ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Wings (ภาคสมบูรณ์)

    ลำดับตอนที่ #8 : ผู้ที่ยังมีชีวิต (Survivor)

    • อัปเดตล่าสุด 4 เม.ย. 48






             “เริ่มการบันทึกข้อความ” คอมพิวเตอร์ส่งเสียงตอบรับคำสั่ง



             “เริ่มบันทึกข้อความได้” พูดจบโฟน่าก็นั่งเอนหลังกับพนักพิงของเก้าอี้พลางแหงนหน้ามองเพดานห้องแล้วว่าต่อ “ให้บันทึกข้อความต่อไปนี้ลงในแฟ้มที่ชื่อว่าบันทึกพิเศษของร้อยโทโฟน่า ควอเร่ กัปตันยานอาเธน่า”



             แล้วเมื่อคอมพิวเตอร์ส่งเสียงตอบรับอีกครั้ง โฟน่าจึงสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วเริ่มพูด“…..นับตั้งแต่ที่สถานีอวกาศอควอเรียสถูกโจมตีอย่างสายฟ้าแลบและได้ระเบิดไปจนถึงพวกเราจำนวนหนึ่งที่เหลือรอดและหนีจากการโจมตีด้วยยานอาเธน่านั้น เหตุการณ์ทั้งหมด...ได้ผ่านมา 1 ชั่วโมงแล้ว”



             “เรายังไม่ทราบอยู่ดีว่าผู้ที่บุกโจมตีนั้นเป็นใคร มีวัตถุประสงค์จริงๆคืออะไร ถึงแม้…ดูตามรูปการณ์อย่างผิวเผินแล้ว อาจจะมีเป้าหมายอยู่ที่การทำลายสถานีก็จริง แต่ว่าก็เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น ซึ่งถ้าจะว่ากันตามจริงแล้ว การที่สถานีเกิดระเบิดนั้นมาจากการที่คอมพิวเตอร์หลักของสถานีถูกตั้งโปรแกรมไว้ว่าให้ทำการระเบิดตัวเองทิ้งหากว่ามันถูกทำลาย ดังนั้นการระเบิดของสถานีจึงเป็นเพียงผลลัพธ์ที่ตามมาเท่านั้น”



             “ส่วนตัวจริงของศัตรูนั้นยังอยู่ในขั้นสันนิษฐาน ซึ่งมีแนวโน้มสูงมากว่าอาจจะเป็นกองทัพของทางฝ่ายดาวอังคาร หรือที่รู้จักกันในนามของกองกำลัง เรดการ์ด ซึ่งหากเป็นจริง ก็จะช่วยตอบวัตถุประสงค์ของการบุกครั้งนี้ได้บ้างว่า…เป็นการทำ....เพื่อตอบโต้การโจมตีของทางกองทัพโลก ในกรณีของโคโลนี่เซ็นจูรี่ที่ 18 เมื่อ15 ปีก่อน”



             “….แต่ว่าอควอเรียสนั้นไม่ใช่สถานีอวกาศที่ใช้ในการรบ และถึงจะเอามาใช้ในการรบก็ยังไม่ใช่จุดยุทธ์ศาสตร์ในด้านการทหารที่สำคัญเท่าไหร่นัก ถึงแม้จะตั้งอยู่ในเขตที่ใกล้กับเขตแดนของดาวอังคารมากก็ตามที แต่สถานีอควอเรียสนั้นก็เป็นที่รู้กันดีว่าเป็นสถานีสำหรับฝึกสอนนักศึกษาด้านอวกาศโดยเฉพาะ ดังนั้นหากมองในแง่ของผลประโยชน์ที่กองทัพเรดการ์ดจะได้ในการบุกโจมตีแล้ว แทบจะไม่มีเลย”



             “…..แต่หากจะมี ก็ยังพอมีอีกเหตุผลสำหรับฝ่ายเรดการ์ด นั่นก็คือการมีอยู่ของยานอาเธน่าลำนี้ เพราะในบรรดายานรบพิฆาตของกองทัพโลกในปัจจุบันนั้น ยานอาเธน่าลำนี้ถือได้ว่าเป็นผลงานที่เกิดจากวิทยาการล่าสุด โดยเป็นยานรบที่ถูกสร้างขึ้นจากคำขอของ…ผู้พัน..โดโนแวน..ซึ่ง”



