คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : หายนะของข้าที่1 ไอพวกอัศวินใจเสาะ (60%)
“ข้าบอกว่าให้อยู่นิ่งๆ...”
ชายหนุ่มเอ่ย พร้อมเร่งพลังแสงที่ฝ่ามือของตัวเอง แสงสีทองอ่อนๆ พลันสว่างขึ้นจนมองไม่เห็นมือของเขา ไม่ช้าแสงสีทองก็ค่อยๆ จางหายไปเหลือแต่เพียงรอยแผลถลอกเล็กน้อยจากรอยฟันจากอาวุธมีคมเป็นทางยาวจากอาวุธบริเวณต้นคอของชายวัยกลางคนหนึ่ง
ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโลงอก ก่อนจะลุกขึ้นยืน เผยให้เห็นใบหน้าได้รูปหล่อเหลา เลือนผมสีส้นอ่อนยาวถึงบ่า ตัดกับนัยน์ตาคมกริบสีมรกตดังมหาสมุทร ยิ่งดูโดดเด่นในชุดคลุมยาวสีขาวขลิบทองบงบอกถึงอาชีพอันศักดิ์สิทธ์ผู้นับถือพระผู้เป็นเจ้า
ชายหนุ่มยิ้มให้กับชายวัยกลางที่ตนพึ่งรักษา ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น
อัศวินรอบๆ ต่าง....เริ่มถอยหลังกันไปทีละก้าว พยายามเร่งม่านพลังมาไว้ตรงหน้าด้วยความหวาดระแวง ชายวัยกลางที่ยังนั่งอยู่งุนงง
ทันใดนั้นสิ่งนั้นก็เกิดขึ้น...
“ไอพวกอัศวินบ้า !! ข้าบอกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าให้มีบันยะบันยั้งกันมั่งไง ไม่ได้ยินหรือไง ห๊ะ !! แล้วคราวนี้อะไรอีกเล่นฟันจุดตายกันที่คอ คิดอะไรกันอยู่!! รู้ไมว่าข้าต้องเสียพลังแสงไปอีกเท่าไรกับไอการฝึกบ้าๆ ของพวกเจ้า เห็นข้าเป็นตัวอะไร !! พอบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ไม่เคยมีสักตัวมาเรียก แต่พอใกล้ตายนี้เรียกใช้กันให้ทั่ว ใช่สิ!! ข้ามันดีกว่านักบวชแค่เวลาแบบนี้นิ !!”
เอาอีกแล้ว อัศวินที่อยู่รอบๆ คิดเหมือนกันโดยไม่ต้องนัดหมาย
ทันใดเสียงระเบิดก็ดังขึ้น โดนเป้าหมายหนักของเสียงระเบิดไม่ใช่เหล่าอัศวินที่ยืนมุง แต่เป็นกำแพง อาคาร หรือแม้กระทั้งเศษใบไม้ ทุกอย่างล้วนไม่พ้นแรงระเบิดของชายหนุ่ยที่ได้ใช้เวทแสงต่างๆ นาๆ มาทำร้ายข้าวของแทนเหล่าอัศวินที่เป็นต้นเหตุ
เพราะอะไรนะหรอ ถ้าหากเขาเผลอทำให้อัศวินบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่เป็นไร เดียวเขาไปเรียกแพทย์หลวงได้ หรือถ้าแขนขาขาดนิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไร เดียวเขาไปเรียก นักบวชได้ แต่ถ้าไปโดนจุดสำคัญๆ เข้าจนเหล่าอัศวินต้องไปยืนเป่ายิ่งชุบกับยมบาลหน้าประตูยมโลก คงหนีไม่พ้นเขาซึ่งเป็นผู้ศรัทธาแห่งแสงเป็นแน่ และพอหลังจากต้องรักษาอัศวินเสร็จหลายๆ รอบ วันต่อมาเขาก็ต้องได้ไปยืนเป่ายิ่งชุบกับยมโลกแน่ๆ ข้อหาใช่เวทแสงเยอะเกิน
มองยังๆ ต่อให้ใช้เข่าคิดยังรู้เลยว่า ควรระบายอารมณ์โกรธกับอะไร
เมื่อเวลาผ่านไปได้สักพักได้เสียงทุกอย่างก็หยุดลง เหลือแต่เพียงอาคารพังๆ สิ่งของกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง โชคดีว่าไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ
ชายหนุ่มยืนเหม่อลอย อาการคลุ้มคลั่งเมื่อครู่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
เออ... ลืมไป เวรทำความสะอาดลานประลอง เวรพวกข้านี้หว่า...
