ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Wings (ภาคสมบูรณ์)

    ลำดับตอนที่ #6 : เทพธิดา(Angel)

    • อัปเดตล่าสุด 4 เม.ย. 48


            

            

             เป็นเวลาชั่วครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าที่แสงสว่างอันเกิดจากการระเบิดของสถานีอควอเรียสเมื่อครู่นั้นจะจางหายไป



             โฟน่ายืนมองไปทางสถานีและยกมือทำวันทยาหัตถ์พร้อมด้วยน้ำตานองหน้าเช่นเดียวกับวินด์ แมท และนิเกลซึ่งต่างก็มีสีหน้าสลดไม่แพ้กัน แต่แล้วความเศร้ายังไม่ทันจางหาย จอเรดาห์ก็ปรากฏสัญญาณบางอย่างขึ้น แมทซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่คอยควบคุมเรดาห์จึงรีบทำการตรวจสอบทันที เมื่อเสร็จแล้วจึงรีบหันกลับไปรายงานต่อโฟน่า



             “..จับสัญญาณสิ่งมีชีวิตได้ครับ”



             โฟน่าปาดน้ำตาทิ้งและรีบนั่งลงที่เก้าอี้กัปตัน เพราะตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะมัวร้องไห้จากนั้นจึงรีบสั่งการ “รีบตรวจสอบเร็ว!!”



             “เรดาห์จับสัญญาณภาพได้แล้วครับ” นิเกลรีบเอาภาพขึ้นจอแล้วขยายใหญ่ขึ้น



             “นั่น…คนนี่นา” โฟน่าพูดเบาๆเมื่อภาพที่ปรากฏขึ้นคือภาพของยานฉุกเฉินลำหนึ่งที่กำลังลอยเท้งเต้ง โดยมีคนสวมชุดอวกาศลอยอยู่ข้างๆท่ามกลางซากบางส่วนของสถานีที่ได้ระเบิดออกมาและลอยเคว้งคว้างอยู่เต็มห้วงอวกาศ  



             “…ผู้รอดชีวิตครับ บางทีอาจจะออกมาได้ก่อนที่จะระเบิดเพียงไม่กี่วินาที” แมทรีบพูด



             โฟน่ารีบสั่งการ “สั่งให้ยานช่วยชีวิตอัตโนมัติ ออกไปนำกลับมาทันที” แต่แล้วทันใดนั้นเสียงสัญญาณเตือนจากจอเรดาห์ก็ดังขึ้น



             “แย่แล้วครับ..เรดาห์ตรวจพบยานไม่ทราบฝ่ายที่บริเวณ 10 นาฬิกาครับ”



             โฟน่าถึงกับตีหน้าเครียด “มีทั้งหมดกี่ลำ”



             “…….ทั้งหมด 3 ลำครับ เป็นยานจู่โจมขนาดกลางแบบบรรทุกคน คาดว่าน่าจะเป็น 3 ลำเดียวกันกับที่บุกเข้ามาในอควอเรียส”



             นิเกลซึ่งทำหน้าที่ควบคุมด้านอาวุธรีบตรวจสอบอาวุธของอาเธน่าทันที



             “อาวุธชนิดอื่นนอกจากปืนกราวิตี้ยังคงใช้ไม่ได้ครับ”



             โฟน่ากัดฟันกรอด “ปืนกราวิตี้มีอำนาจทำลายสูงก็จริง แต่ฝ่ายตรงข้ามมีถึง 3 ลำ แม้ว่ายานอาเธน่าจะเป็นยานรบรุ่นพิเศษก็เถอะ.. ถ้าหากใช้อาวุธไม่ได้มันก็ไม่ต่างอะไรกับยานโดยสารธรรมดาๆเลย….จริงสิ ยานลำนี้บรรทุกยานจู่โจมขนาดเล็กไว้ด้วยนี่”