             พูดถึงตรงนี้โฟน่าก็นิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนจะพูดต่อด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด “…….ซึ่ง…เสียชีวิต….ในขณะปฏิบัติหน้าที่” แล้วเธอก็เอานิ้วปาดน้ำตาที่ไหลลงมาเล็กน้อย



             “…ท่านเป็นผู้ที่ขอให้ทางบริษัทฟรีเดน ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งในวิทยาการด้านอวกาศของโลก โดยตัวท่านอาศัยสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับประธานคนปัจจุบันของฟรีเดน ในการขอให้ช่วยสร้างยานอาเธน่าขึ้น จากวิทยาการและเทคโนโลยีล่าสุดของบริษัท โดยผู้พันเป็นผู้ออกทุนให้ครึ่งหนึ่ง โดยในการสร้างนั้น…ยังมีเงื่อนไขอื่นๆอีก ซึ่งไม่เป็นที่เปิดเผย”



             “จากที่ผู้พันเคยคาดการณ์ไว้นั้น ทางกองทัพโลกอยากจะได้อาเธน่าไว้เป็นของตนเพื่อใช้เป็นต้นแบบสำหรับการพัฒนายานรบรุ่นต่อๆไปของกองทัพในการเตรียมทำสงครามกับดาวอังคาร ซึ่งหากเป็นจริง นี่สามารถถือเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ทางเรดการ์ดบุกเข้าจู่โจมอควอเรียสได้…แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นแสดงว่าต้องมีการรั่วไหลของข่าวสารจากภายในอควอเรียสไปถึงพวกเรดการ์ด ซึ่งนั่นทำให้เป็นไปได้ว่าภายในอควอเรียส…มีไส้ศึกอยู่”



             “แต่อย่างที่พูดไว้ในตอนแรก ทุกอย่างล้วนเป็นแค่สมมติฐาน ยังไม่มีหลักฐานที่จะบ่งชี้อะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว ทุกอย่างที่คิดไว้ในตอนนี้ถือเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น…ซึ่งสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเราไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงแค่ปล่อยให้มันผ่านไป ซึ่งในตอนนี้สิ่งที่ควรแก้ไข คือปัญหาเฉพาะหน้าที่กำลังเกิดขึ้น”



             ถึงตรงนี้โฟน่าก็ถอนใจเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “….หลังจากนี้ยานอาเธน่ามีเป้าหมายคือการกลับสู่โลกเพื่อทำการส่งมอบยานอาเธน่าคืนให้ทางบริษัทฟรีเดน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเงื่อนไขที่ทำไว้ในตอนแรกที่เริ่มสร้างยานว่า หากไม่ใช่อยู่ในภาวะสงครามแล้วอาเธน่าถือเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทฟรีเดน กองทัพไม่มีสิทธิ์ในการยึดเอาเป็นของกองทัพ นอกเสียจากจะได้รับความยินยอมอย่างเห็นชอบจากทางบริษัทเท่านั้น”



             “ในส่วนของลูกเรือนั้น ปัจจุบันอาเธน่ามีลูกเรือทั้งหมด 112 คน เป็นเจ้าหน้าที่ทางทหารที่ประจำในอควอเรียส 14 คน ส่วนอีก 98 คนที่เหลือเป็นพลเรือนเด็กหนุ่มสาวอายุ 13 -16 ปี โดยพวกเขาทั้งหมดเป็นนักศึกษาด้านอวกาศของสถานีอวกาศอควอเรียสจากหลายๆสาขา ซึ่งความจริงแล้วนักศึกษาด้านอวกาศและเหล่าครูฝึกที่อยู่บนอควอเรียสนั้นยังมีอีกนับร้อยคน แต่พวกเขาเหล่านั้นได้ขึ้นยานฉุกเฉินหนีกันไปได้ก่อนที่อควอเรียสจะระเบิด ซึ่งก็ยังมีบางส่วนที่อาจจะ....เสียชีวิตไปด้วยในขณะที่อควอเรียสถูกทำลาย” ถึงตรงนี้น้ำเสียงของโฟน่าก็สั่นไหวเล็กน้อย “ดังนั้นที่หนีขึ้นมาบนยานอาเธน่าในตอนนี้จึงน่าจะเป็นผู้รอดชีวิตชุดสุดท้ายจากอควอเรียส และเราก็ได้แต่หวังว่าคนอื่นๆที่หนีไปก่อนหน้านี้จะได้รับการช่วยเหลือจากยานลาดตระเวนกองทัพโลก”



