ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Step Into My World

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 25 พ.ย. 64



    บทนำ

    บรรยากาศยามค่ำคืนของเหมันต์กาลนั้นเย็นเยือกแทรกผิวกายมนุษย์ธรรมดาได้อย่างรวดเร็ว ถึงกระนั้น ภายใต้อากาศหนาวสุดขั้วหัวใจและหิมะที่โปรยปรายบนผืนทรายกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา ร่างของหญิงสาวนางหนึ่งนอนเหยียดยาวอยู่บนพรมหิมะอันขาวสะอาด ลมแรงทำให้คลื่นลูกหนึ่งซัดมาปะทะเข้ากับเท้าเล็กๆ ของเธอ ความเย็นสุดขั้ว ณ จุดนั้นทำให้เจ้าของเท้าเล็กสะดุ้งตื่น ดวงตากลมโตเบิกโพลงเพื่อสำรวจทุกอย่างเท่าที่สายตาจะมองเห็น

    "ที่นี่มันที่ไหนกันนะ?"

    หญิงสาวพึมพำกับตัวเองหลังจากที่ดวงตาชินกับอากาศแล้ว เธอยืนขึ้นมองรอบตัว สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าคือทะเลกว้างสุดปลายสายตาซึ่งถูกย้อมด้วยสีดำของฟ้ายามราตรี ถัดมาคือผืนทรายที่อาจจะมีขนาดเกือบจะเท่ากันแต่ถูกปูด้วยสีขาวของหิมะราวกระดาษจำนวนนับไม่ถ้วน ด้านหลังของเธอมีต้นไม้ขนาดมหึมาซึ่งไม่สามารถรู้ได้ว่าคือต้นอะไรกันแน่

    ลมหนาวโหมกระหน่ำพัดเข้ามา หิมะก็ดูเหมือนจะตกหนักขึ้น ที่น่าแปลกคือหญิงสาวพบว่าตนเองไม่รู้สึกหนาวมากมายนักแม้สิ่งที่สวมอยู่จะมีเพียงเสื้อคอตตอนแขนยาวคอกว้างกับกระโปรงยาว

     เธอเริ่มต้นออกเดินพลางคิดว่าอาจจะมีบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้พอรู้ได้บ้างว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน เดินไปไกลจนมองเห็นต้นไม้ที่จากก่อนหน้าไม่กี่วินาทีเคยใหญ่มหึมา จนตอนนี้สามารถใช้นิ้วเดียวปิดได้มิด แต่กระนั้นก็ยังไร้วี่แววของสิ่งที่พยามค้นหา

    บัดนี้ความกลัวเริ่มย่ำกรายเข้ามาในจิตใจของหญิงสาว ความสับสนเสียดแทรกเข้าหัวสมองที่เต้นตุบๆ ตั้งแต่ที่ได้สติ น้ำอุ่นใสจากดวงตากลมระบายสีน้ำตาลหวานราวคาราเมลไหลอาบสองแก้มขาวระเรื่อชมพู เธอไม่รู้อะไรกับการมาที่แห่งนี้ เรี่ยวแรงของเธอราวกับถูกหิมะและสายลมดูดกลืนเป็นพลังงานให้กับมันเองเพราะมันพัดแรงขึ้นกว่าตอนที่เธอตื่นขึ้นมาหลายเท่า กลับกัน เวลานี้ขาผอมเรียวอ่อนแรงจนล้มพับลงกับพื้นทราย ใบหน้าสวยซุกในมือทั้งสองข้างราวกับอยากให้สิ่งที่เจอตอนนี้เป็นเพียงแค่ฝัน

    "ผมรู้ว่าพี่ชอบที่หนาวๆ แต่ไม่นึกว่าจะหนาวขนาดนี้เลยครับ"

    เสียงต่ำนุ่มที่เธอคุ้นหูดังแหวกทุกสิ่งอย่างดุจนักวิ่งม้ามืด แม้จะยังมีความกลัวและความสับสนแต่เสียงอันคุ้นเคยทำให้ความรู้สึกปลอดภัยพูนสูงขึ้น