             วินด์รีบทำการตรวจสอบ จากนั้นจึงหันไปรายงานต่อโฟน่า “มียานจู่โจมขนาดเล็กรุ่นกริฟฟอนอยู่ 3 ลำครับ และก็...มียานรุ่นใหม่ล่าสุดอย่างวาลคิวเร่อยู่อีก 2 ลำครับ”



             “…ส่วนใหญ่ยานจู่โจมเกือบทั้งหมดจอดอยู่ที่โรงเก็บยานในสถานีนี่นะ จะว่าไปนอกจากอุปกรณ์เกี่ยวกับอาวุธของอาเธน่าจะยังติดตั้งไม่สมบูรณ์แล้ว พวกยานจู่โจมก็ยังไม่ได้ถูกขนย้ายมาเก็บไว้ด้วย”โฟน่าพูดขึ้น



             “…ยานฝ่ายนั้นกำลังกลับลำมาทางนี้ครับ” แมทรีบรายงาน



             “ฝ่ายนั้นรู้ตัวแล้วครับว่าเราอยู่ที่นี่!!!” วินด์ตะโกน



             โฟน่ากำหมัดแน่น  



             ถึงตอนนี้จะยังไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นเป็นใคร  และมีเป้าหมายอะไรก็ตาม แต่ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะพวกนี้บุกเข้ามาล่ะก็  อควอเรียสก็คงไม่พินาศและผู้พันโดโนแวน เจ้าหน้าที่ และเหล่านักศึกษาอีกมากมายที่ไม่รู้เรื่องราวก็คงจะไม่ต้อง…



             ความคิดเหล่านี้แล่นผ่านเข้ามาในหัวของเธอ  ถ้าทำได้เธอก็อยากจะแก้แค้นเหมือนกัน แต่ตอนนี้สิ่งสำคัญอันดับแรกไม่ใช่เรื่องแบบนั้น



             สิ่งที่ต้องทำก่อนในตอนนี้คือการรักษาชีวิตของผู้คนที่อยู่ในยานลำนี้กว่าร้อยชีวิต  ให้มีชีวิตรอดไปให้ได้ เมื่อเธอคิดได้ดังนั้นจึงรีบสั่งการต่อทันที



             “วินด์ ช่วยตรวจสอบทีว่าไฮเปอร์บูสเตอร์ได้ติดตั้งเข้ากับยานลำนี้รึยัง!!”



             “ไฮเปอร์บูสเตอร์..เจ้าระบบเร่งความเร็วรุ่นล่าสุดน่ะเหรอครับ...ถึงจะเคยทดสอบมาแล้วแต่ยังไม่ได้ทดลองใช้จริงเลยนะครับ” วินด์ตอบกลับ



             โฟน่าพูดด้วยเสียงอันดัง “ไม่ใช่ตอนนี้แล้วจะใช้ตอนไหนล่ะ ด้วยระดับความเร็วทั่วไปพวกเราหนีไม่รอดหรอก เพราะฉะนั้นหากมีทางไหนที่จะทำให้พวกเรารอดไปได้ล่ะก็ ต่อให้ต้องเสี่ยงแค่ไหนก็ต้องก็มีแต่ต้องลองทำดูเท่านั้นแหละ!!!”          



             วินด์อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับ “เข้าใจแล้ว…จะรีบตรวจสอบครับ” ว่าแล้วเขาก็ลงมือตรวจสอบผ่านทางแผงควบคุมที่อยู่เบื้องหน้าทันที



             “ยานศัตรูกำลังตรงเข้ามาทางนี้แล้วครับ” แมทยังคงรายงานสถานการณ์เรื่อยๆ



             “..เอ่อ  ยานช่วยชีวิตนำตัวผู้รอดชีวิตเข้ามาในยานแล้วครับ” นิเกลรายงานบ้าง  



             ในขณะที่วินด์ซึ่งตรวจสอบเสร็จแล้วก็รีบหันมารายงานต่อโฟน่า “......ไฮเปอร์บูสเตอร์ได้ทำการติดตั้งแล้ว แต่ตอนนี้ยังใช้งานไม่ได้….เพราะยังไม่ได้ทำการเชื่อมระบบเข้ากับคอมพิวเตอร์หลักของยานเลยครับ!!”



