ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ลางแห่งความพินาศ(Destroy)
        “ผมขอคัดค้าน!!!” โดโนแวนตะโกนใส่คู่สนทนาที่อยู่ในจอมอนิเตอร์สื่อสารแล้วก็ยังคงตะโกนใส่ไม่หยุด “ตราบใดที่ผมยังเป็นผู้บังคับการของอควอเรียสอยู่ล่ะก็ ผมไม่มีวันยอมให้คุณทำแบบนั้นได้หรอกนะ พันโทกราฟ การ์แลนด์!”
        “นี่ไม่ได้เป็นความคิดของผมซะหน่อย แต่เป็นของทางเบื้องบนต่างหาก” เสียงเย็นๆตอบกลับมาจากคู่สนทนาที่เป็นชายหนุ่มวัยประมาณ 30 ต้นๆ ชายผู้นี้มีผมและดวงตาเป็นสีแดงฉานราวกับสีเลือด แววตาของเขาที่จ้องมองมายังผู้พันโดโนแวนผ่านทางจอคอมพิวเตอร์นั้นแฝงไว้ด้วยความเย็นชา
        “ไม่ว่าจะพูดยังไงก็เถอะ เรื่องที่จะให้ใช้สถานีอควอเรียสเป็นหนึ่งในแนวหน้าสำหรับการโจมตีดาวอังคาร ผมไม่มีวันเห็นด้วยแน่นอน และอย่าลืมนะว่าอควอเรียสนี้เป็นสมบัติร่วมระหว่างกองทัพกับบริษัทฟรีเดน ดังนั้นหากไม่ได้รับความเห็นชอบจากทางฟรีเดนด้วยล่ะก็ อย่าหวังว่าใครหน้าไหนจะเอาอควอเรียสไปใช้ตามใจชอบได้เลย” 
        กราฟยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วอ้าปากพูดอย่างแช่มช้า “ผู้พันคิดแบบนั้นหรือครับ จริงอยู่ว่าทางฟรีเดนนั้นพวกเรายังไม่ได้คุยด้วยก็จริง แต่ผมคิดว่าการจะให้ทางนั้นตอบตกลงน่ะ มันไม่เหนือบ่ากว่าแรงของเราหรอก”
        โดโนแวนชะงักเล็กน้อยพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มแดงจัด “อย่าได้ใจให้มันมากนักนะ ผู้พันกราฟ  ถึงแม้ว่าแกจะเป็นคนสนิทของผู้บัญชาการเอลด์แมนก็เถอะ!”
        “ผมไม่ได้คิดจะเสียมารยาทต่อท่านหรอกนะครับ ผู้พัน...แต่ผมขอเตือนท่านด้วยความหวังดีว่าเบื้องบนกำลังจับตามองท่านอยู่นะครับ”
        “หมายความว่าไง”
        “ท่านก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่ครับว่าผมหมายถึงอะไร” กราฟยิ้มให้อย่างเยือกเย็นจนน่าขนลุก
        โดโนแวนเงียบไปเล็กน้อยแล้วจ้องมองกราฟด้วยแววตาที่ดุดัน
        “เอาเถอะครับ เรื่องใช้อควอเรียสเป็นสถานีรบนั้น ทางเบื้องบนเองก็ยังไม่ยืนยันการสรุปออกมาอย่างชัดเจน วันนี้ผมเพียงแค่มาแจ้งให้ท่านรับทราบไว้เท่านั้น และก็ขอให้ท่านอย่าลืมว่าตัวท่านเองก็เป็นทหารคนหนึ่งของกองทัพโลก ก็ควรที่จะรู้อยู่แล้วว่าสำหรับทหารนั้น คำสั่งที่มาจากกองทัพย่อมอยู่เหนือสิ่งอื่นใด” กราฟยิ้มให้พร้อมๆกับภาพบนจอที่ตัดหายไป
        โฟน่าซึ่งยืนดูเหตุการณ์อยู่ด้านข้างเหม่อมองโดโนแวนด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
       
        โดโนแวนต่อยกำแพงห้องเต็มแรงแล้วพูดด้วยเสียงอันดัง “ ไอ้เจ้าคนพวกนั้น มันกำลังคิดที่จะเปิดฉากสงครามที่ไร้สาระขึ้นมาอีกรึไงนะ!!”
