ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Wings (ภาคสมบูรณ์)

    ลำดับตอนที่ #3 : เปิดศักราชใหม่(New Age)

    • อัปเดตล่าสุด 7 เม.ย. 48






             ปลายศตวรรษที่ 20



             มนุษย์ชาติได้พบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ในการพัฒนาเทคโนโลยีทางอวกาศเมื่อสามารถส่งมนุษย์ขึ้นไปสู่ดาวอังคารได้สำเร็จเป็นครั้งแรกและจากนั้นมาวิทยาการก็พุ่งไปแบบก้าวกระโดด



             โคโลนี่ (Colony) ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์สำหรับมนุษย์บนอวกาศได้ถูกสร้างขึ้นเป็นผลสำเร็จ ทั้งนี้เพื่อเป็นการระบายประชากรบนโลกที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆให้ออกไปสู่อวกาศโดยลักษณะภายในของโคโลนี่นั้นจะถูกสร้างให้มีมีสภาพแวดล้อมเหมือนกับโลก มีทั้งเมืองสำหรับมนุษย์ ต้นไม้ แม่น้ำ ธรรมชาติ รวมไปถึงสภาพดินฟ้าอากาศเช่นแสงแดดเทียม ฝนเทียม ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะมีในโลกมนุษย์ และจากโคโลนี่เพียงแห่งเดียวภายในเวลาไม่ถึง 30 ปี ก็ได้ถูกสร้างขึ้นจนเกือบถึง 50 แห่งและยังคงมีแผนการที่จะสร้างขึ้นเรื่อยๆอีก



             ในขณะที่ทางดาวอังคารนั้น หลังจากสามารถส่งมนุษย์ขึ้นไปได้แล้ว รัฐบาลของหลายๆประเทศได้มีความพยายามที่จะปรับปรุงสภาพแวดล้อมของดาวอังคารขึ้นมาใหม่เพื่อที่จะให้เป็นที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ของมนุษย์ได้และนั่นได้ทำให้ก่อกำเนิดสิ่งก่อสร้างที่เรียกว่า “โดม” ขึ้นบนดาวอังคาร  



             โดมที่ว่านี้มีลักษณะเป็นเป็นเหมือนกระจกแก้วขนาดมหึมา ซึ่งภายในจะประกอบไปด้วยสภาพบรรยากาศที่เหมาะสมสำหรับมนุษย์ ด้านนอกของโดมมีความแข็งแรงทนทานต่อสภาพอันโหดร้ายของดาวอังคารได้ดี โดยโดมหลังหนึ่งจะมีขนาดหลายสิบไมล์ คลอบคลุมพื้นที่ๆสำหรับอยู่อาศัยของมนุษย์บนดาวอังคาร  



             เช่นเดียวกัน เมื่ออวกาศได้พัฒนาไปมากแล้ว โลกก็ต้องก้าวตามไปด้วย



             เพื่อให้โลกได้ถูกรวบรวมให้เป็นหนึ่งเดียวกันเป็นครั้งแรกนับแต่เริ่มต้นประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ความคิดที่จะก่อตั้งสหพันธ์โลกอันเป็นองค์กรที่จะขึ้นมาดูแลโลกแทนสหประชาชาติจึงได้เริ่มก่อกำเนิดขึ้นและเมื่อประสบผล จึงได้มีการเปลี่ยนชื่อศักราชของโลกใหม่ในยุคอนาคตเป็นอาฟเตอร์ยูนิเวอร์ส (A.U.)  



             เรื่องทุกอย่างน่าที่จะดำเนินไปด้วยดี มนุษยชาติน่าจะก้าวไปยังอนาคตที่สดใส แต่ทุกอย่างย่อมมี 2 ด้านเสมอ



             ปี A.U. ที่ 55 ดาวอังคารซึ่งเป็นบ้านแห่งใหม่ของมนุษย์ ได้ประกาศตั้งตัวออกไปเป็นอิสระ โดยมีกองกำลังเรดการ์ดซึ่งเป็นกองกำลังที่รวบรวมคนหนุ่มสาวและพวกหัวรุนแรงของดาวอังคารที่มีความต้องการให้ดาวอังคารเป็นอิสระจากการปกครองของโลกเป็นแกนนำในการครั้งนี้



             เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะสหพันธ์โลกในระยะหลังคอยแต่จะกดขี่ผู้คนที่อาศัยในอวกาศอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการขูดรีดทางด้านทรัพยากรใหม่ๆที่ขุดพบบนดาวอังคาร และได้แย่งเทคโนโลยีด้านอวกาศที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดด้วยฝีมือชาวดาวอังคารไปใช้เป็นของตนเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ชาวดาวอังคารรวมถึงชาวโคโลนี่จำนวนหนึ่งในอวกาศนั้นไม่อาจที่จะทนรับได้อีก ในขณะเดียวกันการประกาศอิสรภาพของชาวดาวอังคารครั้งนี้  ทางสหพันธ์โลกเองก็ไม่อาจยอมรับได้  



             เพื่อเป็นการรวบรวมเหล่าผู้คนที่อยู่ในดาวอังคารและผู้ที่อยู่ในโคโลนี่น้อยใหญ่ในอวกาศให้เป็นหนึ่งเดียวกัน กองกำลังเรดการ์ดจึงเริ่มสร้างกองทัพที่แข็งแกร่งและประกาศให้ตนเองเป็นกองทัพตัวแทนของชาวดาวอังคารและชาวอวกาศทั้งหมด เพื่อต่อต้านการรุกรานของฝ่ายโลกที่ต้องการจะยึดครองอวกาศและดาวอังคาร ให้กลับมาเป็นของตนอีกครั้ง



             สหพันธ์โลกเองก็รวบรวมกองทัพจากหลายๆประเทศทั่วโลกที่สูญเสียผลประโยชน์ สร้างเป็นกองทัพของตนเองขึ้นและเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายที่ขัดแย้งกันต่างก็มีกำลังทหารและอาวุธ สิ่งที่ตามมาก็ย่อมเป็นสงคราม



             สงครามอวกาศครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติจึงได้ถือกำเนิดขึ้น



             ผ่านไป 8 ปี ในที่สุด ผลชี้ขาดของสงครามได้ปรากฏออกมาเมื่อถึงปี A.U.ที่ 65 ซึ่งการรบในอวกาศนั้นกองทัพโลกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เพราะวิทยาการด้านยานรบอวกาศของโลกไม่อาจสู้กับดาวอังคารได้ แต่โลกยอมรับความพ่ายแพ้นี้ไม่ได้ จึงได้นำอาวุธสุดท้ายออกมาใช้ และเป็นอาวุธที่ดาวอังคารไม่มีอยู่ในครอบครองนั่นก็คือ”นิวเคลียร์”



             สหพันธ์โลกตัดสินใจยิงนิวเคลียร์ใส่โคโลนี่ที่ชื่อเซ็นจูรี่ที่18 ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นฐานทางทหารที่สำคัญของดาวอังคาร ซึ่งผลจากความหายนะครั้งใหญ่นี้ ทางดาวอังคารจำต้องยอมสงบศึกกับโลก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสียมากไปกว่านี้อีก และนับแต่นั้นชาวโลกกับชาวดาวอังคารก็ไม่อาจที่จะอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไป ซึ่งแม้จะสงบศึกกันแล้ว แต่ทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็เตรียมพร้อมที่จะทำสงครามกันอีกครั้ง



             ปัจจุบันปี A.U. ที่ 80 สถานการณ์อันตึงเครียดระหว่างโลกและดาวอังคารได้มาถึงจุดสูงสุดและพร้อมจะปะทุจนกลายเป็นสงครามอวกาศครั้งที่ 2



             ส่วนเหตุการณ์หลังจากนั้น.......



