ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : เหล่าเด็กๆแห่งอควอเรียส (Aquarias)
        ที่สถานีอวกาศอควอเรียสนี้นอกจากจะเป็นที่ฝึกสอนของเหล่านักบินฝึกหัดแล้วยังมีการฝึกสอนเหล่านักศึกษาในแขนงอื่นๆที่เกี่ยวข้องทางด้านอวกาศรวมอยู่ด้วย เช่น ฝ่ายเครื่องยนต์ ฝ่ายระบบอาวุธ ฝ่ายวิศวกรรม ฝ่ายโอเปอร์เรเตอร์ ฝ่ายผู้ดูแลนักบิน ฝ่ายสนับสนุนนักบิน ฝ่ายควบคุมระบบคอมพิวเตอร์ ฝ่ายซ่อมบำรุง  ฯลฯ
        การที่มีนักศึกษาในหลายๆฝ่ายๆมารวมอยู่กันแบบนี้ทำให้ต้องมีการจัดแบ่งพื้นที่อยู่อาศัยสำหรับนักศึกษาออกเป็นพื้นที่ โดยจะแบ่งให้นักศึกษาอยู่กันเป็นคู่ต่อหนึ่งห้อง และเพราะความกว้างขวางของสถานีรวมถึงจำนวนคนที่มีอยู่เยอะมาก ทำให้แม้จะเรียนอยู่ในแผนกเดียวกันก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องรู้จักหรือเจอหน้ากันไปหมดทุกคน 
        และในบางครั้งก็อาจจะมีนักศึกษาที่ถูกส่งเข้ามาเรียนที่นี่เพิ่มเติมกลางคัน ซึ่งซีโร่ ไคน์และเนียต่างก็เพิ่งจะถูกส่งตัวมาจากศูนย์ฝึกบนดวงจันทร์เมื่อ 2 เดือนก่อน ซึ่งเกณฑ์ในการส่งตัวมาที่นี่นั้นจะดูจากคะแนนซึ่งต้องอยู่ในระดับสูงมาก ทั้งนี้เพราะมาตรฐานในการเรียนบนสถานีอวกาศอควอเรียสแห่งนี้ถือว่าอยู่ในระดับสูงและหากใครจบไปจากที่นี่ได้ก็รับประกันได้เลยว่าเก่งหรือเชี่ยวชาญในด้านนั้นจริงๆ ทำให้ใช้เป็นใบเบิกทางสำคัญอย่างหนึ่ง สำหรับการเข้าทำงานกับกองทัพหรือของบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีด้านอวกาศได้ ดังนั้นพวกที่มาเรียนที่นี่ส่วนใหญ่นอกจากจะมีความสามารถสูงมากแล้วยังมักจะเป็นพวกลูกของคนใหญ่คนโต หรือผู้มีอำนาจต่างๆทั้งที่โลกและดวงจันทร์
        สรุปแล้วก็คือว่าสถานีอวกาศอควอเรียสแห่งนี้คือโรงเรียนชั้นหัวกระทิที่อยู่ในอวกาศนั่นเอง   
        ขณะนี้เป็นเวลาพัก ภายในโรงอาหารจึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมายกำลังนั่งกินข้าวพร้อมกับส่งเสียงคุยกันดังลั่น ซีโร่และเพื่อนทั้ง 2 ต่างก็กำลังนั่งกินข้าวพร้อมกับพูดคุยไปด้วย
        “ทำไมพวกเธอต้องชอบมีเรื่องกับ ฟาว ด้วยนะ”เนียพูดกับพวกเขา
        “ความจริงแล้วฝ่ายที่ชอบหาเรื่องก่อนคือเจ้านั่นนะ” ซีโร่รีบตอบกลับ
        เนียถอนใจเบาๆ “เธอก็รู้นี่นาว่าพ่อของฟาวที่ชื่อโกรส เกรย์น่าน่ะ เป็นวุฒิสมาชิกคนสำคัญของกองทัพสหพันธ์โลก ส่วนพ่อของเธอนายพลมานเฟรด ลาเลียส ก็เป็นถึงเสนาธิการคนสำคัญของกองทัพ และใครๆที่เกี่ยวกับกองทัพก็รู้กันทั้งนั้นว่าพวกเขา 2 คนมักจะมีปากเสียงกันเป็นประจำโดยเฉพาะเรื่องวิธีการจัดการกับดาวอังคาร”
