คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Memory Piece 1
Memory Piece 1
"องค์ชาย...พระราชามีรับสั่งให้เสด็จไปพบพะย่ะค่ะ"
เสียงของชายสูงอายุดังขึ้นอย่างนอบน้อม ผมตอบรับและลุกจากโซฟานุ่มสบายตัวโปรดในห้องสุนทรียจิตซึ่งอบอวลด้วยบทเพลงอันแสนไพเราะและกลิ่นหอมอ่อนของดอกไม้ประหลาด (สำหรับมนุษย์) ที่ส่องแสงได้ โดยที่แสงสีนั้นจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทุกวันเพื่ออะไรก็ไม่อาจทราบได้ ชายสูงอายุในชุดคลุมยาวสีขาวก้มศีรษะเมื่อผมเดินผ่าน
ผมเดินมาตามทางที่ทอดยาวมาจนถึงหน้าประตูของห้องหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่ยักษ์และสลักลวดลายสวยงาม มันเปิดตัวเองอย่างช้าๆ จนบางทีก็รู้สึกรำคาญ
"มีอะไรเหรอพ่อ"
"นั่งก่อนสิลู" เสียงแหบต่ำแต่ทรงพลังพูดโดยไม่ได้เงยหน้ามามองคนที่ตัวเองเรียกมาเลยแม้แต่น้อย เขากำลังง่วนกับการดูลูกกลมๆ ใสๆ ที่บนโต๊ะมีอยู่อีกสี่ลูก สงสัยนักว่าทำไมไม่ดูไอ้นี่ให้เสร็จซะก่อนแล้วค่อยเรียกมาคุยในเมื่อแลจะยุ่งอยู่ซะขนาดนั้น
"เพราะพ่อจะให้แกดูด้วยน่ะสิ"
สมแล้วที่เป็นพระเจ้า นินทาอะไรไม่ได้เลย
"อะไรล่ะนั่น?"
"รายงานการนำพาวิญญาณมนุษย์น่ะ"
แล้ว...?
"แกก็ดูเอาเองสิ"
พ่อยื่นลูกกลมใสขนาดเท่ามือให้ ผมรับมาและกำมันเอาไว้ ตราสัญลักษณ์รูปโล่สีทองหมุนคว้าง ไม่นานในหัวของผมก็ได้เห็นภาพราวกับมันเป็นความทรงจำ
ภาพปรากฎเป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งสวมฮู๊ดคลุมศีรษะสีแดงเพลิงพร้อมถืออาวุธขนาดใหญ่พอกันกับร่างกาย มันมีด้ามเรียวยาว ปลายด้านบนติดใบมีดขนาดยักษ์ยาวและงุ้มลงมา ปลายด้านล่างติดโซ่ขนาดไม่ยาวมากเอาไว้ เขาพาร่างกายอันใหญ่โตเข้าไปในตรอกที่มืดสนิทก่อนจะเลี้ยวขวาตรงหัวมุม ผมพอรู้ว่าไอ้หมอนี่กำลังจะทำอะไร
"เจอแล้ว…" เสียงแหลมเล็กไม่ได้เข้ากันกับตัวร้องยาวๆ ด้วยความดีใจ "ท่าทางตอนเด็กๆ คุณคงจะเล่นซ่อนหาเก่งน่าดูล่ะสิ" ชายคนนั้นเปิดฮู๊ดออกเผยให้เห็นเส้นผมสีดำมันแลดูโสโครกกับรอยยิ้มน่าขยะแขยง
"ปะ...ปล่อยฉันไปเถอะนะ" ชายอีกคนซึ่งนั่งคุดคู้อยู่ตรงมุมตรอกอ้อนวอนชายผู้อยู่เหนือกว่าอย่างชัดเจน เขาหัวล้านและตัวเล็กแกร็น
"ได้ไงล่ะครับ ก็คุณตายไปแล้วนะ ผมต้องพาคุณไปโลกของคนตายสิถึงจะถูก"
ฟังเสียงหมอนี่กี่ครั้งก็ยังรู้สึกขัดๆ อยู่ดี
"ทะ...ที่..ไหนฉันก็ไม่ไป...ขอร้องล่ะ ลูกกับเมียฉันจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีฉัน หา เจ้าบ้า!"
ชายหัวล้านคนนั้นตะคอกเสียงใส่ชายร่างยักษ์ เขาลุกขึ้นและตั้งท่าต่อสู้ซึ่งบอกตามตรงว่าเป็นความคิดอะไรที่โง่แถมผิดอย่างมหันต์
"นั่นมันเรื่องของคนเป็น แกน่ะต้องมากับฉัน!"