             ถึงตรงนี้ซีโร่ก็เอนตัวพิงกับพนักเก้าอี้แล้วบิดขี้เกียจเล็กน้อย



             “หยุดบันทึกข้อความชั่วคราว” เขาพูดพลางจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งเรื่องราวที่เขาพูดถึงเมื่อครู่นี้ ได้ถูกบันทึกอยู่เต็มจอ



             “หยุดบันทึกชั่วคราว รับทราบ” เสียงตอบรับกลับมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์

            

             “แค่นี้คงจะพอมั้งสำหรับรายงานของวิชาประวัติศาสตร์จักรวาล” เขาพูดกับตัวเองเบาๆ



             รายละเอียด ข้อมูลต่างๆที่เขาได้บันทึกใส่คอมพิวเตอร์ก่อนหน้านี้นั้น เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ได้รับการบันทึกและสอนในชั่วโมงเรียนของวิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งเขาและนักศึกษาคนอื่นๆต่างฟังมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ถึงกระนั้นอาจารย์ของเขาก็ยังให้พวกเขาทำรายงานสรุปเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ตามมุมมองของตนเอง ซึ่งจะว่าไปแล้วเขาไม่ค่อยถนัดในการวิจารณ์วิเคราะห์อะไรพวกนี้เท่าใดนัก



             แต่หากไม่ทำ เขาก็จะไม่ผ่านวิชานี้ และมีผลทำให้ไม่อาจที่จะจบหลักสูตรพิเศษสำหรับนักบินอวกาศนี้ได้ ทั้งที่เขาคิดว่าเรื่องราวเก่าๆแบบนี้มันไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับการสอบเป็นนักบินอวกาศสักหน่อย



             เขาถอนใจเบาๆแล้วเลื่อนเมาส์ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ไปยังแฟ้มข้อมูลอื่น จนเมื่อมาหยุดที่แฟ้มชื่อบันทึกส่วนตัวเขาจึงคลิกเข้าไป



             “เริ่มการบันทึกข้อความ” เขาพูดใส่หน้าจออีกครั้งและมีเสียงตอบกลับมาว่า “รับทราบ” พร้อมกับที่เขาค่อยๆลุกขึ้นแล้วเหยียดแขนทั้งสองข้างขึ้นเป็นการบิดขี้เกียจ เผยให้เห็นรูปร่างสูงผอมปานกลางของตนเองก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง



             “....วันที่ 60 ในการอาศัยอยู่บนสถานีอวกาศอควอเรียส“ เขาเริ่มพูดต่อ “นับตั้งแต่มาใช้ชีวิตอยู่บนสถานีอวกาศอควอเรียสตามหลักสูตรพิเศษสำหรับการเรียนและการทดสอบของนักบินฝึกหัด วันนี้ถือเป็นวันที่หนักหน่วงที่สุด เพราะต้องเข้าใช้เครื่องซิมูเลชั่น(เครื่องขับจำลอง)เป็นเวลายาวนานกว่า 4 ชั่วโมง และการที่ต้องทนอยู่ในห้องนักบินแคบๆเป็นเวลานานขนาดนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงเครื่องจำลองก็ตามที”



             “แต่ก็ผ่านมาได้สำเร็จและหลังจากวันนี้ผ่านไปก็จะได้เป็นนักบินฝึกหัดระดับ 3“ เขาพูดต่อแล้วหยุดเล็กน้อยเพื่อครุ่นคิดอะไรบางอย่างจากนั้นจึงพูดขึ้นอีก “การได้เป็นนักบินฝึกหัดระดับ 3 ก็เท่ากับเข้าใกล้การเป็นนักบินอาชีพอย่างที่สุดแล้ว ซึ่งเหลือเพียงการทดสอบสำหรับนักบินครั้งสุดท้ายในอีก 6 เดือนข้างหน้าเท่านั้น เราก็จะได้เป็นนักบินอวกาศเต็มตัวซะที…”



             พูดจบเขาก็เริ่มเหม่อมองผ่านกระจกออกไปยังห้วงอวกาศ แสงระยิบระยับจากดาวดวงเล็กดวงน้อยทำให้เขาชื่นชมในความงามของมันไม่ได้ ซึ่งอันที่จริงเขาเริ่มมองดูดาวแบบนี้มาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว บางทีการที่เขาต้องการเป็นนักบินอวกาศนั้นก็อาจเป็นเพราะเขาหลงใหลในความงามของมันก็เป็นได้



             เขาหันกลับไปดูรูปของพ่อแม่ของเขาที่วางอยู่ที่ข้างๆโต๊ะทำงาน แต่ว่าตอนนี้พวกท่านได้เสียชีวิตไปหมดแล้ว ซึ่งความจริงพวกเขานั้นไม่ได้เป็นพ่อแม่แท้ๆหรอกและเรื่องนี้เขาก็รู้ได้เองซะก่อนที่พวกท่านจะบอกกับเขาด้วยซ้ำ