        ซีโร่ซึ่งนั่งฟังอยู่นั้นรู้ดีว่าการที่เนียพูดแบบนี้ก็เพราะนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เซ็นจูรี่ที่ 18 ถูกนิวเคลียร์ยิงเข้าใส่แล้ว โลกและดาวอังคารต่างก็เข้าสู่สภาวะที่ตึงเครียดมาตลอด 15 ปี และในช่วงเวลาที่ผ่านมานี่ก็เกิดการปะทะกันย่อยๆมาตลอด แต่ว่าช่วง 2-3 เดือนมานี้กระแสความตึงเครียดก็เริ่มหนักขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีข่าวลือเล็ดลอดออกมาว่าทางดาวอังคารวางแผนการที่จะเข้าจู่โจมสถานีอวกาศสำคัญๆของโลกหลายแห่ง
        และผู้มีอำนาจ 2 คนที่มีบทบาทในสหพันธ์โลกอย่างนายพลมานเฟรด ลาเลียสผู้เป็นพ่อของไคน์ กับวุฒิสมาชิกโกรส เกรย์น่าผู้เป็นพ่อของฟาวนั้น ก็ได้เกิดความขัดแย้งกันอย่างหนักในการกำหนดนโยบายที่จะจัดการกับดาวอังคาร ซึ่งพ่อของไคน์นั้นเสนอว่าควรจะเตรียมกองทัพป้องกันให้พร้อมและดูเชิงไปก่อน แต่พ่อของฟาวนั้นเสนอให้กองทัพโลกชิงลงมือโจมตีก่อน เพราะหากถูกโจมตีก่อนแล้วฝ่ายที่จะลำบากในภายหลังก็คือโลกนั่นเอง 
        ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีเหตุผลที่เหมาะสมของตนเอง ทำให้ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพโลกนายพลเดอโกล เอลด์แมน ยังไม่อาจตัดสินใจใดๆลงไปได้และก็ทำให้ความคิดของคนในสหพันธ์โลกต้องแตกแยกกันเป็นสองฝ่าย
        “เพราะแบบนี้ล่ะมั้ง หมอนั่นจึงไม่ชอบหน้าเธอ ในเมื่อพ่อของเขากับพ่อของเธอไม่ถูกกันถึงขนาดนั้น” เนียออกความเห็นต่อ
        “อย่าล้อเล่นน่า” ไคน์ร้อง “เรื่องความขัดแย้งของพวกผู้ใหญ่....มันไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับพวกเราสักหน่อย”
        เนียถอนใจเล็กน้อย “ก็ถ้าไม่ใช่แล้วมันเรื่องอะไรกันล่ะที่ทำให้เขาต้องชอบมาหาเรื่องพวกเธอเป็นประจำน่ะ ตั้งแต่สมัยเรียนที่ดวงจันทร์แล้ว ถ้ากับซีโร่อาจจะไม่แปลกนักเพราะไม่ว่าจะเป็นเวลาที่เรียนในห้องหรือฝึกภาคสนาม เขาไม่เคยเอาชนะซีโร่ได้เลย แต่กับไคน์...เธอมักจะผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะกับเขาอยู่เป็นประจำ ดังนั้นถ้าไม่ใช่เรื่องของพ่อพวกเธอแล้วมันเรื่องไหนกันล่ะ”
        “บ้าจริง อุตส่าห์ทำคะแนนได้สูงจนถูกส่งมาเรียนที่นี่ คิดว่าจะไม่ได้เจอหมอนั่นอีกแล้ว แต่นี่กลับเป็นว่าเจ้าหมอนั่นก็ถูกส่งมาที่นี่ด้วย พวกเราเลยต้องมาเจอกันอีก” ไคน์พูดพลางทำหน้าอย่างไม่สบอารมณ์
        ซีโร่นิ่งเงียบและปล่อยให้เพื่อนทั้ง 2 คุยกันไปเรื่อยๆ ส่วนตัวเขานั้นก็ได้แต่นั่งคิดอะไรบางอย่าง ซึ่งนี่ก็จะเป็นเรื่องปกติในเวลาที่พวกเขาสามคนอยู่ด้วยกัน โดยคนคุยกันจะเป็นไคน์และเนียซะมากกว่า ตัวเขามักจะนั่งฟังเฉยๆและออกความเห็นอะไรบ้างในบางครั้ง