ชายร่างยักษ์ดึงมีดเล่มเท่านิ้วโป้งของเขาออกมาสองเล่ม เขาใช้มันตัดข้อมือของชายหัวล้านจนขาดกระเด็น การที่วิญญาณไม่มีเลือดออกคงไม่จำเป็นต้องอธิบาย ชายร่างเล็กกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแต่ชายร่างยักษ์ไม่สนใจ เขาใช้มีดจิ๋วสองเล่มนั้นแทงเข้าไปที่คอของชายร่างเล็ก เพียงแค่นั้นเสียงร้องโหยหวนหยุดลงทันที
"ไปกันได้แล้ว"
ชายร่างยักษ์พูดพร้อมยกอาวุธของตนเคาะพื้นปูน ทันใดนั้นโซ่ที่อยู่ตรงปลายด้านล่างได้ไหลเลื้อยยาวขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับงูพิษ เมื่อหัวของโซ่เลื้อยขึ้นมาจนถึงระดับคอของชายร่างเล็กแล้ว มันได้กลายสภาพตัวเองเป็นรูปจันทร์เสี้ยวก่อนจะพุ่งเข้าใส่คอสั้นๆ ของชายร่างเล็กอย่างรวดเร็ว มีดที่อยู่บนลำคอของชายผู้โชคร้ายถูกดันเข้าไปจนทะลุออกท้ายทอย ใบมีดที่ทะลุโผล่ออกมานั้นงอตัวเองและประสานเข้าโซ่เหล็กรูปจันทร์เสี้ยว ชายร่างเล็กเบิกตาโพลงด้วยความเจ็บปวดแต่เขาไม่สามารถร้องออกมาได้
หลังจากทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ชายร่างยักษ์แสยะยิ้มน่ารังเกียจอีกครั้งก่อนจะดึงฮู๊ดที่อยู่ด้านหลังมาคลุมหัว
"อย่ามาล้อเล่นกับยมทูต จำใส่หัวล้านๆ ของแกเอาไว้"
ว่าจบเขากระโดดจนตัวลอยขึ้นสูงจากพื้นมาก แต่ชายร่างเล็กยังคงอยู่ ณ เบื้องล่าง ไม่ถึงสามวินาทีปีกขนนกสีขาวปลอดสยายออกมาจากหลังของยมทูตร่างยักษ์ เขากระพือปีกบินขึ้นฟ้า สูงขึ้น สูงขึ้น จนโซ่ที่ล่ามคอชายร่างเล็กขึงตึง ไม่นานเท้าของเหยื่อลอยขึ้นเหนือพื้นก่อนถูกลากขึ้นฟ้าโดยมีปลอกคอใบมีดพันธนาการอยู่ ชายร่างเล็กดิ้นพรวดพราดอย่างไร้เสียง ยมทูตที่เห็นภาพนั้นหัวเราะออกมาอย่างสะใจ ตอนนี้ยมทูตได้บินสูงจนเหนือตึกรางต่างๆ แล้ว เขาได้ใช้มือข้างที่ไม่ได้ถืออาวุธวาดสัญลักษณ์บางอย่างบนอากาศ ทันทีที่วาดเสร็จวงแหวนแสงสีม่วงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น ยมทูตหายเข้าไปในนั้นตามด้วยชายร่างเล็กผู้ห้อยต่องแต่ง เมื่อทั้งสองหายไป วงแหวนกลับค่อยๆ สลายตัวก่อนทุกอย่างจะมืดลง เสียงชายคนหนึ่งดังก้องกังวานหลังจากนั้น
"ลอนดอน 12 กันยายน 1997"
สิ้นเสียง ผมลืมตาขึ้นพร้อมกับสมองที่ว่างเปล่า
"เป็นไง คิดยังไงกับสิ่งที่แกเห็น"
"ก็เฉยๆ น่ะพ่อ ถึงคิดแล้วผมจะไปทำอะไรได้"
พ่อส่งสายตางงๆ มาให้ลูกชาย
"ถามจริงลู แกไม่คิดบ้างเหรอว่าวิธีการมันป่าเถื่อนเกินไป"
ผมพยักหน้างกๆ ส่วนพ่อจะตีความหมายไปในทางไหนก็แล้วแต่เขา
"ยังไงพวกพ่อก็เกลียดพวกมนุษย์อยู่แล้วนี่ พ่อจะสนทำไม"
ชายผู้ให้กำเนิดผมหลับตาเหมือนพยายามจะอดทนกับอะไรบางอย่าง แต่ผมพูดอะไรผิดล่ะ ในเมื่อท่านเทพที่นี่ทุกคนมักจะระบายให้ผมฟังเสมอว่ามนุษย์คือสิ่งที่น่ารังเกียจบ้างล่ะ ไม่รู้พระองค์จะสร้างมนุษย์ออกมาทำไมบ้างล่ะ มนุษย์คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ของฝ่าบาทบ้างล่ะ ขนาดในคลังหนังสือเทพก็ยังมีหนังสือหลายๆ เล่มที่เสี้ยมสอนให้พวกเรานางฟ้าเกลียดชังมนุษย์ และเมื่อตอนผมยังเด็ก ผมเคยถามพ่อหลายครั้งว่าพ่อรักมนุษย์ใช่รึเปล่าถึงได้สร้างพวกเขาขึ้นมา แต่เชื่อสิ ผมไม่เคยได้คำตอบอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นจากชายคนนี้เลย แล้วอย่างนี้จะให้คิดไง?