             ทำไมเขาถึงรู้น่ะเหรอ....ก็เพราะว่าเขามีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดแผกไปจากพวกท่านและยังเป็นสิ่งที่ผิดแผกไปจากคนทั่วไปบนโลกอีกมากมายด้วย  



             ความจริงคนที่เป็นแบบเดียวกับเขานั้นก็ยังมีอยู่มากเช่นกัน แต่เขาก็ยังไม่เคยได้เจอเลยแม้แต่คนเดียว อย่างน้อยๆบนโลกและที่ดวงจันทร์ซึ่งเขาเคยไปเรียนอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง เขาก็ยังไม่เคยพบและบนสถานีอวกาศอควอเรียสแห่งนี้ก็เช่นกัน  แต่เขาได้ยินมาว่าบนดาวอังคารนั้นมีคนที่เป็นแบบเดียวกับเขาอยู่ค่อนข้างมาก  



             ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ตัวเขาเองก็อยากจะไปสักครั้งเหมือนกัน แต่ตอนนี้มันคงจะยากสักหน่อย เพราะนับแต่เกิดเหตุการณ์ “โศกนาฏกรรมเซ็นจูรี่ที่ 18” โลกกับดาวอังคารก็ตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดมาตลอด ดังนั้นหากคิดจะเดินทางไปดาวอังคารช่วงนี้ ถึงแม้จะเป็นพลเรือนมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  



             “เข้าไปนะ” แล้วทันใดนั้นเสียงของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง โดยไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร เด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเสียงก็เข้ามาภายในห้องทันที



             เด็กหนุ่มคนนี้มีผมสีน้ำตาลอ่อนและดวงตาสีฟ้าเหมือนน้ำทะเลใบหน้าของเขานั้นมีความหล่อเหล่าเอาการ รวมกับความสูงล่ำของเขาแล้ว น่าจะทำให้เด็กสาวๆหลงได้ไม่ยาก



             “วันนี้เหนื่อยชะมัดเลยนะ แล้วนี่ทำอะไรอยู่น่ะ” เด็กหนุ่มร่างสูงเปิดปากถามเขา



             “เขียนบันทึกอยู่” เขาตอบกลับ “วันนี้นายเองก็ทำได้ไม่เลวนี่ ไคน์”



             เด็กหนุ่มร่างสูงที่ชื่อไคน์ยักไหล่ให้เขาแล้วตอบกลับ “แต่ก็ยังไม่เท่านายนะ รู้รึเปล่าว่านายน่ะทำคะแนนได้สูงสุดของการทดสอบวันนี้เลย”



             “อ้าว คะแนนออกแล้วเหรอ” เขารีบถาม



             ไคน์พยักหน้าให้เขา “ออกแล้ว....ฉันทำได้อันดับ 5 ของรุ่น แต่นายนี่มันยอดชะมัดเลยแฮะ ที่ทำได้อันดับ 1”



             “งั้นเหรอ” เขายิ้มกลับเล็กน้อย



             “อะไรกัน นายน่าจะดีใจกว่านี้นะ”



             เขาไม่ตอบอะไร เพราะการที่เขาได้อันดับหนึ่งนั้นมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับเขา....ทั้งนี้ เพราะเขามันไม่เหมือนคนธรรมดา....มาตั้งแต่เกิดแล้ว



             ไคน์ยิ้มเล็กน้อยราวกับจะอ่านความคิดเขาออก “ยังคิดมากอยู่อีกเหรอ นายน่ะทำได้ด้วยความสามารถของตัวเองล้วนๆนะ เรื่องอื่นน่ะไม่เกี่ยวหรอก ฉันเคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ”



             “แต่ที่ฉันทำได้ถึงขนาดนี้ นายก็รู้นี่ว่าจริงๆแล้วมันเพราะอะไรกัน”



             “เฮ้ย จะคิดมากไปทำไมเล่า การที่นายเกิดมาเป็นแบบนี้มันไม่ใช่เป็นเพราะนายเป็นคนเลือกนี่นา” ไคน์ร้อง