    เพียงแต่ก็ได้มีเรื่องที่แปลกใจเพิ่มมาอีกหนึ่ง

    นั่นคือทำไมเขาถึงอยู่ตรงนี้

    ใบหน้าขาวผ่องเงยขึ้น สิ่งที่เห็นคือสิ่งที่เธอคาดไว้และคุ้นเคยเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเส้นผมสีดำออกจะกระเซิง ดวงตาสีเดียวกันมองดูคล้ายตัวหมากของหมากล้อมญี่ปุ่น ริมฝีปากเรียวบาง เสื้อคอกว้างสีขาวทับด้วยเสื้อแขนยาวฮู๊ดสีขาวอีกชั้นกับกางเกงยีนส์ มันคือชุดโปรดของชายคนนี้ ชายผู้เป็นประธานบริษัทที่เธอทำงานอยู่ ประธานที่มีเธอเป็นเลขา

    ในความคิดของเธอ เขาเป็นทั้งเจ้านายเเละน้องชายที่แสนดีเสมอมา

    "คุณคารอล... เรย์มอนด์…?"

    รอยยิ้มอบอุ่นฉายอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา เขายื่นมือออกมามีความหมายว่าให้หญิงสาวลุกขึ้น ซึ่งเธอตอบรับโดยการส่งมือเรียวงามเข้าสู่อ้อมกอดของมือกว้าง ความอุ่นที่มือของเขาทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

    "ไม่ต้องกลัวแล้วนะครับพี่อลิซผมอยู่ที่นี่แล้ว ผมขอโทษ ถ้าผมมาให้เร็วกว่านี้พี่คงไม่ต้องร้องไห้"

    หญิงสาวตรงหน้าเขาคือ อลิซ แกรนด์สโตน เลขาสาวสวยควบตำแหน่งพี่สาวที่รู้ใจมากที่สุด ตอนนี้เธอส่ายศีรษะเป็นนัยว่านี่ไม่ใช่ความผิดของเขา

    "ไม่เป็นไรแล้วครับๆ"

    เรย์มอนด์สวมกอดอลิซซึ่งยังคงร้องไห้สะอื้นไม่หยุด กลิ่นหอมสดชื่นจากเส้นผมหนานุ่มทำให้เขาชุ่มชื่นในใจ

    "บอกดิฉันหน่อย... มันเกิดอะ...ไรขึ้นกับดิ...ฉันกันแน่คะ"

    "ผมจะพาพี่ออกไปเองครับ ไม่ต้องกลัวนะ"

    เขาคลายวงแขนและผละตัวออกจากพี่สาวโดยไม่ลืมทิ้งรอยยิ้มอันเปรียบเสมือนเทวดาผู้อ่อนโยนก่อนมองดูหน้าตาที่มอมแมมบวมแดงจากการร้องไห้ ขณะเดียวกันก็เอื้อมคว้ามือเย็นเฉียบของอลิซมาอีกข้าง

    "หลับตาครับ" เธอทำตามที่เรย์มอนด์สั่งโดยทันที

    สิ่งสุดท้ายที่เห็นก่อนจะหลับตาคือ ใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาของเจ้านายหนุ่มซึ่งส่งยิ้มไร้เดียงสามาให้ เสียงที่ดังอยู่คือคลื่นและลม สิ่งที่สัมผัสได้คือความหนาวเย็นทั่วร่างและความอบอุ่นบนสองมือ

    ราวไม่กี่วินาที...สัมผัสทุกอย่างหายไป ไร้เสียงคลื่น เสียงลมหรือความหนาวเย็น จะมีก็แค่เพียงความอบอุ่นบนมือซ้ายเท่านั้นที่ยังสัมผัสได้อยู่ เสี้ยววินาที อลิซไร้ความรู้สึกราวกับไร้ตัวตนไปชั่วขณะ แต่ตอนนี้รู้สึกได้แล้ว เธอนั่งอยู่บนบางอย่างที่นุ่มนิ่มและเคลื่อนที่ได้

    "ลืมตาได้แล้วครับ พี่อลิซ"

