Can you hear Me? จากฉัน...ผู้อยู่แสนไกล - Can you hear Me? จากฉัน...ผู้อยู่แสนไกล นิยาย Can you hear Me? จากฉัน...ผู้อยู่แสนไกล : Dek-D.com - Writer

    Can you hear Me? จากฉัน...ผู้อยู่แสนไกล

    ฉัน ลูน่า ออนดะ แต่ละวันของฉันวนเวียนอยู่กับเรื่องน่าเบื่อแสนดำมืดราวกับเขาวงกต ฉันอยากออกจากวังวนนั่น อยากอิสระเหมือนกับที่ตัวเองนอนฝันอยู่ทุกคืน มันคงจะไม่มีวันนั้นหากฉันไม่ได้เจอกับ 'เขา'

    ผู้เข้าชมรวม

    274

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    274

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  27 มี.ค. 56 / 09:13 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น


                  เป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งแวดล้อมมีแต่สิ่งแย่ๆ เธอคิดว่าโลกที่ตัวเองอยู่นั้นมันน่าเบื่อจนอยากตาย เพียงเรื่องเดียวที่เธอมีความสุขได้คือตอนกลางคืนที่ตัวเองจะนอนฝันว่าตัวเองได้ขี่ม้าควบแหวกอากาศ ก่อนที่เธอจะได้เจอกับ 'ซากุราดะ เท็ปเป' เขามีโรคประจำตัวแต่กลับมีพลังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างน่าเหลือเชื่อสำหรับลูน่า ทำให้เธอตกหลุมรักเขาในที่สุด แต่ลูน่าจะทำอย่างไรเมื่อชายหนุ่มปฏิเสธความรักของเธอ และรู้ว่าเขาคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่ถึง 1 ปี

    ขอออกตัวก่อนเลยครับว่าเรื่องนี้ผมไม่ได้คิดเอง แต่เอามาจากการ์ตูนเรื่องสั้นเล่มหนึ่งที่ผมอ่านแล้วชอบมาก ซึ้งกับความรักของตัวเอกสุดๆ เลยอยากเอามาลองเรียบเรียงเป็นนิยายเรื่องสั้นดู เพราะงั้นผมจะใช้ทั้งชื่อตัวละคร สถานที่ และอื่นๆตามต้นฉบับของการ์ตูนทั้งหมดเลยครับ ไม่งั้นมันจะกลายเป็นเรื่องอื่นไป (ส่วนชื่อเรื่องเดิมคือ"ตัวไกลใจชิดใกล้" ผมว่ามันค่อนข้างเชยจึงเปลี่ยนครับ^^)

    ความจริงแนวความรักในโรงเรียนก็ไม่เคยเขียนเหมือนกัน แต่ก็จะพยายามเต็มที่ครับ

    gambarimasu!!!

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ



                      อา...ฝันแบบนี้อีกแล้ว...ผืนอวกาศสีน้ำเงินเข้มกว้างใหญ่ไกลโพ้น ใต้หมู่ดาวระยิบระยับดุจเพชรเลอค่า ฉันควบอาชาหิมะแสนสง่าบนผืนหญ้าสดขจีและกระโจนออกไปอย่างหาญกล้า เกศาทองพลิ้วลู่ลมเป็นประกายเปล่งปลั่ง แววตาของฉันสุขสกาวไม่แพ้หมู่ดวงดาวเจิดจรัสทั่วแผ่นฟ้านั่น...

      'จดหมายสำนึกผิด ม.5 ห้อง 3 ฉันรีดไถเงินจากคิชิมะ ทำเรื่องที่แย่มากรู้สึกผิด สัญญาจะไม่ทำอีกแล้ว อยากเรียกความเชื่อถือของตัวเองคืน'

      กระดาษแผ่นขาวในมือเขียนไว้แบบนี้ ฉันวางกระแทกอย่างจงใจไปบนโต๊ะเรียนราคาถูก

      "ใครหน้าไหนปากโป้งนะ"

      ฉันเหลือบหางตาไปยังต้นเสียงที่อยู่ขวามือ

      "ยุคนี้เขียนจดหมายสำนึกผิดก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาหรอก เลิกใส่ใจแล้วกลับเถอะ"

      เสียงหวานนั้นเป็นของ ยาสุฮิโระ อาซาโกะ ใบหน้าน่ารักไม่ยี่หระกับข้อความในกระดาษ ยัยทุเรศ ทั้งที่ตัวเองบังคับให้เพื่อนทำแบบนั้นแท้ๆ

      ฉันลุกขึ้นทันทีที่เพื่อนชายหน้าโหลในห้องที่นั่งเยื้องกับโต๊ะฉันทางขวาหน้า เอ่ยชวนไปคาราโอเกะ

      "ฉันขอตัวกลับก่อน"

      "เห?"

      ชายคนที่เอ่ยชวนอุทานด้วยความแปลกใจ ไม่ทำหน้าแบบนั้นยังเห็นแววโง่ ยิ่งทำหน้าสงสัยก็ยิ่งบรมโง่ไปกันใหญ่

      "ลูน่า หมู่นี้เป็นอะไรชอบทำตัวเหินห่างพวกเรา"

      ดวงตากลมโตสีดำของอาซาโกะวาวโรจน์ด้วยความขุ่นเคือง เธอส่งมันมาให้ฉันพร้อมน้ำเสียงที่เข็มวัดระดับความพึงพอใจเข้าใกล้เลข 0 ฉันมองกลับไปก่อนจะยิ้มที่คิดว่าเสแสร้งน้อยที่สุด

      "วันนี้ขอโทษ ไว้คราวหน้านะ"

      ชูสองนิ้วแถมให้อีกทีโดยหวังว่าคงจะกลบเกลื่อนได้

      ฉันออกจากห้องเรียนเดินไปตามระเบียงที่ตอนนี้ถูกย้อมด้วยสีแสดของอาทิตย์ที่ใกล้ลับขอบฟ้า ก่อนขาตัวเองจะพามายังดาดฟ้าของตึกเดียวกัน

      หลังจากส่งยิ้มจอมปลอมให้อาซาโกะเมื่อครู่ ใบหน้าฉันก็รู้สึกขึงตึง รู้ตัวอีกทีจมูกก็ได้กลิ่นควันไอเสียจากเบื้องล่างแล้ว

      บ้าที่สุด โมโหตัวเอง เราโง่รึเปล่า ฝืนยิ้มทำไมทั้งที่มีเรื่องอยากจะพูดตั้งเยอะ เช่น เลิกขายบริการเถอะ เลิกขโมยของและรีดไถเงินชาวบ้านซักที...แต่ถึงพูดไป...จะมีอะไรเปลี่ยนแปลง?

      ตึกตักๆๆๆ

      หัวใจฉันเต้นระรัวแข่งกับเสียงจราจรอันแสนติดขัดเบื้องล่าง

      "ยิ่งคิดยิ่งยัวะ!"

      มือเปิดกระเป๋าสะพายสีชมพูก่อนจะหยิบกระเป๋าหนังราคาแพง และหยิบกระดาษที่มนุษย์หน้าไหนก็ต้องการมันออกมาจนหมด ฉันไม่สนว่ามันจะมีกี่เยน บางทีคนอย่างเราก็อาจไม่ต่างกับอาซาโกะที่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง

      ธนบัตรในมือถูกเงื้อสูง ชะตากรรมของมันคือนอนอยู่บนพื้นฟุตบาธเบื้องล่าง และเหล่าผู้คนที่พบเห็นมันก็จะคิดว่าโชคชะตาของตนเองนั้นช่างดีเสียเต็มประดา

      กึก!

      ข้อมือฉันถูกหยุดโดยมือใหญ่จนกำไลข้อมือกระทบกันเสียงดัง

      "ลูน่า ออนดะ ถ้าจะโยนมันทิ้งเอาไปบริจาคเถอะ"

      หา!?!

      ฉันรู้สึกว่าตัวเองหน้าเหวอก็เมื่อเขาปล่อยมือและเดินกลับไปยังกล่องสีดำทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวประมาณสามฟุตด้วยใบหน้ายิ้มๆ นายคนนี้...เท็ปเป ซากุราดะ ที่ลือกันว่าสุมหัวกับเด็กผู้ชายในห้องค้ายา เรียนห้องเดียวกันแต่ไม่เคยคุยกันเลย

      "มะ..มาอยู่นี่ได้ไงละ..แล้วนะ...นั่นกล่องอะไร ปืนซุ่มยิงเรอะ!?!"

      ความตกใจแสดงผ่านทางน้ำเสียงและกิริยาที่ฉันกระโดดถอยหลังไปซะสุดตัว ดวงตาสีน้ำตาลหรี่เล็กกับอิริยาบทนั่น

      "กล้องส่องทางไกลต่างหากเล่า"

      เสียงเข้มแจงสั้นๆหน่ายๆ พลางเปิดกล่องใบนั้นและหยิบอุปกรณ์ต่างๆที่ล้วนแต่มีสีดำขึ้นมา

      "ฉันวาดรูปอยู่ตรงกำแพงด้านนอกคลับแถวสี่แยกหน้าสถานีรถไฟ"

      ซากุราดะคุงยังคงแจงต่อไปขณะที่ฉันยืนดูเขาประกอบส่วนต่างๆของอุปกรณ์ เออ...พอเสร็จออกมามันก็เป็นกล้องจริงๆว่าแต่...

      "วาดรูป...ด้วยเหรอ...?"

      แม้ฉันจะพึมพัมคนเดียวแต่ซากุราดะคุงกลับได้ยิน

      "อืม แล้วนี่ฉันก็จะส่องดูพระจันทร์ที่เป็นจุดเด่นของรูป"

      "ฮิฮิฮิ"

      เขามองฉันด้วยสายตาแปลกๆเมื่อฉันหัวเราะกับเรื่องที่เคยได้ยินมาเกี่ยวกับตัวเขา

      "งั้นก็ข่าวโคมลอยน่ะสิที่เค้าลือกัน ฮ่าๆๆ ไหนขอดูสมุดสเก็ตช์หน่อย"

      ฮ้า ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้ว่าตัวเองหัวเราะจนเหมือนคนไร้มารยาทหรอกนะ แต่ช่วยเก็บสายตาที่เหมือนจงใจบอกนั่นหน่อยเหอะ ซากุราดะคุงที่เหมือนจะอ่านใจฉันออก ก็หยิบสมุดไม่หนาไม่บางสีเขียวออกมาส่งให้ ฉันรับมานั่งยองลงก่อนพลิกดู

      "หวาว~วาดเก่งจัง"

      พูดอย่างสัตย์จริง ในนั้นมีรูปสัตว์ต่างๆถูกเขียนด้วยดินสอดำ บางภาพยังเห็นเป็นเส้นโครงบางๆ แต่ก็ทำเอาฉันทึ่งในฝีมือการวาดที่ราวกับถ่ายออกมาจากกล้อง ทั้งช้าง เสือ ยีราฟ สิงโต ก่อนจะมาสะดุดเข้ากับหน้าหนึ่ง เป็นภาพของม้ารูปงาม ดวงตาของมันเหมือนกับจ้องประสานกับฉันอยู่

      "เป็นอะไรไป?"

