คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 1 สนทนา
บทที่ 1 สนทนา
"อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณแกรนด์สโตน"
เสียงเนิบเรียบทรงเสน่ห์เอ่ยขึ้นหลังจากประตูลายไม้เปิดออก ดวงตาสีฟ้าสดใสชุ่มช่ำมองอย่างอ่อนโยนที่สาวสวยเจ้าของบ้าน
"อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณสเตฟานี่"
อลิซตอบร่างเล็กเซ็กซี่ในชุดเสื้อแขนกุดสีดำสนิท ยิ้มเจื่อนๆ ของเธอทำให้เสียงหวานคล้ายคนอ่อนแรง
"ไปกันเถอะค่ะ"
สาวผมบ๊อบคว้าข้อมือผอมก่อนจะออกจากห้องของคอนโดฯหรูไป
"น้องเดซี่ไปเรียนแล้วหรือคะ?"
สเตฟานี่ถามหลังจากที่ลงมายังล็อบบี้ชั้นหนึ่ง อลิซตอบพลางดึงถุงมือขลิบระบายลูกไม้ด้วยผ้าซีฟองสีดำสนิทให้กระชับ
"อันที่จริงพวกคุณไม่จำเป็นต้องมารับดิฉันก็ได้ เกรงใจน่ะค่ะ"
"ดิฉันก็ไม่ได้อยากมานักหรอกค่ะ"
อลิซตกใจเล็กน้อยที่สาวสวยมาดเฉียบตอบโดยไร้หางเสียง แต่เพียงวินาทีเดียว สเตฟานี่ก็หันกลับมาพร้อมยิ้มน่ารัก
"ล้อเล่นค่า ล้อเล่น ก็เห็นคุณแลเศร้าๆ น่ะ เลยลองเล่นมุกดู แต่คนไม่มีพรสวรรค์อย่างดิฉัน นักแสดงตลกคงเป็นอาชีพสุดท้ายบนโลกที่ทำแล้วจะรุ่ง ว่ามั้ยล่ะคะ"
สเตฟานี่หันหลังกลับไปเดินต่อ
"ป่านนี้แล้ว เรื่องเล็กๆ น้อยๆ น่าจะเลิกคิดได้แล้วน้า..."
อลิซที่ยังคงเดินตามสาวผู้มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมไม่รู้ว่าควรจะตอบหรือยิ้มดีจึงทำได้แค่เงียบชั่วครู่
"ดิฉันสงสารคุณทอมน่ะค่ะ เขาไม่สมควรต้องตาย"
สเตฟานี่เหลือบตามองอลิซแวบหนึ่งก่อนจะยกยิ้มมุมปาก และออกจากคอนโดฯสุดหรูไปสู่รถเก๋งสีดำซึ่งจอดรออยู่แล้ว
"ก็รู้อยู่หรอกว่าไม่ใช่เวลามาพูด แต่พี่อลิซสวยมากๆ ครับ"
บุรุษเจ้าของเรือนผมดำมองผ่านกระจกมองหลังไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลังข้างสเตฟานี่ อลิซดีใจจนแอบหน้าแดง หากแต่บรรยากาศชวนเศร้าโศกที่คละคลุ้งอยู่ภายในห้องโดยสารทำให้เธอเลือกที่จะทำเพียงยิ้มหวานส่งกลับไปพร้อมคำขอบคุณ
"แอนนี่ เธอเลิกร้องไห้สักทีเถอะ คุณการ์ดเนอร์เขาจะฟื้นขึ้นมารึไงถ้าเธอยังร้องไห้อยู่แบบนี้"
เสียงเนิบเอ่ยขณะที่ใบหน้างดงามใต้กรอบผมสีกาแฟผสมนมถูกพักวางอยู่บนมือเรียว นัยน์ตาฟ้าสดใสมองออกไปยังท้องถนนที่การจราจรค่อนข้างติดขัด ภาพของอาคารบ้านเรือนจึงผ่านไปด้านหลังอย่างเชื่องช้าราวกับภาพสโลว์โมชั่น เรย์ซึ่งรับบทเป็นคนขับรถลอบมองน้องสาวที่ยังคงสะอึกสะอื้นอยู่ที่เบาะด้านขวาด้วยสายตาเป็นห่วง