    หลังทำตามอย่างเด็กว่าง่าย สิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนก็คือมืออุ่นของเรย์มอนด์ยังคงกุมมือเธอไว้ ตอนนี้ทั้งหิมะ หาดทรายและทะเลได้หายไปแล้ว ที่ที่เธอนั่งอยู่คือรถยนต์ที่คุ้นเคยไม่ต่างกับผู้เป็นเจ้าของ เบาะหนังแท้นุ่มสบาย กลิ่นน้ำหอมติดรถที่ดมแล้วโล่งจมูก หน้าจอแอลซีดีขนาดเล็กมีตัววิ่งอย่างช้าๆ และเพลงเบาสบายหู

    อลิซเมินจากสิ่งเหล่านั้นและหันหน้าออกไปที่กระจกข้าง ท้องฟ้ามืดเป็นสีน้ำเงินเข้มประดับด้วยจุดเล็กจุดน้อยประกายวิบวับของหมู่ดาวน้อยใหญ่ ต่ำลงมาคือบรรดาตึกรางบ้านช่องที่เรียงรายจนเต็มไปหมด ป้ายไฟสีต่างๆ ประดับประดาสวยงาม ผู้คนจำนวนไม่มากไม่น้อยนักเดินสวนกันไปมา หลังจากยืนยันสถานที่ได้แล้ว สิ่งต่อมาที่เธอต้องการรับรู้คือช่วงเวลา

    วันพฤหัสที่ 18 มีนาคม เวลา 23 นาฬิกา 34 นาที หน้าจอบนคอนโซลบอกเช่นนั้น

    สิ่งที่อลิซงุนงงคือนี่เป็นกาลเวลาของฤดูที่พระอาทิตย์จะสำแดงฤทธิ์เดชมากที่สุดในแต่ละปี ระหว่างที่คิดเช่นนั้น เพลงอาร์แอนด์บีเบาสบายจบลง และเปลี่ยนเป็นเพลงป๊อบใสน่ารักที่ไม่เคยได้ยิน

    "เป็นไงบ้างครับตอนนี้?"

    คำถามของเรย์มอนด์ ทำให้อลิซสำรวจตัวเอง ทุกอย่างปกติจนเธอต้องตั้งคำถาม

     "มันเกิดอะไรขึ้นคะคุณคารอล ดิฉันไปอยู่ที่นั้นได้ยังไง?"

    เขาส่งยิ้มอ่อนโยนก่อนจะตอบ สายตาพลางมองด้านหน้าราวกับผู้ไม่ชำนาญการขับรถ

    "พี่อลิซครับ ที่จริงแล้วเมื่อเย็นตอนที่พี่กำลังจะกลับบ้าน พี่ถูกรถชนน่ะ"

    ดวงตากลมที่โตขึ้นอีกคือผลจากการตกใจกับคลื่นที่ส่งมากระทบกับแก้วหู เธอสำรวจร่างกายตัวเองอีกครั้งเพื่อหาจุดที่บาดเจ็บแต่ว่าก็ยังไม่พบอะไรแบบนั้น

    "บาดแผลของพี่รุนเเรงมากจนเสียชีวิตอยู่ตรงนั้นเลยครับ"

    "มันจะเป็นไปได้หรือคะ?"

    ความคิดที่ขัดกันระหว่างเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ กับเจ้านายของเธอไม่ใช่คนที่จะเอาเรื่องแบบนี้มาพูดเล่นตีกันอยู่ในหัว

    "ฮึๆ มันคงจะเป็นเรื่องแปลกมากถ้าพี่อลิซยอมรับได้ทันทีว่ามันเป็นเรื่องจริง"

    ชายหนุ่มหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ซึ่งอลิซไม่อาจรู้ได้ว่าเขาหัวเราะเรื่องอะไร

    "ถ้าพูดแบบนี้คงง่ายกว่า ที่จริงผมเพิ่งจะพาพี่กลับมาจากโลกแห่งความตายน่ะครับ...มันทำใจให้เชื่อได้ยากก็จริงแต่ผมไม่เคยคิดจะโกหกพี่เลยนะ พี่รู้นี่"