            ได้ยินแบบนั้นโฟน่าจึงรีบถาม “ถ้าจะเชื่อมระบบตอนนี้จะใช้เวลานานแค่ไหน”



             “ประมาณ 10 นาทีครับ”



             “ให้เวลา 5 นาทีต้องเชื่อมระบบให้สำเร็จ แล้วติดต่อที่โรงเก็บยานโดยด่วน!!!” โฟน่าพูดด้วยเสียงอันเฉียบขาด



    ------------------------------------



             “เฮ้! เจ้าหนู  เธอเป็นยังไงบ้าง” เสียงเข้มทุ้มต่ำของชายวัย 30 ต้นๆดังขึ้นในหัวสมองของซีโร่ทำให้เขาลืมตาตื่นขึ้น และตัวเขาก็รู้สึกว่าตนเองกำลังนอนตัวลอยอยู่จากพื้นเล็กน้อย



             ภาพที่เห็นในฝัน ไม่สิของความทรงจำที่มันเลือนขึ้นมาในขณะที่เขากำลังอยู่ในห้วงนิทรา ทำให้เห็นเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในวันนี้



             เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นกับสถานีอควอเรียส เพื่อน......คนรู้จัก คู่อริ ที่อยู่ร่วมกันบนสถานีอวกาศนั้น.......และเด็กสาวผู้เก่งกาจในวิชายุทธ์ เพื่อนคนใหม่ที่พบโดยบังเอิญท่ามกลางความวุ่นวาย



             รวมไปถึงภาพของยานลาดตระเวนที่แหลกเป็นผุยผงนั้นยังคงติดอยู่ในหัวสมอง แต่นั่นมันก็ผ่านไปหมดแล้ว ตอนนี้ดูเหมือนถึงเวลาที่เขาจะต้องเรียกสติของตนเองให้กลับมาสู่โลกแห่งปัจจุบันได้ซะที



             “…..สภาพไร้น้ำหนักรึ…รึว่าเราอยู่ในอวกาศ..เดี๋ยวก่อน...ไม่ใช่นี่!!!”



             ซีโร่รีบลุกขึ้นแล้วมองไปรอบๆ พร้อมกับเอามือจับตามตัว



             “เรายังไม่ตายเหรอเนี่ย” เขาพึมพำเบาๆ แล้วพยายามนึกย้อนไปถึงภาพเหตุการณ์ตอนที่เขากำลังจะหนีออกมาจากอควอเรียส



             “เฮ้! ไอ้หนู! เป็นอะไรรึเปล่ารู้สึกว่าจะดูเบลอๆนะ” ชายคนที่ปลุกเขาพูดพลางเขย่าตัวเขาเบาๆ  



             ซีโร่สลัดความคิดตอนนั้นทิ้ง แล้วหันมาตั้งต้นกับสภาพปัจจุบันใหม่ จากนั้นจึงถามชายคนนี้เบาๆ “แล้วตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนหรือครับ…แล้วคุณคือ” เขาค่อยๆมองชายเจ้าของเสียงเรียกที่ปลุกให้เขาตื่นขึ้นอย่างพินิจพิเคราะห์ ซึ่งชายคนนี้ดูแล้วน่าจะมีอายุประมาณ 30 ปี ผมดำสั้นและนัยน์ตาสีดำ ใบหน้าค่อนข้างโทรมกว่าวัย หนวดเคราหลอมแหลมไปทั่ว แต่มีเค้าว่าเคยเป็นคนที่มีหน้าตาหล่อเหลามาก่อน



             “… คุณคือสิบเอกโมล คาริวที่เป็นหัวหน้าฝ่ายเครื่องยนต์และซ่อมบำรุงของอควอเรียสใช่ไหมครับ”



             “ฮ่าๆๆ นี่เธอรู้จักฉันด้วยหรือเนี่ย แสดงว่าฉันเองก็ดังไม่เบาสินะ” ชายที่ชื่อโมลคนนี้หัวเราะดังลั่น