        “ ที่ผู้พันกราฟพูดทิ้งท้ายไว้นั่น” โฟน่าพูดเบาๆ
        โดโนแวนกำหมัดแน่นแล้วพูด “..มันหมายถึงเรื่องยานอาเธน่าไงล่ะ”
        “เขาก็พูดถูกนะคะ เพราะการที่ท่านขอให้บริษัทฟรีเดนช่วยสร้างยานลำนี้ขึ้นมา ทำให้ตอนนี้ท่านถูกทางกองทัพเพ่งเล็งเป็นพิเศษ”
        “เธอเข้าใจใช่ไหมว่า นี่มันหมายความว่ายังไง”
        “ .ผู้พันกราฟ คิดจะบอกว่าถ้าท่านไม่ยอมเห็นด้วยล่ะก็ ทางกองทัพก็จะเอาผิดท่าน ในโทษฐานที่เป็นผู้ออกคำสั่งให้สร้างอาวุธรุ่นใหม่อย่างยานอาเธน่าขึ้นโดยพลการ”
        “มันไม่ใช่เพียงแค่นั้นน่ะสิ เพราะหลังจากนั้นแล้ว เจ้าคนพวกนั้นก็คิดจะเอาอาเธน่ามาเป็นต้นแบบในการพัฒนายานรบรุ่นใหม่ๆขึ้นมาด้วย” พูดจบโดโนแวนก็ทำท่าครุ่นคิดอะไรบางอย่างแล้วพูดเบาๆ “แต่ที่น่าสนใจก็คือ เรื่องที่กราฟรู้เรื่องของอาเธน่านี่สิ”
        “หมายความว่ามีคนในอควอเรียสนำข่าวไปบอกกองทัพโลกสินะคะ” โฟน่าถามเหมือนนึกขึ้นได้
        “ก็เป็นไปได้ไม่ใช่รึไง ในเมื่อเจ้าหน้าที่กว่าครึ่งของสถานีอควอเรียสแห่งนี้ เป็นคนที่มาจากกองทัพทั้งนั้น หากจะมีใครสักคนที่เป็นคนที่กองทัพส่งมาเพื่อคอยสังเกตการณ์โดยเฉพาะ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก” 
        “ท่านพูดเหมือนกับว่าเบื้องบนไม่ไว้ใจท่านมาตั้งแต่แรกแล้ว”
        “ก็มันเรื่องจริงนี่ เธอเองก็น่าจะเคยได้ยินนะ เรื่องที่ฉันไม่ค่อยถูกกับ ผู้บัญชาการเอลด์แมน”
        “ .จะว่าไปแล้ว การที่ท่านยังคงเป็นเพียงพันเอก แถมต้องถูกส่งมาประจำในที่ห่างไกลจากส่วนกลางอย่างอควอเรียสนี้ ก็เพราะท่านนายพลเอลด์แมนสินะคะ”
        “ทำไงได้ ก็ดันไปมีความคิดขัดแย้งกับคนอย่างเขาเข้าให้”
        “แต่ถ้าท่านยอมๆเขาหน่อยละก็ ป่านนี้ท่านคงได้เป็นถึงนายพลอยู่ที่โลกแล้ว”
        “ความคิดของเจ้าคนที่อยากจะทำสงครามกับดาวอังคารจนตัวสั่นแบบนั้น ผมไม่ยอมรับหรอกนะ”
        โฟน่านิ่งไปเล็กน้อย
        โดโนแวนถอนใจเบาๆ “เธอคงคิดว่ามันตลกสินะ ทั้งที่ฉันเป็นคนที่ให้สร้างอาเธน่าขึ้นมาเพื่อใช้ป้องกันการโจมตีของพวกดาวอังคารแท้ๆ แต่กลับไม่ยอมที่จะให้ใช้มันในการโจมตีดาวอังคารซะนี่”
        “ .แต่ดิฉันคิดว่า..ท่านทำถูกแล้วล่ะคะ”
        “หึๆ งั้นรึ แต่เอลด์แมนและพวกเบื้องบนคงไม่คิดแบบนี้หรอกนะ”
.