        จนถึงตอนนี้ ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคนที่พูดน้อยและมีลักษณะเหมือนกับคนเก็บตัวเช่นเขาถึงได้มาสนิทสนมกับคนที่สดใสร่าเริงอย่างเนียและคนที่มีอารมณ์สนุกสนานอย่างไคน์ได้กัน
        ทันใดนั้นก็มีเสียงกรี๊ดกร๊าดของพวกผู้หญิงดังมาจากทางประตูโรงอาหาร ทำให้พวกเขาทั้งสามคนที่กำลังคุยกันต้องหันไปมอง และก็เห็นเด็กหนุ่มผมบลอนด์รูปร่างหน้าตาดีคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมๆกับหญิงสาวหลายคนที่เดินร้องวี๊ดว๊ายตามมาเป็นพรวนก่อนที่เด็กสาวเหล่านั้นจะหยุดอออยู่ที่หน้าทางเข้าโรงอาหาร
        “นั่นมันอเล็กซ์นี่นา เจอทีไรต้องมีผู้หญิงเดินตามมาเป็นพรวนทุกที” ไคน์พูดพลางเหล่ตามอง
        เนียยิ้มเล็กน้อย “อิจฉารึไง รู้ไหมว่าความจริงเธอเองก็ดังในหมู่สาวๆเหมือนกันนะ แต่ก็แค่ดังเท่านั้น ส่วนอเล็กซ์น่ะ สาวๆส่วนใหญ่ถึงขั้นคลั่งไคล้เลยล่ะ”
        “แล้วเธอคลั่งกับเขาหรือเปล่าละ” ไคน์พูดพลางทำตาค้อนใส่
        “แหม เสียใจด้วยนะ หมอนั่นอาจจะทั้งหล่อ เก่งและดูดีไปหมดก็จริง แต่ว่าหมอนั่นไม่ใช่ผู้ชายในสเป็คของฉันหรอกนะ เพราะสำหรับฉันแล้วคนที่ดูดีสมบูรณ์แบบไปหมดทุกอย่างแบบนั้นมันน่าเบื่อออกจะตาย” เนียรีบพูด
        “เธอนี่เรื่องมากจริง” ไคน์พูดแล้วยิ้มให้เล็กน้อย
        “แล้ว....ผู้ชายในสเป็คของเธอเป็นแบบไหนล่ะ”ซีโร่ที่เงียบมานานพูดขึ้นบ้าง
        “เรื่องนั้น ความลับย่ะ” เนียพูดพลางแลบลิ้นใส่พวกเขา
        “เชอะ เพราะเรื่องมากแบบนี้นี่แหละถึงยังหาแฟนไม่ได้สักที” ไคน์อดแขวะกลับไม่ได้
        “นายก็เหมือนกันแหละน่า” เนียค้อนใส่เขา ในขณะที่ซีโร่หัวเราะเบาๆ
        “เฮ้ ดูเหมือนพ่อเทพบุตรนั่นจะเดินมาที่โต๊ะเรานะ” ไคน์พูดขึ้น
        ไม่ทันขาดคำ อเล็กซ์ก็มาหยุดยืนอยู่ที่โต๊ะที่พวกซีโร่นั่งอยู่แล้วไม่ทันที่พวกซีโร่จะได้พูดอะไร เขาก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน “ผมเคยเจอพวกคุณหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่เคยคุยกันสักที ดังนั้นก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวเองก่อนละกัน”
        “คุณไม่ต้องแนะนำหรอกค่ะ เพราะว่าพวกเราต่างก็รู้จักคุณดี” เนียพูด
        “รู้สึกเป็นเกียรติมากครับ ที่สาวน้อยน่ารักอย่างคุณรู้จักผม” อเล็กซ์พูดพลางส่งสายตาให้
        “แหม ก็คุณดังขนาดนั้น ใครๆก็ต้องรู้จักกันทั้งนั้น เราต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายแนะนำตัวน่ะ” เนียพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันชื่อเนีย ไดน์สตาร์นักศึกษาฝ่ายผู้ดูแลนักบิน ส่วน 2 คนนึ้คือ...”