             ซีโร่ยิ้มเจื่อนๆ เพราะจ่าโมลนั้นเป็นคนดังคนหนึ่งที่ทุกคนในอควอเรียสรู้จักกันดี เพราะเขาขึ้นชื่อในเรื่องของการเป็นคนขี้เมาและมักจะเอะอะโวยวายเสียงดังเวลาที่คอยสั่งการพวกเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ จนเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว



             “…แล้วนี่มันที่ไหนเหรอครับ เหมือนเป็นโรงเก็บยานรบเลย” ซีโร่พูดขณะมองไปรอบๆ ซึ่งสิ่งที่เขาเห็นก็คือยานจู่โจมขนาดเล็ก ประมาณ 4-5 ลำ แล้วยังมีผู้คนมากมายซึ่งเขาค่อนข้างจะคุ้นหน้าคุ้นตาว่าเป็นนักศึกษาจากอควอเรียส บ้างก็วิ่งวุ่น บ้างก็จับกลุ่มนั่งกันแบบซึมเศร้า โดยหลายคนที่เป็นผู้หญิงกับหลายคนที่ยังเป็นเด็กอายุประมาณ13-15 ถึงกับร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้น



             โมลถอนใจเล็กน้อย “ตอนนี้เธออยู่ในยานอาเธน่านะ ส่วนที่นี่เป็นโรงเก็บยานรบของยานน่ะ”



             “ยานอาเธน่า” ซีโร่พึมพำเบาๆ



             “เธอเป็นนักศึกษาสินะ อยู่แผนกไหนล่ะ”



             “เป็นนักบินฝึกหัดครับ” ซีโร่รีบตอบ



             “งั้นเรอะ เธอโชคดีมากเลยนะที่รอดชีวิตมาได้ อันที่จริงแล้วเราพบเธอกำลังลอยเท้งเต้งอยู่ข้างนอก ยังดีที่เรดาห์ตรวจพบเข้า ก็เลยส่งยานฉุกเฉินอัตโนมัติไปเอาตัวเธอเข้ามาได้น่ะ” พูดจบโมลก็ชี้ไปที่ยานฉุกเฉินอัตโนมัติซึ่งจอดอยู่ใกล้ๆ



             “ผม…แต่ว่า..ตอนนั้นผม…” ซีโร่นึกย้อนกลับไปถึงชั่ววินาทีที่เขาคิดว่าจะต้องตายจากแรงระเบิด    



             แล้วทันใดนั้นเองสัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้นทั่วโรงเก็บยาน



             “ประกาศฉุกเฉิน ขณะนี้ยานของเรากำลังเข้าสู่สภาวะการรบระดับ 2 ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม ขอย้ำ….”



             เสียงแห่งความโกลาหลเกิดขึ้นพร้อมๆกับเสียงสัญญาณเตือนภัยที่ดังไปทั่วยาน  พวกนักศึกษาหลายๆคนที่อยู่ในโรงเก็บยานต่างก็วิ่งและส่งเสียงกันวุ่นวายไปหมด



             “บ้าเอ๊ย เพิ่งรอดมาได้แท้ๆ” โมลสบถเสียงดัง



             ซีโร่รีบพูด “นี่มันหมายความว่ายังไงกันครับ แล้วพวกที่มันบุกเข้ามาในอควอเรียสมันเป็นใครกัน…”



             “ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันแหละน่า” โมลตอบกลับ



             “แล้วอควอเรียส…” ซีโร่หยุดเล็กน้อย “หรือว่า..”



             โมลทำหน้าสลด “ก็อย่างที่เธอคิดน่ะแหละ ระเบิดไปหมดแล้ว.....แต่ส่วนใหญ่จะหนีออกไปได้ก่อนด้วยยานฉุกเฉิน แล้วก็มีเกือบร้อยคนที่หนีมาขึ้นยานนี่ได้ทัน…ส่วนนอกนั้น….”



