัว)ด้วยน้ำเสียงสดใส ดีจริงๆ ที่ความสดใสของเธอนั้นไม่ได้ถูกลดทอนด้วยเรื่องร้ายๆ นี่แสดงให้เห็นว่าคำอธิษฐานของผมก็ส่งถึงดวงจันทร์เหมือนกันสินะ ใช่...เมื่อคืนผมอธิษฐานอย่างนั้นไว้กับดวงจันทร์ล่ะ
ระหว่างที่กำลังเพ้อ เมย์ก้มตัวควานหาสายจูงสีชมพูซึ่งเธอจงใจวางไว้ตอนจะสวมผ้าพันคอให้ผม เรื่องที่ผมพอจะตอบแทนเธอได้คงมีแค่เรื่องต่อไปนี้ล่ะ
"ไม่ต้องหรอกเมย์" ผมคว้ามือเธอไว้และหยิบสายจูงขึ้นมาเอง สาวน้อยเอียงคออย่างงุนงง และถึงจะไม่แสดงออก แต่ผมรู้สึกถึงความโมโหของเธอ
"ทำไมล่ะลุค ลูอิสเขาคอยนำทางเมย์มาตลอดเลยนะ"
ดวงตากลมโตแฝงความไม่พอใจนิดๆ เจ้าลูอิสก็เหมือนมีท่าทีเดียวกันกับเจ้านาย เอาเป็นว่ารีบอธิบายดีกว่าเรา
"ลุคกำลังจะขออนุญาตเมย์"
คิ้วของคู่สนทนาสาวขมวดอยู่บนผิวหน้าอันนวลเนียน ใต้คิ้วโก่งสวยคู่นั้นลงไปประดับด้วยแพขนตาดำและงอนยาว
"ถ้าเมย์อนุญาต หน้าที่พาเมย์เดิน...ลุคจะขอทำแทนลูอิสเอง..."
อาจจะรู้สึกไปเองก็ได้ แต่คิดว่าเมย์ค่อนข้างออกอาการตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน ซึ่งคงไม่แปลก เพราะผมก็คิดว่าคำพูดนี้มันไม่ต่างกับการสารภาพรักอ้อมๆ สักเท่าไร เตรียมใจรับคำตอบทุกรูปแบบไว้แล้ว แต่เมย์ไม่ตอบอะไร เธอเพียงแค่ก้มหน้าลงเล็กน้อย มือเล็กๆ ของเธอก็ยังมีมือของผมกุมอยู่ อย่างนี้มันหมายความว่ายังไงกัน เธอตกลงหรือแค่เป็นคนที่มีมารยาทที่จะไม่สะบัดมือผมทิ้งแล้วเดินไปคนเดียวกันนะ
"ถ้าลุคไม่คิดว่าคนอย่างเมย์เป็นการรบกวน...ก็แล้วแต่ลุคเถอะจ้ะ"
ราวกับพื้นดินที่แห้งแล้งขั้นวิกฤติได้รับฝนที่ตกติดต่อกันสามวันสามคืน ความยินดีถาโถมใส่หัวใจของผมอย่างไม่มีหน่วยวัดใดๆ สามารถวัดได้ ผมกับเมย์ยิ้มพร้อมกันและแวบหนึ่งผมสังเกตเห็นว่าเธอหน้าแดงด้วย ถ้าคิดแบบไม่เข้าข้างตัวเองก็อาจเป็นเพราะอากาศที่เย็นจัดนี่เป็นต้นเหตุ
"ไปเลยนะเมย์"
ผมจูงมือสาวน้อยที่เหมือนเขินอะไรอยู่ด้วยหัวใจที่เบิกบานเดินมุ่งตรงไปยังหน้าหมู่บ้าน ชาวบ้านที่สวนกันระหว่างทางทักทายพวกเราเช่นเคย เมย์รี่ผู้ซึ่งรู้จักแทบทุกคนก็ทักกลับอย่างมารยาทดี ส่วนตัวผมที่ไม่รู้จะตีสีหน้ายังไงดีก็ทำแค่เพียงยิ้มฝืนๆ กลับไป โดยถ้าเทียบกับสาวน้อยแสนสวยข้างๆ แล้ว ผมว่าระดับความจริงใจในการยิ้มนั้นคงแตกต่างกันซะจนขนาดที่ว่าเด็กแรกเกิดก็ยังรู้ บางทีนิสัยผมอาจจะแย่จริงๆ อย่างที่พ่อเคยพูดไว้ก็ได้
ในที่สุดก็จูงเมย์และเจ้าลูอิสมาถึงตลาดเช้า คนที่ต้องทึ่งก็คือผมอีกเช่นเคย
ที่นี่มีผู้คนพลุ้งพล่าน เสียงพูดคุยกันดังแซ่ด กลิ่นหอมของอาหารบ่งบอกว่ามีมากมายหลายชนิด ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีพวกข้าวของเครื่องใช้แปลกๆ ที่วางกันอย่างระรานตาอีก แต่ละร้านก็มีป้ายโฆษณาน้อยใหญ่ที่เขียนด้วยอักษรที่อ่านไม่ออกตั้งอยู่ เมย์บอกว่าที่ตลาดแห่งนี้จะมีชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่นมาตั้งร้านขายด้วย ตัวผมซึ่งยังใหม่และไม่ค่อยคุ้นกับสถานที่ที่มีคนเยอะๆ จึงต้องสลับตำแหน่งกับเจ้าลูอิสเพื่อให้มันเป็นผู้นำทางพวกเราสองคนเอง ซึ่งมันก็แลยินดีที่จะพาพวกเราไปโดยมีเจ้านายแสนสวยเป็นคนบอกว่าจะไปที่ไหน
เมย์ถามว่าจะทำอะไรก่อนดี ผมก็ตอบอย่างผู้ไม่รู้ทิศรู้ทางเลยว่าแล้วแต่เมย์ละกัน
เพิ่งนึกขึ้นได้ การจะแลกเปลี่ยนของกันในลักษณะแบบนี้ของมนุษย์ทั่วไปจำเป็นจะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า'เงิน'เพื่อทำการซื้อขาย แต่ตอนนี้เราไม่มีเงินนี่หว่า
"ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกจ้ะ"
ให้เมย์เป็นคนซื้อให้อีกไม่เอานะ ตั้งแต่มาที่นี่ผมก็เป็นผู้รับจากเธออยู่ฝ่ายเดียว
"ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย"
มีน้ำเสียงตัดพ้อเล็กๆ เจืออยู่ในเสียงสดใส
"ตลาดที่นี่ไม่ต้องมีเงินก็สามารถรับของที่ต้องการมาได้ อย่างเช่นสมมติว่าลุคอยากจะกินขนมปังถั่วแดง ลุงเจ้าของร้านก็จะถามลุคว่าจะ'จ่าย'หรือ'แลก' กรณีลุคไม่มีเงินก็ต้อง'แลก'แล้วลุงก็จะให้ลุคทำงานเล็กๆ น้อยๆ พอทำเสร็จลุงก็จะให้ขนมปังเป็นการแลกเปลี่ยนน่ะจ้ะ"
อ๋า...อย่างนี้เองเข้าใจล่ะ ตอกย้ำภาพลักษณ์ของหมู่บ้านรวยน้ำใจได้เป็นอย่างดีจริงๆ