     
        “เป็นอะไรไปซีโร่ รู้สึกพักนี้เวลาที่คุยๆกันอยู่ เธอชอบหันซ้ายหันขวาบ่อยๆ” เนียถามด้วยความเป็นห่วงส่วนไคน์ก็หันมามองเล็กน้อย
        ขณะนี้พวกเขาทั้งสามคนกำลังตรงไปยังห้องนักบินทดสอบ โดยซีโร่กับไคน์นั้นต้องการจะไปฝึกซ้อมสักเล็กน้อย เพื่อเตรียมตัวสำหรับการทดสอบในครั้งหน้า เพราะแม้ว่าพวกเขาจะทำคะแนนได้สูงติดหนึ่งในห้าก็ตาม แต่พวกเขาเข้าใจอย่างดีว่าคนเราถ้าไม่ฝึกซ้อมบ่อยๆ ความชำนาญในเรื่องๆนั้นก็จะลดน้อยลงได้
        “ ไม่มีอะไรหรอก” ซีโร่รีบตอบกลับพลางเดินนำหน้าพวกเขา
        “มีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ บอกพวกเราได้นะ” เนียถามต่อ
        ซีโร่โบกไม้โบกมือ “ไม่มีจริงๆ ขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วงกัน”
        เขากำลังคิดว่าจะให้บอกสองคนนี้ได้ยังไงกันว่าพักนี้รู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังจับตามองอยู่เพราะเขาไม่อยากให้สองคนนี้ต้องมาคอยเป็นห่วง
        ซีโร่นั้นถือว่าไคน์และเนียเป็นเพื่อนที่สนิทสนมและไว้ใจได้มากที่สุด ดังนั้นจะมีเฉพาะ 2 คนนี้เท่านั้นที่เขาจะยอมเปิดใจคุยด้วยเกือบทุกเรื่อง และในบรรดาเพื่อนทั้งหมดซึงเขามีอยู่ไม่กี่คนนัก ก็มีเพียง 2 คนนี้เท่านั้นที่รู้ความลับที่สำคัญที่สุดของเขา
        .....นั่นคือเรื่องที่เขาเป็นเอ็กซ์คลูสเซอร์
        “..ฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ  พวกเธอไปกันก่อนได้เลย” ซีโร่พูดขึ้น
        “งั้น รีบมาล่ะ ช่วงเวลานี้คงมีคนไปใช้เครื่องซิมูเลชั่นในการซ้อมเยอะ ถ้าไม่รีบไปล่ะก็เครื่องอาจจะเต็มซะก่อน”ไคน์พูด
        “ก็ช่วยไม่ได้นะ เพราะหลังจากที่รู้คะแนนสอบแล้วพวกที่ได้คะแนนน้อยกว่าที่ตั้งใจไว้คงมาขอใช้เครื่องฝึกซ้อมกันหลายคนเลยล่ะ” เนียพูดขึ้นบ้าง
        “อื้อ เสร็จแล้วฉันจะรีบตามไป” พูดจบซีโร่ก็เดินจากไป
---------------------------------------
   
        “อยู่เวรทั้งคืนเลยเหรอ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดขึ้นขณะกำลังเดินเข้ามาที่ห้องบังคับการของสถานีอวกาศอควอเรียส ซึ่งเวลานี้มีเจ้าหน้าที่อยู่เวรเพียง 2 คน เพราะงานตรวจตราความปลอดภัยแม้จะสำคัญ แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยเกิดเรื่องอะไรร้ายแรงขึ้นที่สถานีแห่งนี้เลย
        “อืม ง่วงจะตายอยู่แล้ว ทำไมพวกเราต้องมานั่งเฝ้าเหมือนสุนัขเฝ้าบ้านแบบนี้ด้วยนะ”
        “ช่วยไม่ได้ ก็นี่มันงานของเรานี่”
        “เฮ้อ....ทั้งที่ก็ไม่ใช่ช่วงสงครามซะหน่อย ไม่เห็นต้องเข้มงวดขนาดนี้เลย”
        “ก็เป็นคำสั่งผู้พันโดโนแวนนี่นา ที่ให้คอยระวังตลอด 24 ชั่วโมงน่ะ”
        แล้วจู่ๆก็ปรากฏไฟสีแดงกระพริบขึ้นที่จอเรดาร์เป้นการบ่งบอกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังตรงเข้ามาใกล้สถานี
        “เฮ้ย...มันมาจากไหนน่ะ อยู่ดีๆก็โผล่ขึ้นมา แถมค่อยๆพุ่งเข้ามาทางนี้ด้วย”
        “ไม่รู้เหมือนกัน จะลองตรวจจับสัญญาณดูนะ”
        ว่าแล้วเจ้าหน้าที่คนนี้ก็ตรวจสอบกับแผงสัญญาณที่อยู่ตรงหน้า
        “ ลองส่งสัญญาณแล้วไม่มีสัญญาณตอบกลับ แต่จากความเร็วที่กำลังพุ่งเข้ามาอย่างช้าๆ  แสดงว่าไม่ใช่จรวดหรือว่ามิสไซล์”
        เจ้าหน้าที่อีกคนรีบออกความเห้น “บางทีเครื่องสื่อสารของทางนั้นอาจเสียหาย หรือไม่ก็เป็นพวกยานไร้คนบังคับ หรือบางทีอาจจะเป็นซากดาวเทียม เรียกง่ายๆว่าเป็นได้หลายทาง”
        “เอาไงดี แจ้งผู้พันดีไหม”
        “เรื่องแค่นี้ไม่ต้องแจ้งก็ได้มั้ง ถ้ามันไม่มีอะไรล่ะก็ จะกลายเป็นว่าพวกเราตื่นตูมกันเอง  เอางี้ละกัน ส่งยานลาดตระเวนขนาดเล็กออกไปดูก็พอ”
.