    เรย์มอนด์ปล่อยมือของเขาออกจากมืองดงามที่ยังเย็นอยู่ไม่น้อยเพื่อจับพวงมาลัยให้กระชับก่อนจะถึงทางเลี้ยวในอีกไม่กี่หลา ความเงียบชั่วครู่ทำให้อลิซมีเวลาคิดทบทวนเรื่องราวตั้งแต่ที่เธอตื่นขึ้นมากลางชายหาดที่เต็มไปด้วยหิมะรวมถึงการเดินทางเปลี่ยนสถานที่ภายในเวลาไม่กี่วินาที ความคิดนี้ของเธอหมุนวนอยู่ในสมองที่เต้นตุบๆ

    จนแล้วจนรอด อลิซก็หาสิ่งที่จะมาพิสูจน์ว่าเรื่องที่เจ้านายของเล่าเป็นเรื่องโกหกไม่ได้ เธอมั่นใจว่าไม่ได้ฝันไปเพราะมั่นใจอีกว่าตัวเองมีความสามารถในการแยกแยะความจริงกับความฝันออกได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่เธอรู้สึกตัวที่ชายหาดนั่น สติสัมปชัญญะของเธอก็ยังอยู่ครบถ้วนจนถึงตอนนี้ อีกอย่าง เรื่องแบบนี้เจ้านายของเธอไม่เอามาพูดเล่นแน่ เพราะไม่ว่าใครก็คงจะพูดเรื่องแบบนี้ให้เป็นมุกตลกไม่ได้

    อลิซเริ่มรู้สึกอึ้งจนจุกที่กลางอกกับความจริงนี้...ความจริงที่ว่าเธอถูกเรย์มอนด์ คารอล ผู้เป็นเจ้านายชุบชีวิตขึ้นมาจากความตาย

    "มันเป็นเรื่องจริงสินะคะ"

    เรย์มอนด์พยักหน้า "ครับ แต่ละวันพวกเราจะคอยชุบชีวิตให้กับคนทุกคนที่เสียชีวิตลงไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่ช่างมันก่อนเถอะครับไว้ผมจะเล่าให้ฟังวันหลังนะ ว่าแต่ตอนนี้พี้รู้สึกยังไงบ้างครับ? เวียนหัวมั้ย?"

    ชายหนุ่มถามด้วยความเป็นห่วงตามปกติที่มักจะปฏิบัติต่ออลิซเสมอ

    ถ้าถามอลิซว่าตอนนี้โอเคมั้ย? เธอคงต้องตอบว่ายังเพราะยังปวดหัวอยู่ไม่น้อย แต่กระนั้นก็ไม่ถึงขนาดต้องล้มหมอนนอนเสื่อ อาการนี้ทำให้เธอนึกสงสัยอีกว่า ตัวเองคือผู้ที่เกิดอุบัติเหตุจนเสียชีวิตจริงหรือ?

    รถที่อลิซโดยสารมาเลี้ยวเข้าสู่ถนนแยกเข้าซอยที่เป็นที่ตั้งของคอนโดหรูซึ่งเป็นบ้านของเธอ

    "ดูเหมือนว่าคนที่ขับรถชนพี่จะเมามาน่ะ แย่จังเลย"

    เรย์มอนด์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่หญิงสาวไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไงดี

    "แต่ผมจัดการทุกอย่างให้แล้วครับ พี่ไม่ต้องทำอะไรเลยนะ เอาเป็นว่าผมให้พี่ลาพักร้อนนะครับ ร่างกายพี่พร้อมเมื่อไหร่ค่อยกลับมาทำงานแล้วกัน"

    "ค่ะ...คุณ..คารอล" เสียงอลิซสั่น น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง เธอพยายามจะควบคุมมันให้ได้จึงหันหน้าหลบแต่ก็ไม่พ้นสายตาของเรย์มอนด์

     "เป็นอะไรครับพี่?"

