ลำดับตอนที่ #9
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ความสงบหลังพายุพัดผ่าน(After Squall)
        ในที่สุดซีโร่ก็ลืมตาตื่นทำให้ไคน์กับเนียที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างๆรีบผลุนผลันเข้ามาดูด้วยความดีใจ
        “ซีโร่ ในที่สุดเธอก็ตื่นจนได้” เนียพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพร้อมกับน้ำตานองหน้าเช่นเดียวกับไคน์ที่ยิ้มจนหุบไม่ลง
        “ ไคน์..เนีย  พวกเธอ.....นี่ฉัน .อยู่ที่ไหนกันเนี่ย” ซีโร่พูดเบาๆ แล้วเอามือกุมหัว เพราะรู้สึกว่าตัวเองปวดหัวเล็กน้อย
        “..ที่นี่คือห้องพยาบาลจ๊ะ เธอหลับไปถึงหนึ่งชั่วโมงแถมยังมีไข้ขึ้นสูงมากซะอีก จนฉันคิดว่าเธอ....”เนียพูดพร้อมกับยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา
        ไคน์เอามือแตะไหล่เนียเบาๆแล้วหันมาพูดกับซีโร่ “นายคงจะจำไม่ได้ล่ะมั้ง พอนายลงมาจากยานนั่นแล้วนายก็หมดสติไปเลย พวกเรากับคุณโมลก็เลยช่วยกันพานายมานอนอยู่ที่นี่”
        เนียหันไปพูดกับไคน์ “อย่ามัวแต่พูดเลยไคน์ ไปตามหมอให้มาดูอาการซีโร่ก่อนเถอะ”
        “นั่นสิ ลืมไปเลย ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะไปตามให้เอง เธอดูแลเขาไปก่อนนะ” พูดจบไคน์ก็รีบเดินออกจากห้องไป ในขณะที่ซีโร่พยายามลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ ซึ่งเขารู้สึกว่าตามร่างกายมีอาการปวดกล้ามเนื้อเล็กน้อย
        “เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งลุกสิ เธอเพิ่งจะฟื้นขึ้นมานะ” เนียพูดพลางเอามือทั้ง 2 ข้างมาช่วยประคองตัวของเขาไว้ด้วยความเป็นห่วง 
        เขายิ้มรับแล้วพูดขึ้น “..ฉันไม่เป็นไรมาก..ไม่ต้องห่วงหรอก  แล้วนี่พวกเธอ 2 คนนั่งเฝ้าฉันอยู่ตลอดเลยเหรอ”
        “..อืม..ก็พวกเราเป็นห่วงเธอนี่” เนียพูดเบาๆ
        “ขอบใจมากนะ” ซีโร่ยิ้มให้เนียแล้วจากนั้นเธอก็ก้มหน้าลง ซึ่งเขาสังเกตเห็นว่าหน้าของเธอมีอาการแดงเล็กน้อย แล้วเธอก็พูดต่อทั้งที่ยังก้มหน้า “.....ตอนแรกที่พวกเราได้ขึ้นมาบนยานลำนี้ พวกเราพยายามตามหาเธอแต่ก็ไม่พบ เลยได้แต่ภาวนาว่าเธอคงจะสามารถหนีออกไปได้ทันด้วยยานฉุกเฉินก่อนที่สถานีจะระเบิด” พูดจบเธอก็เงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มอันสดใส “แต่ก็ดีแล้วที่เธออยู่บนยานลำนี้ด้วย ฉันน่ะดีใจจริงๆนะ ไคน์เองก็เหมือนกัน”
        “ฉันก็ดีใจ ที่มีพวกเธออยู่ด้วย” ซีโร่ยิ้มตอบ
        ได้ยินแบบนั้น เนียก็ยิ้มอย่างเบิกบานก่อนจะนิ่งเงียบไปอีกครั้งแล้วเริ่มพูดอย่างแผ่วเบา “นี่....ซีโร่...คือฉันน่ะ”
        เขามองหน้าเธอเล็กน้อยแล้วถามกลับ “อะไรเหรอ”
        เนียทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่แล้วก็หันหน้าไปอีกด้าน “ไม่..ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ”เธอพูดโดยหันข้างให้ซีโร่ แต่เขาก็ยังเห็นว่าใบหน้าของเธอในตอนนี้แดงซ่านจนเกือบจรดใบหู
        จากท่าทีของเนียแค่นี้ เขาก็พอจะเดาออกแล้วว่าเนียตั้งใจจะพูดอะไร ก็ในเมื่อเขากับเนียรู้จักกันมานานถึง 4 ปี และเธอก็เป็นเพื่อสนิทที่สุดของเขา มีหรือที่เขาจะมองไม่ออกถึงความรู้สึกที่เธอมีให้กับเขา แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขาไม่อาจจะตอบรับความรู้สึกของเนียได้
        ในขณะที่ทั้งห้องตกอยู่ในบรรยากาศแปลกๆ จากความเงียบของทั้งคู่ จู่ๆก็มีเสียงคนดังขึ้นทำลายความบรรยากาศเมื่อครู่นี้ไปจนหมด
        ซีโร่กับเนียตกใจเล็กน้อยและหันไปยังต้นเสียงซึ่งอยู่ที่เตียงนอนอีกฝั่งหนึ่งซึ่งมีผ้าม่านกั้นอยู่
        “นั่นใครน่ะ” ซีโร่รีบพูด ซึ่งเขาพบว่ามีคนนอนอยู่บนเตียงนั้น และกำลังค่อยๆลุกขึ้นเพื่อเปิดผ้าม่านออก และเขาก็ถึงกับตกใจเมื่อได้เห็นหน้าของคนๆนั้น แล้วรีบพูดขึ้น “นาย คนที่บาดเจ็บเมื่อตอนนั้น ที่ชื่อเรอิใช่ไหม”
        เรอิซึ่งกำลังนั่งอยู่บนเตียงคนไข้มองหน้าของซีโร่แล้วรีบพูด “คุณ..คนที่ช่วยผมไว้ตอนนั้น..ผม ผมนึกว่าคุณตายไปแล้วซะอีก ดีจริงๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่” เรอิพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
        ซีโร่ยิ้มกลับ “นายเองก็เหมือนกัน”
        “ เอ่อ นั่นใครกันน่ะซีโร่” เนียซึ่งหน้าเริ่มหายแดงแล้วถามขึ้น
       
        “คนที่ฉันช่วยเอาไว้ก่อนที่จะหนีออกมาจากอควอเรียสน่ะ เอ่อ รายละเอียดไว้จะเล่าให้ฟังวันหลังแล้วกัน” ซีโร่พูดกับเนียแล้วหันไปพูดกับเรอิอีก “แล้วบาดแผลของนายล่ะ คงจะไม่เป็นอะไรมากสินะ”
        เรอิยิ้ม “ได้หมอช่วยไว้ทันน่ะครับ เลยไม่เป็นอะไรมาก คิดว่านอนพักไม่กี่วันก็คงจะหาย เอ่อ..แล้วคุณ จะว่าไปผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”
        “ฉันชื่อ ซีโร่ แอ็คเซล” ซีโร่พูด
        “..แล้วทำไมคุณซีโร่ถึงมานอนอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ”
        “ เรื่องมันยาวน่ะ จริงสิแล้วเด็กผู้หญิงคนนั้นล่ะ ที่ชื่อหลี่ เหม่ยชิงน่ะ เธอคงจะเป็นคนที่พานายขึ้นมาบนยานลำนี้ใช่ไหม แล้วตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง”
        “พอเธอพาผมขึ้นมาที่อาเธน่าแล้วก็ฝากผมให้กับจ่าโมล แล้วเธอก็บอกว่าจะกลับไปตามหาคุณน่ะครับ..”
        ซีโร่ถึงกับสะดุ้งสุดตัว  “เฮ้ย!ถ้างั้น อย่าบอกนะว่าเธอ..”   
