ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Step into my World : The Truth of SATAN and The Lie of GOD

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 1 สนทนา

    • อัปเดตล่าสุด 5 เม.ย. 56


     

    บทที่ 1 สนทนา

    "อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณแกรนด์สโตน"

    เสียงเนิบเรียบทรงเสน่ห์เอ่ยขึ้นหลังจากประตูลายไม้เปิดออก ดวงตาสีฟ้าสดใสชุ่มช่ำมองอย่างอ่อนโยนที่สาวสวยเจ้าของบ้าน

    "อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณสเตฟานี่"

    อลิซตอบร่างเล็กเซ็กซี่ในชุดเสื้อแขนกุดสีดำสนิท ยิ้มเจื่อนๆ ของเธอทำให้เสียงหวานคล้ายคนอ่อนแรง

    "ไปกันเถอะค่ะ"

    สาวผมบ๊อบคว้าข้อมือผอมก่อนจะออกจากห้องของคอนโดฯหรูไป

    "น้องเดซี่ไปเรียนแล้วหรือคะ?"

    สเตฟานี่ถามหลังจากที่ลงมายังล็อบบี้ชั้นหนึ่ง อลิซตอบพลางดึงถุงมือขลิบระบายลูกไม้ด้วยผ้าซีฟองสีดำสนิทให้กระชับ

    "อันที่จริงพวกคุณไม่จำเป็นต้องมารับดิฉันก็ได้ เกรงใจน่ะค่ะ"

    "ดิฉันก็ไม่ได้อยากมานักหรอกค่ะ"

    อลิซตกใจเล็กน้อยที่สาวสวยมาดเฉียบตอบโดยไร้หางเสียง แต่เพียงวินาทีเดียว สเตฟานี่ก็หันกลับมาพร้อมยิ้มน่ารัก

    "ล้อเล่นค่า ล้อเล่น ก็เห็นคุณแลเศร้าๆ น่ะ เลยลองเล่นมุกดู แต่คนไม่มีพรสวรรค์อย่างดิฉัน นักแสดงตลกคงเป็นอาชีพสุดท้ายบนโลกที่ทำแล้วจะรุ่ง ว่ามั้ยล่ะคะ"

    สเตฟานี่หันหลังกลับไปเดินต่อ

    "ป่านนี้แล้ว เรื่องเล็กๆ น้อยๆ น่าจะเลิกคิดได้แล้วน้า..."

    อลิซที่ยังคงเดินตามสาวผู้มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมไม่รู้ว่าควรจะตอบหรือยิ้มดีจึงทำได้แค่เงียบชั่วครู่

    "ดิฉันสงสารคุณทอมน่ะค่ะ เขาไม่สมควรต้องตาย"

    สเตฟานี่เหลือบตามองอลิซแวบหนึ่งก่อนจะยกยิ้มมุมปาก และออกจากคอนโดฯสุดหรูไปสู่รถเก๋งสีดำซึ่งจอดรออยู่แล้ว

    "ก็รู้อยู่หรอกว่าไม่ใช่เวลามาพูด แต่พี่อลิซสวยมากๆ ครับ"

    บุรุษเจ้าของเรือนผมดำมองผ่านกระจกมองหลังไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลังข้างสเตฟานี่ อลิซดีใจจนแอบหน้าแดง หากแต่บรรยากาศชวนเศร้าโศกที่คละคลุ้งอยู่ภายในห้องโดยสารทำให้เธอเลือกที่จะทำเพียงยิ้มหวานส่งกลับไปพร้อมคำขอบคุณ

    "แอนนี่ เธอเลิกร้องไห้สักทีเถอะ คุณการ์ดเนอร์เขาจะฟื้นขึ้นมารึไงถ้าเธอยังร้องไห้อยู่แบบนี้"

    เสียงเนิบเอ่ยขณะที่ใบหน้างดงามใต้กรอบผมสีกาแฟผสมนมถูกพักวางอยู่บนมือเรียว นัยน์ตาฟ้าสดใสมองออกไปยังท้องถนนที่การจราจรค่อนข้างติดขัด ภาพของอาคารบ้านเรือนจึงผ่านไปด้านหลังอย่างเชื่องช้าราวกับภาพสโลว์โมชั่น เรย์ซึ่งรับบทเป็นคนขับรถลอบมองน้องสาวที่ยังคงสะอึกสะอื้นอยู่ที่เบาะด้านขวาด้วยสายตาเป็นห่วง