"พี่สเตฟานี่ไม่เข้าใจหนูหรอก หนูปฏิเสธพี่ทอมมาตลอด เคยเบื่อ เคยรำคาญที่มีพี่เขามาตามตอแย แต่สุดท้ายพี่เขาต้องมาตายเพื่อปกป้องคนอย่างหนู แล้วอย่างนี้จะไม่ให้หนูรู้สึกผิดได้ยังไงกัน"
แอนนี่ดึงทิชชูจากกล่องเพื่อซับน้ำตา สเตฟานี่ยังคงมองเหล่าผู้คนซึ่งเดินสวนกันไปมาอย่างรีบเร่งจนน่าปวดหัวบนฟุตบาทแสนสะอาด อลิซเองดูเหมือนจะพูดบางอย่างออกมา แต่เธอก็กลืนคำพูดเหล่านั้นลงคอไปด้วยความกระอักกระอ่วน
"พี่ไม่รู้หรอกว่าเธอจะรู้สึกอะไรยังไง แต่คุณการ์ดเนอร์เคยพูดกับพี่ไว้คำหนึ่ง"
สเตฟานี่กล่าวก่อนจะเลิกเท้าคาง เรย์มองผ่านกระจกหลังมายังสาวผมบ๊อบและสาวผมยาวที่ท่านั่งคล้ายคนรอเข้าห้องน้ำเป็นเวลานานแล้ว
"การทำบรรยากาศที่หดหู่อยู่แล้วให้หดหู่ขึ้นไปอีก หรือร้องไห้เสียใจ เอาไว้ทำหลังจากเป้าหมายทุกอย่างลุล่วงแล้วก็ไม่มีใครว่าหรอก เพราะมันเป็นเรื่องไร้ประโยชน์"
ยิ้มบางเบาผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา ในหัวของเรย์นึกถึงความทรงจำมากมายที่เคยร่วมกันมากับเพื่อนร่างยักษ์ คำพูดที่ทอมเคยพูดติดตลกไว้ว่า'ขอธีมงานศพตัวเองเป็นสวนสนุก' ทำให้เรย์ส่ายหน้าเล็กน้อยพลางหัวเราะในลำคอ
"พี่ว่าพี่เห็นด้วยกับที่สเตฟานี่พูดนะ แต่พี่ก็เข้าใจเรา เอาเป็นว่าแค่ช่วงในงานเราอย่าร้องไห้ก็พอ หลังจากนั้นก็เรื่องของเรา"
เสียงทุ้มต่ำชุ่มชื่นขึ้นไม่มากก็น้อย รถสีดำยังคงวิ่งไปบนถนนยางมะตอยภายใต้แสงแดดอันแรงกล้าของพระอาทิตย์ฤดูร้อน โดยมีจุดหมายอยู่ที่บ้านเกิดของพี่น้องตระกูลการ์ดเนอร์ อันเป็นสถานที่จัดพิธีศพของลูกชายคนเล็กของครอบครัว
"ช่างเป็นงานชุมนุมที่น่าอึดอัดดีแท้..."
ห่างออกไปจากบ้านสีครีมหลังโตพอประมาณ ณ เนินสูงก่อนถึงช่วงตีนเขา นัยน์ตาเขียวมรกตกลอกมองผู้คนหลากเพศหลายวัยที่พร้อมใจกันใส่อาภรณ์สีมืดเพื่อไว้ทุกข์ กรอบดวงตาของเขาพริ้มโค้งพร้อมเสียงนุ่มที่เอ่ยอย่างอารมณ์ดีเกินปกติจนไม่อาจหาความจริงใจได้
"มนุษย์น่ะเรื่องเยอะจะตายครับ เกิดก็ฉลอง ตายก็จัดงาน หัวปี กลางปี ท้ายปี สำเร็จ ล้มเหลว หางานจัดได้ตลอดแหละครับ"
ชายผมบลอนด์ตวัดหางตาไปยังต้นเสียงที่มาจากร่างผอมในชุดคลุมเขียวขี้ม้า
"สรุปพวกนั้นก็ยังคงเป็น'มนุษย์'อยู่ดีสินะ?"
ลุคถามกลับโดยที่เรียวปากปราศจากรอยยิ้ม ซาตานยักไหล่ด้วยท่าทีกวนประสาทไม่แพ้หน้าตา ก่อนจะหยิบขนมทรงกลมแบนสีสันฉูดฉาดเสียบไม้จากใต้ชุดคลุมยื่นให้ลุค
"เอาซะหน่อยมั้ยครับ?"