             ซีโร่หน้าซีดเผือดกะทันหัน เมื่อนึกถึงเพื่อนๆของเขา



             ไคน์ เนีย แม้แต่ฟาวและก็คนอื่นๆ อีก พวกเขาจะรอดไปด้วยรึเปล่า แล้วเด็กผู้หญิงคนนั้นที่ชื่อเหม่ยชิง กับคนที่เขาช่วยไว้ เรอิ….ทุกคนจะเป็นยังไงกันบ้าง    



             ขาของเขารู้สึกอ่อนแรงจนแทบจะยืนไว้ไม่อยู่  เมื่อคราวที่พ่อแม่ของเขาเสียนั้น  ตัวเขาก็ได้รับรู้รสชาติของการสูญเสียคนที่รักมาแล้ว คราวนี้เขาจะต้องเจออีกอย่างนั้นเหรอ และสำหรับตัวเขานั้น ไคน์กับเนียถือเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่อาจจะหามาแทนที่ได้อีกแล้ว หากต้องสูญเสียพวกเขาไปแบบนี้..........มันเกินกว่าที่จะรับได้



             โมลจับบ่าของซีโร่เบาๆ  ราวกับจะเข้าใจความรู้สึกของเขา



             ทันใดนั้นก็มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งตรงเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบพร้อมๆกับเจ้าหน้าที่อีกหลายคนที่ตามหลังมาประมาณ 8-9 คน



             “หัวหน้าครับ ที่สะพานเดินเรือติดต่อเข้ามาครับ” พลางยื่นเครื่องมือสื่อสารซึ่งมีลักษณะเป็นเหมือนกับนาฬิกาข้อมือมาให้



             โมลรับมาและกดปุ่มรับ จากนั้นสัญญาณภาพที่มีใบหน้าของโฟน่าจึงปรากฏขึ้นมาจากเครื่องสื่อสาร



             “จ่าโมล  นี่ฉันร้อยโทโฟน่า  ท่าทางคุณจะปลอดภัยสินะ” โฟน่ารีบพูด



             โมลยิ้มให้ “คุณเองก็เหมือนกันนั่นแหละ แล้วใครเป็นคนสั่งการยานลำนี้ล่ะ”



             “เวลานี้ฉันรักษาการตำแหน่งกัปตันอยู่ค่ะ และตอนนี้มียานจู่โจมแบบบรรทุกคน 3 ลำที่ดูเหมือนจะเป็นยาน 3 ลำเดียวกับที่บุกเข้าอควอเรียสกำลังพุ่งตรงมาทางนี้แล้ว”



             “ว่าไงนะ!!”



             “ตอนนี้กำลังให้เชื่อมต่อระบบไฮเปอร์บูสเตอร์กับคอมพิวเตอร์หลักอยู่ ถ้าสำเร็จพวกเราก็จะสามารถหนีไปจากที่นี่ได้ด้วยความเร็วสูงเกินกว่าที่พวกนั้นจะตามทัน แต่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 นาทีหรือมากกว่านั้น”



             โมลพูด “ระบบไฮเปอร์บูสเตอร์งั้นเรอะ มันเสี่ยงเหมือนกันนะ แต่ก็ไม่มีทางเลือก…แล้วอาวุธล่ะ ยานลำนี้มีอาวุธอะไรติดอยู่บ้าง”



             “นอกจากปืนหลักอย่างกราวิตี้ 2 กระบอกแล้ว ที่เหลือยังใช้การไม่ได้ ดังนั้นเพื่อที่จะถ่วงเวลาให้อาเธน่าถูกโจมตีน้อยที่สุด จำเป็นต้องมีตัวล่อ”



             “หมายถึง..” โมลเริ่มทำหน้าเครียด



             “ที่นั่นมีกริฟฟอนกับวาลคิวเร่อยู่สินะคะ ให้ใครก็ได้ที่เป็นนักบินขับออกไปเป็นตัวล่อการโจมตีของพวกนั้นและถ่วงเวลาจนกว่าทางนี้จะเชื่อมต่อสำเร็จ”          