      ราวกับโดนอ่านออก ฉันถูกเสียงเข้มของซากุราดะคุงดึงขึ้นมาจากภวังค์

      "หมู่นี้ฉันฝันเห็นม้าบ่อยๆน่ะ"

      พอพูดก็นึกถึง ฉันหลับตาลงหัวสมองฉายภาพนั้นชัดเจน

      "ควบม้าท้าสายลม ตัวฉันในฝันดูสง่างามมาก สละทิ้งสิ่งเกินจำเป็นวิ่งพุ่งตรงไปข้างหน้า"

      ฉันลืมตาขึ้น ปิดสมุดสเก็ตช์

      "พอตื่นมาก็เหมือนฝันสลาย"

      ซากุราดะคุงรับสมุดที่ฉันคืนให้เขา ใบหน้าหล่อเหลาคลี่ยิ้มน้อยๆ

      "นั่นคงเป็นความปรารถนาอันแรงกล้าของเธอ"

      รู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา แต่ไม่ใช่เพราะแสงสีส้มของพระอาทิตย์ยามเย็นเขาอ่านฉันออก ชักอยากรู้ว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น

      "เพราะเธอดูเศร้าหมองทุกวัน"

      ซากุราดะคุงเงยหน้าขึ้นจากเลนส์กล้อง เขาหันมาหาฉันด้านหลังนั้นมีดวงจันทร์ดวงโตเป็นแบ๊คกราวน์ สายตาฉันมองภาพอันงดงามนั่น ความรู้สึกว่าตาไม่กระพริบเป็นแบบนี้เอง

      "คนเราควรมีปมด้อยบ้าง..."

      รอยยิ้มจากเรียวปากได้รูปทำให้ใจเต้นแรงแต่คนละแบบกับตอนก่อนเจอซากุราดะคุง

      "...แต่เลือกที่จะจมอยู่กับมันหรือเลือกที่จะฝ่าไปมันก็แล้วแต่เธอ อนาคตจะเป็นยังไงก็อยู่ที่ว่าปัจจุบันเธอทำอะไรอยู่ เธอไม่คิดงั้นเหรอ?"

      ใบหน้าคมเข้มของซากุราดะคุงเปล่งประกายราวกับมีออร่า...เกินคาดสุดๆเลยแฮะ...

      ว่าแล้ว..เขา...เป็นผู้ชายที่น่าดึงดูดใจ

      เย็นนั้นฉันอยู่ดูซากุราดะคุงส่องพระจันทร์ที่ผุดขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืดราวกับเป็นบุคคลอันขยันขันแข็ง และขอตัวกลับบ้านก่อนเขานิดหน่อย พอกลับถึงบ้านก็ตรงเข้าไปอาบน้ำ นอนเล่นบนเตียงพักหนึ่ง ก่อนจะเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้

      คืนนั้นฝันไร้สาระหลายเรื่อง ความฝันว่าได้ควบม้าก็ยังมีแต่ก็ค่อนข้างเลือนลาง

      แม้การสนทนากับซากุราดะคุงจะทำให้ฉันนั้นรู้สึกทึ่งและเหมือนเห็นประกายแสงที่เริ่มฉายออกมาในโลกแห่งความจริง แต่ไม่ว่ายังไงโลกของฉันก็ยังคงเป็นสีเทาอยู่ดี...

      มีสวนกับซากุราดะคุงตรงทางเดินบ้าง แต่ก็ผ่านไปโดยไม่ได้ทักกันเลย

      __________

      วันนี้วันเสาร์ ฉันออกไปช็อปปิ้งกับพวกอาซาโกะด้วยสีหน้าท่าทางเสแสร้งร่าเริงที่ย่านการค้าแถวหน้าสถานีรถไฟก่อนจะแยกตัวออกมาพร้อมรับแววตาขุ่นเคืองของอาซาโกะใส่กระเป๋ามาด้วย

      ไม่รู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่ แต่ขาก็พาตัวเองเดินมาแล้ว สี่แยกหน้าสถานีรถไฟ...เห็นตึกที่ทาสีเป็นลายอิฐ พร้อมป้ายไฟที่เขียนว่า 'DappeCLUB' ซึ่งแน่นอนมันยังไม่เปิดบริการในเวลากลางวัน ซากุราดะคุงบอกว่าเขาวาดรูปอยู่แถวนี้ ก็คงเป็นที่นี่แหละ

      แต่ว่า

      มาแล้ว...ไปหาแล้ว จะมีอะไรเหรอ?

      และฉันก็พบ ชายผมน้ำตาลอ่อนยาวปิดต้นคอ ข้างหูปิดด้วยหูฟังแบบครอบอันเบ้อเริ้ม ปากสีส้มจางๆฮัมเพลงที่กำลังฟังด้วยรอยยิ้ม ในมือถือพู่กันกับเครื่องฉีดสี สิ่งที่เขาทำอยู่ทำเอาฉันตะลึง

      ที่กำแพงด้านหน้าของเขามีภาพของสัตว์น้อยใหญ่เดินอย่างอิสระในทุ่งหญ้ากว้าง สิงโต ช้าง ยีราฟ ที่เคยเห็นในสมุดสเก็ตช์ของซากุราดะคุง ทั้งหมดถูกระบายลงบนกำแพงสีจืดนั่น

      โลกของฉัน ทอประกายแสงทองชั่ววินาทีนั้น

      "อ้าวออนดะ?"

      ฉันเพิ่งรู้สึกตัวตอนเขาเรียกนี่แหละ แต่ยังคงไม่ถอนสายตาออกจากภาพ

      "โห...ซากุราดะคุงอย่างกับพ่อมดแน่ะ"

      "หา?"

      "โอ้เท็ตสึ สาวน้อยแสนสวยนั่นใครเรอะ"

      เสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลังของฉันกับซากุราดะคุง ไม่ต้องมีใครบอกฉันก็พอรู้ว่าคุณลุงเป็นใคร ก็ซากุราดะคุงหน้าได้เขามาเต็มๆเลยนี่ ว่าแต่ 'เท็ตสึ' นี่ ชื่อเล่นของซากุราดะคุงสินะ

      "เด็กมาช่วยงานเหรอ ลุงเป็นเจ้าของคลับนี้เอง"

      คุณลุงพ่อของซากุราดะคุงยิ้มใจดีกับฉัน แต่ดูเหมือนลูกชายจะมีอารมณ์ราวกับเจออาหารเช้าที่ไม่ถูกปากแต่จำเป็นต้องกิน

      "พ่อชีกอ นี่เพื่อนร่วมห้องผมเอง"

      คุณลุงหัวเราะชอบใจก่อนจะบอกให้พวกเราทำตัวตามสบายและเดินเข้าร้านไป

      ___________

      "อ๋อ..วาดบนกำแพงอย่างนี้เอง"

      ฉันเอ่ยระหว่างที่กำลังมองซากุราดะคุงบรรจงลงสีจากพู่กันลงไปบนตัวสิงโตบนกำแพงก่อนจะถามอีก

      "ทำไมถึงเริ่มวาดรูปล่ะ?"

      "เป็นคำถามที่ดี"

      เขาตอบพร้อมถกชายเสื้อยืดสีน้ำตาลขึ้น ฉันอ้าปากค้าง นั่นคิดจะทำอะไรอ่ะ

      และฉันก็รู้เมื่อเขาเปิดจนถึงหน้าอก รอยแผลเป็นกรีดยาวลงมาประมาณ 5 นิ้ว ใกล้กับหัวนมด้านซ้าย

      "มันเป็นรอยแผลเป็นตอนผ่าตัด ฉันขี้โรคมาตั้งแต่เด็ก"

      พูดไม่ออกเลยแฮะเรา

      "นั่งวาดรูปสิ่งที่เห็น สิ่งที่จินตนาการแทนการกระโดดโลดเต้นอย่างคนอื่น"

      ซากุราดะคุงดึงเสื้อลง

      "แม้แต่ตอนนี้กีฬาก็แทบไม่ได้แตะ"

      อืม...เข้าใจละ...ว่าแต่ทำไมถึงต้องเป็นวาดรูปล่ะ...เอ่อ...แค่สงสัยเท่านั้นแหละ

      "มันคือเครื่องพิสูจน์...ว่าฉันก็สามารถฟันฝ่าปมด้อยของตัวเองได้"

      จนได้สินะ...

      หัวใจสูบฉีดเลือดด้วยความเร็วผิดปกติ ส่งผลให้หน้าฉันร้อนวูบขึ้นมาจนรู้สึกได้เลยว่าตัวเองหน้าแดง ในความหมายคล้ายๆกับโดนบอกรักแต่ก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะ กลับชอบซะอีก

      "ฉันขอช่วยได้มั้ย?"

      ซากุราดะคุงมองหน้าฉันแปลกๆ ราวกับมีคนแปลกหน้ายัดเยียดล๊อตเตอรี่ของเดือนที่แล้วให้แล้วบอกว่ามันจะถูกรางวัล

      "ก็อยากได้คนช่วยหรอกนะ แต่ทำไมล่ะ?"

      "เพื่อตัวฉันเอง"

      ซากุราดะคุงนิ่งไปชั่วขณะแต่ไม่ใช่เพราะคิดไม่ตก ก่อนจะตอบ

      "ก็ได้"

      เหลือเชื่อ

      ไม่เคยเห็นมาก่อน ผู้ชายที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตอันเจิดจรัสเช่นนี้

      ...ฉันเองก็อยากเป็นแบบเขา

      __________

      วันอาทิตย์ ฉันไปช่วยซากุราดะคุงอย่างที่บอกเอาไว้

      รู้สึกยินดีปนเสียใจนิดๆที่ภาพนี้ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ แต่นั่นมันก็เรื่องของอนาคต ในตอนนี้ฉันดีใจมากมายที่ได้เห็นหน้าหล่อเหลาของซากุราดะคุง ได้พูดคุยได้หัวเราะกับเขา และมากกว่านั้นคือยิ่งรู้จักเขามากขึ้นเท่าไหร่ หัวใจก็ชักจะเรียกร้องความเป็นตัวเขามากขึ้นทุกที

      "อรุณสวัสดิ์ลูน่า"

      ฉันตอบรับเพื่อนในห้องด้วยรอยยิ้มที่มีเปอร์เซนต์ความจริงใจสูงขึ้น เป็นเรื่องน่ายินดีราวกับรัฐบาลที่ได้รับข้อมูลการคาดเดาจากนักการตลาดว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศจะพุ่งสูงขึ้น ถึงแม้เรื่องของฉันจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับญี่ปุ่นก็ตาม

      ฉันเดินไปถึงหน้าห้องเรียน ก็ได้ยินเสียงเอะอะจึงเปิดเข้าไป

      ยัยอาซาโกะกับไอ้หน้าโหลโตแต่ตัว กำลังทำสิ่งที่ทุเรศลูกตา

      "พวกแกปากโป้ง สมควรรับผิดชอบ เอาเงินมาให้หมด!"

      เสียงไอ้หน้าโหลหัวเกรียนตะคอกใส่เด็กหน้าจืดเพื่อนร่วมห้อง ในมือของไอ้หน้าโหลมีเงินแบงค์อยู่หลายพันเยน ดูจากหน้านายหน้าจืดที่นั่งหัวหดอยู่ข้างหน้าไอ้เกรียนหน้าโหลแล้ว เงินนั่นคงเคยเป็นของเขามาก่อน

      อารมณ์ฉันพุ่งสูงรับกับฤดูกาลทันทีพร้อมเดินลิ่วตรงเข้าไปคว้าหมับที่ข้อมือของไอ้หน้าโหลก่อนมันจะเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง

      "หยุดซะที"

      อาซาโกะที่ยืนอยู่ข้างๆปั้นหน้าแปลกใจปนโมโห

      "ไม่ใช่เด็กกันแล้ว"

      "อะไรกันลูน่า มาทำเป็นคนดีเอาป่านนี้"

      อาซาโกะที่เหมือนจะเข้าใจบางอย่างเอ่ยยิ้มๆกับฉันและส่งสายตาราวกับดูถูกเหยียดหยาม

      "ติดเชื้อซากุราดะมาล่ะสิ มีคนเห็นพวกเธออยู่ด้วยกัน"

      อาซาโกะยิ้มน่าหมั่นไส้ตบท้าย

      "พวกเธอทำอะไรกันน่ะ!"