    "พี่สเตฟานี่ไม่เข้าใจหนูหรอก หนูปฏิเสธพี่ทอมมาตลอด เคยเบื่อ เคยรำคาญที่มีพี่เขามาตามตอแย แต่สุดท้ายพี่เขาต้องมาตายเพื่อปกป้องคนอย่างหนู แล้วอย่างนี้จะไม่ให้หนูรู้สึกผิดได้ยังไงกัน"

    แอนนี่ดึงทิชชูจากกล่องเพื่อซับน้ำตา สเตฟานี่ยังคงมองเหล่าผู้คนซึ่งเดินสวนกันไปมาอย่างรีบเร่งจนน่าปวดหัวบนฟุตบาทแสนสะอาด อลิซเองดูเหมือนจะพูดบางอย่างออกมา แต่เธอก็กลืนคำพูดเหล่านั้นลงคอไปด้วยความกระอักกระอ่วน

    "พี่ไม่รู้หรอกว่าเธอจะรู้สึกอะไรยังไง แต่คุณการ์ดเนอร์เคยพูดกับพี่ไว้คำหนึ่ง"

    สเตฟานี่กล่าวก่อนจะเลิกเท้าคาง เรย์มองผ่านกระจกหลังมายังสาวผมบ๊อบและสาวผมยาวที่ท่านั่งคล้ายคนรอเข้าห้องน้ำเป็นเวลานานแล้ว

    "การทำบรรยากาศที่หดหู่อยู่แล้วให้หดหู่ขึ้นไปอีก หรือร้องไห้เสียใจ เอาไว้ทำหลังจากเป้าหมายทุกอย่างลุล่วงแล้วก็ไม่มีใครว่าหรอก เพราะมันเป็นเรื่องไร้ประโยชน์"

    ยิ้มบางเบาผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา ในหัวของเรย์นึกถึงความทรงจำมากมายที่เคยร่วมกันมากับเพื่อนร่างยักษ์ คำพูดที่ทอมเคยพูดติดตลกไว้ว่า'ขอธีมงานศพตัวเองเป็นสวนสนุก' ทำให้เรย์ส่ายหน้าเล็กน้อยพลางหัวเราะในลำคอ

    "พี่ว่าพี่เห็นด้วยกับที่สเตฟานี่พูดนะ แต่พี่ก็เข้าใจเรา เอาเป็นว่าแค่ช่วงในงานเราอย่าร้องไห้ก็พอ หลังจากนั้นก็เรื่องของเรา"

    เสียงทุ้มต่ำชุ่มชื่นขึ้นไม่มากก็น้อย รถสีดำยังคงวิ่งไปบนถนนยางมะตอยภายใต้แสงแดดอันแรงกล้าของพระอาทิตย์ฤดูร้อน โดยมีจุดหมายอยู่ที่บ้านเกิดของพี่น้องตระกูลการ์ดเนอร์ อันเป็นสถานที่จัดพิธีศพของลูกชายคนเล็กของครอบครัว

     

    "ช่างเป็นงานชุมนุมที่น่าอึดอัดดีแท้..."

    ห่างออกไปจากบ้านสีครีมหลังโตพอประมาณ ณ เนินสูงก่อนถึงช่วงตีนเขา นัยน์ตาเขียวมรกตกลอกมองผู้คนหลากเพศหลายวัยที่พร้อมใจกันใส่อาภรณ์สีมืดเพื่อไว้ทุกข์ กรอบดวงตาของเขาพริ้มโค้งพร้อมเสียงนุ่มที่เอ่ยอย่างอารมณ์ดีเกินปกติจนไม่อาจหาความจริงใจได้

    "มนุษย์น่ะเรื่องเยอะจะตายครับ เกิดก็ฉลอง ตายก็จัดงาน หัวปี กลางปี ท้ายปี สำเร็จ ล้มเหลว หางานจัดได้ตลอดแหละครับ"

    ชายผมบลอนด์ตวัดหางตาไปยังต้นเสียงที่มาจากร่างผอมในชุดคลุมเขียวขี้ม้า

    "สรุปพวกนั้นก็ยังคงเป็น'มนุษย์'อยู่ดีสินะ?"

    ลุคถามกลับโดยที่เรียวปากปราศจากรอยยิ้ม ซาตานยักไหล่ด้วยท่าทีกวนประสาทไม่แพ้หน้าตา ก่อนจะหยิบขนมทรงกลมแบนสีสันฉูดฉาดเสียบไม้จากใต้ชุดคลุมยื่นให้ลุค

    "เอาซะหน่อยมั้ยครับ?"