        “ซีโร่  แอ็คเซล  กับ ไคน์  ลาเลียส  ผมรู้จักพวกคุณอยู่แล้วล่ะครับ”
        “พวกเราดังขนาดนั้นเลยเหรอ” ไคน์ถามขึ้น
        “แน่นอน ที่ศูนย์ฝึกเดลต้าบนดวงจันทร์นั้นพวกคุณ 2 คนเป็นคนดังมาก หลายคนที่อยู่ที่นี่ก็ถูกส่งตัวมาจากที่นั่น พวกเขาเล่าว่าพวกคุณ 2 คนเป็นนักบินฝึกหัดของเครื่องกริฟฟอนที่เก่งที่สุดบนดวงจันทร์เลย” อเล็กซ์พูดอย่างชื่นชม
          “แต่ความจริงเจ้าหมอนี่ต่างหากที่เก่งจริงน่ะ” ไคน์พูดพลางชี้นิ้วไปที่ซีโร่ “ผมแค่อาศัยว่าฝึกซ้อมบินกับหมอนี่มานานก็ทำให้ได้จังหวะของหมอนี่ซึมซับเข้ามาในตัวมากพอสมควร ก็ลองดูคะแนนสอบสิ คุณเองยังได้มากกว่าผมเลย”
        อเล็กซ์หัวเราะเบาๆ “คะแนนสอบน่ะใช้วัดความสามารถของคนได้แค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น อีกครึ่งมันต้องผลงานจริงๆที่คนๆนั้นทำออกมาเมื่ออยู่ในสถานการณ์จริงต่างหาก”
        “มาอยู่นี่เองเหรออเล็กซ์” ทันใดนั้นเองเสียงแหลมๆที่ฟังดูรู้ทันทีว่าเป็นเสียงของเด็กผู้หญิงก็ดังขึ้น
        ผู้ที่เป็นเจ้าของเสียงซึ่งเดินเข้ามายังโต๊ะของพวกซีโร่คือสาวน้อยหน้าตาดีที่มีกริยาท่าทางราวกับเป็นพวกคุณหนูสูงศักดิ์
        “เซลีนเองเหรอ” อเล็กซ์พูดพลางหันไปมองหน้าเด็กสาวที่กำลังเดินตรงเข้ามา
        เซลีนหยุดดูพวกซีโร่ที่นั่งอยู่เล็กน้อย จนเมื่อสังเกตเห็นเนียแล้วเธอจึงพูดขึ้น “อะไรกัน นี่คิดจะจีบผู้หญิงอีกแล้วเหรอ เจ้าชู้ไม่ยอมเปลี่ยนเลยนะ”
        “เปล่านะ แค่เข้ามาทำความรู้จักด้วยเท่านั้น และคนที่ฉันตั้งใจจะเข้ามาคุยด้วยคือพวกเขาต่างหาก” อเล็กซ์พูดพลางชี้มือไปที่ซีโร่กับไคน์