      อาจารย์ประจำชั้นรีบเดินเข้ามาพร้อมเสียงกราดเกรี้ยว ฉันสังเกตว่ามีซากุราดะคุงตามหลังอาจารย์มา แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาสนใจเขา

      "พวกหนูเปล่านะคะ"

      ฉันหันควับไปที่ต้นเสียง ปลายผมที่ม้วนเป็นก้อนกลมๆกระเพื่อมเล็กน้อย

      "เห็นลูน่าไถเงินเพื่อนน่ะค่ะ เลยเข้าไปห้าม"

      หน้าด้านที่สุด...

      ฉันซึ่งถูกใส่ร้ายปฏิเสธทันที แต่อาจารย์ทำหน้าเหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกเด็กประถมค้านว่ามีสิ่งที่มีความเร็วเหนือแสง ซึ่งพอคิดไปคิดมาก็ไม่แปลก เพราะเงินที่ฉันแย่งมาจากไอ้เกรียนหน้าโหลยังอยู่ในมือตัวเองทั้งหมด แต่รู้สึกโล่งใจนิดหน่อยที่อาจารย์เป็นผู้ใหญ่พอที่จะเลือกไม่เชื่อทั้งตัวฉันและอาซาโกะ จึงเดินแหวกพวกเราไปหานายหน้าจืดซึ่งนั่งคุดคู้ตัวสั่นอยู่กับพื้น

      "จริงรึเปล่า ลูน่าไถเงินเธอเหรอ?"

      อาจารย์ถามอย่างอ่อนโยน ฉันถอนใจอย่างผู้ชนะ หึ...ยัยอาซาโกะ กล้าโกหกหน้าด้านๆ

      "จริงครับ"

      ฉันมองไอ้หน้าจืดอย่างต้องการคำอธิบาย แต่มันหลบสายตา จำกัดความหมอนี่ได้คำเดียวคือ หน้าตัวเมีย

      อาซาโกะตัวการก็อีกคน

      "ออนดะ เย็นนี้ไปหาครูที่ห้องพักครูด้วย"

      ฉันกัดฟันเก็บความเจ็บใจอย่างถึงที่สุดเอาไว้ก่อนจะเดินออกจากห้องโดยไหล่กระทบกับตัวซากุราดะคุง ผู้มองเห็นเหตุการณ์เล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลาเฉยชาจนฉันอ่านไม่ออก

      __________

      จิ๊บๆๆ

      เสียงนกพิราบในสวนสาธารณะยามบ่ายแก่ๆแม้จะดังแต่สมองนั้นรู้สึกเหมือนจะชาจนไม่ได้ยิน ในมือฉันถือถุงใส่อาหารนกที่ซื้อมาจากร้านใกล้ๆนี้

      พอใจเย็นลงแล้ว (แน่นอนว่าโดนอาจารย์ตักเตือนแล้วเช่นกัน) มาคิดดูดีๆก็น่าเห็นใจนายหน้าจืด โดนอาซาโกะจับได้ว่าไปฟ้องอาจารย์ว่าในห้องมีการรีดไถเงินกัน อาซาโกะนั้นเป็นคนเงียบเมื่ออยู่ต่อหน้าอาจารย์ แต่พ้นรั้วโรงเรียนไปกลับทำตัวเป็นเจ้าแม่แก๊งค์ยากุซ่า การโยนความผิดมาที่ฉันเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องเจ็บตัวทีหลัง ก็เป็นทางเลือกที่ฉลาดแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าฉันจะยอมเป็นแพะนะ กำลังรอเวลาเอาคืน และก็จะจำฝังใจเลยว่าจะไม่ยุ่งกับหมอนั่นอีก

      "ไง"

      เสียงเข้มที่เพิ่งจะคุ้นเคยลอยมา ฉันจำได้ดีเสมือนกำลังรออยู่

      "ซากุราดะคุง"

      "เมื่อเช้าเห็นหมดแหละ"

      เขาว่าและนั่งลงบนม้านั่งตัวเดียวกัน

      "คาดหวังกับตัวเองมากไปถึงได้ท้อแท้ รึว่าถ้าอยู่เฉยจะมองไม่เห็นทางข้างหน้า รึว่าทำแล้วเสียใจดีกว่าไม่ทำอะไรเลย"

      ฉันไม่รู้จะตอบยังไง แต่ถ้าให้เลือกก็คงเป็นข้อ 3

      รู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนสวยของซากุราดะคุงตอนนี้ ถูกหมวกแก็ปเชยๆสีขาวครอบอยู่แต่ก็ดูดีไปอีกแบบ

      "รู้ขีดจำกัดตัวเองถึงได้กลุ้มใช่มั้ย ฮึ ต้องดิ้นรนแล้วจะผ่านได้เอง"

      ซากุราดะคุงส่งยิ้มน่ารักมาให้หัวใจที่ห่อเหี่ยวถึงขั้นเหี่ยวแห้ง กลับได้รับการเยียวยาจนชุ่มฉ่ำอีกครั้ง

                      "เธอจะต้องทำได้แน่ ฉันมองไม่ผิดหรอก"

      เขาหยิบซองอาหารนกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ อาจจะเป็นตอนที่ใจกำลังเต้นแรงอยู่มั้ง

      แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะตอบอะไร ฝูงนกพิราบราวสามสี่ตัวก็บินมารุมอยู่รอบๆตัวซากุราดะคุง อืม...เพิ่งรู้สึกว่านกพิราบนี่ก็น่ากลัวเหมือนกันแฮะ

      ฉันลุกออกจากบริเวณนั้นเพื่อให้เขาไล่เจ้านกจอมตื้อไป

      "อย่ามาอึใส่นะโฟ้ย เอาไปเลยไป!"

      ซากุราดะคุงโยนถุงอาหารทิ้งฉันอมยิ้มกับกิริยาน่ารักๆนั่น

      "ซากุราดะคุง..."

      "หืม?"

      "ขอบใจจ้ะ"

      บางทีอาจรู้สึกไปเองก็ได้ แต่ซากุราดะคุงมองฉันด้วยสายตาไม่ต่างกับนักดนตรีจนๆที่กลับบ้านมาแล้วเจอกีต้าร์แสนแพงวางอยู่ในห้องนั่งเล่น

      "จะไปซื้อเครื่องดื่มมาให้"

      ฉันเดินออกมา อยากจะหุบยิ้มเหมือนกัน แต่การทำแบบนั้นในสภาวะที่หัวใจกำลังพองโตเป็นเรื่องที่ลำบาก ฮิฮิ ชักชอบแฮะ

      ฤดูร้อนวัย 17 ลูน่า ออนดะ กำลังมีความรักค่ะ

      คิดว่าต่อจากนี้ชีวิตคงจะเริ่มสดใสขึ้นทุกวัน น่าจะมีใครเอาไปเขียนเป็นบทละครบ้างแฮะ

      __________

      เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเข้าไปยังห้องเรียน เหล่านักเรียนทั้งหลายยังคงสุมหัวคุยกันไร้สาระอย่างเคย แต่เมื่อคนนึงเห็นฉันก็เรียกอีกคนให้ดู เพียงไม่นานสายตาของนักเรียนทั้งห้องก็มารวมอยู่ที่ตัวฉันคนเดียว

      "ลูน่าเหรอนั่น?"

      บางคนซุบซิบกัน ก็แน่ล่ะนิสัยวัยรุ่นญี่ปุ่นก็เงี้ย

      ฉันเดินลิ่วไปที่โต๊ะเรียนของอาซาโกะพร้อมรอยยิ้มที่เจตนาให้เห็นถึงความเสแสร้ง

      "ไง"

      ฉันเอ่ยปากทักทายหญิงสาวหน้าตาน่ารัก เส้นผมที่ยาวเป็นลอนและย้อมสีทองทำเอาฉันนึกถึงตัวเองเมื่อวาน แต่วันนี้ไม่แล้ว

      "เปลี่ยนลุคให้ดูเฉิ่มลงรึไงลูน่า"

      อาซาโกะพูดเคล้าหัวเราะ บนโต๊ะของยัยนี่เต็มไปด้วยเครื่องสำอางค์เหมือนทุกวัน ยัยยูกิซึ่งนั่งอยู่ข้างๆกันมองฉันที่ไปยืดผมตรงและย้อมดำพร้อมแต่งหน้าแค่บางๆอย่างดูแคลน

      "ทำแต่เรื่องอุบาทว์เดี๋ยวก็เลิกคบซะหรอก"

      หึ ยังมีหน้ามาพูดอีกเนอะ

      ฉันควักเงินออกมาจากกระเป๋าสตางค์ทั้งหมดโยนใส่หน้าอาซาโกะ

      "อยากอยู่แล้ว"

      ฉันอมยิ้มเย้ย สะใจจริงๆที่ได้เห็นหน้าสวยๆเหวอค้างราวกับเจอเรื่องที่ไม่สามารถทำใจยอมรับได้

      __________

      "แล้วไงต่อ"

      ซากุราดะคุงถามเคล้าเสียงหัวเราะขณะที่กำลังเปรียบเทียบกระป๋องสีขนาดต่างๆ

      "ให้เงินเก็บพาร์ทไทม์กับยัยนั่นไปหมดเลย"

      ฉันตอบ ซากุราดะคุงหัวเราะร่า

      "เธอเจ๋งมาก อยากเห็นหน้าตอนอึ้งทึ่งเสียวนั่นจัง"

      พอเห็นเขาหัวเราะเลยทำให้ฉันขำตาม ก่อนจะหมุนตัวกลับไปชั้นวางสีด้านซากุราดะคุง

      "หืม?"

      คงจ้องเขานานจนน่าสงสัย ฉันนั่งยองๆลงพร้อมหยิบกระป๋องที่เขียนว่าสีส้มราคา 1,780 เยน

      "เปล่าหรอก แค่รู้สึกดีนิดหน่อยน่ะ ไม่สิ เยอะเลย...วันว่างๆถ้าได้อยู่กับเธอ ก็มีความสุขจนเนื้อเต้น"

      รู้สึกว่าซากุราดะคุงจะมองฉันอยู่พักหนึ่ง แต่ด้วยสายตาแบบไหนก็ไม่รู้ ก่อนเขาจะนั่งลงข้างๆ

      "สีผมนี้..."

      "?"

      "เหมาะกับเธอมากเลย ออนดะ"

      เขาพูดดังกว่าเสียงกระซิบนิดเดียว หรืออาจเป็นเพราะเสียงหัวใจฉันกำลังโลดเต้นอย่างบ้าคลั่ง ในเมื่อตอนนี้ซากุราดะคุงลูบจับปลายผมตรงของฉัน ใบหน้าคมเข้มยื่นเข้ามาใกล้มากขึ้น มากขึ้น

      "ขอบ...ใจ"

      เรี่ยวแรงราวกับหายไปเรี่อยๆ รู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังโดนหลอมละลาย

      จมูกเราสัมผัสกันและต่อด้วยริมฝีปากนุ่ม...

      ทว่า แค่เสี้ยววินาทีเราคลาดกัน ซากุราดะคุงทรุดฮวบลงไปท่ามกลางความตกใจปนงงงันของฉัน

      "ซากุราดะคุง?"