             โมลกัดฟันดังกรอบ “…เพื่อช่วยชีวิตคนหมู่มาก...มันช่วยไม่ได้สินะ ฉันเข้าใจแล้ว” พูดจบก็ตะโกนใส่บรรดาเจ้าหน้าที่หลายต่อหลายคนที่เข้ามาฟังสถานการณ์



             “ได้ยินแล้วไม่ใช่เหรอ พวกนายมีใครเป็นนักบินบ้าง….ไม่สิ..ไม่ต้องเป็นก็ได้  ขอแค่มีใครที่ใจกล้าบ้างก็พอ!!!”  



             เจอแบบนี้เข้าไปหลายคนก็ได้แต่นิ่งเงียบและทำหน้าตาเลิ่กลั่กใส่กัน



             “ผมก็อยากทำ แต่เราขับไม่เป็นนี่”



             “ใช่ๆ”



             หลายคนพูดกลับมาแบบนี้ จนโมลต้องส่ายศีรษะ “ไม่ไหวเลยไอ้พวกนี้ ถ้างั้นฉันเอง…”



             “เดี๋ยวก่อนครับ ขอให้ผมเป็นคนขับเอง!!!” ซีโร่พูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง



             คำพูดของซีโร่ทำเอาทุกคนที่อยู่ที่นั้น ต่างหันมามองที่เขาจนเป็นตาเดียว



             “เดี๋ยวก่อน!เจ้าหนู แกอย่าพูดเล่นนะ นี่มันเรื่องคอบาดขาดตายนะ!!” โมลเอ็ดใส่เขา



             “ผมไม่ได้พูดเล่น ผมเป็นนักบินฝึกหัดระดับ 3 ซึ่งนั่นก็หมายความว่าหากที่นี่ไม่มีนักบินมืออาชีพอยู่ล่ะก็ ผมนี่แหละคือคนที่ใกล้เคียงกับการเป็นนักบินมากที่สุดแล้ว” ซีโร่พูดพลางจ้องหน้าโมลเขม็ง



             ได้ยินแบบนั้นโมลจึงพูดกลับเบาๆ “เอาจริงเรอะ”



             “ครับ!!!” ซีโร่ตอบรับด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความมั่นใจ



             โมลนิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นจึงตอบกลับ “........ถ้างั้นก็เอาเลย ได้ยินแล้วใช่ไหมกัปตันโฟน่า!!” โมลหันมาพูดที่เครื่องมือสื่อสารซึ่งยังคงเปิดสัญญาณภาพที่มีภาพหน้าของโฟน่าอยู่



             “….แต่ว่า…เขายังเด็กอยู่เลย” โฟน่าพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความหวาดวิตก



             ซีโร่รีบพูดใส่จอสัญญาณภาพของโฟน่า “ผมอายุ 16 แล้วนะครับ ถ้าเป็นนักบินล่ะก็ ถือกันว่าไม่ใช่เด็กอีกแล้ว”



             “…..ก็ได้ ถ้าเธอยืนกรานแบบนั้น แต่ช่วยบอกชื่อของเธอหน่อยได้ไหม” โฟน่าถามขึ้น



             ซีโร่อ้าปากพูดอย่างช้าๆ “ผมชื่อซีโร่ แอ็คเซลครับ”



             โมลตบบ่าซีโร่เบาๆ “เอาล่ะเจ้าหนู นายไปขึ้นเครื่องกริฟฟอนได้เลย” แล้วก็หันไปที่พวกเจ้าหน้าที่คนอื่น ”เฮ้! พวกนายช่วยไปเตรียมเครื่องให้เจ้าหนูที และเอาหมวกนักบินมาให้ด้วย” แล้วบรรดาเจ้าหน้าที่ๆได้รับยินคำสั่งจากโมลต่างก็รีบแยกย้ายกันไป ส่วนซีโร่นั้นก็รีบวิ่งไปยังเครื่องกริฟฟอนทั้ง 3 ลำซึ่งจอดนิ่งอยู่