"มันไม่เกี่ยวกับความเกลียดหรือไม่เกลียด ถึงพวกมนุษย์ส่วนใหญ่จะตกนรกกันอยู่แล้ว แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้รับการตัดสินจากศาลมหาเทพ ยมทูตไม่มีสิทธิจะไปทำแบบนั้นกับพวกเขา เห็นแบบนี้พ่อถึงเข้าใจว่าทำไมมนุษย์ถึงพยายามหลบเลี่ยงความตายกันนัก"
โห่...ใจดีจังนะ
"พ่อให้ผมทำอะไรก็ว่ามาเลยดีกว่า เรียกผมมานี่คงไม่ได้แค่ให้มานั่งฟังพ่อบ่นหรอกมั้ง"
จบประโยคพ่อก็หัวเราะยกใหญ่ทั้งที่ไม่ได้มีเรื่องอะไรให้ขำเลยแม้แต่น้อย
"ลู แกไม่รู้หรอกว่าแกเหมือนแม่ขนาดไหน ก็ดี เข้าเรื่องเลย"
ว่าแล้วเขาก็หยิบลูกแก้วขึ้นมาและทำมันหายไปทันที เขาทำอย่างนี้จนครบทุกลูกในเวลาไม่ถึงสิบวิฯ
"พ่ออยากให้แกไปเจรจากับยมบาลอาของแก ว่าหน้าที่จูงวิญญาณมนุษย์ขอให้นางฟ้าทำเองได้รึเปล่า"
สิ่งที่ได้ยินทำเอาผมเซ็งกว่าเดิม
"ทำไมต้องผมล่ะ พ่อก็ไปเองสิ"
"นี่แกแกล้งลืมล่ะสิ แกก็รู้ว่าอาแกเกลียดพ่อขนาดไหน ตอนมีประชุมสามภพ แค่หน้าพ่อเขายังไม่มองเลย แต่เขารักแกมากนี่ ถ้าเป็นแกเขาอาจจะยอมฟังบ้างก็ได้"
มันก็สมควรอยู่หรอก...
ทำไมอาของผมน้องชายของพ่อถึงเกลียดพี่ชายตัวเองมากขนาดนั้นน่ะเหรอ
มันเป็นเรื่องหลังจากที่พ่อสร้างโลกมนุษย์ได้ไม่นาน พระเจ้าและเทพทุกองค์หวังไว้สูงว่ามนุษย์จะเดินตามทางที่ตนปูไว้ให้ แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้น มนุษย์ฉลาดและเลวกว่าที่พวกเขาคิด อาจึงเสนอให้ทำลายโลกทิ้งพร้อมทั้งดับวิญญาณมนุษย์ให้สิ้นซาก แต่ข้อเสนอนั่นถูกคัดค้านจากเหล่าเทพเพราะเป็นวิธีการที่รุนแรง อันที่จริงพ่อเห็นด้วยแต่บอกว่ายังไม่ใช่เวลาอันใกล้นี้ พ่อจึงเสนอว่าควรให้มนุษย์รับรู้ถึงความทรมานที่หักหลังผู้ที่สร้างตนมา เหล่าเทพจึงตัดสินใจร่ายคำสาปให้มนุษย์มีความเจ็บปวด มีความตาย โดยหลังจากที่มนุษย์ตายค่อยคัดเลือกผู้ที่มีจิตใจดีงามไปรับใช้บนสวรรค์ ส่วนคนที่ทำความเลวจะต้องรับโทษหลังความตายอีกครั้ง นั่นเรียกว่าความตายครั้งที่สอง เมื่อได้ข้อสรุปดังนั้นพ่อจึงได้สร้างศาลมหาเทพกับนรกขึ้นมา แต่ไม่ว่ายังไงนรกก็ต้องมีประมุขเช่นเดียวกันกับสวรรค์ ที่จริงพ่อได้เสนอ มิคาเอล ผู้บัญชาการกองทัพสวรรค์ แต่ได้ถูกคัดค้านจากเหล่าเทพด้วยเหตุผลงี่เง่าว่าไม่มีใครปกครองทัพสวรรค์ได้ ชื่อของอาจึงถูกเสนอขึ้นมา ซึ่งเหล่าเทพเห็นด้วยแบบแทบจะดีดนิ้วให้ เพราะอามีบุคลิกไปทางสายเหยี่ยวที่นิยมความรุนแรง
ผมเคยคิดเล่นๆ ว่านั่นก็คือการไล่ตะเพิดดีๆ นี่เอง แน่นอนพ่อผมค้านเต็มที่ แต่ไม่ว่าอย่างไหนพ่อก็เป็นเสียงส่วนน้อย พอถึงวันประชุมลงมติ อาหวังว่าพ่อจะช่วยพูดอะไรได้บ้างในฐานะพระเจ้า แต่วันนั้นพ่อกลับไม่มา อาเลยถูกเตะโด่งไปเป็นยมบาลตามความต้องการของทวยเทพทั้งหลาย เขาคงคิดว่าพ่อวางแผนเพื่อเขี่ยตัวเองให้พ้นจากอำนาจซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมไม่สน และนั่นเป็นสาเหตุให้อาเกลียดโลกมนุษย์และสวรรค์
"ถ้าปล่อยไว้พ่อเชื่อว่าสักวันจะต้องมีปัญหาแน่"
หน้าพ่อดูเหมือนจะกลุ้มมาก ที่จริงผมก็ไม่อยากจะทำหรอก แต่เห็นทีคราวนี้คงจะเป็นปัญหาใหญ่ เอาก็เอา ถือโอกาสไปเที่ยวด้วยเลยละกัน