"เลือกได้รึยังคะว่าจะไปไหนก่อนดี" เมย์ถามแซวๆ ด้วยรอยยิ้ม
"เมย์อยากได้อะไรเอาเลยนะ เดี๋ยวลุคเลี้ยงเอง"
สาวสวยหัวเราะร่า รอยยิ้มที่แสนอ่อนหวานของเธอไม่ว่านานเท่าไหร่ผมจะไม่มีวันลืมแน่นอน มั่นใจตัวเองเรื่องนี้มากยิ่งกว่าความอัจฉริยะซะอีก
ผมต้องการจะสร้างความทรงจำดีๆ ไว้กับเราสองคนให้มากที่สุด เพราะสิ่งที่ผมกำลังกลัวมันได้คืบคลานมาหาพวกเราอย่างช้าๆ แต่แน่นอน ไม่ต่างกันกับกระแสของเวลาที่ยกตัวอย่างไปก่อนหน้านี้
เมย์เริ่มต้นด้วยร้านขาย'แซนด์วิช' ซึ่งเจ้าลูอิสทำหน้าที่เป็นหมานำทางได้สมบูรณ์แบบที่สุด
สาวน้อยสั่งแซนด์วิชสามกล่องกับคุณป้าร่างท้วมในชุดฟ้าอย่างสนิทสนมและแน่นอนเราต้องตอบ'แลก'กับคุณป้าไป งานที่ผมได้รับก็คือช่วยห่อแซนด์วิช 9 ชิ้นด้วยกระดาษบางๆ สีขาว ตอนแรกผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้ดี คุณป้าเจ้าของที่ท่าทางแลดุก็เลยทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
โธ่...แค่นี้เอง มันง่ายมาก แค่เอาแซนด์วิชวางลงบนกระดาษแล้วพับทบไปมา ของแบบนี้ใครๆ ก็ทำได้ ผมยิ้มด้วยความมั่นใจในความสามารถของตัวเองสุดๆ ก่อนจะลงมือห่อ...
..…
….….
มันอะไรกันฟะเนี่ย!!!
ไหงมันเป็นแบบนี้ไปซะได้ ก็ว่าตัวเองทำแบบเดียวกันกับที่คุณป้าทำให้ดูไม่ผิดเพี้ยนเลยนะ แต่ทำไมไอ้ขนมทรงสามเหลี่ยมของผมถึงมีสภาพบู้บี้เละเทะได้ขนาดนี้ แค่นั้นยังไม่พอ รางวัลแห่งความพยายามที่ผมได้รับคือเสียงหัวเราะอย่างตลกขบขันของป้าเจ้าของร้าน โธ่...ผมก็ตั้งใจสุดๆ แล้วนะ
"จ้าๆ"
ป้ายังคิกคักไม่หยุดพลางหยิบผลงานสุดบรรเจิดที่ผมทำใส่กล่องอย่างคล่องแคล้วแล้วส่งให้
"อย่างนี้ขายไม่ได้แน่"
แล้วป้าก็หัวเราะส่งท้าย เอ้า ขำกันซะให้พอ ผมจะให้เมย์พิสูจน์ว่าถึงจะดูเละเทะแต่รสชาติก็สุดยอด
ทว่า...
"อุ๊บส์.."
ความหวังหนึ่งเดียวของผมกลับกลั้นหัวเราะหลังจากรับแซนด์วิช เธอลูบๆ คลำๆ ดูและก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่ตามที่คาดไว้แล้ว
"แซนด์วิชมันต้องเป็นรูปสามเหลี่ยมไม่ใช่เหรอคะ"
แดกดันกันเข้าไป ไม่น่าเชื่อว่าคนสวยจะใจร้ายขนาดนี้
"อ๊าาา เมย์ขอโทษๆ เมย์ล้อเล่นน่ะลุค รสชาติต้องสำคัญที่สุดอยู่แล้วเนอะ"
ว่าแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนส่งขนมปังที่ไม่เป็นทรงเข้าปาก ผมก็ทำเช่นกัน จะเป็นยังไงก็ยังต้องลุ้นอยู่ เมย์ซึ่งตอนนี้อยู่บนหลังของเจ้าลูอิสกำลังเคี้ยวด้วยความรู้สึกยังไงก็ไม่อาจทราบได้ ลองถามเจ้าหมาขาวที่กินอยู่ดีมั้ยนะ แต่เท่าที่ผมกินดูโดยส่วนตัวก็โอเคนะ ไม่ถึงกับแย่แต่ก็ไม่สุดยอดเท่าขนมปังถั่วแดง
"ผ่านค่า"
เมย์พูดพร้อมทำท่าทางที่น่ารักประกอบ จึงไม่แปลกที่หัวใจของผู้โชคดีที่ได้เห็นเช่นผมจะเต้นแรงกับกิริยาอันยากจะอดใจเข้าไปกอดไหวนั่น
"ทีนี้ตาลุคเลือกร้านบ้าง"
ของผมก็ต้องแหงอยู่แล้ว ร้านขนมปังถั่วแดง อันเก่าที่เมย์ให้มาผมจัดการหมดไปตั้งแต่เมื่อคืน สิ่งเดียวที่กังวลก็คือเมื่อไปถึงร้านเจ้าของร้านจะให้ทำอะไร ถ้าให้เอาขนมใส่กล่องก็ไม่คิดว่ามันจะยากนัก
แต่เดี๋ยวก่อน
"จริงสิเมย์ ลุคอยากได้นาฬิกาสักเรือน แบบที่พกได้สะดวกๆ เมย์พอจะรู้แหล่งมั้ย"
หญิงสาวทำท่าคิดแวบเดียวก็คิดออก
"อ๋อ งั้นต้องไปร้านพี่มังกี้ ที่นั่นมีหลายแบบให้เลือกเลยจ้ะ แต่ไม่รู้พี่เขาจะมาขายรึเปล่านะ เพราะนานๆ เขาถึงจะมาขายสักที"
"แล้วมีร้านอื่นมั้ยอ่ะเมย์"
"ก็มีนะลุค แต่พี่มังกี้เป็นช่างนาฬิกาที่มีฝีมือมากเลย ยังไงลุคจะไปดูก่อนก็ได้นะ ถ้าพี่เขาไม่มาขายค่อยดูร้านอื่น"
ไม่มีเหตุผลที่ผมจะปฏิเสธจึงทำตาม ฟังจากลักษณะที่เมย์พูดถึงคนๆ นั้นดูเหมือนจะมีความสนิทสนมกันไม่น้อย บอกตามตรง ผมรู้สึกอิจฉานิดหน่อยเหมือนกัน
ผมยังคงถือสายจูงและให้ผู้ที่ถูกจูงนำไปที่ร้านเป้าหมาย เมย์ที่นั่งอยู่บนตัวลูอิสโคลงเคลงเล็กน้อยเพราะคนมากมายเบียดเสียดไปมาทำให้พวกเราเดินช้ากว่าปกติ แต่ไม่นานนักผู้นำทางสี่ขาก็เห่าเมื่อถึงร้านที่เป็นแผงเล็กๆ ตั้งขึ้นมา
"ลุคโชคดีจัง พี่เขามาด้วย"
"อ้าว ยัยโมกับลูอิสไม่ใช่เหรอน่ะ"
ชายคนนั้นร้องทัก ใบหน้าธรรมดาๆ ของเขาเข้มขึ้นได้เพราะเคราบางๆ เดาจากภายนอกน่าจะมีอายุเยอะกว่าเมย์แค่นิดเดียว
"ค่ะ เป็นไงคะพี่ สบายดีมั้ย?"