             “สำหรับนักศึกษาที่อยู่บนยานลำนี้ เมื่อกลับไปถึงโลกแล้วจะได้รับการส่งกลับบ้านอย่างปลอดภัย…แต่ในตอนนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ การที่ระบบนำทางของอาเธน่าได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการถูกโจมตี ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งสำหรับยานอวกาศแล้วหากไม่มีระบบนำทางช่วย ก็เปรียบได้กับนกที่ถูกทำให้ตาบอดถึงจะยังมีปีกบินได้ก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถจะบินกลับรังได้อย่างถูกต้อง”



             “และการที่ต้องบินอย่างสุ่มสีสุ่มห้านั่นถือเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะการที่ต้องบินวนอยู่เป็นเวลานาน ปัญหาเรื่องเชื้อเพลิงไม่พอก็จะตามมา”



             “นอกจากนี้ปัญหาด้านอาวุธก็เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากยังติดตั้งอาวุธได้ไม่สมบูรณ์ อะไหล่และเครื่องมือจำเป็นในการติดตั้งบางอย่างก็ยังขาดอยู่ ทำให้อาวุธที่สามารถใช้ได้ในตอนนี้มีเพียงปืนลำแสงกราวิตี้ 2 กระบอกเท่านั้น ซึ่งในตอนนี้กำลังให้เจ้าหน้าที่ด้านอาวุธและฝ่ายซ่อมบำรุงหาทางใช้อุปกรณ์เท่าที่มี ติดตั้งอาวุธที่พอจะใช้สำรองได้อย่างเร่งด่วน เพราะถึงแม้อาเธน่าจะเป็นยานรบรุ่นใหม่ล่าสุดแค่ไหน หากไม่มีอาวุธก็ไม่สามารถป้องกันตนเองได้ ซึ่งถือเป็นอันตรายอย่างยิ่ง สำหรับพวกเราในขณะนี้  ซึ่งไม่รู้ว่ายานฝ่ายศัตรู 3 ลำนั้น จะตามมาเมื่อไหร่”            



             แล้วทันใดนั้นประตูห้องถูกเปิดออกโดยอัตโนมัติ  พร้อมกับโมลที่เดินตรงเข้ามาซึ่งในมือข้างหนึ่งก็ถือดิสก์แผ่นหนึ่งเข้ามาด้วย



             เขายกมือทำวัทยาหัตถ์ “สิบเอกโมล คาริว ขอเข้าพบครับ ร้อยโทโฟน่า ไม่สิ…ต้องเรียกกัปตันสินะ”



             โฟน่ายิ้มให้แล้วพูด “..อยู่กันแค่ 2 คนแบบนี้ไม่จำเป็นต้องพูดจาเป็นทางการแบบนั้นหรอกนะคะ รุ่นพี่”



             โมลยิ้มกลับ “ก็ดีเหมือนกัน เอ้านี่!” พลางยื่นแผ่นดิสก์ที่เอาเข้ามายื่นให้ “ข้อมูลที่เธออยากได้ กว่าจะรวบรวมได้ครบก็เล่นเอาแย่เหมือนกัน”