"จริงเหรอลู ขอบใจๆ แหม...พ่อรู้อยู่แล้วว่าต้องพึ่งแกได้"
ผมล่ะหมั่นไส้หน้าพ่อตอนนี้จริงๆ แค่รู้สึกเบื่อๆ หรอกถึงได้รับปาก อย่าหวังไว้เยอะละกัน
"เออๆ ยังไงก็ขอบใจนะ"
"อือ…แล้วให้ผมไปวันไหนล่ะ"
"ไปเลยสิ พ่ออยากได้ยินข่าวดีเร็วๆ"
เอาเข้าไป
"เออๆ งั้นผมไปนะ"
"ให้คนไปส่งมั้ย"
ผมปฏิเสธทันทีแบบไม่ต้องคิด เฮ้อ...แล้วนี่เราจะไปเจออะไรบ้างเนี่ย
ขณะที่กำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ขาของผมก็พาตัวเองเดินไปสู่ห้องที่อยู่บนชั้นเดียวกันกับห้องทำงานของพ่อ ระหว่างทางก็มองออกไปเรื่อยเปื่อยอย่างความคิด นอกหน้าต่างบานใหญ่ที่เรียงอย่างสวยงามบนระเบียงมีเหล่านางฟ้าหยอกล้อกันเล่นสนุกสนาน พวกเขาแลดูมีความสุขกันซะเต็มประดา ก็แน่ล่ะ พวกที่อยู่อย่างไม่รู้อะไรก็จะสามารถมีความสุขกับเรื่องเล็กๆ ได้ ดีจังนะพวกนาย…
หลังผ่านการอนุญาตจากสองนางฟ้าเฝ้าห้องโดยการยื่นลูกแก้วพระราชกิจให้ตรวจ ประตูก็เปิดขึ้น ห้องนี้ไม่กว้างนัก กลางห้องมีแท่นกลมแบนขนาดใหญ่ทำด้วยหินวางอยู่ เหนือแท่นมีแสงออร่าสีฟ้าส่องสว่าง ลูกไฟสีแดงสองดวงบินวนรอบแสงออร่านั่น ผมก้าวขึ้นไปยืนบนแท่น ทันใดนั้นลูกไฟสีแดงก็บินมาที่หัวกับปลายเท้า ไม่นานมันเปลี่ยนเป็นสีเขียวและดูเหมือนจะดวงหดเล็กลง
มันจะเป็นยังไงกันนะ ไอ้ผมก็เพิ่งเคยใช้ 'พิภพศักดิ์สิทธิ' นี่ครั้งแรกซะด้วยสิ
เมื่อดวงไฟสีเขียวเผาตัวเองหายไปจนหมดทั้งห้องรอบตัวก็สว่างจ้า นี่เริ่มแล้วสินะ ขออย่าให้มีอะไรผิดพลาดก็แล้วกัน…
ใช้เวลาไม่นานผมก็ว่าใกล้ถึงแล้วล่ะ เพราะตอนนี้รู้สึกได้ถึงลมที่พัดแรงกับอากาศเย็นเฉียบ ซ้ำยังได้กลิ่นหอมของบางอย่างที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เสียงจ๊อกแจ๊กลอยเข้าหู ความรู้สึกของเท้าที่ตอนแรกเหยียบแท่นหินทรงกลมอยู่นั้นหายไป มันเหมือนผมกำลังลอยอยู่กลางอากาศยังไงอย่างงั้น แต่ไม่นานปลายเท้าก็ได้แตะพื้นอีก ห้องที่สว่างจ้านั้นหายไปสักที
เวลานี้ผมยืนอยู่บนสะพานไม้ที่ดูเก่าแต่แข็งแรง มันพาดผ่านแม่น้ำสายเล็กๆ แสนใสสะอาด รอบสะพานรายล้อมด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มจนมองลอดต่อไปไม่เห็น ด้านหน้ามีป้ายโค้งเขียนด้วยอักษรประหลาดซึ่งตัวเองก็อ่านไม่ออก แต่เดาออกว่ามันน่าจะเป็นชื่อหมู่บ้านหรืออะไรที่เกี่ยวข้องนี่แหละ เพราะถัดจากป้ายนั้นมีบ้านเรือนตั้งเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ผมมั่นใจว่านี่ไม่ใช่นรกที่ตัวเองต้องการจะไปอย่างแน่นอน เพราะภาพของผู้คนที่ทักทายกันอย่างเป็นมิตร กับเด็กๆ ที่ล้อมวงเล่นกันอย่างสนุกสนานคงไม่ใช่ภาพของบทลงโทษผู้กระทำความผิด
บรรยากาศมันราวกับสวรรค์
แต่ก็รู้อีกว่าไม่ใช่ อากาศข้างตัวผมไม่กี่เซ็นฯ ขมวดตัวเป็นวงกลม ผมยื่นมือไปหามันได้วิบตาเดียวลูกแก้วที่มีสัญลักษณ์รูปโล่สีทองฝังอยู่ภายในก็ตกใส่มือ ผมหลับตาลง จากนั้นเสียงแหบแต่ทรงพลังของพ่อก็ดังขึ้น