             “เจ้าหนู เอานี่ไป” โมลโยนหมวกนักบินไปให้กับซีโร่ ซึ่งเขารับมาแล้วก็มองดูเล็กน้อย



             “ตอนนี้นายเป็นนักบินแล้วนะ ถึงจะฉุกเฉินไปหน่อยก็เถอะ!!” โมลตะโกนบอก



             ซีโร่ยิ้มแล้วหันไปที่เครื่องกริฟฟอนเพื่อเลือกว่าจะขึ้นขับลำไหนดี แต่แล้วจู่ๆเขาก็เหลือบไปเห็นยานจู่โจมขนาดเล็กอีก 2 ลำที่จอดอยู่ถัดจากเครื่องกริฟฟอนทั้ง 3 ลำนี้



             ไม่รู้เพราะอะไรเพียงแวบเดียวที่เห็นเขากลับรู้สึกต้องชะตาอย่างประหลาด



             ยานที่เขาเห็นนั้นเป็นยานรบสีฟ้าขาว  ตรงส่วนหน้าที่เป็นส่วนของคนขับ ยื่นยาวแหลมออกมาข้างหน้า  ด้านหลังเครื่องมีปีกสองข้าง โดยรูปทรงของปีกทั้งสองข้างนั้นเมื่อมองดูแล้วมีลักษณะเหมือนกับเป็นปีกของนางฟ้า ส่วนบริเวณท้ายของเครื่องมีเกราะที่ดูเหมือนคริสตัลแตกออกเป็นสี่แฉกเกาะติดอยู่จนดูเหมือนกับว่ายานลำนี้มีปีกถึงหกแฉก



             ซีโร่พูดด้วยรอยยิ้มในขณะที่ยังเหม่องมองยานลำนั้นอยู่ “..คุณโมลครับ  แล้วยานสีฟ้าขาวสองลำนั่นเป็นยานรุ่นไหนกันครับ ทำไมผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”



             โมลชำเลืองดู “นั่นเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดน่ะ มีชื่อว่าวาลคิวเร่ ซึ่งถูกติดตั้งระบบไฮเปอร์โซนิคไว้ทำให้กลายเป็นยานจู่โจมที่มีความเร็วสูงสุดเท่าที่เคยมีมา แต่เพราะว่าเร็วเกินไปคนที่ขับได้เลยมีไม่มาก….เดี๋ยวก่อน...อย่าบอกนะว่านายจะ..”



             ซีโร่ไม่รอให้โมลได้พูดอะไรต่ออีกแล้วรีบตรงไปที่วาลคิวเร่จากนั้นก็โดดขึ้นไปยังห้องคนขับทันที



             โมลถึงกับตกใจจนตาลุกแล้วรีบลอยตัวเข้ามาเมื่อเห็นแบบนั้น “อย่านะเจ้าหนู!  เจ้ายานลำนี่นะขนาดพวกนักบินมืออาชีพ  ยังมีไม่กี่คนเองที่ใช้งานมันได้อย่างเต็มที่  แล้วนักบินฝึกหัดอย่างเธอน่ะ  ขืนขับออกไปมีหวัง….”



             ซีโร่ซึ่งนั่งประจำที่เก้าอี้คนขับแล้วชำเลืองมองลงมาที่โมลเล็กน้อย “ผมไม่เป็นไรหรอกครับ” พูดจบซีโร่ก็กดสวิทซ์ปิดฝาครอบห้องคนขับและสวมหมวกนักบิน



             เขากวาดตามองที่แผงควบคุมยานซึ่งมีคันโยกบังคับอยู่ 1 อัน รอบๆข้างคันบังคับมีปุ่มและสวิทซ์ต่างๆอยู่มากมาย และเมื่อเห็นสวิทซ์เดินเครื่องแล้ว จึงกดทันที แล้วส่วนที่เป็นล้อของเครื่องถูกก็พับเข้าเก็บภายในเครื่องทันทีทันใด แล้วไม่กี่อึดใจไอพ่นบริเวณใต้ปีกทั้ง 2 ข้างก็ช่วยพยุงยานให้ลอยขึ้นมาเหนือพื้นอย่างช้าๆ