แปะๆ
เสียงตบมือดังขึ้น พร้อมกับร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวออกมาทามกลางเหล่าอัศวินที่รายล้อมอยู่ในลานประลอง เขาใบหน้าเรียวยาว ผมสีน้ำเงินเข้มตัดสัน นัยน์ตาสีเงินดุจดังดารายามราตรี ยิ่งดูเด่นในชุดอัศวินคลุมยาวสีแดงขริบทอง
“แอชเชอร์ เจ้านี้บ้าพลังจริงๆ อย่าลืมนะวันนี้ ‘เวรเจ้า’”
“แล้วมันไปหนักหัวอะไรเจ้าละ ถึงมายืนตบมือ แปะๆ อยู่แบบนี้ หรือว่าหัวหน้าอัศวินกาวิน สนใจจะช่วยข้าจัดการ ‘เก็บกวาด’ พวกนี้”
แอชเชอร์จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา
กาวินยิ้มกลับอย่างไม่ถือสาสายตาคู่นั้น ก่อนจะเดินไปช่วยพยุงอัศวินที่ยังนั่งตัวสั่นอยู่ และส่งอัศวินผู้นั้นในกับนักบวชที่ประจำการอยู่ในลานประลองไปรักษาจิตใจอีกต่อหนึ่ง
หลังจากส่งตัวอัศวินเสร็จ กาวินพลันเปลี่ยนสีหน้าให้กลับมาดูน่าเกรงขาม ก่อนจะเอ่ยวาจาลันว่า
“เหล่าอัศวินพี่น้องทั้งหลาย ข้าขอให้พวกเจ้าที่อยู่ในทีนี้รีบช่วยกันเก็บกวาดสถานทีนี้ให้กลับสู้สภาพเดิมในโดยเร็ว หากไม่แล้ว หน้าที่ลาดตะเวรราตรีนี้ข้าจะให้พวกเจ้าทั้งหมดรับผิดชอบ !!”
ช้าไม่ได้ทำแล้วทำไมข้าต้องรับผิดชอบด้วย !!
อัศวินทุกคนคิดเป็นเสียงเดียวกัน แต่จะให้คัดค้านก็ไม่ได้ในเมื่อ หัวหน้าสั่ง ลูกน้อยก็ต้องทำตาม ทุกคนจึงได้แต่ทำใจแล้วแยกย้ายออกไปปฎิบัติงาน(ที่ตัวเองไม่ได้ทำ)กันอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งหันไปมองต้นเหตุด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“มองข้ากันทำไม ข้าไม่ผิดซะหน่อย ใครใช้ให้พวกเจ้ามาเรียกใช้ข้าเวลาพักอันน้อยนิดของข้าละ” แอชเชอร์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ จะเรียกเขาว่าด้าน ไร้ยางอาย หรือชั่วช้ายังไงก็ได้เขาไม่ถือ เพราะถ้าใครการขึ้นมา เขาก็แค่จำไอคนๆ นั้นไว้ พอบาดเจ็บสาหัสมาเขาจะได้รักษาให้ ‘ตาย’ ไวขึ้นก็แค่นั้น
“งั้นตอนนี้เจ้าก็หมดพักแล้วสินะ งั้น... แอชเชอร์ เอานี้” กาวินเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม และยื่นของที่ห่อกระดาษไว้ให้แอชเชอร์ อีกฝ่ายเพียงแต่ขมวดคิ้วงุนงง ก่อนจะแกะออก สีหน้าพลันเปลี่ยนไปมุมปากกระตุกบ้างครั้งเหมือนกำลังหวาดกลัวอะไรบ้าง
“เออ... ข้ามีธุระ... เพราะฉะนั้นข้าคง...” พูดไม่ทันจบกาวินก็ได้จับแขนล็อกแอชเชอร์ไว้แล้ว
กาวินคลี่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ และเร่งฝีเท้าลากแอชเชอร์หายไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่อ้าวววว !! ข้าไม่อยากทำ !! ปล่อยข้าเดียวนี้ ไออัศวินโรคจิต ข้าไม่อยากทำ !!”