"ลู พ่อลืมบอกแกไปเรื่อง พิภพศักดิ์สิทธิที่แกใช้เมื่อกี้มันพาแกไปนรกโดยตรงไม่ได้เพราะอาของแกปิดตายประตูมิตินั่นเอาไว้ แกจะไปโผล่ที่หมู่บ้านอะไรสักอย่างบนโลกมนุษย์ ในหมู่บ้านจะมีวัดอยู่วัดหนึ่งที่พวกนางฟ้าได้ทำการเชื่อมมิติเอาไว้ แกต้องไปที่วัดนั่นก่อนถึงจะไปนรกได้ ส่วนทางไปวัดพ่อขี้เกียจอธิบายว่ะแกหาทางไปเองนะ"
แล้วเสียงของบิดาบังเกิดเกล้าก็เงียบไป
เยี่ยมมาก…
นอกจากจะไม่บอกทางไปแล้วชื่อวัดอะไรก็ไม่บอก ถ้าเกิดที่นี่มีวัดสัก 5 แห่งขึ้นมาผมก็ต้องรับชะตากรรมเดินลากเท้าหามันจนเย็นใช่มั้ยเนี่ย แค่บอกทางไม่กี่วินาทียังขี้เกียจก็หัดเห็นใจคนที่กำลังจะใช้เวลาในอีกหลายชั่วโมงข้างหน้าเดินรอบหมู่บ้านหน่อยไม่ดีเรอะ
ผมเดินเข้าหมู่บ้านหลังตัดสินใจว่าจะลองถามทางคนแถวนี้ดู เข้ามาไม่นานนักก็เห็นศาลาที่มีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่เลยเดินเข้าไปหาเธอ
หญิงสาวคนนี้พอมองดูใกล้ๆ แล้วเป็นคนที่สวยมากทีเดียว ผิวของเธอขาวยิ่งกว่าตัวผมซึ่งเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ เส้นผมสีดำของเธอดัดเป็นลอนจนถึงเอวตัดกับสีผิว ดวงตาเป็นสีเทาแต่ใสแจ๋วแถมโตเอามากๆ ริมฝีปากเป็นสีชมพูอวบอิ่มแลดูนุ่มนิ่ม โดยรวมแล้วสวยมากสำหรับผม
แต่ผมจะสนใจทำไมเรื่องนั้น รีบถามธุระเหอะ
"ขอโทษครับ ผมอยากรู้ว่าที่หมู่บ้านนี้มีวัดกี่แห่งครับ"
...น่าแปลก...ทั้งที่ผมอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ตาของเธอดูเหมือนมองอย่างอื่นอยู่
"นักท่องเที่ยวสินะคะ หมู่บ้านเรามีวัดแค่ที่เดียวเท่านั้นแหละค่ะ"
อืม…ว่าไงดีล่ะ…เสียงใสของเธอนั้นฟังแล้วน่ารักดี
"จากตรงนี้คุณเดินตรงไปจนเห็นรูปปั้นพระสามองค์แล้วคุณก็เลี้ยวซ้ายนะคะ จะเห็นป้ายที่เขียนว่า 'วัดแสงอรุณ' น่ะค่ะ แล้วคุณก็เข้าไปเลย"
เธอพูดกับผมโดยที่สายตาของเธอยังจ้องอยู่ที่เดิม น่าสงสัยว่าเธอคงอาจจะรอใครอยู่...หรือเปล่า? ถ้าไม่ใช่ ผมยืนอยู่ตรงนี้นะคุณ
"ฉันรอลูอิสน่ะค่ะ"
เอ่อ…นั่นชื่อผมไม่ใช่เหรอน่ะ งั้น...เธอก็กำลังรอผมอยู่เหรอ แต่ผมไม่เคยรู้จักเธอเลยนี่นา
"อ้าว คุณก็ชื่อลูอิสเหมือนกันเหรอคะ? บังเอิญจัง แต่ฉันไม่ได้รอคุณหรอกค่ะ"
หญิงสาวอมยิ้มน้อยๆ
"นั่นสินะครับ งั้นผมไปก่อนนะ ขอบคุณที่บอกนะครับ"
ว่าแล้วผมก็เดินหันหลังไป
"ไม่เป็นไรค่ะ เที่ยวให้สนุกนะคะ ยินดีต้อนรับค่ะ"
ผมโค้งตัวเล็กน้อยเชิงขอบคุณ แต่ว่าแม้คนแปลกหน้าอย่างผมจะเดินออกจากศาลานั่นแล้วสายตาของเธอก็ยังคงมองอยู่ที่เดิม
แปลกๆ ดี แต่ช่างเหอะ รู้สึกว่าลมที่นี่พัดแรงและเย็นมากๆ อาจจะเป็นปกติของที่นี่ล่ะมั้ง
"ว้าย!!"
เสียงใสๆ ของผู้หญิงคนนั้นร้องอย่างตกใจ ผมจึงหันกลับไปดู
หมวกสานที่ก่อนหน้านี้วางอยู่ใกล้ๆ ตัวเธอปลิวออกมานอกศาลา แต่มันก็ไม่ไกลมากเท่าไหร่เธอคงเดินมาเก็บเองได้ ผมคิดเช่นนั้นจึงหันกลับแล้วเดินต่อ…
แต่บอกตามตรง ไม่รู้อะไรทำให้ผมต้องเหลียวมองเธออีกครั้ง
น่าแปลกใจที่เห็นเธอนั่งยองๆ อยู่หน้าศาลาแล้วทำท่าเหมือนควานหาอะไรบางอย่างทั้งที่หมวกของเธอก็อยู่ข้างหลังแท้ๆ ผมจึงเดินกลับไปที่ศาลาแล้วเก็บหมวกคืนให้หญิงสาว ผมคิดว่าเธอต้องมีบางอย่างผิดปกติ
"ขอบคุณค่ะคุณลูอิส"
"หมวกก็ใบใหญ่นี่ครับ คุณมองไม่เห็นเหรอ?"