             เขาถอนใจเบาๆแล้วพูดต่อ “คิดง่ายจังนะ แล้วเนียล่ะ เธอรู้เรื่องคะแนนรึยัง”



             ไคนยิ้มให้เขาเล็กน้อย “ก็ว่าจะชวนนายไปหายัยนั่นพร้อมกันนี่แหละ ยังจำได้สินะที่ยัยนั่นเคยสัญญาไว้ว่าถ้าพวกเราคนใดคนหนึ่งทำคะแนนติด 5 อันดับแรกล่ะก็จะเลี้ยงข้าวฟรี 1 เดือนและพวกเราต่างก็ทำได้ทั้งคู่แบบนี้ก็ต้องเลี้ยง 2 คนล่ะ หึ...คราวนี้ยัยนั่นกระเป๋าฉีกแน่ อ๊ะ!! แต่พอมาคิดดูแล้วเนียคงอยากจะเลี้ยงพวกเราอยู่แล้วล่ะมั้ง เพราะเธอคงจะรู้อยู่แล้วว่ายังไงซะอันดับ 1 ถึง 5 ต้องมีพวกเราสองคนติดอยู่แน่ๆ”



             ได้ยินแบบนั้นเขาจึงหัวเราะเบาๆแล้วพูดขึ้น “งั้นก็ไปกันได้แล้ว ไปให้ยัยนั่นเลี้ยงข้าวกัน นี่ก็ได้เวลาข้าวเที่ยงแล้วด้วย อ๊ะ! แต่เดี๋ยวขอสั่งให้คอมพิวเตอร์หยุดการบันทึกก่อน” ว่าแล้วเขาก็หันมาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วพูดขึ้น



             “จบการบันทึกข้อความในวันที่ 11 มกราคม ปี A.U.80 เทียบเวลาจากโลกคือ 11.30 น. ลงชื่อซีโร่ แอ็คเซล”

    …………………………………..



             ที่จอคอมพิวเตอร์ขนาดยักษ์มีผู้คนจำนวนมากมายืนมุงดูกัน  ความจริงในแต่ละวันที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของโซนส่วนกลางนี้ไม่ค่อยจะมีคนมายืนมุงกันแบบนี้นัก แต่เพราะวันนี้เป็นวันที่ทำการสอบเลื่อนขั้นของนักบินฝึกหัดทุกระดับชั้น ซึ่งผลการสอบนั้นนอกเหนือจากจะตรวจดูได้จากเครื่องคอมฯส่วนตัวของแต่ละคนแล้ว ยังจะมาประกาศที่จอคอมพิวเตอร์ขนาดยักษ์นี่อีกด้วย  



             “สำเร็จแล้ว”



             “ต้องรอสอบรอบหน้าเหรอเนี่ย”



             “ตกซะแล้วทำไงดี”



             “ได้เยอะกว่าที่คิดแฮะ”



             เสียงของเหล่านักศึกษาที่มามุงดูต่างก็พูดกันไปต่างๆนานา  



             ในการสอบเป็นนักบินอวกาศนั้นจะต้องเริ่มจากการสอบเข้า ซึ่งเมื่อเข้ามาได้แล้วก็จะได้กลายเป็นนักบินฝึกหัด โดยจะมีทั้งหมด 3 ระดับ โดยทุกคนต้องเริ่มจากระดับ 1 และจะต้องผ่านการเรียนการผึกสอนอย่างหนักหน่วงแทบทุกวัน ทั้งภาคทฤษฎีและภาคสนาม หลังจากนั้นก็ต้องเข้าร่วมการสอบเลื่อนขั้น ซึ่งจะเกิดขึ้นทุกๆ 3 เดือน โดยเกณฑ์ในการสอบเลื่อนขั้นนั้นจะวัดจากคะแนนที่ได้เกิน 60 % ขึ้นไปในทุกระดับชั้น ซึ่งเมื่อสอบผ่านตามเกณฑ์ก็จะได้เลื่อนขึ้นไปอีก1ระดับ  