             “ขอบคุณค่ะ” โฟน่าพูดแล้วรับมาเสียบในช่องใส่ดิสก์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วพูดขึ้น ”ยกเลิกการบันทึกข้อความ ให้คอมพิวเตอร์เข้าสู่การทำงานปกติ” จากนั้นเธอจึงเรียกข้อมูลที่อยู่ในแผ่นดิสก์ขึ้นมา ซึ่งสิ่งที่ออกมาก็คือรายชื่อและข้อมูลส่วนตัวของลูกเรือที่อยู่บนยานอาเธน่าทั้งหมด โดยเป็นลิสต์รายชื่อยาวนับสิบๆชื่อ เธอค่อยๆมองผ่านไปเรื่อยๆพร้อมกับลากเม้าส์เลื่อนดูที่ชื่อเหล่านั้น



             โมลซึ่งยืนดูอยู่ที่ข้างๆโต๊ะเปิดปากพูดขึ้น “…ความจริงแล้ว.....ที่เธอสนใจอยากรู้นั้นน่าจะเป็นข้อมูลของเจ้าหนูนั่นสินะ”



             โฟน่ายิ้มให้เล็กน้อย “รุ่นพี่นี่รู้ใจฉันไปหมดเลยนะคะ อ้า...เจอแล้ว” ว่าแล้วเธอก็คลิกเข้าไปดูยังข้อมูลของซีโร่ แอ็คเซล แล้วข้อมูลต่างๆก็ปรากฏขึ้นมาทางหน้าจอคอมพิวเตอร์



             “ชื่อ ซีโร่  แอ็คเซล อายุ 16 ปี  ปัจจุบันเพิ่งได้รับใบอนุญาตการเป็นนักบินฝึกหัดระดับ 3….ดูจากที่บันทึกแล้วเพิ่งจะได้รับการเลื่อนชั้นเป็นนักบินฝึกหัดระดับ 3 วันเดียวกับที่อควอเรียสถูกโจมตีนี่เอง…ส่วนประวัติโดยย่อนั้น…..เกิดที่ดวงจันทร์ แต่ตามพ่อแม่ไปอาศัยอยู่ที่โลกเมื่ออายุได้ 7 ปี จากนั้นก็อยู่ที่โลกมาตลอดจนอายุได้ 12 ปี หลังจากพ่แม่เสียชีวิตจึงได้ย้ายกลับไปที่ดวงจันทร์อีกครั้ง และได้เข้าเรียนที่ศูนย์ฝึกอวกาศเดลต้าในภาควิชาอวกาศการบิน และได้รับใบอนุญาตการเป็นนักบินฝึกหัดระดับ 1 เมื่ออายุได้ 14 ปี  จากนั้นทำผลการเรียนได้เป็นอันดับ 1 จนถูกส่งตัวให้มาเรียนต่อยังสถานีอควอเรียสเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว…”



             “ว้าว!..เก่งไม่ใช่เล่นเลยนี่นา เจ้าหนูคนนี้น่ะ” โมลพูดขึ้น



             “ถ้าดูจากประวัติแล้วก็คงต้องบอกเลยล่ะค่ะว่า เด็กคนนี้เป็นพวกหัวกะทิเลย แต่ว่า…” โฟน่านิ่งไปเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “….ข้อมูลช่วงก่อนที่จะเข้าเรียนที่ศูนย์เดลต้าบนดวงจันทร์นั้น….แทบจะไม่มีเลย และก็บอกแค่ว่าเกิดที่ดวงจันทร์เท่านั้นไม่ได้ระบุด้วยว่าเกิดในโดมไหนหรือว่าที่โคโลนี่ไหน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วควรจะต้องมีการบันทึกข้อมูลตรงนี้ไว้ด้วย”



             โมลเกาศีรษะเล็กน้อย “..ก็นะ…แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่นี่นา บนดวงจันทร์มีโดมสำหรับอยู่อาศัยเกือบๆพันแห่งเห็นจะได้ ก็อาจเป็นได้ที่อาจจะเกิดในโดมที่ไม่มีข้อมูลบันทึกไว้”



             โฟน่าพูด “นั่นสินะ…เรื่องแค่นี้ฉันไม่น่าต้องไปใส่ใจมากเลย”