        “ตายจริง...ผู้ชายหรอกเหรอ หรือว่าเดี๋ยวนี้เธอเปลี่ยนรสนิยมแล้วน่ะ” เซลีนหัวเราะคิก
        “ จะบ้ารึไง ที่ฉันเข้ามาทำความรู้จักด้วยเพราะพวกเขา 2 คนนี้ก็กำลังใกล้จะได้เป็นนักบินเหมือนฉันต่างหาก พวกเขาน่ะทำคะแนนติด 5 อันดับแรกด้วยนะ แล้วคนที่ทำคะแนนเต็มได้เป็นคนแรกนับตั้งแต่มีโครงการฝึกสอนนักบินฝึกหัดขึ้นมาก็คือเขานี่แหละ”อเล็กซ์พูดพลางส่งสายตาให้ซีโร่
        “จริงเหรอ!!ฉันก็เพิ่งไปดูคะแนนมาแล้ว อยากจะเจอตัวจริงเหมือนกัน แหม...หน้าตาน่ารักกว่าที่คิดนะเนี่ย” เซลีนพูดเสียงแหลมพลางยื่นมือมาให้ซีโร่จับ “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะฉันชื่อเซลีน อาร์ดิ้ง นักศึกษาแผนกผู้ดูแลนักบินส่วนคุณชื่อซีโร่ แอ็คเซลสินะคะฉันเห็นชื่อของคุณบนจอบอกคะแนนน่ะค่ะ”
        ซีโร่รู้สึกเขินจนหน้าแดงเล็กน้อยแต่ก็ยื่นมือไปให้เธอจับ
        “แล้วพวกคุณ 2 คนคือ ” ว่าแล้วเซลีนก็หันขวับไปมองที่ไคน์กับเนียซึ่งพวกเขาต่างก็พากันแนะนำตัวเอง
        “วันนี้ยินดีมากค่ะที่ได้รู้จักพวกคุณ ว่าแต่ คุณเนียเป็นแฟนกับพวกคุณคนไหนหรือคะ”
        ได้ยินแบบนั้นซีโร่ ไคน์และเนีย ต่างก็หน้าแดงพร้อมกัน
        “ถามแบบนี้เสียมารยาทนะเซลีน” อเล็กซ์รีบพูด
        “อ้าวไม่เห็นจะเป็นไรเลย ก็แค่ถามเฉยๆดูว่าเป็นแฟนกับคนไหนก็แค่นั้นเอง”
        “แต่เราเพิ่งรู้จักกับพวกเขา ไปถามแบบนี้มัน ”
        เนียยิ้มแบบอายๆแล้วรีบตอบกลับ “คือว่า เข้าใจผิดแล้วค่ะ พวกเรา 3 คนเป็นแค่เพื่อนกันน่ะค่ะ เพียงแต่ว่าพวกเรารู้จักมานานแล้ว ในสายตาของคนอื่นก็เลยอาจจะดูสนิทกันเป็นพิเศษ...”