      ดวงตาเขาฉายแววตกใจเช่นกัน

      "มะ...ไม่มีอะไร"

      ซากุราดะคุงลุกขึ้นขณะที่ใช้มือลูบอกด้านซ้ายของตัวเอง

      "กลับเถอะ"

      ของในมือฉันมีถุงพลาสติกที่ใส่กระป๋องของสีต่างๆรวมถึงอุปกรณ์วาดรูป มันค่อนข้างหนักเมื่อหิ้วเต็มมือทั้งสอง เพียงแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจ อันที่จริงเราออกมาจากร้านตอนไหนก็แทบไม่รู้เรื่อง หูตาราวกับเบลอไปชั่วขณะ สิ่งที่คิดตอนนี้คือคำถามมากมายในเหตุการณ์เมื่อครู่ เกิดอะไรขึ้นกับซากุราดะคุง เราทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือเปล่า มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อฉันชนเข้ากับด้านหลังกว้างของซากุราดะคุง

      "นั่น...อะไรน่ะ..."

      เขาพึมพัม น้ำเสียงเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น ฉันมองตามสายตาเขา ก็พบสิ่งที่ทำให้ตาค้างด้วยความโมโห

      'พวกแกหายไปซะ!'

      ประโยคนี้ถูกพ่นด้วยสีกระป๋องแดงฉาน อักษรแต่ละตัวกว้างยาวราวหนึ่งไม้บรรทัดเรียงพาดทับรูปสัตว์ต่างๆที่ระบายอยู่บนกำแพงผลงานของซากุราดะคุง

      ไม่จริง

      ขณะที่ตัวฉันไม่ต้องใช้เวลานานในการคาดเดาตัวต้นเหตุ ซากุราดะคุงกางบันไดเหล็กและปีนขึ้นไปพร้อมกระป๋องที่ดูไม่ออกว่าคืออะไรในมือ

      "มันจะมากไปแล้ว ใครกัน"

      "ต้องเป็นพวกอาซาโกะแน่ เพราะฉันแยกตัวออกมา"

      ฉันอธิบายพร้อมความรู้สึกผิด

      "ฉันขอโท..."

      ร่างชายหนุ่มหยุดแน่นิ่ง ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบประโยค ร่างที่ราวกับแข็งทื่อไปซะเฉยๆ ร่วงลงมาจากบันไดเหล็กอย่างน่ากลัว

      เพียงวูบเดียวฉันไม่รู้อีกเลยว่าตัวเองล้มหรือยืนกันแน่ ได้ยินเพียงเสียงเอะอะที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ตอนนี้ในหัวมีแต่ความคิดเรื่องซากุราดะหมุนเวียนอยู่โดยไร้ทางออก

      เพิ่งจะรู้สึกเพียงแวบเดียวก่อนสติจะวูบไปเท่านั้นเอง ความร้อนของพื้นปูนที่ทะลุผ่านเสื้อซีฟองมายังแผ่นหลัง...ฉัน...ล้มลงมาพร้อมซากุราดะคุง แล้วภาพทุกอย่างก็มืดลง...

      แสงสว่างคืนมาจากเปลือกตาที่ค่อยๆเลื่อนเปิด ผู้หญิงที่ใบหน้าคล้ายฉันในอีกหลายสิบปีนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ติดกับผนังห้องขาว

      "แม่เหรอคะ?"

      ฉันลุกพรวดขึ้นนั่งบนเตียงไม่แข็งไม่นุ่มทันที แม่เองก็ทิ้งหนังสือและรีบเดินออกมาราวกับรู้หน้าที่

      "เมื่อวานลูกถูกพามาเพราะหัวกระแทกพื้น มีผู้ชายหล่นทับตัว"

      จากคำพูดแม่ทำให้นึกได้ทันที

      "อ๊ะ!ซากุราดะคุง แล้วเค้าอยูไหนคะ"

      "อ๋อเห็นว่าอยู่ห้องเดียวชั้นบน..."

      เมื่อรู้เป้าหมาย ฉันไม่คิดถึงความเจ็บปวดแปล๊บๆที่หลังหัวและลุกพรวดจากเตียงแล้ววิ่งออกไปโดยไม่ได้สนใจเสียงของแม่ที่บอกว่าให้หยุดก่อน

      น่ากลัว...ท่าที่เขาตกลงมามันดูไม่ปกติ รึว่าหัวใจของเขา...ที่บอกว่าขี้โรคตั้งแต่เด็ก

      และตัวเองก็มาถึงป้ายหน้าห้อง 421 ซากุราดะ เท็ปเป

      ประตูไฟเบอร์เปิดแง้มไว้กว้างพอจะเห็นส่วนเตียงของในห้อง

      "ผ่าตัดอีกครั้งเพื่อรักษาก็ได้นี่ครับ"

      ซากุราดะที่มีท่อยางร้อยอยู่ในรูจมูกทั้งสองขึ้นเสียงกับหมอวัยกลางคนที่ปั้นหน้าลำบากใจ

      "ถ้าทำได้หมอก็อยากทำ แต่คงลำบาก"

      ใบหน้าหล่อเหลาซีดจากอาการช็อค ฉันเห็นคุณลุงพ่อของซากุราดะนั่งก้มหน้าราวกับต้องฝืนใจยอมรับบางอย่างให้ได้

      "หัวใจเธอตอนนี้คงทนการผ่าตัดไม่ไหวแล้ว"

      ว่าไงนะ?

      "ไม่ต้องพูดอ้อมค้อม สรุปคือ..."

      ซากุราดะคุงซุกหน้าในสองมือ

      "...ผมต้องตายใช่มั้ย หึ อยู่ได้ไม่ถึงปีเหรอเนี่ย"

      เหมือนกับร่างทั้งร่างกลายเป็นหินไปเมื่อฉันรู้แบบนั้น

      __________

      "ออนดะ"

      เสียงเข้มเรียกชื่อฉัน

      "ขอโทษที่พลอยให้เธอเจ็บตัวไปด้วย"

      ความจริงก็อยากจะพูดอะไรออกมาเหมือนกัน แต่พอเหมือนจะหลุดออกไป ก็กลายเป็นเพียงลมหายใจเบาๆราวกับโดนละลาย ซากุราดะเห็นกิริยานั่นของฉันก็ยกยิ้มดูดี แต่ฉันกลับไม่เข้าใจรอยยิ้มนั่น

      "คงกลัวมากล่ะสิ ฉันเป็นโรคหัวใจมาตั้งแต่เกิด มันมีรูปร่างผิดปกติทำให้ทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ"

      เขากลืนน้ำลาย

      "คิดไม่ถึงว่าจะตายในไม่ช้า"

      เธอพูดอะไรออกมา ไม่เห็นเข้าใจซักนิด ไม่จริง โกหกใช่มั้ย ฉันไม่เชื่อ

      "พอที!"

      ซากุราดะคุงสะบัดมือฉันทิ้งเขาโกรธมากแต่ไม่แน่ใจว่าเพราะตัวฉันรึเปล่า

      "ฉันควรเป็นคนไม่เชื่อมากกว่า! แล้วเธอจะร้องไห้ทำไม!"

      ร่างกายของซากุราดะคุงสั่นอย่างน่ากลัว เขาหอบหายใจรุนแรง น้ำอุ่นๆที่กำลังไหลอาบหน้าราวกับเป็นน้ำมนต์ที่สะกดตัวฉันนิ่งอยู่กับที่

      "เธอกลับไปเถอะฉันอยากพักผ่อน"

      เขาพูดโดยไม่มองหน้าฉันอีกเลย

      __________

      ยามเย็นที่ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำเป็นดวงโต หากมองมันตรงๆในตอนนี้ก็จะพบเพียงความงดงาม เสียงเตือนข้ามรางรถไฟที่ดังแกร๊งๆพร้อมที่กั้นลายทางเหลืองดำ เมื่อวานยังรู้สึกว่ามันหนวกหูและน่ารำคาญอยู่เลย แต่บัดนี้ สมองที่ว่างเปล่าทำให้แม้แต่คิดเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้ฉุกใจขึ้นมาได้

      แมวน้อยตัวหนึ่งเดินเข้ามาคลอเคลียที่ขาฉัน ท่าทางออดอ้อนนั่นชั่งน่ารัก แต่ ณ ตอนนี้แม้แต่แรงที่จะก้มไปลูบหัวมันก็แทบจะไม่มี จึงทำได้แค่เพียงยืนมองมันเงียบๆ

      ความตายคือ...จะไม่ได้พบกันอีกแล้วเหรอ? นึกภาพไม่ออก...

      ผีเสื้อตัวเล็กกลายเป็นจุดสนใจใหม่ของเจ้าแมว มันวิ่งตามตะปบผีเสื้อไปทั้งที่ไม่ได้รู้เลยว่า ขบวนเครื่องจักรอันทรงพลังกำลังวิ่งมาด้วยความเร็วเกินกว่าจะหยุด

      พลั่ก!

      พริบตาเดียวเจ้าแมวกระเด็นหวือมายังที่ๆผู้คนมากมายกำลังรอเพื่อข้ามไปอีกฝั่ง มันนอนจมกองเลือดและไม่กระดุกกระดิกอีกต่อไป

      กรี๊ดๆ! ว้าย! เฮ้ย! ผู้คนที่เห็นภาพนั้นอุทานไปต่างๆนาๆฉันเองก็ตกใจไม่น้อย ชั่ววินาทีนั้นฉันเหมือนจะเข้าใจแล้ว...

      ความตาย

      นี่หรือคือสิ่งที่เรียกว่าความตาย

      สายตาฉันถูกสะกดที่ร่างไร้วิญญาณของแมวน้อย

      "น่า...สง..สารจัง"

      น้ำตาไหลพราก ไม่จริงใช่มั้ย แวบหนึ่งฉันเห็นร่างของซากุราดะคุงนอนจมกองเลือดอยู่แทนที่แมวตัวนั้น ไม่จริงๆๆๆๆ ไม่นะ ถ้าไม่มีซากุราดะคุง ฉันคงอยู่ไม่ได้จริงๆ

      วันรุ่งขึ้นหลังจากเลิกเรียน ฉันตรงไปโรงพยาบาลทันที ป้ายหน้าห้อง 421 ยังคงเป็นชื่อของชายคนเดิม ฉันเงื้อมือขึ้นเพื่อเตรียมเคาะประตู ค้างอยู่ท่านั้นนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ฉันก็รวบรวมความกล้าที่จำเป็นรึเปล่าก็ไม่แน่ใจเพื่อเคาะมือที่ประตู ฉันเปิดเข้าไปหลังเสียงตอบรับ ชายรูปหล่อนั่งอยู่ตรงขอบหน้าต่าง เมื่อรู้ว่าเป็นฉันจึงหันหน้าออกไปด้านนอก

      "สวัสดีจ้ะ ถอดท่อออกแล้วเหรอ?"

      นี่คงเป็นคำทักทายที่ดีที่สุดที่คิดได้ ซากุราดะคุงไม่ตอบ ฉันเดินไปสมทบกับเขาและมองสิ่งที่คิดว่าเขากำลังมอง

      "ดูอะไรอยู่?"