มันคือโลลลิป๊อบแคนดี้ แต่ลุคปฏิเสธที่จะรับมันด้วยสายตา เมื่อเห็นเช่นนั้นชายผมทองยุ่งเหยิงจึงส่งแคนดี้เข้าปากตัวเอง
"แล้วเราจะนั่งรอเธอตรงนี้จนกว่างานจะเลิกเลยเหรอครับ? เห็นงี้ผมก็เบื่อเหมือนกันนา ผมรอมาทั้งชีวิตแล้ว"
"ฉันจะรอเธอเอง ส่วนนายจะไปไหนก็ไป"
ซาตานอมยิ้มอย่างมีเลศนัยพลางเหลือบมองอากาศข้างใบหูลุค
"งั้นผมไปดีกว่า"
เสียงเล็กกระจิดริดพูดก่อนจะถูกสายลมพัดหายไป ลุคเหลือบมองจุดที่ชายผมทองเคยยืนอยู่ด้วยสายตาราวอสรพิษ
เรย์หยุดนิ่งคล้ายโดนมนต์สะกดอยู่ด้านข้างของโลงศพสีดำตกแต่งลายสลักสีทอง ภายในมีร่างกายขนาดยักษ์ของชายหนุ่มซึ่งถูกห่มด้วยดอกไม้หอมหลากชนิดหลากสีสัน สีหน้าจากร่างไร้วิญญาณของ ทอม การ์ดเนอร์ ดูสงบนิ่งเสมือนแค่หลับไป ริมฝีปากหนาได้รูปยกยิ้มบางๆ ราวกับกำลังแหวกว่ายอยู่ในห่วงนิทราที่แสนสงบ
ชายหนุ่มมองดูใบหน้าของมิตรแท้ ความทรงจำต่างๆ ที่เคยมีร่วมกันไหลบ่าเข้ามา และแทบจะทุกความทรงจำที่เขาจำได้ดีราวกับเกิดขึ้นเมื่อวาน ทั้งสุข ทุกข์ สนุก เศร้าโศก เรย์รู้ตัวอีกทีก็เมื่อมือของเขาถูกกุมและบีบด้วยความนุ่มนิ่ม หากไม่แม้จะรู้สึกถึงอุณหภูมิอย่างที่ร่างกายมนุษย์ควรจะมี
"สเตฟานี่..."
"คิดอะไรอยู่บอกบีได้มั้ย?"
ผู้ถูกถามมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้า มันสดใสราวอัญมณี แต่ก็ลึกลับและต้องจ่ายราคาแพงกว่าจะได้มาราวอัญมณีเช่นเดียวกัน
"เรย์คิดถึงทอมน่ะ สเตฟานี่ เรย์ขอถามอะไรหน่อยสิ"
คิ้วเรียวสวยบนหน้าผากขาวยู่เข้าหากัน ใบหน้าราวราชินีเลอโฉมกลายเป็นองค์หญิงแสนน่ารักเมื่อสงสัยบางอย่าง
"เมื่อก่อน...หมายถึงก่อนหน้านี้มากๆ พวกเรย์เป็นลูซิเฟอร์ เรย์จำทุกๆ คนได้ดีตอนที่เราอยู่บนสวรรค์ แต่ทำไมเรย์ถึงจำสเตฟานี่ไม่ได้ สเตฟานี่เองก็ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพวกเราเมื่อก่อนเลย เรย์จึงคิดว่ามันแปลก สเตฟานี่ก็แค่รู้ว่าตัวเองเป็นเหมือนพวกเราเท่านั้น เรย์เลยอยากรู้ว่าทำไม"
ฟังจบ สเตฟานี่ถอนหายใจบางเบาที่ไม่สมเป็นเธอออกมา ซึ่งทุกบุคลิกที่ไม่สมกับที่เป็นสเตฟานี่ คารอลนั้น เธอจะแสดงออกมาแค่เฉพาะต่อหน้าเรย์มอนด์เท่านั้น
"บีก็ไม่รู้นะ แต่รู้เรื่องเดียวคือ ถึงเรย์จะรู้อย่างนั้นเรย์ก็จะไม่ทิ้งบี...ไม่ว่ายังไง...ใช่มั้ย?"