เสียงร้องโหยหวนดันขึ้นไปตลอดเส้นทางที่แอชเชอร์ผ่าน คงมีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าชะตากรรมของเขาจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ แต่ต่อให้ไม่บอกเขาก็เดาถูกไปแล้วกว่าครึ่ง นี้ก็เป็นอีกหนึ่งในชีวิตประจำวันที่เหล่าอัศวินทั้งหลายพบเจอในแต่ละวัน
“ข้าไม่ไหวแล้ว... ปล่อยข้าไปเถอะ...”
“อือ... ข้าว่าข้ามั่นใจแล้วนะ งั้นขออีกที”
“กาวิน... เจ้าเห็นใจข้าเถอะ ข้าไม่ไหวแล้วจริงๆ”
ทามกลางห้องสีขาวสะอาด ชายหนุ่ยคนหนึ่งหน้าระนาบกับโต๊ะ สีหน้าหมดอาลัยตายอยากสายตาเหม่อลอยมองดูจานที่อยู่ตรงหน้า ส่วนชายอีกคนหนึ่งกำลังยุ่งกับอะไรบ้างอย่างอยู่
ตึง !!
แอชเชอร์เหลือบมองจานที่พึ่งมาวางใหม่ ถ้าให้มองสิ่งที่เห็นตรงหน้าเขาเห็นแต่วัตถุสีดำๆ ดูแล้วเหมือนเอาดินน้ำมันมาปั้นแล้ววางไว้บนจาน ถ้าให้พูดจริงๆ... ดูยังไงก็ไม่น่าใช่สิ่งที่มนุษย์จะกินได้เลย
กาวินยิ้มกริ่ม “ข้าลองเปลี่ยนสูตรใหม่ดู ‘น่าจะกินได้’ นะ เจ้าลองชิมทีละกัน”
“....”
แอชเชอร์รู้สึกเหมือนมีเมฆครึมๆ อยู่บนหัว และใช่สายตามองดูสิ่งที่คาดว่าเป็นน่าจะอาหารอีกครั้ง
น่าจะกินได้... น่าจะกินได้เนี้ยนะ !! ฟ้าฝ่าเหอะ !! มองยังๆ ก็กินไม่ได้ชัดๆ แล้วทำไม... ทำไมถึงต้องเป็นข้า...
กาวินเลื่อนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแอชเชอร์ และนั่งลง รอยยิ้มประดับบนใบหน้า ก่อนจะเลื่อนจานไปตรงหน้าแอชเชอร์ บอกเชิงว่า ‘เจ้าลองชิมสักคำ’
แอชเชอร์มุมปากกระตุกเล็กน้อย จ้องมองจานอาหารสลับหน้ากาวิน อีกฝ่ายยังคงยิ้มแก้มปรี่
เอาไงเอากันฟะ !!
แอชเชอร์หยิบช้อนที่อยู่ด้านข้างไว้แน่น มือสั่นเล็กน้อย ค่อยๆ ใช้ช้อนตักส่วนที่อัตราการรอดมากที่สุด ก่อนจะเอาเข้าปาก
พรวดดดดดดดด!!