        “แหม น่าเสียดายจัง ที่คนสวยน่ารักแบบคุณยังไม่มีแฟนน่ะ” เซลีนร้อง
        “เซลีน!” อเล็กซ์ทำเสียงดังใส่
        “น่า...รู้แล้วน่า ไม่ต้องขึ้นเสียงกับคู่หมั้นหรอก ก็แค่แซวเล่นด้วยเท่านั้นเอง”
        “มันก็ควรจะมีมารยาทหน่อยนะ”
        “เอาเถอะ ถ้าพูดแบบนี้ฉันไปก็ได้ ยินดีที่รู้จักนะ 2 หนุ่ม” พูดจบเซลีนก็เดินจากไป
        อเล็กซ์พูดอย่างยิ้มๆ “ขอโทษทีนะครับที่เสียมารยาท ยัยนั่นถูกเลี้ยงมาแบบคุณหนู ดังนั้นเวลาพูดจาอะไรก็เลยไม่ค่อยจะคิดถึงคนอื่นเท่าไหร่”
        “ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่....เป็นคู่หมั้นกันหรือคะ” เนียถาม
        “อ่า..ครับ แต่ก็เป็นเพราะผู้ใหญ่จัดการกันเองที่จริงพวกเราไม่รู้เรื่องด้วยหรอก ดังนั้นเวลาอยู่ที่นี่ผมเองก็ต้องคอยดูแลยัยนั่นไปด้วย ในฐานะคู่หมั้นน่ะครับ” 
        “แต่แบบนี้คงเหนื่อยหน่อยนะ” ไคน์พูด
        อเล็กซ์หัวเราะเบาๆแล้วพูดต่อ “เอาล่ะผมคงต้องไปแล้ว เพราะมีธุระที่ต้องทำนิดหน่อย ความจริงที่มานี่ก็เพราะอยากจะมาทำความรู้จักกับพวกคุณเท่านั้นเอง ในเมื่อรู้จักกันแล้วหวังว่าพวกเราจะเป็นเพื่อนที่ดีกันได้นะครับ” อเล็กซ์พูดด้วยรอยยิ้ม
        “พวกเราก็หวังเช่นกันค่ะ” เนียยิ้มให้
        อเล็กซ์หันหลังเดินไป แต่แล้วก็หยุดชะงักแล้วเดินกลับมาที่ซีโร่พร้อมกับยื่นหน้ามาที่ข้างหูของเขาแล้วกระซิบเบาๆ “ ผมเคยเห็นการฝึกบินของคุณในเครื่องซิมูเลชั่น(เครื่องจำลอง)แล้ว  ต้องยอมรับเลยว่าไม่เคยเห็นนักบินฝึกหัดที่ไหนทำได้ถึงขนาดนี้มาก่อน บางทีต่อให้เอานักบินที่มีประสบการณ์การบินจริงๆมาอาจจะทำได้ไม่ถึงขนาดนี้ด้วยซ้ำ จะว่าไปแล้ว..แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่จะเป็นฝีมือของมนุษย์ธรรมดา” ซึ่งแม้จะกระซิบ แต่อเล็กซ์ก็จงใจให้ดังพอในระดับที่ไคน์และเนียก็ได้ยินด้วย
        ได้ยินแบบนั้นซีโร่ก็ทำตาลุกเล็กน้อย แต่ไคน์และเนียถึงกับตีหน้าเครียด
        “นายคิดจะพูดอะไรเหรอ” ไคน์พูดอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
        “ไม่มีอะไรหรอกครับ เพียงแต่ สมมติว่ามีใครสักคนที่ทำได้แบบนี้เหมือนกันล่ะก็ คนๆนั้นคงต้องเป็นพวกเอ็กซ์คลูสเซอร์เท่านั้นแหละ” อเล็กซ์ยิ้มแต่เป็นรอยยิ้มที่ดูแล้วรู้สึกเย็นชามากกว่า
        ไคน์จ้องมองอเล็กซ์ตาไม่กระพริบ ส่วนซีโร่นั้นยังคงเก็บอารมณ์ไว้ด้วยสีหน้าราบเรียบ