หญิงสาวพูดพลางมองร่างในโลง เรย์ยังคงเฝ้ามองใบหน้าด้านข้างของหญิงสาว
"สับสนอยู่ล่ะสิ" เธอเอ่ยยิ้มๆ
"ถ้าบอกว่าไม่ สเตฟานี่จะเชื่อเรย์มั้ยล่ะ?" ชายผมดำหัวเราะในลำคอ เขาหลบดวงตาสีฟ้าที่จ้องเข้ามา นิ้วชี้ลูบไปตามขอบโลงศพ "เรย์สับสนจนอยากจะอ้วกแล้ว"
"ผิดคาดเลยแฮะที่ได้ยินคำนี้จากปากเรย์ บีจะบอกให้ ตอนนี้เรย์คือเรย์ แอนนี่คือน้องสาวเรา คุณแกรนด์สโตนคือเลขาของเรย์ ทุกคนมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันโดยมีพลังของลูซิเฟอร์เป็นพลังพิเศษ แต่ตัวตนไม่ใช่ลูซิเฟอร์แล้ว"
คำพูดนี้ของหญิงสาวราวกับหมัดที่ใช้น็อคคู่ชกภายในหมัดเดียวสำหรับเรย์ เขายื่นนิ่งพลางคิดตาม ความโลเลจากการ'กลับมา'ทำให้ความคิดเขาโคลงเคลงไม่มั่นคง แต่ยังดีที่ได้รับยาแก้เมาทันเวลา
"สิ่งที่เคยทำ สิ่งที่ทำอยู่ และสิ่งที่กำลังจะทำ ตลอดมาเรย์เคยทำเพื่ออะไรก็รู้อยู่ แต่สมมติถ้าเรย์เกิดจะเปลี่ยนใจขึ้นมาเราก็พร้อมรับคำสั่งจากเรย์ แต่สำหรับบี เรย์มอนด์ คารอล ไม่เคยแสดงความอ่อนแอออกมามากขนาดนี้"
สเตฟานี่หลับตาลง
"เราจะรับพลังจากความแค้น แต่ทุกอย่างจะไม่ดำเนินไปเพราะมัน เราจะเดินหน้าด้วยคุณธรรมที่เรย์มักจะพูดกับบีและทุกๆ คนเสมอ"
ตอนนี้แววตาหญิงสาวเข้มแข็งและมั่นคง เรย์มองหน้างดงามที่จริงจังนั่นอยู่ราวขณะหนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาเกือบเต็มเสียง ท่ามกลางสายตาจิกแทงของบรรดาแขกเหรื่อและอากาศชวนอึดอัดของบรรยากาศโดยรวมที่ตรงกันข้าม
เป็นอีกครั้งที่คิ้วเรียวสวยของสาวผมบ๊อบขมวดชนกัน
"ไม่มีอะไรหรอก" ชายหนุ่มพูดเคล้าหัวเราะก่อนจะกลั้นมันไว้ "ขอบใจนะสเตฟานี่"
คำพูดนี้ยังไม่สามารถทำให้ปมคิ้วคลายได้ทันที แต่สเตฟานี่ก็เริ่มจะพอเข้าใจสาเหตุ
เธอสะกิดที่ฝ่ามือใหญ่เมื่อร่างบางเพรียวเซ็กซี่ในชุดเดรสดำสนิทผลักบานประตูเข้ามา เรย์หันไปมองตามที่สเตฟานี่เพยิดหน้าไป ก่อนเธอจะขอแยกตัวเพื่อไปหาอลิซ
ผมสีอัลมอนด์ที่ถูกรวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลังของเธอคนนั้นไกวตามจังหวะก้าวเดินที่ราวกับวิญญาณจวนจะหลุดออกจากร่าง
"คุณมาเรีย...ไม่เป็นไรนะครับ?"