รสชาติแรกที่ได้ลิ้มรสอาหารจานนี้นับว่า... กินขยะยังอร่อยกว่า
กาวินถอนหายใจ ใบหน้าฉายแววผิดหวัง ก่อนจะหันไปรินน้ำใส่แก้วแล้วส่งต่อให้อีกฝ่ายที่กำลังเร่งพลังแสงชะล้างร่างกาย
แอชเชอร์รีบดื่มน้ำอย่างเอาเป็นเอาตายรวดเดียวหมด ปากไม่วายเอ่ยจิกกัด
“เจ้านี้มีพรสวรรค์เรื่องการทำอาหารเป็นเลิศจริงๆ”
“กำลังประชดข้าอยู่สินะ”
“ก็แหงสิ ข้าว่าถ้าเจ้าไม่ได้เป็นอัศวิน เจ้าคงได้เป็นฆาตกรที่มีชื่อเสียงแน่ๆ”
กาวินได้แต่ยิ้มรับอย่างจำใจ เขาเคยฝันว่าถ้าไม่ได้เป็นอัศวินคงไปเป็นเจ้าของร้านอาหารแทน แต่ดูเหมือนว่าสวรรค์คงไม่อยากให้เขาเป็น ฆาตกรโหด เลยให้เขาได้เป็นอัศวินแทน จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
หลังจากหลุดพ้นเหตุการณ์ลอบฆาตกรรมโหด แอชเชอร์ก็ต้องรีบไปห้องภาวนาต่อเพื่อเพิ่มพลังแสงที่ถูกถลุงไปกลับมา เขาใช้เวลาอยู่ในนั้นประมาณสองชั่วโมง เสร็จก็ต้องไปตัดสมุนไพรไว้ปรุงยาที่สวนหลังสนามฝึกของพวกนักเวทย์ใช้เวลาเดินไปกลับอีกชั่วโมง ไม่พอๆ ยังต้องไปแอบหยิบขนมปังกับองุ่นหนึ่งตะกร้าในห้องครัวอีก ใช้เวลาเดินจากสวนไปห้องครัวอีกครึ่งชั่วโมง เสร็จยังต้องไปฝึกพลังแสง กับแอบฝึกวิชาดาบอีก
เห็นหรือยังว่าอาชีพแรงกายสูง แต่ค่าแรงต่ำแบบนี้ จะมีใครกล้ามาสมัครกัน ถ้าเขาไม่รักจริงคงไม่มีทางเลือกอาชีพนี้แน่ๆ
เอ๋ พวกเจ้าจะบอกว่าวันๆ เขาไม่ได้ทำอะไรเลยนะหรอ น้อยๆหน่อย แรงกายแรงใจเขาก็หมดไปกว่าครึ่งกับการเป็นเหยื่อให้อัศวินโรคจิตนั้นแล้ว ไม่พอยังทำให้หลังๆ ลิ้นเขารับรสไม่ได้อีก แล้วแบบนี้จะหาว่างอีกไม แถมบ้างวันยัง ‘หน้าด้าน’ เรียกดึกดื่นให้เป็นเพื่อนลานตะเวนรอบดึกอีก ถ้าไม่เห็นว่าไอบ้านี้แบ่งเงินเดือนให้เขาหนึ่งในสามละก็เขาไม่ยอมคบเป็นเพื่อนหรอก
เมื่อทุกอย่างเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่ม แอชเชอร์ไม่รอช้ารีบก้าวยาวๆ ไปที่หอพักที่อยู่หลังลานประลองทันที หอของเขาอยู่ด้านขวาสุด โดยจะแบ่งสามหอหลักคือ หอผู้ศรัทธาแห่งความมือ หออัศวิน และหอผู้ศรัทธาแห่งแสง เรียงตามลำดับ ซึ่งอาชีพเขาน้อยอยู่แล้วจึงต้องแชร์กับพวกนักบวช และแพทย์หลวง
ห้องของเขาอยู่ที่ชั้นสามห้องในสุด เขาแอบดีใจที่ว่าชั้นที่เขาอยู่มีเพียงเขาเท่านั้น ตอนแรกก็มีคนอยู่หรอก เพราะเขามักได้ยินเสียงพูดคุยตอนดึก แต่เขาก็ไม่เคยเห็นเพื่อนร่วมชั้นเลยตอนออกมา จนเขามารู้ที่หลังว่าชั้นนั้นผีดุ จึงไม่มีใครกล้าอยู่ แต่เอ๋ งั้นเสียงตอนดึกก็... พอๆ !! อย่างให้เขาพูดเลย กว่าจะชินได้ก็ปาเข้าไปหลายปี
หลังจากมาถึงห้อง แอชเชอร์เดินไปทีเตียงอย่างรู้งาน และนั่งบนขอบเตียง เขาเงยหน้ามองเพดาน แววตาเหม่อลอย ก่อนจะค่อยๆ เอนกายลงบนเตียงนุ่มๆ
“แอร์เรีย... ข้า...”
ก๊อกๆ
ความคิดเห็น