"ก็ไม่ค่อยดีหรอก เธอก็รู้ว่าพี่ไม่ชอบอากาศหนาวๆ ว่าแต่เราเหอะเป็นไง"
"ก็เรื่อยๆ น่ะค่ะ"
กลายเป็นคนนอกไปเลยแฮะเรา แต่ผู้ชายคนนี้ก็แลคุยง่ายดี
"ก็ไม่ได้อยากพูดหรอกนะ แต่ชินแล้วก็ดีแล้วล่ะ วันนี้มีอะไรถึงได้มาล่ะ"
"เมย์เปล่าหรอกค่ะ แต่ลุคต่างหาก เขาอยากได้นาฬิกาน่ะค่ะ เมย์เลยแนะนำที่นี่"
มังกี้เลื่อนสายตามาที่ผม เขาใช้เวลาเพียงครึ่งวินาทีตรวจสอบคนแปลกหน้า นั่นทำให้รู้ว่าหมอนี่ก็ไม่ธรรมดา
"แหม ขอบใจจ้ะน้อง นักท่องเที่ยวเหรอครับไม่เคยเห็นหน้าเลย"
เข้าสู่วงโคจรแล้วเรา
"ครับ อย่างที่เมย์บอก ผมอยากได้นาฬิกาสักเรือน ขอแลกนะครับ"
"อ้า…ยัยโมเป็นไกด์ให้คุณแล้วสินะ ดีครับ เชิญเลือกเลย แล้วผมจะประเมินว่าต้องแลกยังไง"
ผมพยักหน้าก่อนจะเขยิบเข้าไปใกล้แผงซึ่งมีนาฬิกาสวยๆ วางเต็มพรืด ที่วางตรงนี้จะเป็นแบบที่ผมต้องการมากกว่า ส่วนด้านในร้านจะเป็นเรือนแขวนใหญ่ๆ ทุกเรือนเดินตรงกันเป๊ะๆ อืมๆ สุดยอดแฮะ
ในที่สุดผมก็เห็นแบบที่ผมชอบ มันเป็นแบบพกพาสีเงินสลักลวดลายอ่อนช้อยพร้อมมีสร้อยเงินคล้องไว้ ตกลงเอาอันนี้แหละ
แต่เรื่องก็ไม่ง่ายขนาดนั้น
ขณะที่ผมกำลังเอื้อมมือไปหยิบก็ได้ไปคว้ามือใครอีกคนซึ่งมีรสนิยมแบบเดียวกัน
"อะไรเนี่ย"
หมอนั่นบอกเคืองๆ
"ฉันจะเอาเรือนนี้"
ไม่เห็นต้องบอกเลย ปัญหาของนายคือฉันก็จะเอาเหมือนกัน
"แหม ตาดีทั้งคู่ นั่นเป็นเงินแท้ กรอบทำจากทองคำขาวจากสวิตเซอร์แลนด์ มีเรือนเดียวซะด้วย"
มังกี้อธิบายสรรพคุณสบายใจเฉิบ ส่วนมือของหมอนั่นกับของผมก็ยังค้างอยู่ที่เดิมแบบไม่มีใครยอมปล่อย เห็นว่ามีเพื่อนมาคนหนึ่งด้วย จะงัดกันมั้ยล่ะ
"พ่อค้า เขาแลกหรือจ่าย"
หมอนั่นถามห้วนๆ ตีจุดอ่อนเชียวนะ
"แลกครับ"
"งั้นผมจ่าย เท่าไหร่ว่ามา"
คนแพ้ก็ต้องเป็นผมงั้นเหรอ แต่การที่คิดว่าพ่อค้านาฬิกาคนนี้ไม่ธรรมดาก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียเที่ยวนักหลังจากฟังสิ่งที่เขาบอก
"แหม อย่าทำอย่างนั้นเลยครับ ไม่เห็นสนุกเลย เอาอย่างนี้มั้ย เรือนนี้ผมไม่ขาย แต่จะให้กับผู้ที่ชนะการประมูล"
พ่อค้านาฬิกายิ้มสนุกสนาน ระหว่างนั้นเมย์ที่เริ่มรู้เรื่องก็เข้ามาถามผมว่ามีอะไรกัน ผมก็บอกไปว่าต้องประมูลนาฬิกาแข่งกับผู้ชายอีกคน ถึงจะไม่รู้ว่าการประมูลคืออะไรก็เหอะ แต่แค่นั้นเมย์ก็ยิ้มน่ารักปนซุกซนแล้ว
"พี่มังกี้ชอบทำแบบนี้จริงๆ สบายใจได้จ้ะลุค ไม่ต้องใช้เงินประมูลหรอก แต่ต้องดูว่าพี่เขาจะให้ทำอะไร"
จะยังไงก็ช่าง สีหน้าของเมย์ดูแปลกๆ นะ แต่เสียงของไอ้คนที่มาแย่งนาฬิกากับผมก็ดังขึ้นก่อนจะได้ลงไปในรายละเอียด
"อะไรอ่ะ ฉันมีเงินนา"
"ใช่ว่ามีเงินแล้วจะได้ทุกอย่างไปนะครับ ผมต้องการให้เกิดความยุติธรรมกัน แค่นั้นเอง"
ไม่แปลกใจแล้วที่ว่าทำไมเมย์ถึงได้สนิทกับคนๆ นี้ เป็นคนใช้ได้เหมือนกันนะ
"ถึงจะเย็นไปนิดแต่วันนี้ก็อากาศดี ถ้าพวกคุณสองคนไม่มีธุระที่ไหนและอยากได้นาฬิกาเรือนนี้ล่ะก็ ไปกันที่ลานกิจกรรมกลางครับ อ้อ แต่ละคนก็พาเพื่อนมากันด้วยนะ แค่คนเดียวก็พอ"