        “อย่าเพิ่งตกใจ ฟังให้จบก่อนครับ คือพอเธอบอกว่าจะกลับไปตามหาคนภายในสถานี เธอก็ถูกจ่าโมลห้ามไว้ พอเธอขัดขืนจ่าโมลก็เลยให้คนหลายคนช่วยกันจับเธอให้ขึ้นยานน่ะครับ”
        ซีโร่ถอนใจด้วยความโล่งอก “งั้นเหรอ”
        “ท่าทางเธอโกรธมากตอนที่ถูกห้ามไว้ ดังนั้นตอนนี้ก็คงจะถูกพาไปสงบสติอารมณ์ที่ไหนอยู่แหละครับ” เรอิพูดต่อ
        ได้ยินแบบนั้นแล้วซีโร่ก็ยิ้มกับตัวเองไม่ได้  เพราะนึกไม่ถึงว่าจะมีเด็กสาวที่เลือดร้อนแบบนี้อยู่ด้วยและทั้งที่พวกเขาเพิ่งจะเคยเจอกันแค่ครั้งเดียว เธอกลับเป็นห่วงเขามากถึงขนาดนี้ ในขณะที่เนียสังเกตเห็นเขาอมยิ้มแบบแปลกๆจึงยื่นหน้าเข้ามาแล้วถามขึ้น “เด็กสาวที่พูดถึงกันน่ะคือใครงั้นเหรอ”
        ซีโร่พูดตะกุกตะกักเล็กน้อย “ เอ่อ ฉันก็เพิ่งจะรู้จักเหมือนกัน เธอจำได้ไหมว่ามีคนที่ได้คะแนนสอบเลื่อนขั้นนักบินของรุ่นเราที่สอบได้ที่ 3 ซึ่งฉันกับไคน์เคยคุยกันว่าไม่เคยเห็นหน้าที่ชื่อว่าหลี่ เหม่ยชิงน่ะ”
        เนียยิ้ม “ท่าทางจะเป็นคนสวยล่ะสิ หลี่เหม่ยชิงคนนี้เนี่ย”
        “เดี๋ยว!ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ” ซีโร่หน้าแดงเล็กน้อย
        “ก็เห็นอมยิ้มไม่หยุดเลยนี่นา”
        เรอิพูดแทรกขึ้น “ครับ ถึงตอนนั้นผมจะมีสติเลือนราง แต่รับรองครับว่าน่ารักมากเลย”
        “แหม....ขอบคุณนะที่บอก คุณ เรอิ” เนียพูดด้วยรอยยิ้มแปลกๆ ทำเอาซีโร่ทำท่าอึกอักพูดอะไรไม่ถูก แล้วทันใดนั้นก็เหมือนระฆังช่วยชีวิต เมื่อประตูห้องพยาบาลเปิดออก แล้วไคน์ก็เดินตรงเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว
        ซีโร่รู้สึกโล่งอกที่มีคนอื่นเข้ามาในห้องซะที
        “คุยอะไรกันเหรอท่าทางสนุกดีนะ” ไคน์พูด
        “นิดหน่อยน่ะ” เนียยิ้ม
        ซีโร่รีบพูดแทรกเพื่อตัดบทและเปลี่ยนเรื่อง “เอ่อ..ขอแนะนำนะไคน์  นี่คือเรอิ” แล้วจากนั้นพวกเขาต่างก็แนะนำตัวกัน
        “เอ้อ แล้วหมออยู่ไหนล่ะ ไคน์” เนียนึกขึ้นได้จึงพูด
        “กำลังเดินตามมานี่แหละ” ไคน์ตอบกลับ
        พูดไม่ทันขาดคำก็มีเด็กสาวอายุประมาณ 13-14 ปีเดินเข้ามาในห้องแล้วไคน์ก็ยิ้มเล็กน้อยจากนั้นจึงชี้มาทางเด็กสาวคนนี้ “นี่ไงล่ะ หมอน่ะ” 
        เด็กสาวที่ไคน์บอกว่าเป้นหมอคนนี้ยิ้มให้กับทุกคนในห้องแล้วหันมาที่ซีโร่ “ตื่นแล้วเหรอ ฉันชื่อมิลลี่  บาร์เนี่ยนตอนนี้เป็นหมอประจำยานลำนี้ค่ะ” เด็กสาวพูด
        ซีโร่ถึงกับงงเป้นไก่ตาแตกแล้วพูดอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก “เธอเป็นหมอเหรอ แต่ดูแล้วเธอ อายุน้อยกว่าพวกเราอีกนะ”
        ไคน์ถอนใจเล็กน้อย “เออ! ตอนแรกฉันก็ตกใจเหมือนนายนั่นแหละว่าทำไมหมอประจำยานถึงได้เป็นเด็กสาวแบบนี้ เพราะดูแล้วเธอน่าจะอายุประมาณ13-14ปีเอง”