    มันคือโลลลิป๊อบแคนดี้ แต่ลุคปฏิเสธที่จะรับมันด้วยสายตา เมื่อเห็นเช่นนั้นชายผมทองยุ่งเหยิงจึงส่งแคนดี้เข้าปากตัวเอง

    "แล้วเราจะนั่งรอเธอตรงนี้จนกว่างานจะเลิกเลยเหรอครับ? เห็นงี้ผมก็เบื่อเหมือนกันนา ผมรอมาทั้งชีวิตแล้ว"

    "ฉันจะรอเธอเอง ส่วนนายจะไปไหนก็ไป"

    ซาตานอมยิ้มอย่างมีเลศนัยพลางเหลือบมองอากาศข้างใบหูลุค

    "งั้นผมไปดีกว่า"

    เสียงเล็กกระจิดริดพูดก่อนจะถูกสายลมพัดหายไป ลุคเหลือบมองจุดที่ชายผมทองเคยยืนอยู่ด้วยสายตาราวอสรพิษ

     

    เรย์หยุดนิ่งคล้ายโดนมนต์สะกดอยู่ด้านข้างของโลงศพสีดำตกแต่งลายสลักสีทอง ภายในมีร่างกายขนาดยักษ์ของชายหนุ่มซึ่งถูกห่มด้วยดอกไม้หอมหลากชนิดหลากสีสัน สีหน้าจากร่างไร้วิญญาณของ ทอม การ์ดเนอร์ ดูสงบนิ่งเสมือนแค่หลับไป ริมฝีปากหนาได้รูปยกยิ้มบางๆ ราวกับกำลังแหวกว่ายอยู่ในห่วงนิทราที่แสนสงบ

    ชายหนุ่มมองดูใบหน้าของมิตรแท้ ความทรงจำต่างๆ ที่เคยมีร่วมกันไหลบ่าเข้ามา และแทบจะทุกความทรงจำที่เขาจำได้ดีราวกับเกิดขึ้นเมื่อวาน ทั้งสุข ทุกข์ สนุก เศร้าโศก เรย์รู้ตัวอีกทีก็เมื่อมือของเขาถูกกุมและบีบด้วยความนุ่มนิ่ม หากไม่แม้จะรู้สึกถึงอุณหภูมิอย่างที่ร่างกายมนุษย์ควรจะมี

    "สเตฟานี่..."

    "คิดอะไรอยู่บอกบีได้มั้ย?"

    ผู้ถูกถามมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้า มันสดใสราวอัญมณี แต่ก็ลึกลับและต้องจ่ายราคาแพงกว่าจะได้มาราวอัญมณีเช่นเดียวกัน

    "เรย์คิดถึงทอมน่ะ สเตฟานี่ เรย์ขอถามอะไรหน่อยสิ"

    คิ้วเรียวสวยบนหน้าผากขาวยู่เข้าหากัน ใบหน้าราวราชินีเลอโฉมกลายเป็นองค์หญิงแสนน่ารักเมื่อสงสัยบางอย่าง

    "เมื่อก่อน...หมายถึงก่อนหน้านี้มากๆ พวกเรย์เป็นลูซิเฟอร์ เรย์จำทุกๆ คนได้ดีตอนที่เราอยู่บนสวรรค์ แต่ทำไมเรย์ถึงจำสเตฟานี่ไม่ได้ สเตฟานี่เองก็ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพวกเราเมื่อก่อนเลย เรย์จึงคิดว่ามันแปลก สเตฟานี่ก็แค่รู้ว่าตัวเองเป็นเหมือนพวกเราเท่านั้น เรย์เลยอยากรู้ว่าทำไม"

    ฟังจบ สเตฟานี่ถอนหายใจบางเบาที่ไม่สมเป็นเธอออกมา ซึ่งทุกบุคลิกที่ไม่สมกับที่เป็นสเตฟานี่ คารอลนั้น เธอจะแสดงออกมาแค่เฉพาะต่อหน้าเรย์มอนด์เท่านั้น

    "บีก็ไม่รู้นะ แต่รู้เรื่องเดียวคือ ถึงเรย์จะรู้อย่างนั้นเรย์ก็จะไม่ทิ้งบี...ไม่ว่ายังไง...ใช่มั้ย?"