      ถามแบบนั้น แต่ที่ฉันเห็นคือรถราง บ้านเรือน เสาไฟฟ้า หมาแมว ผู้คน และถนนหนทางที่ถูกย้อมเป็นสีส้ม

      "ฉัน...ถึงฉันตายไปโลกก็ยังคงเหมือนเดิม คงจริงแท้แน่นอน"

      ไม่รู้เขาคิดอะไรอยู่ ไม่เข้าใจเป็นครั้งแรกที่ฉันไม่อยากเข้าใจเขา

      "ฉันรักเธอ"

      ไม่ว่าคำตอบจะออกมายังไงแต่ฉันจะขอพูดสิ่งที่รู้สึกอยู่ตอนนี้

      "อยากอยู่ใกล้ๆตลอดไป"

      หนุ่มหล่อทำหน้าคล้ายคนตกใจ ก่อนแววตาจะฉายความเศร้าออกมาพร้อมก้มหน้าลง คำตอบล่ะ

      "พ่อฉัน คอยรับส่งฉันทุกวันไม่ว่าฝนตกแดดออกจนถึงชั้น ป.5 เวลาขึ้นบันไดเปลี่ยนห้องเรียน ไม่ว่ากี่ครั้งพ่อก็พาไปทุกครั้ง...ขืนมายุ่งเกี่ยวกับฉันคงต้องทำใจไว้"

      ซากุราดะคุงเงยหน้ามองฉันด้วยแววตาน่ากลัว

      "อย่าพูดออกมาง่ายๆจำไว้ ไม่ต้องมาแล้วเธอน่ะ"

      สิ้นคำจากเสียงเข้ม โลกที่เคยประกายแสงทองของฉัน ในตอนนี้กลับกลายเป็นสีขุ่นอีกครัง

      __________

      "ขอโทษค่ะหนูตื่นสาย"

      อาจารย์ประจำชั้นทำหน้าเอือมระอารับยามเช้า โดนต่อว่าเล็กๆน้อยๆ ฉันทำหูทวนลมและเดินไปนั่ง

      "เรื่องนั้นท่าจะจริง"

      อาซาโกะพึมพัมให้ได้ยิน ระหว่างที่กำลังผ่านโต๊ะของเธอ

      "ดูเหมือนหมอนั่นจะเข้าโรง'บาล ใช่ป่ะ"

      เสียดายใบหน้าสวยน่ารักที่แสดงแววเย้ยหยั่นจนน่าเกลียด ความปั่นป่วนในอกและช่องท้องฉันพลุ่งพล่านทันที

      "สมน้ำหน้า"

      ฟันฉันขบกันแน่นจนรู้สึกเหมือนกับมันร้าวเมื่อคำนี้พ่นออกมา มันทำให้ฉันนึกถึงข้อความอัปมงคลที่ตอนนี้มันก็ยังคงอยู่บนภาพของซากุราดะคุงไม่ไปไหน

      มือฉันตอบสนองกับความโกรธโดยการคว้าที่คอเสื้อของอาซาโกะและกระชากขึ้นมาด้วยแรงทั้งหมด

      "คิดจะดูถูกคนอื่นไปตลอดชีวิดรึไง!"

      "!?!"

      "ลองมองคนรอบตัวให้มากกว่านี้ แล้วจะพบสิ่งสำคัญมากมาย"

      ดวงตาฉันพร่าเลือนด้วยของเหลวที่ท่วมดวงตา แต่ในหัวกลับเห็นใบหน้าที่หล่อเหลาเป็นประกายงดงามอย่างชัดเจน

      "ใช้เวลาตอนนี้ให้คุ้มค่าฉันขอแค่นี้ สักวันเธอจะเข้าใจ"

      "ละ...ลูน่า"

      ตากลมโตของอาซาโกะเบิกโพลง แต่ไม่ใช่เพราะความตกใจหรือกลัว

      "ขอออกไปข้างนอกค่ะ"

      ฉันปล่อยมือจากคอสาวสวย เช็ดน้ำตาและเดินออกไปเพราะไม่อยากตอบคำถามอาจารย์ที่กำลังเดินเข้ามาด้วยใบหน้าสงสัย เสียงในห้องแซแซ่ดหลังจากนั้นเพียงครู่เดียวประมาณว่า'เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?'

      __________

      โรงพยาบาล

      [ไต้ฝุ่นหมายเลข11ที่มุ่งหน้าขึ้นทางทิศเหนือ ส่งผลให้วันนี้มีฝนตกลมแรง...]

      ทีวีว่าอย่างนั้นระหว่างที่ผมกำลังมองดูหยดน้ำจำนวนมหาศาลที่กำลังตกลงมาจากท้องฟ้ามืดครึ้มอย่างบ้าคลั่ง ว่ากันตามความเป็นจริง ท้องฟ้าวันนี้ทำเอาผมหดหู่อย่างจริงจัง แต่มนุษย์ตัวเล็กๆจะไปทำอะไรได้เมื่อฤดูกาลของมันมาถึงแล้ว มองๆไปเรื่องของการ'ถึงเวลา'ของฤดูกาลก็คล้ายๆกับตัวผม ผิดกันตรงที่ฤดูกาลมาแล้วก็ผ่านไปและก็กลับมาอีกในปีหน้า แต่ตัวผม เมื่อเวลามาถึง ก็คงจะถูกฝังลงดินและไม่มีวันหวนกลับมาตลอดกาล

      "ฟ้ามืดตื๋อ คงไม่มีคนมาเยี่ยมไม่ว่าห้องไหน"

      พ่อที่ยืนอยู่ติดกับหน้าต่างพูดขึ้นลอยๆ แต่ถึงพูดแบบนั้นก็มาหาผมทุกวัน

      ผมรู้สึกขอบคุณเขาจนยากที่จะหาอะไรมาเปรียบเปรยดี ทำให้เกิดมาแทนที่จะได้พึ่งพาลูก แต่กลับต้องมาเหนื่อยหนักกว่าเดิม ผมเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง เรื่องที่พอทำได้จึงทำให้เขาสุดฝีมือ จะว่าไปเรื่องที่ผมพอทำได้ก็มีแค่วาดรูปตกแต่งร้านให้แค่นั้นแหละ

      "โอ๊ะเท็ตสึ"

      "ครับ?"

      "นั่นลูน่าจังไม่ใช่เรอะ?"

      ผมลุกขึ้นจากเตียงและเดินมายืนข้างๆพ่อซึ่งสายตายังคงถูกสะกดไว้ด้วยร่างบางในชุดนักเรียนเบื้องล่าง เรือนผมสีดำยาวตรงนั่นถึงแม้จะถูกลมกรรโชคพัดจนยุ่งแต่ผมก็จำได้ดี

      ออนดะกำลังยื้อแย่งร่มที่ดูเหมือนจะพ่ายแพ้แก่แรงลมและเม็ดฝนจนพังไม่เป็นท่า เท้าเล็กๆของเธอก็พยายามยืนให้ติดพื้นสู้แรงลม จะทำอะไรกันนะ ทั้งที่ผมเคยบอกไปแล้วว่าอย่ามาอีก ในที่สุดออนดะก็ไม่สามารถใช้มือผอมๆหยุดความวิปริตของสภาพอากาศได้ ร่มที่เหลือเพียงซี่เหล็กก็ลอยหวือสูง ออนดะเงยหน้ามองตามอย่างเสียดาย ไม่รู้ว่าโชคดีหรือเปล่าแต่เธอมองตามมันจนดวงตาเธอประสานกับผมซึ่งอยู่หน้าต่างด้านบนพอดี เมื่อเห็นผมกำลังมองอยู่จึงส่งยิ้มขึ้นมา ทำให้ใจเต้นแรงโดยไม่เกี่ยวกับอาการของโรคประจำตัว ดวงตากลมโตของเธอก็มักจะทำให้ผมหวั่นไหวเสมอเมื่อนึกถึง ทั้งที่อุตส่าห์ห้ามใจไว้แล้วเพราะรู้ดีถึงขีดจำกัดของตัวเอง

      ลูน่า ออนดะ ในความคิดผมเป็นผู้หญิงที่น่ารักดี ติดตรงที่มีเพื่อนอย่างอาซาโกะ ตอนที่ออนดะทำผมสีทองพร้อมดัดลอนตามอาซาโกะนั้นทำเอาผมอึ้งทึ่งเล็กน้อย ส่วนตอนที่เธอกลับมาทำผมดำตรงทำเอาผมใจเต้นตึกตัก บางทีสเป็คผู้หญิงของผมอาจจะคล้ายๆกับออนดะเวอร์ชั่นล่าสุด

      ทั้งที่ตัวเองคิดอย่างนั้นแท้ๆ แต่กลับปฏิเสธคำสารภาพรักของเจ้าหล่อนไป ใจหนึ่งก็เสียใจ แต่อีกใจหนึ่งก็บอกว่าปฏิเสธไปน่ะดีแล้ว เพราะตัวเองนั้นก็อยู่ได้อีกแค่ไม่นาน อาจดูเหมือนเห็นแก่ตัว แต่นี่ก็อาจเป็นการตอบรับความรักในวิธีของผม

      "เห็นคุณหมอบอกว่าออกจากโรงพยาบาลได้ทุกเมื่อ"

      ออนดะที่จนแล้วจนรอดก็ขึ้นมาถึงนี่เอ่ยขึ้น

      "เอ่อ...ฉันซื้อแอปเปิ้ลมา จะปอกให้กินนะ"

      "เธอมาทำไม?"

      ไม่รู้ว่าออนดะจะคิดกับคำพูดของผมไปในด้านไหน แต่น้ำเสียงที่ผมเปล่งออกไปไม่ต่างกับลูกหนี้รำคาญเจ้าหนี้ที่คอยมายืนจ้องเก็บเงินอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน ทั้งที่ความจริงผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้น

      "ฉันไม่ใช่คนเหลาะแหละ อยากเข้าใจความรู้สึกของซากุราดะคุง สิ่งที่ทำได้ก็จะทำทุกอย่าง"

      ผมมองมืออันขาวสวยหมุนลูกแอ๊ปเปิ้ลแดงลงกับมีด ไม่รู้ทำไมคำพูดที่ฟังดูเหมือนจะทำให้รู้สึกดีของเธอกลับทำให้ผมฉุน

      "ไม่ต้องมาสงสาร"

      "ไม่ใช่นะ!"

      ออนดะขึ้นเสียง อารมณ์ผมก็ขึ้นสูงไม่แพ้กัน พร้อมกับร่างกายที่ทำตามอารมณ์ในสิ่งที่มารู้ตัวทีหลังว่าทำอะไรโง่ๆ

      ผมคว้ามีดปอกผลไม้มาจากมือออนดะและจี้ปลายแหลมเข้าที่หน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง

      "ถ้างั้นเธอกล้าตายพร้อมฉันมั้ย?"

      เสียงเย็นเยียบทำให้ออนดะหวาดกลัว

      "คงไม่กล้าใช่มั้ยล่ะ ไหนบอกจะทำทุกเรื่องไง"

      "หยุดนะ!"

      ออนดะเข้ามาฉุดข้อมือผมด้วยใบหน้าที่น้ำตาไหลอาบ ผมโกรธจนขาดสติจึงสะบัดหนี

      "เธอช่วยอะไรฉันไม่ได้หรอก!"

      ผมตะโกน สิ่งที่ทำให้สติตัวเองคืนมาคือภาพที่มือเปล่าเปลือยของสาวสวยกำแน่นที่ใบมีด

      "ใช่ ฉันช่วยอะไรซากุราดะคุงไม่ได้ แต่ฉันจะไม่ยอมตายและจะไม่ยอมให้ซากุราดะคุงตายด้วย"

      บอกตามตรงว่าผมพูดไม่ออกใจหนึ่งก็ดีใจ แต่อีกใจก็เศร้าจนอยากร้องไห้ตามออนดะ

      "ห้ามตายตอนนี้"

      น้ำตาใสของออนดะหยดลงบนผ้าห่มสีขาวพร้อมเลือดแดงสดจากมือ ความคิดบ้าๆวิ่งหนีไปแล้ว แต่มีความรู้สึกกลัวเข้ามาแทนที

      "ออนดะปล่อยได้แล้ว มือเธอ"

      "จะปกป้องให้ได้..."