คิดจะให้ทำอะไรหว่า
"ก็ไหนว่าจะประมูลกันไง"
หมอนี่ปัญหาเยอะจริงวุ้ย ไอ้ผมน่ะไปอยู่แล้ว เมย์ก็แลสนุกสนานเหมือนกันเพราะงั้นจึงไม่มีปัญหา
"ก็ประมูลสไตล์ผมไงครับ"
และแล้วพวกเราทุกคนก็เดินมาถึงลานกว้างที่อยู่เลยจากสะพานไม้ไปทางตะวันออกนิดหน่อย ถึงจะบอกว่าลานกว้างแต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตไปกว่าที่คิด มันเป็นลานโล่งปกคลุมด้วยหญ้าสีเขียวบ้างเหลืองบ้าง ริมสุดทั้งสองฝั่งมีโครงเหล็กแคบๆ ติดตาข่ายตั้งอยู่ ผมถามเมย์ว่าส่วนใหญ่ที่นี่มีไว้ใช้ทำอะไร เธอตอบว่าสนามที่นี่มีไว้'เตะฟุตบอล'
ถ้าไม่รู้จักการ'เตะฟุตบอล' มันจะแปลกมั้ย? ไอ้ลูกกลมๆ ขาวๆ ที่มังกี้หยิบติดมือมานั่นเป็นอุปกรณ์สำหรับเตะฟุตบอลรึเปล่า เพื่อความปลอดภัยจากสายตาแปลกประหลาดผมจึงถามลูอิสมันดู
(นายต้องเตะไอ้ลูกกลมๆ ที่เรียกว่าฟุตบอลนั่นให้เข้าประตู โดยที่ฝั่งตรงข้ามจะคอยขัดขวางนายไม่ให้ทำอย่างนั้น ฝ่ายตรงข้ามเองก็จะเตะบอลให้เข้าประตูนายเหมือนกัน...)
...เราก็ต้องขัดขวางฝั่งตรงข้ามสินะ แล้วใครได้คะแนนเยอะกว่าเป็นฝ่ายชนะ...ใช่มั้ย?
(ก็ประมาณนั้นแหละ)
เหมือนกับเห็นเจ้าลูอิสยิ้มมุมปากเลยแฮะ เอาล่ะ เข้าใจกติกาแล้ว ทันท่วงทีทีเดียว เพราะมังกี้เรียกเราไปที่กลางสนาม แต่ก่อนจะเดินออกไป ผมก็ได้รับเครื่องยืนยันว่ายังไงก็ต้องชนะแน่พกใส่มาเต็มกระเป๋าของหัวใจ
"สู้ๆ นะคะลุค"
นั่นคือท่าทางเชียร์พร้อมรอยยิ้มน่ารักสุดบรรยายของคนที่ผมตกหลุมรัก ยิ่งทำท่านี้ยิ่งทำให้รักยิ่งกว่าคำว่ากว่าถอนตัวไม่ขึ้น
"เมย์รอฟังข่าวดีได้เลย"
หลังจากเห็นฟันขาวที่มาจากรอยยิ้มอีกครั้งผมก็เดินออกไป
"พวกคุณคงจะรู้จักฟุตบอลกันสินะ การประมูลของผมก็ง่ายๆ ใครชนะก็เอาของไป ผมแถมเงินรางวัลให้ด้วย"
ช่างนาฬิกายกกระดาษขึ้นมาสองสามใบ นั่นคงเป็นเงินที่เขาว่า มนุษย์เห็นกระดาษใบเล็กๆ นั่นมีค่าขนาดนั้นเชียว?
"ก็โอเคหรอก แต่นายนั่นคิดจะเล่นคนเดียวรึไง"
คู่แข่งผมว่างั้น แล้วไอ้ฟุตบอลนี่มันต้องเล่นกันสักกี่คนล่ะ สองคนงั้นเรอะ
"จริงสิผมก็ลืมไป ที่จริงผมอยากให้เล่นทีมละสอง คุณลุคหาเพื่อนมาเล่นอีกคนได้รึเปล่า ให้ผมหาให้มั้ย?"
ถ้าสองคนก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ขอให้เล่นได้ก็พอสินะ
ผมเดินกลับไปหาเมย์ที่นั่งอยู่กับสัตว์สี่ขาตัวยักษ์ และนั่นคือทีมของผม
"เอาจริงเหรอลุค ปกติเมย์เห็นว่ามีแต่คนเขาเล่นกันนะ"
"ไม่เป็นไร...มั้งนะ"
ไม่อยากพูดเลยว่าลุคไม่รู้ แต่เอาไงเอากันล่ะ เจ้านี่รู้กติกาก็น่าจะเล่นเป็นสิน่า
(ถามฉันสักคำมั้ยเนี่ย)
ก็ถามอยู่นี่ไง ให้ขอร้องด้วยรึเปล่าล่ะ
(พอเหอะอย่าเลย ก็ได้ ฉันเล่น)
พอผมเดินไปพร้อมเจ้าลูอิส ทีมคู่แข่งก็ฮากันยกใหญ่ หมาเล่นบอลมันแปลกขนาดนั้นเลยเรอะ
"เฮ้ยจริงดิ เอาไอ้หมานั่นเข้าทีมเนี่ยนะ แพ้มาอย่ามาว่าโวยละกัน"
(...)