        มิลลี่หัวเราะเบาๆแล้วตอบกลับ “อายุ 14 ปีค่ะ จริงๆแล้วฉันเป็นแค่แพทย์ฝึกหัดเท่านั้นเอง แต่เพราะในยานลำนี้ไม่มีคนที่เป็นแพทย์หรือว่ามีความรู้ในเรื่องการรักษาเลยสักคน ฉันก็เลยขออาสาทำหน้าที่นี้เองน่ะ”
        “..ยอดไปเลยนะ เธอนี่เก่งจัง”เนียร้อง
        “ไม่เก่งหรอก ฉันก็แค่..ทำในสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้ ก็เท่านั้นเอง” มิลลี่ตอบกลับด้วยท่าทางเขินเล็กน้อย               
        “เอ้อ อย่ามัวแต่พูดเลยช่วยดูอาการเจ้าหมอนี่ก่อนเถอะ” ว่าแล้วไคน์ก็พูดพลางชี้ไปที่ซีโร่
        “นั่นสิ” พูดจบมิลลี่ก็หยิบเอาเครื่องมือบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อที่เหมือนกับเป็นเป็นเครื่องวัดชีพจรแล้วลงมือตรวจร่างกายของซีโร่ จากนั้นเมื่อผ่านไปประมาณ 2-3 นาที มิลลี่จึงหันมาพูดกับเนียและไคน์ “เรียบร้อย สภาพร่างกายไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว” มิลลี่พูดพร้อมกับเก็บเครื่องมือของตนเอง
       
        “ซีโร่....เขาเป็นอะไรมากรึเปล่าจ๊ะ” เนียหันไปถามมิลลี่
        มิลลี่ยิ้ม “ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ สภาพร่างกายของเขาตอนนี้ปกติดี ต้องบอกเลยว่าหากเทียบกับตอนแรกที่เห็นสภาพแล้วยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะฟื้นตัวได้เร็วขนาดนี้ ว่าไปแล้วพลังฟื้นตัวของร่างกายของเขานั้นต้องถือว่าสูงกว่าคนทั่วไปมากเลย”
        ไคน์ยิ้ม “เป็นไงล่ะเนีย บอกแล้วไงล่ะว่าไม่ต้องห่วง อย่างเจ้านี่น่ะมันไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก”
        “อื้ม แต่ก็อดห่วงไม่ได้นี่” เนียพูดเบาๆ
        มิลลี่ยิ้มแล้วพูดต่อ “แต่ถึงยังไงก็ยังคงต้องให้เขาพักผ่อนซะหน่อยนะคะ เพราะแม้ว่าสภาพร่างกายจะปกติ แต่สภาพจิตนั้นอาจจะมีความเหนื่อยล้าอยู่บ้าง ถ้ายังไงให้เขานอนพักอีกสักนิดดีกว่านะคะ”
        “ก็จริงนะ ถ้างั้นพวกเราออกไปก่อนดีกว่านะ เนีย” ไคน์พูด
        “เอ่อ..แต่  ถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมา” เนียพูดตะกุกตะกัก
       
        ตัวคนป่วยอย่างซีโร่ซึ่งไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่เมื่อครู่จึงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงหรอกน่า อย่างที่หมอมิลลี่บอกนั่นแหละว่าฉันนอนพักสักหน่อยน่าจะดี และในห้องนี้ก็มีโทรศัพท์ติดอยู่ ถ้าหากเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็โทรเรียกได้อยู่แล้ว”
        “..ถ้างั้น ก็ได้ แต่ถ้าอยากได้อะไรล่ะก็โทรเรียกพวกเรานะ อย่าลืมล่ะ” เนียกำชับอีกครั้งแล้วก็หันไปลาเรอิเล็กน้อย จากนั้นเนีย ไคน์และมิลลี่ก็พากันออกจากห้องพยาบาลไปหมด
        “ท่าทางจะเป็นห่วงคุณกันจังนะครับ 2 คนนั่นน่ะ” เรอิซึ่งขณะนี้อยู่กับซีโร่เพียงลำพังพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