    อลิซขอบคุณบางสิ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรที่นำให้เธอได้มารู้จักและทำงานกับเจ้านายคนนี้ ตลอดมาเรย์มอนด์ดีกับเธอมากเกินกว่าที่เจ้านายกับลูกน้องหรือพี่สาวกับน้องชายมีให้กัน

    "แหม...พี่ไม่รู้เหรอครับ ที่ผมทำอย่างนั้นตลอดมาก็เพราะผมหวังผลนา ถ้าไม่ติดพี่เจฟล่ะก็ผมคงเดินหน้าจีบพี่ต่อไปแล้ว"

    เรย์มอนด์ยิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมกับมองร่างเล็กในชุดลูกไม้แขนยาวสีชมพูกับกระโปรงยาวสีขาวลายดอกกุหลาบสีครีมที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาซึ่งดูแล้วเหมือนเด็กๆ

    "เฮ้อ...อิจฉาพี่เจฟจัง ถ้าผมเป็นพี่เค้านะผมรักพี่ตายเลย"

    อลิซหัวเราะ นั่นทำให้เรย์ยิ้มตาม

    "นี่ผมพูดจริงนา พี่ก็รู้ว่าผมชอบพี่มาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่พี่ผมก็คงไม่จะคิดรักใครหรอก นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าแม้แต่ผู้ที่เพรียบพร้อมทุกสิ่งก็มีเรื่องที่ผิดหวังได้เช่นกัน...อย่าหัวเราะสิครับผมกำลังเศร้าอยู่นะ ใจร้ายจัง"

    รอยยิ้มของอลิซทำให้โลกสดใสได้ทันที เรย์มอนด์รู้สึกดีใจมากเมื่อเห็นเธอมีความสุข เขาสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ให้มีเหตุการณ์แบบเมื่อเย็นเกิดขึ้นกับพี่สาวของเขาอีก

    "พี่อลิซครับ ต่อไปนี้พี่ต้องระวังให้มากกว่านี้นะ ถ้าผมไม่ได้เป็นอย่างที่เป็นอยู่นี่ป่านนี้คนรอบข้างที่รักพี่ทุกคนจะเสียใจขนาดไหนกัน"

    หญิงสาวก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด สีหน้าไม่สบายใจทำให้เรย์มอนด์ต้องรีบแก้ตัว

    "แต่ผมไม่ได้บอกว่าพี่ทำอะไรผิดนะครับ แค่บอกให้พี่ระวังมากกว่านี้เฉยๆ เอง"

    "เอ่อ...เปล่าค่ะ แค่ดิฉันคิดว่าพอจะตอบแทนอะไรได้บ้างเท่านั้นเองค่ะ"

    อลิซแก้ตัว เธอแอบดีใจเล็กน้อย ที่เรย์มอนด์แค่ถอนหายใจและไม่มีท่าทีสงสัยกับคำโกหกเล็กๆ นั่น

    "พี่นี่น้า...เอางี้ละกันครับ พรุ่งนี้เย็นพี่เลี้ยงข้าวผมมื้อนึง ผมขอไก่ทอดด้วยนะ" เธอหัวเราะคิกคักก่อนตอบตกลง

    รถสีดำได้หยุดที่หน้าตึกสูง 17 ชั้น อลิซกล่าวขอบคุณและเปิดประตูรถเดินออกไป

    "รีบเข้าไปนะครับ ป่านนี้พี่เจฟกับน้องเดซี่รอแย่แล้ว พรุ่งนี้ผมจะพายัยแอนนี่มาด้วยนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ"

    อลิซโค้งตัวเล็กน้อยเป็นการรับทราบก่อนหันหลังเดินเข้าประตูอัตโนมัติไป ผมสีน้ำตาลทองพลิ้วไปตามลม เรย์มอนด์ยังจำกลิ่นหอมสดชื่นจากเส้นผมนั่นได้ดี เขานึกโมโหตัวเองที่ปล่อยให้เจ้าของเรือนผมอันงดงามนั้นต้องร้องไห้