        หลังจากเข้าห้องน้ำเสร็จซีโร่ก็เดินเพื่อจะไปสมทบกับไคน์และเนียที่ห้องซิมูเลชั่น  แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเล็กน้อย
        “ นั่นอะไร” เขามองผ่านกระจกติดทางเดินผ่านไปยังอวกาศที่อยู่นอกสถานี ซึ่งสิ่งที่เขาเห็นคือยานลาดตระเวนขนาดเล็กลำหนึ่งซึ่งบินออกมาจากสถานีกำลังตรงเข้าไปหาอะไรบางอย่างซึ่งกำลังค่อยๆบินเข้าใกล้สถานีแห่งนี้ด้วย เพียงแต่เขาเห็นไม่ชัด 
        “ .เหมือนยานเลยแฮะ ไอ้ที่กำลังบินเข้ามานั่นน่ะ” ซีโร่รู้สึกสงสัยและเมื่อเพ่งมองได้ชัดเจนแล้วก็ใช่จริงๆ ที่เขาเห็นอยู่นั่นคือยานอวกาศขนาดกลาง 3 ลำที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และขณะเดียวกันยานลาดตระเวนจากอควอเรียสก็กำลังตรงเข้าไปที่ยานทั้ง 3 ลำนั้น
        ทันใดนั้นเอง ซีโร่ก็เกิดความรู้สึกขนลุกไปทั้งร่าง ร่างกายเกิดหนาวเย็นขึ้นมาโดยฉับพลัน ซึ่งเขารู้ได้ในทันทีว่ามันคือลางร้าย   
        “อย่าเข้าไปนะ!!!” ซีโร่ตะโกนสุดเสียง และทันทีที่สิ้นเสียงตะโกน ยานลาดตระเวนก็ถูกยานทั้ง 3 ลำนั้นระดมยิงเข้าใส่จนระเบิดเป็นผุยผง
       
   
        “ท่านครับ แย่แล้ว!” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบเข้ามาในห้องของโดโนแวนอย่างกระหืดกระหอบ
        “มีอะไรรึ” โฟน่าซึ่งกำลังคุยกับโดโนแวนพูดขึ้น
        “ใจเย็นๆไม่ต้องรีบร้อน มีอะไรค่อยๆรายงาน” โดโนแวนรีบถาม
        “ ตอนนี้มียานจู่โจมไม่ทราบว่าเป็นของฝ่ายใดกำลังบุกเข้ามาในอควอเรียสแล้วครับ”
        “ว่าไงนะ!” โฟน่าร้อง
        “..มีกี่ลำ  แล้วทำไมไม่เห็นมีสัญญาณเตือนภัยบอกเลย”โดโนแวนถึงกับหน้าเปลี่ยนสี
        “...คือเรดาร์เราจับสัญญาณไม่ได้ครับ กว่าจะรู้ตัวก็เข้ามาใกล้อควอเรียสมากแล้ว”
        “แล้วมีกี่ลำ!”
        “..เอ่อ ทั้งหมด 3 ลำครับดูเหมือนจะเป็นยานจู่โจมแบบบรรทุกคนทั้งหมดครับ”
        “ท่านคะ....แสดงว่า” โฟน่าพูดอย่างหวาดหวั่น       
        โดโนแวนกำหมัดแน่น
        “สั่งให้เปิดสัญญาณเตือนภัย ทั้งหมดเข้าสู่สภาวะฉุกเฉินระดับ 2 แล้วแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทุกคนเตรียมพร้อมรบ!”