        “อื้ม” ซีโร่พยักหน้ารับ
        “แต่ดูท่าทางคุณเนียจะเป็นห่วงคุณเป็นพิเศษนะครับ พวกคุณคงเป็นแฟนกันสินะ”
        “ไม่ใช่! .เป็นแค่เพื่อนน่ะ  นายเห็นเป็นว่าเราเป็นแฟนกันเหรอ” ซีโร่รีบพูด
        “ก็ถ้ามองจากสายตาคนนอกอย่างผมล่ะก็ คงจะเห็นเป็นแบบนั้นล่ะครับ”
        ซีโร่ยิ้มกลับเล็กน้อย “..ไม่ใช่แฟนหรอก”
        “งั้นเหรอครับ แต่ผมดูว่าเหมาะสมกันดีนะครับ” เรอิยังคงพูดต่อ
        พูดถึงตรงนี้ซีโร่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ แล้วพูดเบาๆ “..ไม่มีทาง พวกเราเป็นแฟนกันไม่ได้หรอก”
        “เอ๋” เรอิร้องเบาๆ
        “..เปล่า..ไม่มีอะไร โทษทีนะ ฉันจะนอนแล้ว”
        “ถ้างั้น..ผมไม่รบกวนแล้วครับ ผมก็จะนอนเหมือนกัน” พูดจบเรอิก็เอนตัวลงนอนบนเตียง ในขณะที่ซีโร่นอนตะแคงหันเข้าหากำแพง
        นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดเรื่องที่เขาได้มีโอกาสนอนคิดทบทวนถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วทั้งหมดอย่างสงบ ซึ่งพอมาคิดๆดูแล้วเรื่องทั้งหมดนั้นดูเหมือนยาวนานก็จริง แต่จริงๆแล้วเหตุการณ์ทั้งหมดที่ได้เกิดขึ้นนั้นใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ นับตั้งแต่สถานีอวกาศอควอเรียสถูกบุกโจมตีจากกลุ่มคนลึกลับจนระเบิดเป็นจุล จากนั้นด้วยสถานการณ์ที่พาไป ทำให้เขาได้ขึ้นขับยานวาลคิวเร่ต่อสู้กับพวกที่น่าจะเรียกว่าศัตรู จนสุดท้ายเขาก็มานอนอยู่บนเตียงภายในห้องพยาบาลบนยานอาเธน่า
       
        ผู้ที่บุกเข้ามาในอควอเรียสเป็นใคร?  และเพื่ออะไร?
        ถ้าพยายามคิดตามหลักเหตุผล  คนพวกนั้นน่าจะเป็นกองกำลังเรดการ์ด เพราะการกระทำของพวกนั้นต่อคนในอควอเรียสมันเปรียบกับกับการสังหารหมู่ดีๆนี่เอง  และผู้ที่อยู่ในอควอเรียสทั้งหมดต่างก็เป็นชาวโลก  และสำหรับโลกแล้วเวลานี้ฝ่ายที่เป็นเหมือนกับศัตรูหมายเลขหนึ่งในเวลานี้ก็คือดาวอังคาร
        และยังมีอีกหลายเรื่อง บรรดาหลายต่อหลายคนที่เขารู้จักที่อควอเรียส ซึ่งมีทั้งคนที่สนิท ไม่สนิท และคนที่เขาชอบและไม่ชอบ ไม่รู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะหนีออกมาได้ทันรึเปล่า ซึ่งถ้าหากอยู่บนยานลำนี้ก็คงจะดี 
        แต่ความจริงแล้วเรื่องที่ติดค้างใจและวนเวียนอยู่ในหัวของเขามากที่สุดนั้น .คือเรื่องของเด็กสาวคนนั้น เด็กสาวที่จะปรากฏตัวออกมาราวกับความฝันทุกครั้ง ในเวลาที่สติการรับรู้ของเขาตกอยู่ในภวังค์หรืออยู่ในสภาพที่กึ่งหลับกึ่งตื่น
        ตอนนั้นเขาได้ถามชื่อของเด็กคนนั้นไป และเด็กคนนั้นตอบกลับมาแล้ว ซึ่งถึงแม้ว่าจะเบามากก็ตามที  แต่เขาก็ได้ยินมันชัดราวกับว่าเสียงนั้นถูกส่งเข้าไปยังสมองและโสตประสาทของเขาโดยตรง
       
        “อีฟ”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น