    หญิงสาวพูดพลางมองร่างในโลง เรย์ยังคงเฝ้ามองใบหน้าด้านข้างของหญิงสาว

    "สับสนอยู่ล่ะสิ" เธอเอ่ยยิ้มๆ

    "ถ้าบอกว่าไม่ สเตฟานี่จะเชื่อเรย์มั้ยล่ะ?" ชายผมดำหัวเราะในลำคอ เขาหลบดวงตาสีฟ้าที่จ้องเข้ามา นิ้วชี้ลูบไปตามขอบโลงศพ "เรย์สับสนจนอยากจะอ้วกแล้ว"

    "ผิดคาดเลยแฮะที่ได้ยินคำนี้จากปากเรย์ บีจะบอกให้ ตอนนี้เรย์คือเรย์ แอนนี่คือน้องสาวเรา คุณแกรนด์สโตนคือเลขาของเรย์ ทุกคนมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันโดยมีพลังของลูซิเฟอร์เป็นพลังพิเศษ แต่ตัวตนไม่ใช่ลูซิเฟอร์แล้ว"

    คำพูดนี้ของหญิงสาวราวกับหมัดที่ใช้น็อคคู่ชกภายในหมัดเดียวสำหรับเรย์ เขายื่นนิ่งพลางคิดตาม ความโลเลจากการ'กลับมา'ทำให้ความคิดเขาโคลงเคลงไม่มั่นคง แต่ยังดีที่ได้รับยาแก้เมาทันเวลา

    "สิ่งที่เคยทำ สิ่งที่ทำอยู่ และสิ่งที่กำลังจะทำ ตลอดมาเรย์เคยทำเพื่ออะไรก็รู้อยู่ แต่สมมติถ้าเรย์เกิดจะเปลี่ยนใจขึ้นมาเราก็พร้อมรับคำสั่งจากเรย์ แต่สำหรับบี เรย์มอนด์ คารอล ไม่เคยแสดงความอ่อนแอออกมามากขนาดนี้"

    สเตฟานี่หลับตาลง

    "เราจะรับพลังจากความแค้น แต่ทุกอย่างจะไม่ดำเนินไปเพราะมัน เราจะเดินหน้าด้วยคุณธรรมที่เรย์มักจะพูดกับบีและทุกๆ คนเสมอ"

    ตอนนี้แววตาหญิงสาวเข้มแข็งและมั่นคง เรย์มองหน้างดงามที่จริงจังนั่นอยู่ราวขณะหนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาเกือบเต็มเสียง ท่ามกลางสายตาจิกแทงของบรรดาแขกเหรื่อและอากาศชวนอึดอัดของบรรยากาศโดยรวมที่ตรงกันข้าม

    เป็นอีกครั้งที่คิ้วเรียวสวยของสาวผมบ๊อบขมวดชนกัน

    "ไม่มีอะไรหรอก" ชายหนุ่มพูดเคล้าหัวเราะก่อนจะกลั้นมันไว้ "ขอบใจนะสเตฟานี่"

    คำพูดนี้ยังไม่สามารถทำให้ปมคิ้วคลายได้ทันที แต่สเตฟานี่ก็เริ่มจะพอเข้าใจสาเหตุ

    เธอสะกิดที่ฝ่ามือใหญ่เมื่อร่างบางเพรียวเซ็กซี่ในชุดเดรสดำสนิทผลักบานประตูเข้ามา เรย์หันไปมองตามที่สเตฟานี่เพยิดหน้าไป ก่อนเธอจะขอแยกตัวเพื่อไปหาอลิซ

    ผมสีอัลมอนด์ที่ถูกรวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลังของเธอคนนั้นไกวตามจังหวะก้าวเดินที่ราวกับวิญญาณจวนจะหลุดออกจากร่าง

     

    "คุณมาเรีย...ไม่เป็นไรนะครับ?"