ถึงปกติเจ้าลูอิสจะไม่ค่อยพูดอะไรแต่คราวนี้ความเงียบของมันผิดไปจากที่เคย ผมรู้ว่าความเงียบนั้นมีความหมายไปในทางไหน อย่าว่าแต่ลูอิสเลย ผมเองก็รู้สึกแบบเดียวกับมัน
(มาซัดพวกนั้นให้หน้าหงายกันเหอะ)
เออ ก็บังอาจมาดูถูกสุนัขของโมนิก้า เมย์รี่นี่นะ
"กติกาคือใครยิงได้สามลูกก่อนเป็นผู้ชนะ ส่วนเรื่องฟาล์วก็อย่าทำกันหน้าด้านๆ ละกันนะครับ"
กรรมการชั่วคราวว่าเสร็จสรรพ ผมกับนายลีออนอยู่กลางสนามเพื่อทายผลการโยนเหรียญ ส่วนวิธีทายลูอิสแอบกระซิบว่าให้เลือกหนึ่งอย่างระหว่างหัวกับก้อย ซึ่งการเลือกหัวที่แข็งแรงกว่าก้อยในความคิดผมไม่ได้ช่วยให้เลือกถูกแต่ อย่างใด ผู้ชนะในการเลือกคือลีออนคู่แข่ง ดูเหมือนหมอนั่นจะมีสิทธิ์เลือกอีกว่าจะเตะก่อนหรือเลือกฝั่งที่ตนกับเพื่อนจะอยู่ ซึ่งเขาเลือกที่จะเตะก่อน ผมกับลูอิสจึงต้องถอยฉากมานอกวง
ปี๊ดดดดดดดด
สัญญาณที่ดังและการที่ทีมนั้นเริ่มเตะแสดงว่าเริ่มกันแล้ว ลีออนส่งให้นายบี(ไม่รู้ชื่อนี่นา)นายบีพาบอลวิ่งข้ามมาฝั่งเรา จุดหมายอยู่ที่ประตูจริงด้วยแฮะ
(นายวิ่งขึ้นไปเลย หมอนี่ฉันจัดการเอง)
คำสั่งจากผู้รู้ถือเป็นที่สิ้นสุด ผมทำตามนั้นและรอลูกบอลที่เจ้าหมาขาวกำลังจะแย่งมา มันวิ่งเข้าใส่นายบีอย่างน่ากลัวเหมือนตอนที่ผมเจอกับมันครั้งแรกนั่นแหละ
ลูอิสกระแทกนายบีปลิว แต่หมอนั่นส่งลูกให้ลีออนไปแล้ว ทีนี้ประตูเราก็โล่งอ่ะดิ
(รักษาประตูไว้!)
ก็มีแต่ต้องทำงั้นสินะ ระยะห่างของผมกับลีออนค่อนข้างไกล กลับกันระยะห่างของหมอนั่นกับประตูแค่นิดเดียว คนธรรมดาๆ ไม่มีทางวิ่งไปสกัดก่อนหมอนั่นจะยิงได้หรอก
เพียงแต่ผมใช่คนธรรมดาๆ ซะที่ไหน
ลีออนได้ระยะยิง เขาไม่รอช้าที่จะทำคะแนน
เสียงเตะหนักๆ ดังทุ้ม บอลพุ่งทะยานด้วยความเร็วของน้ำหนักเท้ามุ่งสู่ตาข่ายภายในประตู
สิ่งที่นายลีออนคาดไม่ถึงคือ มีสิ่งที่เร็วกว่าลูกบอลนั่นหลายล้านเท่ากำลังจะหยุดมันไว้
หมับ!!!
ไม่มีวันสำเร็จ บอลถูกผมหยุดอย่างสบายๆ ด้วยมือสองข้าง
ปี๊ดดดดดดดดดด
อ้าว...กติกาของฟุตบอลนี่ต้องส่งสัญญาณหลังหยุดลูกได้ด้วยเหรอ
(ฉันผิดเองแหละที่ลืมบอกนาย)
ดูท่าผมจะทำอะไรผิดไปใช่มั้ย
(ฟุตบอลเขาห้ามใช้มือแตะโดนลูก จำไว้นะ)
แล้วทีนี้เอาไงต่ออ่ะ
"ทีมลีออนได้ลูกโทษ!"
มังกี้ขำก๊ากใหญ่หลังจากกลั้นมานาน ลีออนกับนายบีก็ไม่ต่างกัน
(อ้อ แล้วอีกอย่าง ห้ามใช้ความสามารถเหนือมนุษย์นั่นอีกขอร้อง โชคดีที่มีแค่พวกเราโดยไม่มีคนดู โชคดีอีกที่วีรกรรมเมื่อกี้ของนายกลบความสงสัยไปได้หมด)
ถ้าลูอิสเป็นคนผมก็คงได้เห็นสีหน้ากลั้นขำเช่นกัน พูดถึงฟุตบอลนี่ข้อห้ามเยอะเหมือนกันนะเนี่ย แต่ก็รู้อะไรเยอะละ
ลูกโทษที่กรรมการประกาศให้ลีออนได้เตะก็คือการตั้งลูกบอลไว้ในจุดที่ใกล้ประตูเอามากๆ กติกาจริงๆ ของฟุตบอลคือมีแค่'ผู้รักษาประตู'เท่านั้นที่มีสิทธิ์ใช้มือในการรับลูกบอล การ'เตะลูกโทษ'จำเป็นต้องมีผู้รักษาประตู เจ้าลูอิสบอกว่าจะรับหน้าที่นั้นเองเพราะผมอาจจะใช้เอฟเฟ็คพิเศษในการรับบอล เฮ้ๆ แค่พูดครั้งเดียวฉันก็เข้าใจน่า
หลังเสียงสัญญาณลีออนก็เตะลูก บอลโดนตัวเจ้าหมาขาวที่พุ่งตัวสกัดแต่กลับกระเด้งเข้าไปในตาข่าย เสียงโฮ่ดีใจดังขึ้นกับทีมฝ่ายตรงข้าม
"1-0!"
มังกี้ผู้จัดแข่งขันควบตำแหน่งกรรมการตะโกนอย่างรื่นเริงราวกับเด็กที่กำลังได้เล่นอะไรสนุกๆ พวกเราเดินมาที่กลางสนามอีกครั้งแต่คราวนี้ผมได้เตะบอลกลางวง
ปี๊ดดดดดดดด
ผมเขี่ยลูกเบาๆ ส่งให้เพื่อนร่วมทีมสี่ขา มันพาลูกไปข้างหน้าอย่างคล่องแคล้ว ลีออนวิ่งเข้าไปหามันหมายแย่งบอลมาจากเท้า ส่วนนายบีวิ่งเหยาะๆ พันหน้าพันหลังผมอยู่นั่นแหละ เข้าใจละ นี่เป็นเทคนิคไม่ให้ลูอิสส่งบอลมาให้ผมได้สินะ
เมื่อรู้แบบนั้นและรู้ว่าหมอนี่วิ่งไม่เร็วผมจึงวิ่งวนไปมาเพื่อหาช่องว่าง ลูอิสยังคงวิ่งไปต่อ ติดขัดบ้างเพราะลีออนวิ่งกวดแล้วยุดๆ แย่งๆ แต่หมาขาวก็ผ่านมาได้ เอ้า ได้โอกาสแล้วส่งมาสิ
ลูอิสใช้ขาหน้าเตะส่งมา ขณะที่บอลกำลังไหล ขานายบีก็มาจากไหนไม่รู้มาขวางไว้
"ดีมากไทเกอร์ ส่งมาเลย!"