             “….อันที่จริงไม่ใช่แค่เธอหรอกนะที่รู้สึกสงสัยน่ะ” โมลพูดพลางทำสีหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “คือว่า….จะเป็นไปได้ไหมว่า ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่เกิดของเด็กคนนี้มันไม่ใช่ของจริง”



             “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะคะ”



             “…เธอเองก็น่าจะเห็นแล้วนี่นา ความสามารถในการควบคุมยานวาลคิวเร่ และสามารถใช้ระบบโซนิคได้ถึงขนาดนั้นของเจ้าหนูนั่น มันเกินขีดความสามารถของมนุษย์ธรรมดาไปแล้วนะ”



             “….อยากจะพูดอะไรรึคะ”



             โมลนิ่งเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ถ้าเจ้าหนูนี่…ความจริงแล้วไม่ได้เกิดที่ดวงจันทร์ แต่เกิดที่ดาวอังคารล่ะจะว่ายังไง”



             โฟน่าทำตาโตแล้วพูดอย่างช้าๆ “….หรือว่า….รุ่นพี่จะบอกว่า เขาเป็นเอ็กซ์คลูสเซอร์อย่างนั้นหรือคะ!”



             “ก็แค่เดา แต่ถ้าใช่...นั่นก็จะช่วยตอบข้อสงสัยในเรื่องความสามารถเหนือมนุษย์ของเขาได้” โมลพูดต่อ



             “แต่คนที่เป็นเอ็กซ์คลูสเซอร์แล้วมาใช้ชีวิตอยู่ที่โลกแบบนี้มัน…ฟังดูแล้วไม่น่าเชื่อเลยนะคะ”



             โมลยิ้มเล็กน้อย “ถึงได้บอกไงว่าแค่เดา แต่มันก็ไม่น่าจะผิดไปจากนี้แหละนะ”



             โฟน่าถอนใจเบาๆ “ถ้าเป็นแบบนั้นจริง…จากนี้เราคงจะมีปัญหากันพอสมควรเลยล่ะค่ะ”



             “ถ้ายังไงก็…ลองเรียกเขามาคุยดูสักครั้งน่าจะดีกว่านะ”



             “ก็คิดไว้เหมือนกันค่ะ แล้วตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้างคะ”



             “ยังหลับอยู่ แต่ตอนนี้ไข้ลดลงมากแล้ว พูดได้ว่าพลังฟื้นตัวเยี่ยมจริงๆ” ว่าแล้วโมลก็เหลือบมองสร้อยที่สวมคล้องอยู่ที่คอของโฟน่า ซึ่งสิ่งนั้นเป็นป้ายเหล็กที่เหมือนกับเป็นป้ายชื่อของทหาร



             “..ไม่ว่ายังไงก็ลืมไม่ได้สินะ เรื่องของเจ้านั่น” เขาพูดเบาๆ



             โฟน่าเอามือกุมที่ป้ายเหล็กแล้วก้มหน้าเล็กน้อย “…ชั่วชีวิตนี้คงจะลืมไม่ได้หรอกค่ะ รุ่นพี่เองก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ”



             “..ก็ใช่นะ  แต่สำหรับฉันแล้วไม่เป็นไรหรอก  แต่ว่ากับเธอแล้วมันต่างไปนะ”



             “…ตรงไหนคะ” โฟน่าพูดเบาๆ



             “เพราะสำหรับเธอแล้วเจ้านั่นคงอยากจะให้เธอมีความสุขมากกว่าที่จะต้องไปจมอยู่กับอดีตฉันไม่ได้บอกให้เธอต้องลืมเพียงแต่….เธอเพิ่งจะอายุ 24 ซึ่งยังสาวอยู่มาก ในชีวิตนี้ยังมีโอกาสเจอคนที่ดีๆได้อีกเยอะ”



             โฟน่าก้มหน้าลงแล้วพูดเบาๆ “ถึงจะรู้และเข้าใจดี…แต่มันทำใจให้ทำตามนั้นไม่ได้นี่คะ เรื่องแบบนั้น.....”