เรย์เดินมาสมทบกับ มาเรีย เพอเพิ้ลเพิล ทันทีที่เธอเคารพศพทอมเสร็จเรียบร้อย ใต้ตาเธอแดงเรื่อจากการหลั่งน้ำตาที่ชายหนุ่มคิดว่าคงตลอดช่วงหลายวันมานี้
"คุณเรย์มอนด์..." เธอเอ่ยด้วยเสียงไพเราะพลางเช็ดน้ำตาและยิ้มที่มาจากหัวใจอันเศร้าโศก "ฉันลืมไปเลยว่าคุณมีเรื่องจะคุยกับฉัน"
"ทอมเป็นคนดี เขาจะอยู่ในใจพวกเราตลอดไปรวมถึงคุณด้วย"
ชายหนุ่มเอ่ยคำพูดที่รู้กันว่ายังไม่ได้เข้าเนื้อหาจริงๆ เขานั่งลงบนโซฟากำมะหยี่สีครีมตรงข้ามกับมาเรีย เขาชั่งใจชั่วครู่ก่อนจะเริ่ม
"ผมต้องขอบคุณคุณมากที่ช่วยปกป้องคารอลคอร์ปฯในช่วงที่ผมไม่อยู่"
"ฉันทำสิ่งที่ควรทำน่ะค่ะ"
"ถ้างั้น...จะเป็นไปได้รึเปล่าที่ผมจะขอคุณทำอีกเรื่อง"
ว่ากันตามจริง เรื่องนี้ก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือสิ่งที่มาเรียคาดไว้เท่าใดนัก เธอจึงทำเพียงแค่นั่งตัวตรงเพื่อรอคำของเรย์
"ผมจะขอฝากคารอลคอร์ปฯไว้กับคุณอีกสักพักได้มั้ย...ในช่วงที่พวกผมจะไม่อยู่"
เรื่องนี้อยู่นอกเหนือสิ่งที่มาเรียคาดการณ์ เธอทำตาโตได้งดงามซึ่งเรย์ก็พอเข้าใจความรู้สึกนิดหน่อย
"เอ่อ...หมายความว่าไงคะ?"
"คือผม...หมายถึง พวกผู้บริหารเกือบทุกคนของคารอลจะหายตัวไปสักพักหนึ่ง บอกตามตรงว่าผมวางใจคนอื่นคงยากในเมื่อขนาดลุงของผมก็ยังเป็นแบบนั้น แต่บริษัทก็ต้องมีคนดูแลใช่มั้ยล่ะครับ ไหนจะมูลนิธิอีก เพราะงั้นผมจึงขอร้องคุณ..."
"เดี๋ยวค่ะ" มาเรียขัดและจัดการเรียงลำดับสิ่งที่ได้ยิน "ที่บอกว่าหายไปนี่หมายถึงอะไรเหรอคะ? ต่อให้อยู่บนอวกาศก็ยังติดต่อกับคนบนโลกได้เลย ขอความจริงด้วยค่ะ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ"
เรย์เพียงอมยิ้มกับท่าทางจริงจังตรงหน้า
"จะอธิบายมันก็ยาวจนถึงพรุ่งนี้โน่นล่ะครับ ทำใจให้เชื่อลำบากด้วย คุณจะสับสนเปล่าๆ คุณรับไว้เถอะ คุณก็รู้ผมไว้ใจใครไม่ได้ ถ้าทอมอยู่ก็คงพูดเหมือนกับผมนั่นแหละ"
เมื่อยกชื่อ ทอม การ์ดเนอร์ มาอ้าง เรย์ก็รู้ทันทีว่าหญิงสาวตรงหน้าแพ้เขาแล้ว เธอหาข้ออ้างต่างๆ นาๆ ในการทำให้เรย์คิดให้ดีหรือเปลี่ยนใจไปเลย แต่ทุกคำก็ล้วนแต่เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ค่อยขึ้น เธอจึงยอมรับของขวัญชิ้นใหญ่ที่สุดในชีวิตจากชายหนุ่มรูปหล่อมา
เรย์ให้ความมั่นใจกับมาเรียอีกหลายเรื่องซึ่งเธอก็ตอบรับ
"แค่ชั่วคราวเท่านั้นแหละครับ ผมจะกลับมาพร้อมของฝากแน่นอน"
ทั้งคู่ลุกขึ้นยืนและจับมือกัน
"ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะครับคุณมาเรีย"
ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้มและหันหลังเดินไปได้เพียงก้าวเดียว เสียงสวยก็ได้รั้งเขาไว้
"บอกไม่ได้จริงๆ เลยหรือคะว่าพวกคุณกำลังจะทำอะไรกัน..."