เจ้าของเสียงลีออนผละจากเจ้าหมาขาวและวิ่งเท้าขวิดสุดกำลัง นายบีหรืออีกชื่อหนึ่งว่าไทเกอร์เตะบอลซะสูงส่งให้คู่หู เพิ่งจะรู้ว่าหมาโดยปกติจะวิ่งเร็วกว่าคนก็วันนี้ แต่ไม่ต้องเหนื่อยนายหรอก
ระหว่างที่ลูกกำลังลอยสูงผมกระโดดกลับหลังด้วยแรงที่ตั้งใจให้เป็นของมนุษย์ขึ้นไปกลางอากาศและซัดลูกบอลเจ้าเสน่ห์ที่ใครๆ ก็ต้องการตัวลงมายังประตู ลูกเข้าไปอยู่ในตาข่ายตามที่ผมคาดไว้
(ท่าสวยนี่)
จะยกนิ้วโป้งให้หน่อยมั้ยล่ะ แล้วก็เป็นไปตามคาดอีก ทีมตรงข้ามทำหน้าเซ็งส่วนพวกเราก็ได้เฮกันบ้าง แต่ที่ไม่ได้คาดไว้เลยก็คือมีเสียงคนอื่นร่วมดีใจกับเราด้วย
"หนุ่มๆ พวกลุงขอเล่นด้วยสิ"
ชายวัยกลางคนหน้าตาท่าทางแลจะดุบอกพวกเราด้วยรอยยิ้มใจดี ลุงมาจากไหนก็ไม่รู้หรอก ส่วนเรื่องจะเล่นด้วยคงต้องถามกรรมการที่กำลังเดินเข้ามา
"เอาสิครับลุง คนเยอะๆ เนี่ยแหละมันส์"
มังกี้กวาดตาไปรอบๆ พร้อมทำหน้าตาเหมือนเด็กที่กำลังอยู่ในภาวะสนุกสุดขีดเมื่อเห็นว่ากำลังมีผู้คนสนใจอีเว้นท์ตัวเองเป็นจำนวนมาก
"แต่เมื่อเป็นแบบนี้ผมก็ต้องขอเปลี่ยนกติกานิดหน่อย ผู้เล่นฝั่งละห้ารวมผู้รักษาประตูเป็นหก เล่นกันรอบละสิบห้านาทีสองรอบ ใครยิงได้มากกว่าเป็นผู้ชนะ โอเคนะครับ"
ไม่น่าจะมีใครมีปัญหานะ และเมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเราก็จัดแจงแบ่งทีมกัน แต่ไม่ว่ายังไงผมก็จะขอเอาลูอิสเข้าทีมด้วย ซึ่งพวกลุงๆ ไม่ได้มีปัญหาอะไรอีกเช่นกัน
เกมการแข่งขันที่เริ่มจากจุดเล็กๆ ตอนนี้รอบสนามมีคนมากมายส่งเสียงเชียร์พวกเรา ระหว่างนั้นไม่ว่าจะลีออนหรือตัวผมเองก็ต่างลืมเรื่องของรางวัลจนหมดสิ้น ประสบการณ์ที่แสนสนุกครั้งนี้ผมจะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต
ปี๊ดดดดดดดด
เสียงสัญญาณยุติการแข่งขันดังขึ้น ทีมผมแพ้ทีมลีออน 4 ต่อ 2 ลูก ไม่อยากบอกว่าสองคะแนนของทีมเรา เจ้าหมาขาวเป็นผู้ทำประตูทั้งหมด
ตอนนี้ไม่ว่าจะผู้ชนะหรือผู้แพ้ก็ต่างหัวเราะหัวใคร่กัน ลูอิสได้รับคำชมล้นหลามโดยเฉพาะเด็กๆ ซึ่งมันก็พาเด็กๆ เหล่านั้นขึ้นหลังวิ่งเป็นการตอบแทน เป็นภาพที่ไม่รู้จะเห็นจากที่ไหนได้อีก
"คุณลุค คุณลีออน เชิญทางนี้ครับ"
เมื่อเราสองคนไปถึง มังกี้ยกนาฬิกาเงินพร้อมกระดาษใบเล็กๆ ที่เป็นของรางวัลให้แก่ลีออน
"ยินดีด้วย วันนี้สนุกมากจริงๆ"
ผมยื่นมือออกไปเพื่อแสดงความจริงจากใจ ลีออนยิ้มและเอากระดาษที่ได้รับเมื่อกี้ยัดใส่มือผม
"อื้อ ฉันก็เหมือนกัน ไว้วันหลังเรามาเล่นด้วยกันอีกนะ ส่วนเงินนั่นนายเก็บเอาไว้เถอะ จริงๆ ถ้าพวกลุงไม่มาทีมแพ้คงเป็นฉัน ดูถูกหมานั่นไปหน่อย"
ว่าแล้วพวกเราก็หัวเราะกันยกใหญ่ก่อนจะแยกย้ายกันไป
"ผิดคาดเลยเนอะ ไม่คิดว่าอยู่ดีๆ คนจะมากันเยอะขนาดนี้ เป็นไงบ้างลุค สนุกมั้ย"
"สุดยอดเลยเมย์ ทีมลุคแพ้แต่ก็ได้รางวัลมาด้วยนะ ลุคให้เมย์หมดเลย" ผมคว้ามือเมย์ขึ้นมาแล้วใส่เงินไว้ในมือเธอ
"เอ๋...? จะดีเหรอลุค เมย์ไม่เอาหรอก ลุคเก็บไว้เถอะ"
"ลูอิสทำอะไรได้เยอะกว่าลุคอีก ถือว่าเป็นค่าอาหารมันละกันเนอะ"
เมย์พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะยิ้มน่ารัก เนี่ยแหละรางวัลของลุค แต่แปลกนิดหน่อย ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าที่เห็นหน้าเมย์ขาวขึ้นกว่าปกติ
"เราจะไปไหนกันต่อดี"
เสียงเล็กยังสดใสเหมือนเดิม คงคิดไปเองจริงๆ แหละเรา ส่วนคำตอบผมก็เหมือนเดิมเช่นกัน
"แล้วแต่เลยครับ"
"งั้นไปร้านลุงเกรย์นะคะ"
ไปถึงคงรู้เองว่าใครคือลุงเกรย์ ลูอิสซึ่งเสร็จกิจจากการพาเหล่าเด็กๆ ขี่หลังแล้วก็มารับหน้าที่นำทางต่อ พวกเราต้องย้อนกลับไปที่ตลาดอีก แต่แค่ไม่นานก็ถึงร้านที่อยู่หลังประตูกระจก
ผมให้ลูอิสเข้าไปก่อนและบอกให้เมย์นั่งรอที่เก้าอี้ ร้านนี้รู้สึกจะดูหรูกว่าร้านอื่น อากาศภายในก็อุ่นกว่า กลิ่นหอมกรุ่นที่คิดถึงทำเอาผมผ่อนคลายไม่น้อย ที่หน้าเคาน์เตอร์มีลูกค้าสองสามคนถือถาดที่ใส่ขนมปังชนิดอื่นๆ ที่ผมยังไม่เคยเห็นเพื่อรอจ่ายเงิน ซึ่งผู้ที่เป็นคนรับเงินน่าจะเป็นเจ้าของร้าน เมื่อเขาเห็นผม เมย์ กับเจ้าลูอิส จึงยิ้มกว้างอย่างใจดี
"หนูมีมี่หวัดดีจ้ะ วันนี้แต่งตัวสวยจัง"
ชายรุ่นลุงพูดขึ้นหลังคิดเงินลูกค้าหมดแล้วจึงเดินมาสมทบกับพวกผมซึ่งนั่งอยู่ก่อน
"ลุงเกรย์ขายดีมั้ยคะ?"