    ชายหนุ่มขับรถมาตามถนนเส้นหลักอีกครั้ง ตอนนี้เที่ยงคืนกว่าแล้ว เขาขึ้นไฮเวย์พลางมองดูวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืน บางส่วนของเมืองยังมีแสงไฟเป็นจุดเล็กๆ เปิดอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นพวกตึกของโรงพยาบาลและสถานบันเทิงต่างๆ ส่วนที่เป็นแถบหมู่บ้านที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่จะถูกปกคลุมด้วยความมืดไปเสียแล้ว เรย์มอนด์ปิดแอร์พร้อมกดปุ่มสีดำ แค่เสี้ยววินาทีหลังคารถทั้งหมดถูกพับไปด้านหลัง กลายเป็นรถเปิดประทุน เขาหายใจเอาอากาศเย็นของราตรีเข้าเต็มปอดซึ่งทำให้หัวของเขาโล่ง ด้วยจำนวนรถที่แทบจะนับคันได้ทำให้ฝุ่นควันไม่ฟุ้งกระจายเท่าไรนัก และเนื่องจากเสียงลมโกรกเขาจึงเร่งเสียงเพลงขึ้นอีกนิดหน่อย เพลงโปรดของเขา I stay in love ของ Mariah Carey กำลังเล่นอยู่ในขณะนี้

    แต่เล่นได้ไม่นานเพลงก็หยุดกึก กลายเป็นเสียงผู้หญิงที่ไม่รู้จักแต่ได้ยินแทบทุกวันดังขึ้นแทน

    [ขณะนี้ท่านมีสายเข้า กรุณากด "ยอมรับ" เพื่อรับสาย หรือ "ปฏิเสธ" เพื่อวางสาย]

    เรย์มอนด์เหลือบดูกระจกหลัง เครื่องสี่เหลี่ยมสีดำกำลังส่องแสงและสั่นกึกอยู่ที่เบาะหลัง

    ในเวลาแบบนี้ก็มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่จะโทรมา

    ชื่อ [ยัยบ๊อง] ปรากฏบนหน้าจอแอลซีดี แน่นอนอยู่แล้วว่าเรย์มอนด์ต้องรับเพราะเขาไม่อยากเสียเวลาพักผ่อนจากการถูกน้องสาวบ่นยาว

    ชายหนุ่มเอื้อมมือเปิดช่องสำหรับเก็บของหน้ารถพร้อมหยิบอุปกรณ์สีดำทรงกลมขนาดเท่าฝ่ามือที่ข้างในบุด้วยฟองน้ำห่อด้วยหนังเทียมสีดำทับอีกชั้น ด้านนอกมีพลาสติกแหลมสีดำยื่นออกมา เขาสวมมันที่หูซ้ายและดึงพลาสติกปลายแหลมมาให้ใกล้ปากก่อนจะกด [ยอมรับ]

    "ไงสาวน้อย ยังไม่นอนอีกเหรอจ๊ะ?"

    [ไม่ต้องมาทำเป็นพูดหวานเลย รู้มั้ยว่านี่มันเข้าวันศุกร์แล้ว]

    "จ้า โทษทีจ้ะ วันนี้พี่มีธุระจริงๆ เรื่องด่วนน่ะ ไว้กลับไปพี่เล่าให้ฟังนะ"

    [อย่างน้อยก็น่าจะโทรมาบอกกันหน่อย]

    "ใครจะไปรู้ว่าเราจะว่างตอนไหน"

    [เชอะ...แล้วพี่เรย์อยู่ไหนแล้วคะเนี่ย?]

    "พี่กำลังจะลงจากไฮเวย์ อีก 15 นาทีก็ถึงแล้วจ้ะ มีอะไรอีกรึเปล่าคะ?"

     [ไม่ค่ะ เจอกันที่บ้านนะ บายค่ะ]

    "จ้า บาย" หลังวางสาย เขาถอดหูฟังเก็บไว้ทีเดิมและเริ่มเหยียบคันเร่ง

     "โดนงอนอีกแล้วแฮะเรย์เอ้ย" พร้อมพูดกับตัวเอง

    โชคดีที่วันนี้ก่อนกลับเขาเอากล่องโดนัทที่ฝากพนักงานซื้อเมื่อตอนกลางวันจากในตู้เย็นที่ออฟฟิสมาด้วย ไม่งั้นผู้ที่เขาตั้งฉายาว่ายัยตัวยุ่งที่บ้านคงจะงอนไปจนถึงเช้า

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×