      เสียงอ่อนหวานพูดกับผม

      "ฉันจะปกป้องซากุราดะคุงให้ได้"

      ออนดะส่งแววตาจริงจังมา ในที่สุดผมก็ต้องยอมแพ้และรู้สึกเจ็บแทนเธอที่มือชุ่มโชกไปด้วยเลือด

      ในวันนั้นหลังจากที่ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ผมขอร้องออนดะอย่างจริงจังว่าไม่ต้องมาอีกแล้ว เธอตอบรับด้วยความเงียบและออกไป ผมน้ำตาไหลด้วยความรู้สึกหลายอย่างหลังประตูห้องปิดลง

                      วันรุ่งขึ้น

      9 นาฬิกา 15 นาที

      พยาบาลที่เข้ามาตรวจผมยื่นซองจดหมายลายจุดหลากสีให้และบอกด้วยสีหน้าแจ่มใสผิดกับอากาศว่ามันวางอยู่บนพื้นหน้าประตูห้อง ผมรับมาและพลิกดูด้านหลัง

      ใช่อย่างที่คิด

      "จากออนดะนี่เอง"

      หลังจากที่หัวเราะในลำคอกับบางอย่าง ผมก็อ่านกระดาษลายเดียวกันที่อยู่ภายใน

      'ถึงซากุราดะคุง ฉันอยากไปซ่อมภาพวาดที่กำแพง จะเขียนจดหมายและอัพโหลดรูปลง Facebook ให้ดูทุกวัน รู้ดีว่าถึงทำไปก็ไร้ความหมาย แต่ตอนที่เห็นซากุราดะคุงครั้งแรก ได้พูดคุยกับเธอครั้งแรกที่ดาดฟ้า ฉันคิดว่าซากุราดะคุงคงเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก ขอโทษนะที่เขียนเอาแต่ใจ แต่ตอนนี้ซากุราดะคุงยังมีชีวิต ยังหายใจ ยังขยับมือได้ ตายังมองเห็นอยู่ใช่มั้ย...สิ่งเหล่านี้มีไว้เพื่ออะไรกัน'

      บรรทัดสุดท้ายทำเอาผมรู้สึกแปลกๆ

      'ไม่อยากวาดรูปอีกเหรอจ๊ะ?'

      บอกตามตรง ไม่รู้ผมคิดถูกหรือผิด แต่ผมก็ฉีกจดหมายลายจุดนั่นทิ้งลงถังขยะไป

      หลายวันต่อมาจดหมายที่ตามหลังฉบับแรกมาก็ยังคงนอนแอ้งแม้งอยู่บนชั้นข้างเตียง ผมไม่ได้เป็นคนเก็บมาหรอก แต่พยาบาลทุกคนที่ต้องเข้ามาตรวจตอนเช้าเป็นคนเก็บมาให้ แน่นอนผมไม่ได้เปิดอ่านมันเลยแม้แต่ฉบับเดียว ในเฟซบุ๊คเองก็ไม่ได้เข้าไปเช็ค แต่เห็นพ่อว่ามีหลายรูปอัพฯอยู่บนกระดานของผม

      วันนี้ไม่รู้ผมเกิดคิดอะไรได้ จึงหยิบสมุดสเก็ตช์ขึ้นมาและเปิดที่หน้ากลาง ภายในมีเส้นโครงของผู้หญิงผมยาวที่ผมวาดค้างไว้เมื่อนานมาแล้ว บอกความจริงก็ได้ว่ามันคือรูปของ ออนดะ ที่ตอนนั้นเรือนผมยังเป็นสีทองอยู่

      "ข้างนอกเริ่มหนาวแล้ว พ่อเอาชุดมาเปลี่ยน"

      ร่างกายผมตอบสนองกับการมาของพ่อโดยการรีบซ่อนสมุดไว้ใต้หมอนอย่างรวดเร็ว แต่พ่อหูตาไวผมรู้ดี

      "ลูกทิ้งจดหมายของลูน่าจังที่ส่งมาทุกครั้งโดยไม่เปิดอ่าน"

      พ่อเอาถุงกระดาษที่ใส่เปลี่ยนเพื่อออกจากโรงพยาบาลเข้าลิ้นชักข้างเตียง

      "ไม่เสียใจจริงๆเหรอ"

      "ทำไมล่ะครับ?"

      "เท็ตสึ..."

      พ่อหยิบซองสีน้ำตาลขึ้นมาและเทของข้างในลงบนเตียง มันคือรูปถ่ายใบเล็กๆที่มีตัวหนังสือเขียนอยู่ด้านหลังประมาณยี่สิบกว่าใบ

      "ไม่เกี่ยวว่าอายุจะยืนหรือเปล่า แต่คนสำคัญมักอยู่ใกล้ตัวเสมอไม่ว่าเมื่อไหร่ อย่าทำตัวซ้ำรอยพ่อสิ"

      ผมมองรูปแต่ละใบที่เป็นส่วนต่างๆของภาพฝูงสัตว์บนกำแพง ด้านหลังมีลายมือผอมๆของออนดะเขียนไว้ 'คิดถึงซากุราดะคุงเสมอ' 'ลบคำพูดอุบาทว์นั่นออกหมดแล้ว' 'ได้โปรดกลับมาที่นี่ด้วย' 'ทรมานที่ซากุราดะคุงไม่อยู่'

      และโน็ตสุดท้ายทำให้ผมตัดสินใจที่จะทำตามหัวใจตัวเองได้ซักทีอยู่ด้านหลังรูปดวงจันทร์

      'ซากุราดะคุงเป็นฮีโร่ของฉันเพียงคนเดียวบนโลกนี้'

      __________


      หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลพร้อมรอยมีดบาดที่มือ สิ่งที่ทำให้เจ็บปวดกลับไม่ใช่รอยแผลนั่น แต่เป็นสีหน้าและคำพูดของซากุราดะคุงที่บอกว่า'อย่ามาอีกเลย'

      "ไม่เอาหรอก"

      น้ำตาเริ่มไหลอีกครั้ง นึกไม่ถึงว่าการไปหาซากุราดะคุงครั้งนี้กลับทำให้อะไรๆดูแย่ลงไปอีก

      ถ้างั้น จากนี้ตัวฉันควรทำยังไงดี

      ระหว่างที่กำลังสับสนรุนแรง ฉันเดินมาที่คลับของพ่อซากุราดะคุง ป้ายหน้าประตูแขวนไว้ว่าปิดร้าน ป้ายไฟด้านบนก็ไม่สว่างอย่างที่เขาเปิดกัน ฉันพาร่างกายที่ค่อนข้างหนักอึ้งมายังด้านข้างของร้านที่กำแพงสีจืดนี้ ถูกแต่งแต้มด้วยภาพวาดฝูงสัตว์ในทุ่งกว้าง ฉันพยายามทำเป็นไม่ได้ยินผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาแถวนั้นวิจารณ์ข้อความอัปลักษณ์ที่อยู่บนภาพ ไม่งั้นฉันอาจจะบุกไปถึงบ้านยัยตัวการแล้วจับตบไม่เลี้ยงก็เป็นได้

      'นี่คือเครื่องพิสูจน์ตัวฉัน'

      ภาพของวันที่ซากุราดะคุงพูดคำนี้ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจ

      อา...รู้แล้ว สิ่งที่ฉันพอจะทำได้ มีอยู่เรื่องหนึ่ง

      วันรุ่งขึ้นฉันก็ยังไปที่โรงพยาบาล เพียงแต่คราวนี้กิจกรรมมีเพียงแค่สอดจดหมายเข้าไปในช่องใต้ประตูห้อง 421 เท่านั้น

      หลังเลิกเรียนฉันรีบมุ่งหน้าไปที่คลับ โชคดีที่ซากุราดะคุงเป็นคนเรียบร้อย(กว่าฉันอีก) อุปกรณ์เกี่ยวกับการวาดรูปทั้งหมดจึงถูกเก็บอยู่ในตู้ใกล้ๆ

      ที่จริงฉันเองก็พอมีหัวและฝีมือด้านศิลปะอยู่บ้าง ถึงจะไม่เท่าเจ้าของภาพที่แท้จริงก็เหอะ แต่ความตั้งใจนั้นฉันก็ไม่แพ้เขาหรอก

      ว่าแต่ ไอ้ตัวอักษร'พวกแกหายไปซะ' นี่มันชวนหงุดหงิดเหมือนกันนะ

      "ลูน่า..."

      เสียงหวานเอ่ยขึ้นจากด้านหลังระหว่างที่ฉันกำลังพ่นสีฟ้าลงบนตัวฮิรางานะสีแดง เมื่อหันกลับไปก็พบกับคนที่เป็นตัวการของเรื่องทั้งหมด

      "อาซาโกะ"

      แม้แต่ฉันเองก็ยังรู้สึกขนลุกน้ำเสียงตัวเอง

      "เธอมาทำไม"

      หน้าหวานเบี้ยวไปมาเหมือนอยากจะร้องไห้ เธอคุกเข่าลงและก้มหน้าอยู่แทบเท้าฉัน

      "ลูน่า ฉันขอโทษที่ไม่รู้อะไรเลย เป็นความผิดของพวกฉันเอง ฉันเสียใจ ฮือๆ"

      "พอได้แล้ว ขอโทษไปแล้วซากุราดะจะหายรึไง!"

      "งั้นตบฉัน! ตบฉันเพื่อระบายความโกรธแค้นทั้งหมดสิ"

      ดูเหมือนจิตใต้สำนึกของฉันจะตอบสนองข้อเสนอนี้ของอาซาโกะ ความจริงก็อยากทำตั้งนานแล้ว

      ฉันเงื้อมือขึ้นสูงและฝ่ามือก็กำลังจะได้ตบหน้าขาวๆ

      แต่

      ไม่ไหว

      น้ำตาฉันไหลพรากออกมา มือที่เงื้อขึ้นสูงลดลงและเข้าไปคล้องที่คออาซาโกะที่น้ำตาคลอเบ้า

      ทรมานเหลือเกิน ซากุราดะคุงได้โปรดกลับมา ภาพสำคัญของเธอยังมีชีวิตอยู่

      พวกเราสองคนนั่งกอดกันร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังโดยมีภาพของซากุราดะคุงเป็นประจักษ์พยาน

      หลายวันต่อมาฉันยังคงส่งจดหมายพร้อมอัพโหลดรูปลงกระดานของซากุราดะคุงเป็นระยะๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของการซ่อมภาพ เขาจะได้อ่านรึเปล่านะ เมื่อไหร่เขาจะกลับมานะ คิดถึงจังเลยนะ ความคิดเหล่านี้หมุนอยู่รอบตัวฉันจนอยากจับเอาไปเขียนแผนผัง 'วัฎจักรของลูน่า ออนดะ'

      ปัจจุบันฉันกับอาซาโกะคุยกันสนุกสนานขึ้น เธอเองดูเหมือนจะเลิกทำตัวแย่ๆแล้ว บางวันเธอก็จะมาช่วยฉันซ่อมภาพ ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้มากก็ตามและวันนี้ก็เช่นกัน

      "ทำไมพอฉันมาช่วยฝนต้องตกทุกทีอ่ะ เอาไงดีลูน่า"

      สาวหน้าหวานเบ้ปากอย่างเบื่อหน่าย

      "คลุมพลาสติกไว้แล้วกลับ..."