    เรย์เดินมาสมทบกับ มาเรีย เพอเพิ้ลเพิล ทันทีที่เธอเคารพศพทอมเสร็จเรียบร้อย ใต้ตาเธอแดงเรื่อจากการหลั่งน้ำตาที่ชายหนุ่มคิดว่าคงตลอดช่วงหลายวันมานี้

    "คุณเรย์มอนด์..." เธอเอ่ยด้วยเสียงไพเราะพลางเช็ดน้ำตาและยิ้มที่มาจากหัวใจอันเศร้าโศก "ฉันลืมไปเลยว่าคุณมีเรื่องจะคุยกับฉัน"

    "ทอมเป็นคนดี เขาจะอยู่ในใจพวกเราตลอดไปรวมถึงคุณด้วย"

    ชายหนุ่มเอ่ยคำพูดที่รู้กันว่ายังไม่ได้เข้าเนื้อหาจริงๆ เขานั่งลงบนโซฟากำมะหยี่สีครีมตรงข้ามกับมาเรีย เขาชั่งใจชั่วครู่ก่อนจะเริ่ม

    "ผมต้องขอบคุณคุณมากที่ช่วยปกป้องคารอลคอร์ปฯในช่วงที่ผมไม่อยู่"

    "ฉันทำสิ่งที่ควรทำน่ะค่ะ"

    "ถ้างั้น...จะเป็นไปได้รึเปล่าที่ผมจะขอคุณทำอีกเรื่อง"

    ว่ากันตามจริง เรื่องนี้ก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือสิ่งที่มาเรียคาดไว้เท่าใดนัก เธอจึงทำเพียงแค่นั่งตัวตรงเพื่อรอคำของเรย์

    "ผมจะขอฝากคารอลคอร์ปฯไว้กับคุณอีกสักพักได้มั้ย...ในช่วงที่พวกผมจะไม่อยู่"

    เรื่องนี้อยู่นอกเหนือสิ่งที่มาเรียคาดการณ์ เธอทำตาโตได้งดงามซึ่งเรย์ก็พอเข้าใจความรู้สึกนิดหน่อย

    "เอ่อ...หมายความว่าไงคะ?"

    "คือผม...หมายถึง พวกผู้บริหารเกือบทุกคนของคารอลจะหายตัวไปสักพักหนึ่ง บอกตามตรงว่าผมวางใจคนอื่นคงยากในเมื่อขนาดลุงของผมก็ยังเป็นแบบนั้น แต่บริษัทก็ต้องมีคนดูแลใช่มั้ยล่ะครับ ไหนจะมูลนิธิอีก เพราะงั้นผมจึงขอร้องคุณ..."

    "เดี๋ยวค่ะ" มาเรียขัดและจัดการเรียงลำดับสิ่งที่ได้ยิน "ที่บอกว่าหายไปนี่หมายถึงอะไรเหรอคะ? ต่อให้อยู่บนอวกาศก็ยังติดต่อกับคนบนโลกได้เลย ขอความจริงด้วยค่ะ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ"

    เรย์เพียงอมยิ้มกับท่าทางจริงจังตรงหน้า

    "จะอธิบายมันก็ยาวจนถึงพรุ่งนี้โน่นล่ะครับ ทำใจให้เชื่อลำบากด้วย คุณจะสับสนเปล่าๆ คุณรับไว้เถอะ คุณก็รู้ผมไว้ใจใครไม่ได้ ถ้าทอมอยู่ก็คงพูดเหมือนกับผมนั่นแหละ"

    เมื่อยกชื่อ ทอม การ์ดเนอร์ มาอ้าง เรย์ก็รู้ทันทีว่าหญิงสาวตรงหน้าแพ้เขาแล้ว เธอหาข้ออ้างต่างๆ นาๆ ในการทำให้เรย์คิดให้ดีหรือเปลี่ยนใจไปเลย แต่ทุกคำก็ล้วนแต่เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ค่อยขึ้น เธอจึงยอมรับของขวัญชิ้นใหญ่ที่สุดในชีวิตจากชายหนุ่มรูปหล่อมา

    เรย์ให้ความมั่นใจกับมาเรียอีกหลายเรื่องซึ่งเธอก็ตอบรับ

    "แค่ชั่วคราวเท่านั้นแหละครับ ผมจะกลับมาพร้อมของฝากแน่นอน"

    ทั้งคู่ลุกขึ้นยืนและจับมือกัน

    "ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะครับคุณมาเรีย"

    ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้มและหันหลังเดินไปได้เพียงก้าวเดียว เสียงสวยก็ได้รั้งเขาไว้

    "บอกไม่ได้จริงๆ เลยหรือคะว่าพวกคุณกำลังจะทำอะไรกัน..."