        “ ผมก็บอกว่าสมมติเฉยๆเท่านั้นเอง อย่าจ้องกันแบบจะกินเลือดกินเนื้อแบบนั้นสิ แต่เอาเถอะ ยังไงมันคงเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะว่าคนที่เป็นเอ็กซ์คลูสเซอร์จะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ในเมื่อสถานที่ๆพวกนั้นจะสามารถมีชีวิตอยู่อย่างได้รับการยอมรับก็มีแค่บนดาวอังคารเท่านั้น หากเป็นที่โลกหรือว่าอยู่ในเขตแดนของสหพันธ์โลกอย่างที่อควอเรียสนี่ล่ะก็ อย่างต่ำสุดก็แค่ถูกขู่ฆ่า อย่างมาก...ก็โดนโดนฆ่าไปเลย คิดว่าอย่างนั้นจริงไหมครับ ซีโร่” อเล็กซ์พูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแต่นั่นไม่ใช่รอยยิ้มที่จริงใจสักนิดเดียว
        ซีโร่ยังคงนิ่งเงียบส่วนไคน์กับเนียยังคงมีหน้าเคร่งเครียด
        อเล็กซ์เห็นแบบนั้นจึงยักไหล่เล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ท่าทางผมคงจะทำให้ตัวเองถูกเกลียดแล้วล่ะสิ แต่ไม่เป็นไรหรอก เอาเป็นว่าตอนนี้ผมไปดีกว่า แล้วคราวหน้าหวังว่าเราจะได้คุยกันอีกนะครับ อ้อ....และถ้าเป็นไปได้ ผมเองก็อยากจะลองฝึกบินกับคุณสักครั้งเหมือนกัน” พูดจบอเล็กซ์ก็เดินจากไป
        “ฉันเกือบจะชอบมันแล้วเชียวนะ” ไคน์พูดอย่างไม่สบอารมณ์
        “ช่างเถอะไคน์” ซีโร่รีบพูด
        “แต่ว่า....ถ้าเขาเอาไปพูดให้คนอื่นฟังล่ะก็ เธอจะไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกนะ”เนียพูดด้วยสีหน้ากังวล “ถึงเขาจะแค่สงสัย แต่ว่า.....ถ้าคนอื่นลือกันมากๆล่ะก็”
        “ ช่วยไม่ได้....เพราะมันเป็นเรื่องจริงนี่” ซีโร่พูดเบาๆ
        “ที่นี่คนเยอะ อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย”ไคน์รีบพูดขึ้น
        “นั่นสิ” ซีโร่พยักหน้ารับแล้วพวกเขาก็พากันเดินออกจาโรงอาหาร แต่แล้วพริบตานั้นซีโร่ก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกจับตามองจากอะไรบางอย่าง เขาจึงหันซ้ายหันขวารอบตัวเพื่อดูว่ามีใครกำลังมองเขาอยู่ แต่ก็ไม่พบใคร
        “มีอะไรเหรอ” เนียถามเมื่อเห็นท่าทางของซีโร่ดูแปลกๆ
        “..เปล่า  ไม่มีอะไร” ว่าแบบนั้นแต่เขาก็ยังไม่ค่อยสบายใจนัก เพราะมันไม่ได้เพิ่งเป็นแค่เมื่อครู่ แต่ช่วงหลายวันมานี้เขารู้สึกเหมือนว่ากำลังมีใครบางคนคอยจับตาดูเขาอยู่
-----------------------------------------
        “อาจารย์คะ” เสียงใสๆของหญิงสาวในชุดเครื่องแบบทหารดังขึ้นทำให้ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในชุดเครื่องแบบเช่นกันแต่ยศใหญ่กว่า ซึ่งกำลังยืนดูอะไรบางอย่างผ่านทางห้องกระจกต้องหันหน้ามาตามเสียงเรียก
        “ฉันไม่ได้เป็นอาจารย์ของเธอแล้วนะ ร้อยโทโฟน่า ควอเร่” ชายวัยกลางคนยิ้มให้