      ระหว่างที่ฉันกูลีกูจอคลี่พลาสติกใสแผ่นใหญ่ที่พับไว้ หางตาก็พลันไปเห็นชายคนหนึ่ง

      เขาโดดเด่นด้วยร่างสูงที่ยืนอยู่ฟุตบาธฝั่งตรงข้าม

      "เดี๋ยวสิลูน่า"

      ฉันที่ไม่สนใจเสียงอาซาโกะทิ้งพลาสติกนั่นทันที เส้นผมยาวสีน้ำตาลอ่อนดวงตาสีเดียวกันและใบหน้าหล่อเหลายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามนี้เอง

      เมื่อสัญญาณไฟข้ามถนนเปลี่ยนเป็นสีเขียว พวกเราเดินมาหากันอย่างรวดเร็ว ฉันโผเข้ากอดซากุราดะคุงด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี

      "ออนดะ ฉันคงต้องตาย"

      ซากุราดะคุงพูดด้วยเสียงสั่นเครือข้างหู แม้ฝนจะตกโปรยปราย แต่ฉันก็ได้ยินชัดเจน

      "รู้แล้ว"

      "ฉันรักเธอออนดะ"

      มีใครรู้บ้างว่าฉันรอคำนี้จากใครซักคนมานานแค่ไหน น้ำตาแห่งความสุขเอ่อล้น ริมฝีปากพวกเราสัมผัสกัน คราวนี้มันช่างนุ่มนวลหอมหวาน จนยากจะมีขนมใดๆมาทัดเทียม

      ฤดูกาลเปลี่ยนไปแล้ว รวมทั้งบนโลกของฉันด้วย

      ต้นฤดูหนาววัย 17 ปี...

      ซากุราดะเริ่มวาดภาพทันทีเหมือนตัดขาดทุกอย่างได้ แต่ว่าเวลาที่อยู่ด้วยกันมีค่าเพียงใดฉันรู้ดี

      "อุตส่าห์มาถึงขั้นตอนสุดท้าย รูปนี้ยังขาดอะไรไปบางอย่างนะ..."

      หนุ่มหล่อนั่งอยู่บนราวกั้นเหล็กวิจารณ์ภาพบนกำแพงของตัวเอง ที่เป็นรูปฝูงสัตว์หลากชนิดเดินอย่างอิสระยามค่ำคืนอยู่ในทุ่งกว้างและมีพระจันทร์ดวงใหญ่เป็นจุดเด่น ถ้าถามฉันว่าคิดยังไงกับภาพนี้ ก็คงตอบได้เพียงว่ามันยอดเยี่ยมมากแล้ว

      "พักก่อนเถอะ"

      ฉันบอกกับซากุราดะคุงที่ทำหน้ามุ่ยน่ารักเพื่อหาสิ่งที่เจ้าตัวบอกว่ายังขาดไปในภาพ แต่เมื่อนึกถึงช่วงเวลาอีกไม่นานของชีวิตเขา น้ำตาก็เริ่มปริ่มๆ

      วันนี้หิมะตก ฉันจึงชวนซากุราดะคุงไปหาร้านอุ่นๆเพื่อหาอะไรดื่มกัน

      "อาการเป็นยังไงบ้าง"

      "วันนี้ฟิตเปรี๊ยะ ยังลุยต่อได้อีก"

      "อย่าหักโหมเลยนะ"

      "จ้า"

      ซากุราดะคุงยิ้มกว้างระหว่างที่นั่งรอเครื่องดื่ม

      "ออนดะ"

      "หืม?"

      "ขอจุ๊บทีได้ป่ะ"

      "หา!"

      ฉันตกใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้รังเกียจหรือว่ากำลังรออยู่นะ?

      "จะรักเธอไปตลอดกาลเลย"

      เขากระซิบเบาๆก่อนริมฝีปากนุ่มนวลจะประกบเบาๆกับฉัน

      อา...มีความสุขที่สุดเลย

      หากพระผู้เป็นเจ้ามีจริง ขอเวลาฉันอีกแค่นิดเดียว อย่าเพิ่งให้ซากุราดะคุงเป็นอะไรไปตอนนี้ ฉันอยากทำให้เขามีความสุขมากกว่านี้เพื่อตอบแทนที่เขาเป็นผู้นำแสงทองมาสู่โลกของฉัน

      "ฮิฮิ ชักเขินแฮะ"

      ไม่พูดเปล่า แต่ซากุราดะคุงยังแสดงหลักฐานด้วยแก้มสีแดงอ่อนๆ

      "กลับเนอะ"

      หลังออกมาจากคาเฟ่ พวกเรามาตกแต่งรูปกันต่อ ถึงจะว่างั้นพวกเราก็ไม่ได้ป้ายสีใดๆลงบนกำแพงกันเลย แต่กลับสนุกกับการแต้มสีใส่กันมากกว่า แขนฉันเต็มไปด้วยสีเขียวคล้ายกิ้งก่า ซากุราดะมีหลากสีเลอะเต็มตัว พวกเราหัวเราะเต็มเสียงและยาวนาน จนผู้คนที่สัญจรผ่านแถวนั้นบ้างก็แอบหัวเราะตาม บ้างก็มองด้วยสายตาแปลกๆ แต่ฉันไม่สนใจ เพราะตอนนี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดตั้งแต่เกิดมา

      ความรัก

      อันที่จริงนั้นเป็นสิ่งที่สวยงามและสร้างความสุขให้แก่ผู้ที่สัมผัสได้ แต่ด้วยสัจธรรมของโลก ทุกๆสิ่งย่อมมีสองด้าน สำหรับความรักก็เช่นกัน เมื่อมีด้านที่สร้างความสุข ก็ต้องมีด้านที่สร้างความเศร้า แต่ถ้าหากเราไม่ยอมแพ้และฝ่าฟันมันไปได้ ไม่ว่าจะมีความทุกข์ผ่านมาเท่าไหร่ เราก็จะรู้ว่าความสุขนั้นรออยู่ตรงหน้า และมันมีค่ามากเพียงใด...

      "ซากุราดะคุงทำฉันเปรอะไปหมด ถึงต้องขอยืมห้องน้ำ"

      ฉันแกล้งทำเสียงเชิงตัดพ้อกับซากุราดะคุงที่ตอนนี้กำลังเปิดน้ำจากก๊อกลงอ่างแช่ตัว

      "เธอต่างหากป้ายผมฉันอย่างกับสีรุ้ง"

      เสียงเข้มพูดเคล้าหัวเราะ ฉันหน้าร้อนด้วยความอายที่ว่าแต่เขา

      "ขอฉันอาบก่อนเหมือนที่บ้านได้มั้ย"

      ฉันแก้เขิน แต่ซากุราดะคุงหันมาและส่งสายตาเจ้าเล่ห์

      "อาบด้วยกันมั้ย?"

      "หา!?!"

      "รังเกียจเห็นๆ"

      "ไม่ใช่นะ..ไม่ได้รัง..."

      ฉันออกอาการตื่นเต้นเกินพิกัดจนเท้าเกิดอาการลื่น

      "เหวอ!!!!"

      ซากุราดะคุงตกใจจนร้องเสียงหลง เขาลุกพรวดขึ้นมาประคองตัวฉันไม่ให้ล้ม แต่พื้นห้องน้ำที่ลื่นทำให้ทำแบบนั้นลำบาก

      "ว้าย!!!"

      ตูม!!!

      พวกเราสองคนตกลงมาอยู่ในอ่างเซรามิคที่เต็มไปด้วยน้ำอุ่นๆหอมๆ

      พวกเรานิ่งไปไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ก่อนซากุราดะคุงจะลุกขึ้นด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ เพียงแต่ฉันไม่อยากให้เขาทำแบบนั้นในเวลานี้

      "เดี๋ยว"

      มือฉันรั้งเขาไว้

      "อาบด้วยกันเถอะ"

      ใจเต้นตึกตักจนเหมือนจะทะลุออกมา ใบหน้าร้อนผ่าวโดยไม่เกี่ยวกับอุณหภูมิของน้ำ ฉันและซากุราดะคุงกำลังหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ความสุขล้นทะลักจนหาคำพูดใดๆมาอธิบายได้

      "พูดไปเธออาจจะโกรธก็ได้ แต่ถ้าได้ตายที่นี่คือความปรารถนาของฉัน"

      ชายหนุ่มกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู น้ำตาแห่งความสุขไหลออกมาแทนคำตอบ

      บางทีฉันอาจไม่รู้ว่าความรักเป็นเช่นไร แต่ ณ เวลานี้หาคำพูดอื่นมาอธิบายความรู้สึกนี้ไม่เจอ ความรู้สึกทั้งหมดก้าวข้ามโลก หมู่ดาวและทางช้างเผือกอันไกลโพ้น ส่งมาให้กับผู้ชายคนนี้เพียงคนเดียวชั่วนิรันดร์...

      แสงแดดที่สาดส่องลอดบานเกล็ดทำให้ฉันลืมตาตื่น เตียงกว้างที่มีเพียงตัวเองคนเดียวทำให้ความงัวเงียโดนปัดกระจาย ฉันจัดแจงสวมเสื้อผ้าอย่างเร่งรีบและวิ่งออกไปยังที่ๆซากุราดะคุงน่าจะอยู่เป็นที่แรก

      "ซากุราดะคุง!"

      ความรู้สึกโล่งอกเข้าปกคลุมทันทีเมื่อเห็นร่างโปร่งในชุดกันหนาวเต็มยศนั่งอยู่บนบันไดเหล็กประจันหน้ากับภาพวาดตัวเอง เขาถอนสายตาทันทีที่ได้ยินชื่อตัวเอง

      "แหม...ทำใจหายหมด"

      " 'โทษทีๆ จู่ๆก็เกิดปิ๊งขึ้นมา"

      เขาพาร่างลงจากบันไดพลางแจงต่อ

      "ถ้าเป็นไปได้ 2-3 วันนี้ อยากจดจ่อวาดภาพคนเดียว"

      "เอ๋?"

      "รับปากจะไม่หักโหม เสร็จแล้วจะโทรหาทันที"

      ต้องยอมแพ้สีหน้าที่ดูเหมือนจะสบายๆแต่กลับจริงจังนั่น

      "ก็ได้ รักษาตัวด้วยนะ"

      ฉันถอดที่ปิดหูกันหนาวไปครอบที่หูซากุราดะคุง เขาจุมพิตเบาๆที่ปากฉันแทนคำขอบคุณ

      "สัญญา"

      ว่างั้นพร้อมยิ้มเหมือนเด็กๆที่แม่อนุญาติให้ไปเล่นข้างนอก น่ารักจริงๆ ฉันรู้ตัวว่าหน้าแดงก่อนจะหันหลังเดินออกไป

      "ฉันรักเธอลูน่า"

      ต้องหันกลับมาเมื่อได้ยินแบบนั้น

      "แล้วเจอกัน"

      เกือบหลุดปากไปแล้วว่าไม่อยากอยู่ไกลจากเขา แต่พวกเราไม่ใช่เด็กๆที่งอแงเอาแต่ใจกันแล้ว จึงหันหลังกลับไปโดยไม่หันกลับไปมองอีก เพราะไม่งั้นฉันอาจจะทำตัวเป็นเด็กจริงๆ

      แต่ทว่าการที่ฉันไม่หันกลับไปมองซากุราดะคุงอีกครั้งหนึ่งนั้น รู้ตัวทีหลังว่าเป็นการกระทำที่ผิดพลาดก็สายเกินไป

      หลายวันต่อมา บอกตามตรงว่าทรมานมากทีเดียวสำหรับคู่รักที่ไม่ได้ติดต่อกัน ตอนนี้ตัวฉันเอง ความฝันที่ว่าได้ควบม้าขาวและกระโจนไปอย่างอิสระนั้นก็ยังมีโผล่เข้ามาบ้าง แต่ไม่ทุกวันเหมือนเมื่อก่อน ฉันมีความสุขจากหลายๆความหมาย ตอนนี้ชีวิตไม่ว่าจะเป็นความรักหรือมิตรภาพก็ดูเหมือนจะดำเนินไปด้วยความราบรื่นทีเดียว

      "งั้นเหรอ?"