เธอทำหน้าเศร้าๆ ก่อนจะตอบ
"คือว่าฉันตาบอดน่ะค่ะ"
ตาบอด…? ตาบอดคืออะไรกันผมยักไม่รู้
"มันหมายถึงมองอะไรๆ ไม่เห็นค่ะ"
ผมรู้สึกแปลกๆ บางอย่างเหมือนกับถูกใช้ไฟฟ้าจี้ที่หัวใจที่ได้ยินแบบนั้น ถึงว่าสิ ตอนที่ผมไปถามเธอดูเหมือนมองอย่างอื่นอยู่ ที่จริงแล้วเธอมองไม่เห็นงั้นสิ
"ขอโทษนะ ผมไม่รู้"
หญิงสาวขมวดคิ้ว
"อะไรกันคะ คุณไม่ได้ทำอะไรฉันสักหน่อย ฉันต่างหากล่ะที่ต้องขอบคุณ"
ผมยิ้มตอบทั้งที่รู้ว่าเธอมองไม่เห็น ไม่นานผมได้ยินเสียงร้องแปลกๆ จากข้างหลัง ใบหน้าสะสวยของหญิงสาวแลดูดีใจเมื่อได้ยินเสียงนั่น
"ลูอิส เธอมาแล้วเหรอ"
เธอตะโกนชื่อผมข้ามไหล่ผมไป ไม่แปลกถ้าผมจะหันกลับไปมอง
แต่สิ่งที่เห็นคือสัตว์ประหลาดขนดกตัวใหญ่มหึมา มันวิ่งมาด้วยความเร็วสุดกู่ พอมองหน้ามันแล้วรับรู้ได้ทันทีว่ามันต้องกระโจนใส่ผมแน่
แล้วก็จริง...
แต่ผมวิ่งหนีวนรอบหญิงสาว ผมต้องการให้เธอทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดมัน
"ลูอิสหยุดเดี๋ยวนี้!"
เสียงใสของเธอคนนี้ไม่ค่อยน่าเชื่อฟังเท่าไหร่แต่ผมก็โล่งใจที่มันหยุดตามสักที
"คุณคนนี้เขาช่วยฉันไว้ อย่าไปทำร้ายเขานะจ๊ะ"
ไอ้ตัวประหลาดร้องหงิงๆ อย่างเชื่อฟัง เห็นแล้วอยากเตะจริง
"นี่เหรอครับที่บอกว่าชื่อลูอิส"
หญิงสาวพยักหน้า
"มันคือตัวอะไรอ่ะครับ?”
หญิงสาวเอียงคอเล็กน้อย ผมไม่ผิดนะเพราะบนสวรรค์ไม่มีตัวแบบนี้
"นี่เป็นสุนัขไม่ใช่เหรอคะ? คุณไม่รู้จักสุนัขเหรอคะ?"
มันเรียกว่าสุนัขนี่เอง
"ที่ประเทศของผมไม่มีสุนัขหรอกครับ"
ว่าไปนั่น แน่นอนอยู่แล้วผมพูดโกหก
"อย่างนี้นี่เอง..."
แต่เธอก็เชื่อ
หญิงสาวเอ่ยราวกับคล้อยตามพลางลูบหัวเจ้าสุนัขที่มีชื่อเหมือนผมอย่างเอ็นดู มันแลบลิ้นแผล็บๆ แต่สายตามันยังจ้องผมอยู่
ไอ้นี่มันตัวอันตรายชัดๆ
"เอาล่ะ ผมต้องไปสักทีครับ"
"เชิญค่ะ ฉันก็จะกลับบ้านแล้วเหมือนกัน ลูอิสจ๊ะ…"
ผมมักจะหันไปทุกทีที่เธอเรียกไอ้เจ้าสุนัขของเธอ ตอนนี้มันเดินสี่ขาเข้าไปในศาลาและคาบไม้ยาวๆ กับตะกร้าที่ใส่ดอกไม้สีสันต่างๆ ส่งให้เธอผู้เป็นเจ้าของและเจ้านาย
"ฉัน โมนิก้า นะคะ โมนิก้า เมย์รี่ เขียนเหมือน แมรี่ แต่อ่านว่า เมย์รี่ เพราะงั้นเรียก เมย์ เฉยๆ ก็ได้ค่ะ ต้องขอโทษแทนลูอิสด้วยนะคะที่ทำให้คุณตกใจ ที่จริงมันเป็นหมาที่ดีนะคะ ลาก่อนค่ะคุณลูอิส"
"คุณมองไม่เห็นนี่ ให้ผมไปส่งมั้ย?"