        “เอ่อ ขออภัยค่ะ มันเคยชินน่ะค่ะ ผู้พันโดโนแวน!” พูดจบโฟน่าก็รีบยกมือขึ้นทำวัทยาหัตถ์
        “ตามสบายเถอะ ว่าแต่มีอะไรรึ” เขาถามกลับ
        “ค่ะ ทางกองทัพโลกติดต่อเข้ามาค่ะ เห็นว่ามีเรื่องจะแจ้งให้ท่านทราบ” หญิงสาวที่ชื่อโฟน่าพูดต่อ
        “รู้แล้ว แต่ขอผมดูเจ้านี่อีกนิดนะ” โดโนแวนพูดแล้วก็ชี้นิ้วให้โฟน่าดูสิ่งที่อยู่นอกห้องกระจก
        โฟน่ามองออกไปสิ่งที่ปรากฎต่อสายตาของเธอก็คือยานอวกาศขนาดใหญ่ที่กำลังจอดสนิทในอู่เก็บยาน
        “ ในที่สุดก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้วสินะคะ” เธอพูดขึ้น
        โดโนแวนพยักหน้ารับ “ยานรบอวกาศแบบพิเศษรุ่นล่าสุด ตอนนี้เหลือเพียงติดตั้งอาวุธอีกนิดหน่อยเข้าไปเท่านั้นก็จะเสร็จสมบูรณ์ .” ว่าแล้วเขาก็เงียบไปเล็กน้อย 
        “มีอะไรเหรอคะ” โฟน่ารู้สึกสงสัยต่อท่าทางนิ่งเงียบของผู้พัน เพราะยิ่งเงียบก็แสดงว่ามีอะไรบางอย่างกำลังรบกวรจิตใจอยู่
        “เธอรู้ใช่ไหมว่าที่ฉันสั่งให้สร้างเจ้านี่ขึ้นมาไม่ได้เป็นคำสั่งมาจากทางกองทัพโลก แต่เป็นความต้องการฉันเอง”
        “ ค่ะ”
        “แล้วรู้ไหมว่าทำไมฉันต้องสร้างของแบบนี้ขึ้นมาด้วย”
        “ทำไม .งั้นเหรอคะ”
        “เพราะมนุษย์เราน่ะต้องการความรู้สึกปลอดภัยไงล่ะ อย่างการที่มีเจ้านี่อย่างน้อยก็ช่วยทำให้เรารู้สึกปลอดภัยขึ้นได้บ้าง ยิ่งในสภาวะที่พร้อมจะเกิดสงครามทุกเมื่อแบบนี้”
        “ผู้พันคะ”
        “แม้ว่าอคอเรียสแห่งนี้จะเป็นสถานีฝึกสอนนักศึกษาด้านอวกาศชื่อดัง แต่มันก็อยู่ในพื้นที่ๆค่อนข้างจะห่างไกลจากโลกและดวงจันทร์มาก เรียกได้ว่าถ้าเกิดสงครามกับดาวอังคารขึ้นมาจริงๆก็มีสิทธิที่จะต้องอยู่เข้าไปอยู่ในไฟสงครามล่ะนะ ดังนั้นอย่างน้อยหากสามารถมีกำลังที่จะสามารถใช้ปกป้องชีวิตของทุกคนในที่นี้ได้อย่างเจ้านี่ล่ะก็ มันก็น่าจะดีกว่าไม่มีอะไรเลย”
        “ .สงครามจะเกิดแน่รึคะ”
        “ไม่ว่ามันจะเกิดหรือไม่เกิดก็ตามที ผู้ที่ยิงลูกศรออกไปเป็นคนแรกก็คือพวกเรานี่เอง ดังนั้นพวกเราจึงไม่มีสิทธิจะทำอะไรได้อีก นอกจากได้แต่รอว่าลูกศรที่ฝ่ายนั้นจะยิงกลับมานั้นจะรุนแรงแค่ไหนและเมื่อไหร่เท่านั้นเอง” พูดจบแล้วโดโนแวนก็มองไปที่ยานซึ่งกำลังจอดสนิทอยู่อีกครั้งแล้วพูดต่อ “เอาละ พวกเรารีบไปกันดีกว่า”
        “ เอ่อ เดี๋ยวค่ะ”
        “มีอะไรอีกรึ”
        “..แล้วตกลงใจหรือยังคะว่า จะให้ชื่อยานลำนี้ว่าอะไร”
        โดโนแวนยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น ”ให้ชื่อว่า ยานอาเธน่า”
   
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น