ชายร่างท้วมนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหลานสาวพลางยืดอกอย่างภูมิใจจนเสื้อเชิ้ตสีขาวพองขึ้นเล็กน้อย
"ระดับลุงเกรย์ซะอย่าง ก็ต้องดีอยู่แล้ว"
หัวเราะเสียงดังอย่างไม่จำเป็นปิดท้าย
"ว่าแต่พ่อหนุ่มมาจากไหนล่ะ"
ลุงหันมาทางผมที่กำลังลูบขนเจ้าลูอิสเล่นอยู่
"ผมมา...จากต่างประเทศครับ มาเที่ยวน่ะ ยินดีที่รู้จักครับลุงเกรย์ ผมลูอิสครับ"
ลุงหัวเราะเสียงดังอีกครั้ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเรื่องอะไร
"เรียกลุคดีกว่าครับ" ผมตีสีหน้าเซ็งๆ อย่างตั้งใจ...อย่าดีกว่า เปลี่ยนเรื่องพูดเหอะ "ขนมปังถั่วแดงของลุงสุดยอดเลยครับ ประทับใจผมมาก"
"ฮ่าๆ แหงอยู่แล้ว ก็นั่นมันเมนูเด็ดของร้านเราเลยนี่หว่า ว่าแต่พ่อหนุ่มเป็นคนชาติไหนล่ะเนี่ย พูดภาษาเราชัดมากเลยนะ แต่ถ้าฟังจากชื่อก็คล้ายๆ กับประเทศเรา มาจากอังกฤษเหรอ"
ผมพยักหน้าไปตามน้ำ โชคดีที่ลุงบอกตำแหน่งออกมา เมย์มีท่าทีสนอกสนใจนิดหน่อยกับบทสนทนานี้ ส่วนเจ้าลูอิสที่นอนหมอบอยู่บนพื้นไม้ของร้านข้างตัวผมผงกหัวโตขึ้นมาหรี่ตาจนเกือบจะเป็นเส้นตรง สายตาส่งความหมายมาให้ผมว่า'ไอ้คนโกหก'
"ไปรู้จักมักจี่กับเขาเอาตอนไหนล่ะหนูมีมี่ แล้วพ่อหนุ่มน่ะไว้ใจได้รึเปล่า"
ลุงเกร์ยถามอย่างอารมณ์ดี ว่าแต่คำถามนี้มันสมควรจะถามกันต่อหน้าเหรอ
"ลุงเกรย์ ถามแบบนั้นเสียมารยาทนะคะ"
ผมแปลกใจเล็กน้อย ไม่สิ มากเลยล่ะ ถึงขั้นตกใจด้วยซ้ำ ที่เสียงสดใสของเมย์เปลี่ยนเป็นความขุ่นเคือง ถึงจะไม่ชัดเจนแต่สำหรับสาวน้อยคนนี้ แสดงออกมาแค่นี้ก็จับได้แล้ว
"ถึงเราจะรู้จักกันได้ไม่นานแต่ลุคก็คือเพื่อนของหนูนะคะ"
ราวกับรู้สึกผิด หญิงสาวจึงลดเสียงลง ลุงเกรย์ที่อึ้งไปประมาณ 2 วิฯก็กลับมาหัวเราะเสียงดังเช่นเดิม
"นั่นสินะ คำว่ามิตรภาพมันไม่ได้อยู่ที่เวลาสักหน่อย ลุงเป็นคนบอกมีมี่เองนี่ใช่มั้ย"
ลุงเกรย์ขยิบตาให้ผมเหมือนกับรู้อะไรบางอย่างที่ผมจะไม่มีวันรู้ และคงจะไม่รู้ต่อไปเพราะผมไม่คิดจะถาม เดาได้เลยว่าไม่น่าจะสลักสำคัญเท่าไหร่
ติ้งงงง...
เสียงนี้ดังขึ้น ลุงเกรย์ลุกและเดินไปฮัมเพลงไป เขาหยิบถุงมือรูปร่างประหลาดที่แขวนอยู่ใกล้ประตูร้านก่อนจะพาร่างท้วมเข้าไปตรงหลังเคาน์เตอร์เพื่อเปิดฝาตู้ต้นเสียงแหลมนั่นออก เพียงแค่นั้นควันก็พุ่งออกมาราวกับสิ่งมีชีวิตที่เพิ่งจะเคยเห็นโลกกว้างครั้งแรกพร้อมกับกลิ่นอันหอมหวนของสิ่งที่ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงหลงเสน่ห์มันนัก
ลุงเกรย์ดึงถาดใบใหญ่ทรงสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลดำออก เมื่อควันอุ่นหายไป เผยให้เห็นถึงก้อนกลมสีน้ำตาลหลายสิบก้อนเรียงรายเป็นระเบียบเรียบร้อย ลุงเกรย์ยกถาดนั่นแล้วหายตัวไปข้างใน
"เมย์ไม่น่าไปดุลุงเขาเลย"
ผมเริ่มเรื่องที่ควรพูดด้วยเสียงเบา
"ลุงเกรย์เป็นคนที่มองคนออกได้อย่างทะลุปรุโปร่งเลยนะลุค ถ้าลุคเป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจจริง ป่านนี้ลุงคงเรียกเมย์ไปคุยหลังร้านแล้วล่ะ"
ลุงเกรย์นี่เจ๋งเหมือนพ่อผมเลยแฮะ
"เมย์ไม่อยากให้เข้าใจผิดกัน แต่รู้แบบนั้นแกก็ยังแกล้งลุคอีก"
สาวน้อยยังดูอารมณ์ขึ้น อยู่ไม่น้อย แต่ไม่รู้สิ ผมก็ยังคงคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่จะคิดแบบลุงเขา แต่ว่า...ยังมีเรื่องที่น่าดีใจอยู่เรื่องหนึ่ง
"นี่เมย์...โมโหแทนลุคเหรอ?"