      อาซาโกะเอ่ยเชิงหยอก

      "กับซากุราดะไปได้สวยสินะ ดีใจด้วยๆ"

      "แหม ขอบคุณ"

      อย่างที่เห็น บัดนี้ยัยนี่ได้กลายมาเป็นเพื่อนที่รู้ใจฉันมากที่สุด เธอโทรชวนมาช็อปปิ้งที่ย่านการค้า ฉันซึ่งไม่มีอะไรจะทำก็มาตามคำชวน

      "พรุ่งนี้ก็ได้เจอกันแล้วแหละมั้ง"

      รู้ตัวว่ายิ้มไม่หุบเมื่อคิดถึงเรื่องนั้น พรุ่งนี้แล้วสินะ จะว่าเร็วก็เร็ว จะว่าช้าก็ช้าแฮะ

      "แล้วเรื่อง'นั้น'เป็นไงมั่ง"

      "หา!?!" ทำไมยัยนี้รู้ได้หว่า

      "แหมชักจะอิจฉาแล้วน้า ยัยลูน่านำหน้าเพื่อนรักเกินไปป่าว"

      อาซาโกะทำหน้ายู่พร้อมแย่งหมวกเบลเซอร์สีดำของฉันไปใส่ ก่อนจะตอบอะไรเสียงริงโทนก็ดังขึ้น เป็นเสียงที่ตั้งไว้เฉพาะเบอร์ของซากุราดะคุงเท่านั้น

      ฉันรับสายด้วยหัวใจที่เต้นรัว

      "มีอะไรเหรอซา...อ๊ะ คุณลุงเหรอคะ?"

      [ลูน่าจัง ตั้งใจฟังลุงนะ และตั้งสติด้วย]

      "เอ๋?"

      [เจ้าเท็ตสึตายแล้ว...]

      ไม่จริงมั้ง ฉันต้องฟังผิดแน่ๆ ให้ตายสิเสียงแถวนี้มันหนวกหูจริงแฮะ

      "พูด..อีกที..ค่ะลุง"

      ไม่รู้ตัวเลยว่าเสียงกำลังสั่น หัวใจราวกับร่วงหล่นลงแทบเท้าและแตกสลาย

      [เท็ตสึตายแล้ว ลูน่าจัง]

      ชัดเจน...ภาพตรงหน้าขาวโพลน รอยยิ้มเจิดจ้าของซากุราดะคุงคือสิ่งเดียวที่อยู่ตรงกลางภาพขาวโพลนนั่น

      ไม่รู้ตัวว่าทรุดลงกับพื้นตอนไหน เสียงอาซาโกะที่ตะโกนเรียกก็แทบไม่ได้ยิน

      ซากุราดะคุงตายแล้ว

      เราต้องกำลังฝันอยู่แน่ ต้องเป็นความฝัน

      หลายวันให้หลัง ถึงตัวฉันจะใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้ แต่สติสตางค์ราวกับถูกขโมยหายไป ราวกับวิญญาณกำลังจะหลุดจากร่าง ฉันเจ็บปวดรุนแรงเกินรับไหว เกินกว่าจะไปงานศพของซากุราดะคุง หรือบางทีฉันอาจไม่เชื่อว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความจริง

      ใช่ ฉันไม่เชื่อหรอก

      ซากุราดะคุงเขาจะต้องรอฉันอยู่แน่

      ว่าแล้วก็ไปหาเลยดีกว่า

      ถึงหิมะจะตกก็ช่างแต่ก็เดินมาถึงแล้ว นั่นไงเขาอยู่ตรงนั้น

      "ลูน่า"

      เสียงเข้มเสียงของเขาอยู่ตรงหน้านี่เอง

      "ร้องไห้ทำไม หนาวมากเหรอ?"

      รอยยิ้มเจิดจรัสบนใบหน้าหล่อ เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนใต้ฮู๊ดขนเฟลอร์ ทุกอย่างเป็นของเขา

      "มากอดหน่อยสิ เผื่อจะทำให้อุ่นได้บ้าง"

      ซากุราดะคุง!!!

      ฉันถลาเข้าสู่อ้อมกอดที่รออยู่อย่างไม่รีรอ

      ทว่าขณะที่กำลังจะคว้าไว้ได้ ฉันทะลุผ่านร่างของซากุราดะคุงไป เข่าและฝ่ามือกระแทกกับพื้นคอนกรีตทำให้เป็นแผล แต่ไม่รู้สึกเจ็บ กลับเป็นในอกข้างซ้ายนี่ที่มันเจ็บปวดเหลือเกิน

      ทำไมๆๆๆๆ

      เสียง มือ ประกายตา ตัวอุ่นๆ ทุกอย่างของเขายังคงเหลืออยู่ในกายฉันอย่างชัดเจนเหลือเกิน

      ผ่านมาอีกเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ฉันก็ยังคงหมกตัวอยู่แต่ในห้อง ร้องไห้จนหลับไป สะดุ้งตื่นขึ้นมาร้องไห้และหลับไปอีก เป็นอย่างนี้ตลอด แต่วันนี้ฉันตื่นขึ้นเพราะเสียงเคาะประตูของแม่

      "ลูน่า มีแขกมาหา"

      ร่างยังอยู่ในชุดนักเรียนลุกขึ้นทำตามคำสั่งราวกับหุ่นยนต์ ทั้งที่ความคิดยังอยู่บนเตียงนอน

      ฉันตื่นเต็มตาเมื่อเห็นว่าแขกคือคุณลุง พ่อของซากุราดะคุง

      "อืม...ว่าไงดีล่ะ หนูดูอ่อนล้าจังนะ"

      แม้จะอายุประมาณแม่แล้ว แต่คุณลุงก็เท่ห์ไม่น้อย แม้ยิ้มที่ส่งมาจะเป็นเพียงยิ้มแห้งๆ แต่ก็ดูดี ทำเอาน้ำตาคลอเพราะมันคือต้นแบบของลูกชายของเขา

      คุณลุงหยิบซองสีฟ้าออกมาจากเสื้อตัวหนา

      "จดหมายนี่จากเท็ตสึ ดูเหมือนจะแอบเขียนเอาไว้"

      ฉันรับมันมา ซองกระดาษบางๆเขียนด้วยลายมือว่า'ถึงลูนา' ใจเต้นรัวในหลายๆความหมาย

      "รีบอ่านเถอะลุงไปล่ะ"

      ว่าแล้วลุงก็เดินไปในทิศตรงกันข้ามกับไนต์คลับตัวเอง ฉันรีบแกะอ่านทันที

      เมื่ออ่านจบ น้ำตาเอ่อล้นออกมาก่อนจะวิ่งอย่างไม่รู้สึกถึงอุณหภูมิที่ต่ำและความเหน็ดเหนื่อย

      'ลูน่า เห็นของขวัญชิ้นแรกและชิ้นสุดท้ายรึยัง'

      ฝ่าหิมะที่โปรยปราย ฝ่าฝูงคนที่เดินขวักไขว่

      'ที่ฉันบอกว่ารูปยังขาดอะไรไปบางอย่าง ฉันคิดว่าต้องเป็นสิ่งนี้แน่'

      ฉันหยุดยืนตรงหน้ากำแพงด้านข้างไนต์คลับ ที่นั่นมีพลาสติกขึงปิดอยู่ ฉันยืนมองมันพลางหายใจเอาอากาศเข้าไปหล่อเลี้ยงสมองและปอด ก่อนจะดึงพลาสติกทั้งผืนลงมา

      ภาพตรงหน้าทำให้ฉันแทบหยุดหายใจ

      ภาพนี้...ซากุราดะคุง...วาดภาพความฝันของฉัน..

      แบ็คกราวน์คือผืนราตรีสีน้ำเงิน หญิงสาวผมสีทองควบม้าสีขาวราวหิมะกระโจนข้ามเหนือฝูงสัตว์ที่มองตามเสมือนทำความเคารพ ดวงจันทร์สีเงินดวงโตลอยอย่างงดงามท่ามกลางหมู่ดาวสุกสกาว

      ฉันร้องไห้โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดอยู่ตรงนั้น

      'ลูน่า เธอในสายตาของฉันเป็นผู้หญิงเข้มแข็งจริงใจ ถึงฉันไม่อยู่แล้วก็อยากให้เป็นแบบนั้นตลอดไป...เพราะเธอคือฮีโร่ของฉัน เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้'

      ซากุราดะคุงทำเพื่อฉันจนวาระสุดท้าย ที่ได้พบกับเธอราวกับเป็นปาฏิหาริย์ รักเธอซากุราดะคุง ฉันรักเธอสุดหัวใจที่มี รักเธอจริงๆ

      .

      .

      .

      1 ปีต่อมา

      ลูน่า ออนดะ อายุ 18 ปี

      มัธยมปลายปี 3

      สำหรับตัวฉันวันใหม่ๆกำลังเริ่มต้นขึ้น

      "ลูน่า โอฮาโย!"

      คำทักทายแสนสดใสดังขึ้นทันทีเมื่อร่างบางเข้ากอดคอ

      "โอฮาโย อาซาโกะ"

      "นี่ๆลูน่า ส่งแบบฟอร์มเรียนต่อมหา'ลัยยัง?"

      "ส่งแล้ว"

      "หา จริงอ่ะ เลือกได้แล้วเหรอ?"

      "อืม"

      "ว้า ทำไงดีอ่ะ ฉันยังไม่ได้เลือกเลย ต้องส่งเช้านี้แล้ว"

      "กังวลเหรอ?"

      "ก็นิดหน่อยอ่า"

      "ไม่ต้องห่วงหรอก วันใหม่ๆมันก็เริ่มต้นของมันทุกวันแหละ"

      ฉันยิ้มส่งให้อาซาโกะก่อนจะมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่อึมครึมนิดหน่อย แต่หลังเมฆอันอึมครึมนั่น ฉันเห็นแผ่นฟ้าสดใสราวกับกำลังรอใครซักคนเดินเข้าไปหามัน

      บอกตามตรงฉันเองก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ในอนาคตข้างหน้า เพียงแต่จนถึงตอนนี้ ฉันรู้ว่ามีบางคนอยู่ข้างๆฉันเสมอ หลักฐานคือฉันยังจำและรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของเขาคนนั้น

      เสียงเข้มของเขาคนนั้น

      รอยยิ้มของเขาคนนั้น

      ดวงตาแฝงแววอ่อนโยน

      นี่...เธอยังอยู่ตรงนี้ใช่มั้ยล่ะ? ใช่รึเปล่า? ขอบคุณสำหรับทุกอย่างจริงๆ ที่ฉันมีวันนี้ได้ก็เพราะเธอนะ

      เธอ...ได้ยินฉันใช่มั้ย?

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×