เธอยิ้มกว้าง
"ขอบคุณนะคะ แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันมีเจ้านี่"
เธอตบหลังของเจ้าสุนัขลูอิสที่มีขนสีขาวแลดูนุ่มมือ
"หวังว่าคุณลูอิสจะเที่ยวหมู่บ้านเราอย่างมีความสุขนะคะ"
ว่าแล้วเธอก็ขึ้นขี่หลังของเจ้าลูอิส มันพาเธอวิ่งหายเข้าไปในหมู่บ้านอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ที่จริงอยากจะบอกกับเธอเหมือนกันว่าไม่ได้มาเที่ยว แต่ก็ช่างเถอะ หลังจากที่ตกลงกับอาเสร็จผมคงไม่ได้มาที่โลกมนุษย์อีกแล้วล่ะ
ผมเริ่มเดินมาตามทางที่ โมนิก้า เมย์รี่ บอกจนเจอรูปปั้นพระหัวเหม่งสามองค์ เดินไปอีกหน่อยและเงยหน้ามองขึ้นก็เป็นแผ่นหินสลักตัวอักษรที่อ่านไม่ออก ผมเดินเข้าไปในตัววัด ช่วงที่ผ่านประตูเข้ามามีความรู้สึกเหมือนเดินทะลุเข้าไปในอะไรบางอย่าง ซึ่งมันทำให้มั่นใจว่าผมมาถูกที่แล้ว
ที่นี่เป็นวัดที่ไม่กว้างมากนักโดยตัววัดน่าจะสร้างด้วยไม้ พระที่นุ่งผ้าสีออกส้มๆ และโกนหัวกันหมดเป็นภาพที่แปลกดีสำหรับผม มองไปทางทิศตะวันตกจะเห็นแผ่นป้ายทำด้วยหินอ่อนสลักตัวอักษรสีทองเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก ที่นั่นผมเห็นคนประมาณสี่ห้าคนที่มีใบหน้าที่เศร้าหมองและมองตามผมที่มองเห็นพวกเขาอย่างประหลาดใจ แน่นอนเพราะปกติไม่มีใครมองเห็นพวกเขาหรอก นั่นก็เพราะว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นวิญญาณ
ผมสงสัยว่าทำไมพวกยมทูตถึงไม่พาคนพวกนี้ไปศาลมหาเทพที่มีชื่อย่อๆ ว่าศาลเทพ หรือว่าพวกเขาเพิ่งจะตายเอาเมื่อไม่นานมานี้ แต่ก็แค่สงสัยเท่านั้นแหละ เพราะยมทูตอู้งานเป็นเรื่องไกลตัวผมเยอะ
ถึงที่นี่จะไม่ค่อยมีคนแต่การเปิดประตูลงไปนรกจะต้องทำไม่ให้พลาดในหลายๆ ความหมาย ผมหวังว่าพวกนางฟ้าคงจะกางอาณาเขตที่ไว้ใช้เปิดประตูนรกไว้ทั่วทั้งวัดนะ
ผมเดินไปที่หลังต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งขนาดของมันไม่ได้ใหญ่เท่าไหร่แต่ก็เพียงพอที่จะบังผมจากสายตาของใครๆ ได้ ผมหันหน้าเข้าต้นไม้ ยื่นมือเข้าไปหามันและทุกอย่างก็มืดลง
รู้สึกว่าเท้าของตัวเองลอยอยู่ในอากาศอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่จำเป็นต้องรอให้เท้าถึงพื้น ผมสยายปีกและบินไปข้างหน้า
ความมืดที่สลายตัวเผยให้เห็นตรอกที่สร้างด้วยอิฐสีดำ มันเป็นตรอกที่ยาวมากเพราะขนาดผมบินด้วยความเร็วสูงสุดยังใช้เวลาตั้งหลายนาทีกว่าจะถึงสุดตรอก ที่นั่นมีแผ่นหินทรงกลมคล้ายกับพิภพศักดิ์สิทธิของสวรรค์เพียงแต่อันนี้มี ขนาดเล็กกว่า มันสลักเป็นภาพอาวุธของยมทูตซ้อนไขว้กันเป็นรูปกากบาทโดยมีรูปลูกไฟอยู่ตรงกลาง ถ้ารูปโล่คือสัญลักษณ์ของสวรรค์ รูปนี่ก็อาจจะเป็นสัญลักษณ์ของนรกล่ะมั้ง?
ผมลอยลงไปยืนบนแผ่นหิน ทันใดนั้นแสงสีม่วงก็พุ่งขึ้นมา แสงนั่นห้อมล้อมตัวผมแล้วรอบทิศก็มืดลงอีกครั้ง
เริ่มรู้สึกนิดๆ แล้วว่าตัวเองไม่ค่อยชอบการเดินทางแบบนี้เท่าไหร่ เดี๋ยวก็เจอแสงจ้า เดี๋ยวก็มืดสนิท มันทำให้ตาปรับสภาพไม่ทันนะจะบอกให้ และมันส่งผลให้ตอนนี้ผมเริ่มอยากจะอาเจียน
ก็บ่นไปงั้นแหละ ยังไงก็มาถึงแล้ว รีบๆ คุยให้มันจบเหอะ
ที่นี่มีลักษณะเป็นโถงกว้างสร้างด้วยอิฐสีดำแบบเดียวกันกับตรอกเมื่อกี้ ผมเพิ่งจะสังเกตว่าแสงสว่างสีน้ำเงินที่วูบวาบๆ นี่จริงๆ แล้วมาจากแมลงประหลาดตัวเล็กๆ ที่ส่องแสงได้ พวกมันมีจำนวนนับไม่ถ้วนบินกันอยู่ติดกับเพดานที่อยู่สูงลิบ
สมกับเป็นนรก ผมรู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศของที่นี่สุดๆ ทั้งเสียงร้องโหยหวนของวิญญาณมนุษย์ที่คิดว่าน่าจะถูกตัดสินให้ลงนรกแล้ว ยมทูตคนหนึ่งตรวนโซ่ที่คอของพวกเขาและลากหายไปยังอีกห้อง
ดีแล้ว รีบๆ พาพวกเขาไปให้พ้นๆ ซะ น่ารำคาญ