             โมลค่อยๆเอามือแตะที่ศรีษะของโฟน่าเบาๆ “น้องชายของฉันนี่เป็นคนที่โชคดีจริงๆนะ”



             โฟน่าไม่ตอบอะไร ได้แต่กำป้ายชื่อเหล็กนั้นจนแน่น โมลเห็นแบบนั้นจึงค่อยๆเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ เพื่อให้เธอได้อยู่เพียงลำพัง



             “เฟน...” เธอพูดกับตัวเองเบาๆด้วยเสียงสั่นเครือ  



    ---------------------------------



             ซีโร่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ในเขตแดนที่ไร้ที่สิ้นสุด รอบๆตัวเขานั้นมีแต่เพียงความว่างเปล่า และสิ่งที่แปลกก็คือเขารู้สึกว่าภายในหัวสมองนั้นมันช่างโล่งสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน



             “ที่นี่คือสวรรค์รึ” เขาพูดกับตัวเองเบาๆ



             แล้วทันใดนั้นเองก็ปรากฏแสงสว่างดวงเล็กๆขึ้นเบื้องหน้าของเขา พร้อมกับมีเด็กสาวคนหนึ่งออกมาจากแสงนั้น



             เด็กสาวคนนั้นมีแสงล้อมรอบอยู่รอบตัวทำให้เขามองเห็นได้ไม่ชักนัก แต่พอจะดูออกว่าเป็นเด็กสาวผมที่มียาวสีทองเป็นประกาย ซึ่งเท่าที่ดูจากรูปร่างแล้วน่าจะมีอายุไล่เลี่ยกันกับเขา



             และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดแต่เขาสามารถรู้ได้ทันทีว่านั่นคือเด็กสาวคนเดียวกับที่ช่วยบอกเส้นทางหนึตอนอยุ่ที่อควอเรียสและทำให้เขารอดชีวิตมาได้ ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าเธอคนนี้มาจากไหน สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างไรและ...ที่สำคัญที่สุดคือเป็นใครก็ตามที



             เด็กสาวคนนั้นยื่นมือเข้ามาสัมผัสมือของเขาอย่างนุ่มนวล  และค่อยๆเข้ามาโอบกอดเขาเอาไว้อย่างแผ่วเบา  ความรู้สึกที่เขาได้รับจากสัมผัสนั้นช่างอ่อนนุ่มและอ่อนโยนจนเขาไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้



             เขาอ้าปากพูดอย่างช้าๆ ท่ามกลางความเคลิบเคลิ้มนี้ “…ฉันจำสัมผัสนี้ได้ ในตอนนั้น..ตอนที่ฉันใช้ระบบโซนิคแล้วไม่อาจควบคุมสติตัวเองไว้ได้นั้น…ฉันรู้สึกว่าถูกใครบางคนเรียกสติของฉันกลับมาและรู้สึกเหมือนถูกโอบกอดเอาไว้ คนนั้นที่แท้ก็คือเธอนี่เอง”



             เด็กสาวมองหน้าซีโร่แล้วยิ้มให้โดยไม่ตอบอะไร



             ซีโร่จึงพูดต่อ “เธอเป็นใคร เป็นคน...เทพธิดา...วิญญาณ หรือว่าเป็นแค่ความฝันกันแน่”



             เด็กสาวไม่ตอบอะไรแล้วค่อยๆผละออกจากเขา และเขาก็พบว่าเด็กสาวกำลังลอยห่างออกไปจากเขามากขึ้นเรื่อยๆ



             “..เดี๋ยวก่อน  อย่างน้อยก็บอกของชื่อเธอหน่อย” เขาร้องถาม



             รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากของเด็กสาว แล้วจึงค่อยๆกระซิบบอกอย่างแผ่วเบา จากนั้นร่างของเธอก็เริ่มลอยห่างออกไปเรื่อยๆ  พร้อมกับแสงสว่างที่ค่อยๆเจิดจ้าขึ้นจากทั่วบริเวณจนทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของเขาถูกกลืนหายไป



             “....อย่างเพิ่งไป” ซีโร่ร้องลั่นพลางพยายามยื่นมืออกไปหาเด็กสาวที่กำลังค่อยๆถูกกลืนหายไปพร้อมกับแสงสว่าง



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×