    เรย์ก้มหน้ายิ้มและหันเพียงเสี้ยวหน้าคมให้หญิงสาวเห็น

    "ก็ทำเพื่อโลกอันงดงามใบนี้เหมือนทุกทีแหละครับ คุณน่าจะรู้อยู่นะ"

     

    เป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว แต่ดาวฤกษ์ที่เชื่อกันว่าเป็นจุดเริ่มต้นแห่งจักรวาลอันยิ่งใหญ่ทำตัวไม่ต่างกับเด็กนิสัยเสีย มันยังคงสาดแสงอย่างแรงกล้าราวกับหวงแผ่นฟ้า ไม่ยอมให้ความมืดและดวงจันทร์เข้าครอบครองง่ายๆ

    ศพของทอมถูกลำเลียงไปยังสุสานของตระกูลเมื่อบ่ายแก่ๆ พิธีฝังดำเนินด้วยบรรยากาศที่เศร้าโศก โดยเฉพาะพี่ชายแท้ๆ เทอร์รี่ การ์ดเนอร์ ที่ใช้ทิชชูหมดไปหลายกล่อง และเป็นพ่อกับแม่เสียเองที่ต้องปลอบลูกชายจนเหมือนกับลืมความเสียใจของตัวเองไป

    ตั้งแต่ที่เหล่าผู้อำนวยการของมูลนิธิ'ไลท์ฟอร์ไลฟ์' สาขาต่างประเทศที่ประกอบด้วย เอ็ดเวิร์ด บราวน์ ลีอาห์ ดิซอน ริคาร์โด ซี สวอร์ด และ เทอร์รี่ การ์ดเนอร์ ได้มารวมตัวกันยังสาขาใหญ่ที่ยุโรป พวกเขายังไม่ได้กลับประเทศตัวเอง ในวันนี้พวกเขาและเธอก็ได้มายังพิธีศพเช่นกัน และทุกคนก็ได้เข้าไปเคารพศพของสหายร่วมองค์กรเรียบร้อยแล้ว ลีอาห์ที่เงียบงัน เอ็ดเวิร์ดที่แต่งสูทดำเรียบร้อย ริคาร์โดที่รวบผม เทอร์รี่ที่ร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง ไม่ใช่ภาพที่เรย์จะเห็นบ่อยนัก

    ในตอนนี้บ้านของตระกูลการ์ดเนอร์กลับคืนสู่สภาวะเดิม จะเหลือก็แค่เพียงญาติที่ใกล้ชิดกันจริงๆ ไม่กี่คน

    ณ เนินสูงห่างจากบ้านหลังนั้นเล็กน้อย ชายผมสีบลอนด์ยังคงเอนหลังอยู่บนต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อายุน่าจะเกินหลายทศวรรษ เปลือกตาเลื่อนเปิดเมื่อสัมผัสได้ถึงการมาของบุคคลเบื้องล่าง ก่อนจะพริ้มเป็นเส้นโค้งจากการปั้นยิ้มสุดห่วยส่งให้ร่างบาง

    "มาแล้วหรือครับ"

    เขาถามก่อนกระโดดลงมายังโคนต้นพลางปัดเศษไม้ที่ติดถุงมือออก ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตหวานฉ่ำมองอย่างสงบนิ่งพอกันกับสายลมยามเย็น เส้นผมยาวสีน้ำตาลทองกระจายกลิ่นหอมฟุ้งเมื่อผู้เป็นเจ้าของขยับเพียงนิดหน่อย

    "มีอะไรรึเปล่าครับ? มองผมแบบนั้น"

    ลุคถามพร้อมจัดผ้าพันคอสีน้ำเงินสดใสของตัวเองให้เข้าที่ หญิงสาวตอบคำถามด้วยเสียงหวานนุ่มราวกับขนมมาชเมลโล

    "มันเกิดอะไรขึ้นเพคะองค์ชาย"

    "แล้วคิดว่ายังไงล่ะครับ..."

    ชายหนุ่มที่เลิกปั้นยิ้มเผยให้เห็นใบหน้าหล่อ แต่แฝงความร้ายกาจราวกับมีปิศาจสิงอยู่ภายใน

    "ผมโดนกระทำแบบเดียวกันกับที่พวกอาจารย์เคยโดนไงล่ะครับ...อาจารย์เอลิเซีย อ๊ะ..ไม่สิ"

    ลุคทำกิริยาของคนขี้ลืมได้แย่พอกันกับการปั้นยิ้ม

    "ตอนนี้ต้องเรียกว่า อลิซ แกรนด์สโตน ถึงจะถูกใช่มั้ยครับ?"

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×