"ก็ไม่เชิงหรอกลุค ลุงเกรย์แกเป็นคนฉลาดแต่ตรงไปตรงมามากเกินไป เลยมีคนเข้าใจผิดกับคำพูดแกอยู่บ่อย"
เมย์สูดลมหายใจเข้าช้าๆ
"ลุคอย่าไปโกรธแกเลยนะ เห็นแบบนั้นแต่ลุงเกรย์เป็นคนดีมากเลยล่ะ"
เมย์โปรยยิ้มอ่อนหวาน ส่วนเรื่องที่ลุงเกรย์พูดผมก็ไม่ได้คิดอะไรตั้งแต่แรกแล้ว
"จะว่าไงดีล่ะ ที่ลุคไม่เข้าใจอะไรๆ ผิด อาจเป็นเพราะว่าลุคมีเมย์อยู่ล่ะมั้ง..."
ผมจ้องไปในดวงตาสีเทาเต็มโตคู่นั้น…อยากให้มันมองเห็นผมบ้างเหลือเกิน ถ้าหากเป็นเช่นนั้นได้ ก็อยากจะรู้จริงๆ ว่าเธอคนนี้จะรู้สึกถึงหัวใจของผมได้รึเปล่า
"ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ถ้าเมย์อยากไปลุคก็จะพาเมย์ไป แต่ถ้าลุคเจอสิ่งที่ไม่เข้าใจ เมย์ก็ช่วยอธิบายให้ลุคเข้าใจทีนะ"
ใบหน้างดงามผงกขึ้นลงพร้อมกับแย้มยิ้มที่ราวกับมนต์เสน่ห์ ผมจับมือของเมย์ขึ้นมากุมไว้ให้มันเป็นความหมายที่เรารู้กันแค่สองคน...
ฝากด้วยนะ เมย์รี่
แล้วลุงเกรย์ก็เดินออกมาพร้อมถุงใสที่บรรจุกล่องสีแดงเลือดนกซ้อนกันสองชั้นอย่างเรียบร้อย เขาเดินมาตรงที่พวกเรานั่งอยู่พร้อมกับวางสิ่งที่ถือมาลงบนโต๊ะ
"วันนี้ลุงอารมณ์ดี เอานี่ไปกินกันนะ ลุงให้"
แกว่างั้นก่อนหัวเราะอย่างไร้ความหมาย
"ขอบคุณนะคะลุง"
"ไว้คราวหน้าค่อยจ่ายเงินก็ได้"
"ลุงเกร์ยพูดแบบนี้กับหนูตั้งแต่เปิดร้านแล้ว ยังไม่เห็นเคยเอาเงินกับหนูสักที"
สาวสวยยืนขึ้นและกระชับผ้าคลุมไหล่ให้เข้าที่ เจ้าลูอิสเองก็ลุกขึ้นพลางหาวปากกว้างพร้อมเหยียดตัวอย่างเกียจคร้าน
"จะไปกันแล้วเหรอ ลุงยังชงชาไม่เสร็จเลย"
เมย์บอกปฏิเสธด้วยเสียงใสและบอกเหตุผลว่าต้องเป็นไกด์พาผมไปทัวร์อีกหลายร้าน ใจจริงผมอยากอยู่ที่นี่ต่ออีกสักหน่อยเพราะเกิดสนใจคำว่า'ชา'ขึ้นมา มันเป็นอาหารแบบไหนกันนะ ขนมปังก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ดูน่าสนใจมาก แต่ก็ไม่เป็นไร พรุ่งนี้มะรืนนี้ค่อยมาใหม่ก็ได้ตราบใดที่อายังคงงมอยู่กับการจำคาถาให้ขึ้นใจ
"งั้นพวกเราไปก่อนนะครับลุง ขอบคุณสำหรับนี่นะครับ" ผมยกถุงใสขึ้นแกมหยอก ลุงเกรย์หัวเราะเสียงดัง ลองนับเล่นๆ ดูมั้ย วันนี้ลุงเกร์ยหัวเราะกี่ครั้งแล้วนะ หนึ่ง...สอง...ช่างเหอะ เป็นคนอารมณ์ดีก็ดีไปอีกแบบ
พอร่ำลากันเสร็จพวกเราก็ออกมาเผชิญกับอากาศอันหนาวเย็นอีกครั้ง ผมสังเกตเห็นตัวเมย์สั่นหน่อยๆ ถึงแม้ว่าเธอจะใส่เครื่องป้องกันความหนาวมาเต็มที่ก็ตามที จะว่าไปสีหน้าเธอเริ่มเปลี่ยนตั้งแต่ก่อนผมจะแข่งฟุตบอลแล้วล่ะ
"ลุคว่าเมย์กลับบ้านดีกว่ามั้ย เมย์แลหนาวมากเลยนะ"
ไม่ว่าเปล่า ผมถอดผ้าพันคอที่แสนนุ่มไปพันให้เมย์อีกชั้นพร้อมกับถอดเสื้อนอกคลุมไหล่ให้เธอด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าเสื้อบางๆ มันจะช่วยได้มากรึเปล่า แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
"ขอบคุณค่ะ ว่าแต่ลุคจะไม่หนาวเหรอ"
"ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว" ผมทำเป็นพูดเชิงตลก แต่ในใจแค่ฝืนยิ้มยังทำไม่ได้เลย "ลุคว่าเมย์กลับบ้านก่อนเนอะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ก็ได้"
หญิงสาวพยักหน้าตอบรับอย่างเชื่อฟัง ผมรู้สึกว่าน่าจะมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นกับตัวของเธอ เพราะหน้าขาวๆ นั่นซีดลงอีก
ผมเดินนำหน้าอีกครั้งเพราะถึงแม้ว่าจะยังไม่รู้ทางที่ไปร้านรวงต่างๆ แต่ก็จำทางกลับได้แน่นอน ผมและเจ้าลูอิสที่แบกเจ้านายสาวอยู่บนหลังเดินมาเรื่อยจนกระทั่งถึงบ้าน
และก็ต้องตกใจ เพราะว่าเจ้าของบ้านหน้าซีดจนเข้าใกล้สีของกระดาษเข้าไปทุกที แบบนี้มันไม่ปกติแล้ว
"ลุคไม่ต้องห่วงนะ เมย์แค่ปวดหัวนิดหน่อยเท่านั้นเอง"
ใครจะไม่ห่วงได้ลง เห็นได้ชัดเลยว่าอาการแย่ขนาดไหน แต่ผมไม่รู้ว่าเมย์เป็นอะไรกันแน่ รู้แต่ต้องรีบพาเธอเข้าบ้าน
(ลองใช้มือของนายแตะที่หน้าผากเธอดูสิ!)
เสียงห้าวของเจ้าลูอิสดังขึ้นในหัวอย่างร้อนรน ขณะที่ผมกำลังจะทำตามที่มันบอก เมย์ก็หลับไปซะเฉยๆ
(ไม่ใช่หลับโว้ย! เธอหมดสติไปแล้ว!!!)
ลูอิสตะคอก ผมเองก็ต้องการคำตอบเหมือนกัน
นี่มันเกิดอะไรวะ!!!!
ความคิดเห็น