เรย์ก้มหน้ายิ้มและหันเพียงเสี้ยวหน้าคมให้หญิงสาวเห็น
"ก็ทำเพื่อโลกอันงดงามใบนี้เหมือนทุกทีแหละครับ คุณน่าจะรู้อยู่นะ"
เป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว แต่ดาวฤกษ์ที่เชื่อกันว่าเป็นจุดเริ่มต้นแห่งจักรวาลอันยิ่งใหญ่ทำตัวไม่ต่างกับเด็กนิสัยเสีย มันยังคงสาดแสงอย่างแรงกล้าราวกับหวงแผ่นฟ้า ไม่ยอมให้ความมืดและดวงจันทร์เข้าครอบครองง่ายๆ
ศพของทอมถูกลำเลียงไปยังสุสานของตระกูลเมื่อบ่ายแก่ๆ พิธีฝังดำเนินด้วยบรรยากาศที่เศร้าโศก โดยเฉพาะพี่ชายแท้ๆ เทอร์รี่ การ์ดเนอร์ ที่ใช้ทิชชูหมดไปหลายกล่อง และเป็นพ่อกับแม่เสียเองที่ต้องปลอบลูกชายจนเหมือนกับลืมความเสียใจของตัวเองไป
ตั้งแต่ที่เหล่าผู้อำนวยการของมูลนิธิ'ไลท์ฟอร์ไลฟ์' สาขาต่างประเทศที่ประกอบด้วย เอ็ดเวิร์ด บราวน์ ลีอาห์ ดิซอน ริคาร์โด ซี สวอร์ด และ เทอร์รี่ การ์ดเนอร์ ได้มารวมตัวกันยังสาขาใหญ่ที่ยุโรป พวกเขายังไม่ได้กลับประเทศตัวเอง ในวันนี้พวกเขาและเธอก็ได้มายังพิธีศพเช่นกัน และทุกคนก็ได้เข้าไปเคารพศพของสหายร่วมองค์กรเรียบร้อยแล้ว ลีอาห์ที่เงียบงัน เอ็ดเวิร์ดที่แต่งสูทดำเรียบร้อย ริคาร์โดที่รวบผม เทอร์รี่ที่ร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง ไม่ใช่ภาพที่เรย์จะเห็นบ่อยนัก
ในตอนนี้บ้านของตระกูลการ์ดเนอร์กลับคืนสู่สภาวะเดิม จะเหลือก็แค่เพียงญาติที่ใกล้ชิดกันจริงๆ ไม่กี่คน
ณ เนินสูงห่างจากบ้านหลังนั้นเล็กน้อย ชายผมสีบลอนด์ยังคงเอนหลังอยู่บนต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อายุน่าจะเกินหลายทศวรรษ เปลือกตาเลื่อนเปิดเมื่อสัมผัสได้ถึงการมาของบุคคลเบื้องล่าง ก่อนจะพริ้มเป็นเส้นโค้งจากการปั้นยิ้มสุดห่วยส่งให้ร่างบาง
"มาแล้วหรือครับ"
เขาถามก่อนกระโดดลงมายังโคนต้นพลางปัดเศษไม้ที่ติดถุงมือออก ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตหวานฉ่ำมองอย่างสงบนิ่งพอกันกับสายลมยามเย็น เส้นผมยาวสีน้ำตาลทองกระจายกลิ่นหอมฟุ้งเมื่อผู้เป็นเจ้าของขยับเพียงนิดหน่อย
"มีอะไรรึเปล่าครับ? มองผมแบบนั้น"
ลุคถามพร้อมจัดผ้าพันคอสีน้ำเงินสดใสของตัวเองให้เข้าที่ หญิงสาวตอบคำถามด้วยเสียงหวานนุ่มราวกับขนมมาชเมลโล
"มันเกิดอะไรขึ้นเพคะองค์ชาย"
"แล้วคิดว่ายังไงล่ะครับ..."
ชายหนุ่มที่เลิกปั้นยิ้มเผยให้เห็นใบหน้าหล่อ แต่แฝงความร้ายกาจราวกับมีปิศาจสิงอยู่ภายใน
"ผมโดนกระทำแบบเดียวกันกับที่พวกอาจารย์เคยโดนไงล่ะครับ...อาจารย์เอลิเซีย อ๊ะ..ไม่สิ"
ลุคทำกิริยาของคนขี้ลืมได้แย่พอกันกับการปั้นยิ้ม
"ตอนนี้ต้องเรียกว่า อลิซ แกรนด์สโตน ถึงจะถูกใช่มั้ยครับ?"
ความคิดเห็น