ผมคิดว่าที่นี่คงไม่ค่อยมีเรื่องอะไรสนุกๆ ให้ทำเหมือนที่สวรรค์นัก เพราะยมทูตทั้งชาย หญิง ทุกคนล้วนมีสีหน้าบึ้งตึงราวกับจะบอกว่า ‘อย่ามายุ่งกับฉัน’ ยังไงอย่างงั้นแหละ จะว่าไปก็น่าเห็นใจพวกเขานะ วันๆ ต้องคอยแต่จะเตะคนเลวลงบึงไฟซึ่งเป็นสถานที่ลงโทษสุดท้าย ถ้าผมต้องอยู่ที่นี่ทุกวันแบบพวกเขาล่ะก็มีหวังสุขภาพจิตตัวเองต้องเสียหายเป็นแน่แท้
น่าสงสารจังพวกยมทูตเนี่ย ผมพูดจริงๆ นะ
ตอนนี้สายตาของพวกยมทูตที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นเริ่มจะมองผมเป็นตาเดียว นี่ฉันมาจนคิดเรื่องเกี่ยวกับพวกนายเสร็จแล้วเพิ่งจะเห็นกันเรอะ แต่พอคิดว่านี่เป็นการเยือนนรกอย่างไม่ได้เป็นทางการและไร้ปี่ไร้ขลุ่ยของบุตรองค์เดียวของเจ้าแห่งสรรสิ่ง ผู้ที่น่าจะต้องขอโทษก็ต้องเป็นพระเจ้าแห่งสวรรค์
"ถวายบังคมเพคะ องค์ชายลูอิส เชิญด้านนี้เพคะ"
ยมทูตสาวทักทายอย่างสุภาพ ผมยิ้มตอบเธอและเดินตามไปในทิศที่มือเธอผาย
ผมมีนิสัยอยู่อย่างหนึ่งที่แก้ไม่หายนั่นก็คือการยิ้ม มันคงจะดีถ้าผมสามารถยิ้มอย่างจริงใจได้สักครั้งหนึ่ง ก็ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหมือนกันที่ผมไม่มีความรู้สึกว่าดีใจจนถึงกับต้องยิ้มออกมา ผมไม่ได้มีปัญหาอะไร ไม่ได้มีปมด้อยในเรื่องไหน ชีวิตผมเพอร์เฟคจนคุณคาดไม่ถึงเลยทีเดียวล่ะ เมื่อมีใครทำในสิ่งที่เขาคิดว่าเขาทำดีกับผม ผมก็จะขอบคุณและจะยิ้มให้เขา ทั้งที่ไม่ได้รู้สึกตื้นตันอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก
นอกจากนี้ผมยังชอบพูดในสิ่งที่คู่สนทนากับผมอยากได้ยิน จะพูดไปอย่างนั้นทั้งที่จริงผมคิดอีกอย่าง พูดไงดีล่ะ…สมมติว่าคุณถามอะไรมาสักอย่างคุณก็จะได้คำตอบที่ทำให้คุณสบายใจจากผมกลับไป แต่คำตอบนั่นจะถูกต้องหรือเปล่านั้นคุณต้องไปคิดเอาเอง
พ่อเคยถามว่าไม่เหนื่อยหรือไงที่ผมจะต้องใส่หน้ากากเข้าหาคนทุกคน น่าทึ่งจริงๆ พ่อสามารถมองทุกคนได้อย่างทะลุปรุโปร่งแม้แต่ผม ในตอนนั้นผมเลือกที่จะเงียบ แต่ถ้าถามว่าตัวตนที่แท้จริงของผมอยู่ที่ไหน ผมสามารถตอบแบบไม่ต้องคิดได้เลยว่านี่แหละตัวตนของผม ผมชอบที่จะตบตาทุกๆ คนด้วยการสวมหน้ากากเป็นบุคลิกที่คนชื่นชม ผมชอบที่จะพูดในสิ่งที่คนอยากจะได้ยิน ผมชอบที่จะรับรู้ความลับของแต่ละคนโดยที่ทั้งหมดนั่นพวกเขาจะไม่สามารถอ่านผมออกได้แม้แต่คนเดียว
พ่อเคยติงผมบ่อยๆ ว่านิสัยนี้ไม่สมควรจะมีในผู้ที่จะเป็นพระเจ้าในอนาคต แต่ทำไมล่ะ ผมก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ ไม่ดีรึไงที่ลูกชายเป็นอะไรก็ได้ที่ใครๆ เขาชอบกัน เพราะไม่ว่าจะเป็น นางฟ้า ยมทูต หรือมนุษย์ ไม่ว่าหน้าไหนก็ดูเหมือนจะชอบฟังเรื่องโกหกดีๆ ที่ผู้อื่นพูดให้ตัวเองอยู่แล้ว แถมระหว่างที่ผมเป็นแบบนั้นก็ได้เรียนรู้สัจธรรมตั้งข้อหนึ่งเลยนะ สัจธรรมที่ว่า ความจริงไม่งดงามเท่าเรื่องที่ปั้นขึ้นมาหรอก และคนเราก็ชอบของสวยๆ งามๆ ใช่รึเปล่าล่ะ
ในที่สุดก็มาถึงห้องที่บรรยากาศแตกต่างกับข้างนอกนั้นอย่างสิ้นเชิง ที่นี่สว่างไสวด้วยคบไฟสีส้ม ห้องปูด้วยกระเบื้องสีขาวดำสลับกันคล้ายตารางหมากรุก เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นไม่ว่าชั้นวางลูกแก้วรายงาน โต๊ะ เก้าอี้ ทุกอย่างทำจากไม้แถมยังมีขนาดใหญ่กว่าปกติทั่วไป ด้านหลังโต๊ะทำงานมีสัญลักษณ์ของนรกอันเบ่อเริ่มติดอยู่ ผมได้ยินเสียงลากฝีเท้ามาจากบันไดเวียนที่ตั้งอยู่กลางห้อง ไม่นานชายที่ผมต้องการเจอก็ได้พาร่างกายอันใหญ่โตลงมาจากบันไดและเดินเข้ามายืน ตระหง่านอยู่ข้างหน้า
"ตอนเจอกันครั้งสุดท้ายเธอยังสูงแค่หัวเข่าของอาเอง โตขึ้นเยอะเหมือนกันนะเรา"
ความคิดเห็น