        “อะ..ครับ” เจ้าหน้าที่คนนั้นรีบวิ่งไป
        “ท่านคะ” โฟน่าพูด้วยสีหน้าที่แสดงความวิตกกังวล       
        “ฝ่ายนั้นใช้การบุกแบบสายฟ้าแลบแสดงว่าเตรียมตัวมาดี ถึงเราจะไม่รู้ว่าเป็นพวกไหนก็ตามเถอะ และทางเราเองก็ไม่ได้เป็นสถานีที่ใช้ในการรบแต่เป็นแค่ศูนย์ฝึกนักศึกษาด้านอวกาศ  เจ้าหน้าที่ที่มีความสามารถในด้านการรบก็มีจำนวนน้อยด้วย แบบนี้คงต้านได้ไม่นานแน่ ”
        ว่าแล้วโดโนแวนก็หันไปที่โฟน่าแล้วพูดด้วยเสียงเฉียบขาด “เธอจงรีบไปเตรียมการอพยพและออกประกาศเตือนให้บรรดานักศึกษาทั้งหมดภายในสถานีขึ้นยานโดยสารทั้งหมดที่มีหนีออกไปจากที่นี่โดยด่วน ยังไงซะพวกเขาก็เป็นเด็กเท่านั้น จะให้มาตายที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด”
        “..ค่ะท่าน แล้วท่านล่ะคะ”
        “ในฐานะที่เป็นผู้บังคับการของที่นี่  ผมยังมีเรื่องที่ต้องทำอยู่อีก”
        ภาพการะเบิดของยานลาดตระเวนทำให้ซีโร่ยืนตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ แล้วจากนั้นก็ปรากฏเสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นจนทั่วสถานีอวกาศอควอเรียส
        “ขอให้นักศึกษาและเจ้าหน้าที่ทุกคนในอควอเรียสเข้าสู่สภาวะฉุกเฉินและทำการอพยพทันที ขอย้า...”
        ประกาศนั้นสั้นๆง่าย แต่ใครจะรู้ว่ามันคือจุดเริ่มต้นของฝันร้าย
        หลังจากยืนนิ่งอึ้ง ซึโร่ก็รีบรวบรวมสติกลับมาโดยเร็ว เขาหันซ้ายขวามองดูทางเดินรอบตัวแล้วรีบนึกถึงเส้นทางที่จะไปยังจุดส่งยานฉุกเฉินโดยเร็วที่สุด
        เขาถึงเตือนกันมาแต่โบราณ ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ให้มองหาช่องทางหนีฉุกเฉินเตรียมไว้ก่อน เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันนั้นพร้อมจะเกิดขึ้นทุกเมื่อ ซึ่งมันก็ยังคงใช้ได้ดีแม้ว่านี่จะเป็นศักราชแห่งอวกาศแล้วก็ตาม
        เขาเป็นห่วงเพื่อนทั้งสองคน แต่มีไคน์อยู่ด้วย เนียคงไม่เป็นไร เพราะหมอนั่นต้องไม่ยอมให้เนียเป็นอะไรไปแน่ 
        คิดได้แบบนั้นเขาก็ตัดสินใจกลับหลังหันวิ่งไปตามทางซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นทางไปสู่จุดส่งยานฉุกเฉิน
        แล้วพริบตานั้นเองเขารู้สึกตาเริ่มพร่ามัวลง ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆตัวกำลังจะเลือนหายไป
        จากนั้นก็ปรากฏภาพแห่งความทรงจำต่างๆมากมายแล่นผ่านสายตาและหัวสมองไปอย่างรวดเร็วราวกับเป็นฉากหนังที่ตัดไปมา จนไม่รู้ว่าสิ่งไหนเกิดก่อนหลังแล้วทุกอย่างก็พลันมืดลง พร้อมกับสติทั้งหมดที่เริ่มจะขาดหายตาม
        แต่แล้วสายตาอันเลือนรางที่แทบจะปิดสนิทอยู่แล้วนั้นก็เห็นแสงสว่างดวงเล็กๆผุดขึ้นเบื้องหน้าท่ามกลางความมืดมิด
        เสียงๆหนึ่งดังก้องขึ้นในหัวสมอง
        “ .ตื่นได้แล้ว .”
       
       
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น