             โมลเห็นยานกำลังจะออกตัวจึงรีบตะโกนสั่งการ “…โธ่ ช่วยไม่ได้แล้ว บอกให้ประตูส่งยานเปิดเดี๋ยวนี้ กำลังจะมียานออกแล้ว!!”  จากนั้นเขาก็หันกลับมองไปที่ห้องคนขับซึ่งถูกปิดไปแล้วตะโกน “ต้องกลับมาให้ได้นะเจ้าหนู ห้ามตายเด็ดขาด!!!”



             ซีโร่เปิดสวิทซ์ของระบบต่างๆแล้วทำการตรวจสอบอย่างรวดเร็ว “ระบบพื้นฐานคล้ายกับเครื่องกริฟฟอนเลยนี่นา แต่ดูท่าทางจะต่างกันพอสมควรในด้านของประสิทธิภาพของระบบที่ใช้กับยาน ไหนตรวจดูซิ ระบบขับเคลื่อน คอมพิวเตอร์หลัก ไอพ่น ระบบควบคุมยาน เรดาห์ ส่วนควบคุมอาวุธ....ทุกส่วนไม่มีปัญหา แล้วก็…นี่มัน...”



             แล้วทันใดนั้นซีโร่ก็ตรวจพบระบบพิเศษที่ติดอยู่กับยาน ซึ่งก็คือระบบไฮเปอร์โซนิค ดังนั้นเขาจึงรีบอ่านความสามารถของระบบที่ว่านี้จากหน้าจอสามมิติที่คอมพิวเตอร์ของยานฉายขึ้นเบื้องหน้าเพื่ออธิบายระบบการทำงาน



             “ระบบไฮเปอร์โซนิคเป็นระบบพิเศษที่ทำให้สามารถเร่งความเร็วของยานได้จนถึงระดับความเร็วแสง….แต่ถูกตั้งโปรแกรมไว้ให้ใช้ได้ในระยะเวลาที่จำกัด เพราะหากใช้เป็นเวลานาน จะทำให้เกิดผลเสียต่อตัวของนักบิน….เข้าใจละ”  



             เขาเอามือทั้ง 2 ข้างจับที่คันโยกบังคับแล้วหลับตาลงชั่วครู่จากนั้นพูดกับตัวเองเบาๆ “ไม่เป็นไร…ใจเย็นๆเข้าไว้...ตอนนี้เราเป็นนักบินแล้ว เราทำได้”



             วินาทีนั้นเขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาโอบอุ้มตัวเขาไว้และให้ความอบอุ่นแก่เขา ซึ่งเขารู้สึกคุ้นเคยกับสิ่งนั้นอย่างประหลาด จนทำให้ความรู้สึกตื่นเต้นที่มีแทบจะสลายไปจนหมด



             “ไปสิ” เสียงนั้นแวบเข้ามาในหัวสมองอีกครั้ง เสียงของเด็กผู้หญิงอันเยือกเย็นแต่ก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนที่อยู่ภายใน อันเป็นเสียงเดียวกันกับที่เคยช่วยให้เขารอดชีวิตมาได้ตอนที่เขากำลังจะหนีออกมาจากสถานีอควอเรียส  



             ซีโร่ยิ้มเล็กน้อยแล้วลืมตาขึ้นจากนั้นจึงพูดเบาๆ “ถ้าเทพธิดาที่ช่วยชีวิตฉันไว้มีจริงล่ะก็ ขอให้ฉันยืมพลังหน่อยเถอะนะ” จากนั้นเขาจึงดันคันโยกไปข้างหน้าแล้วพูดด้วยเสียงอันดัง



             “วาลคิวเร่  ออกตัว!!!”





      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×