             นอกจากนี้หากใครที่ทำคะแนนได้ต่ำกว่า 40 % ก็จะต้องถูกปรับให้อยู่ในระดับเดิม และจะได้สอบแก้ตัวอีกครั้งในรอบต่อไป ซึ่งหากยังสอบไม่ผ่านอีกล่ะก็  จะถูกส่งกลับบ้านทันที ยกเว้นแต่จะขึ้นมาถึงระดับ 3 แล้ว ไม่ว่าจะพลาดกี่ครั้งก็ยังมีสิทธิแก้ตัวได้  ดังนั้นถ้าใครสามารถเป็นนักบินระดับ 3 ก็เท่ากับจ่อคิวรอพร้อมจะเป็นนักบินเต็มตัวแล้ว  เพียงแต่การสอบในระดับ 3 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายนั้น เป็นการสอบภาคสนามล้วนๆ ซึ่งระดับการสอบนั้นถือว่ายากมาก ในการสอบครั้งหนึ่งๆ มีคนที่สอบผ่านในจำนวนที่ค่อนข้างน้อย ซึ่งอันที่จริงคนที่จะผ่านมาถึงระดับ 3 ในแต่ละครั้งก็ค่อนข้างน้อยอยู่แล้ว  แต่ถึงจะใครๆรู้กันว่าการสอบเป็นนักบินเป็นสิ่งที่ยากมากแบบนั้นก็ยังมีคนจำนวนมากที่เข้าสมัครสอบในแต่ละปี



             นั่นเป็นเพราะปัจจุบันนี้  อาชีพนักบินอวกาศถือเป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับและมีความมั่นคงในระดับสูง ที่สำคัญที่สุดคือเป็นอาชีพที่มีเงินเดือนที่สูงมาก   ไม่ว่าจะเป็นนักบินของกองทัพหรือของเอกชน



             “ดูสิ คนที่ได้ที่ 1 ของระดับ 2 น่ะ ได้คะแนนเต็มเลย เพิ่งจะเคยเห็นคนที่ได้คะแนนเต็มก็วันนี้แหละ” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้น



             “นั่นสิ ได้เยอะกว่าคนที่ได้อันดับ 1 ของระดับ 3 ซะอีก ชื่ออะไรกันน้า…ซีโร่  แอ็คเซล เหรอ” เด็กอีกคนพูดขึ้น



             “อ๋อ  ฉันเคยเห็นนะ  คนที่ผมสีดำๆ ตาสีเขียวๆที่เป็นเพื่อนกับ ไคน์  ลาเลียส  ดาวดังของที่นี่”  



             “ฉันก็เคยเห็นนะ หน้าตาถึงจะดูเด็กไปหน่อยแต่ก็น่ารักดี รู้สึกว่าจะยังไม่มีแฟนซะด้วยสิ” เด็กหญิงคนหนึ่งพูดขึ้น



             “เก่งแบบนี้ต่อไปต้องได้เป็นนักบินแน่เลย แบบนี้ฉันไปจีบดีไหมนะ” เด็กหญิงคนหนึ่งพูดพลางหัวเราะคิก        



             “อ้าว นั่นไงเดินมานั่นแล้ว”



             ซีโร่กับไคน์เดินมาด้วยกัน



             บรรดาคนที่รู้จักกับพวกเขาต่างก็เข้าไปรุมล้อมแสดงความดีใจกันใหญ่  บางคนที่ไม่เคยพูดคุยกับพวกเขาก็ถือโอกาสเข้าไปคุยด้วย  



             โดยเฉพาะไคน์นั้นบรรดาเด็กผู้หญิงต่างจะพยายามเข้าไปใกล้ชิดด้วยเป็นพิเศษ  ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะไคน์นั้นถือเป็นหนุ่มหล่อคนหนึ่งของอควอเรียสแห่งนี้



             หลังจากที่แหวกฝูงชนได้ซีโร่กับไคน์ก็มองดูคะแนนที่จอคอมฯ ซึ่งผลการสอบเลื่อนชั้นของนักบินฝึกหัดระดับ 2 นั้นมีดังนี้



             อันดับ 1  1000 คะแนน  ซีโร่  แอ็คเซล

             อันดับ 2    997 คะแนน  อเล็กซ์  เอลด์แมน

             อันดับ 3    996 คะแนน  หลี่ เหม่ยชิง

             อันดับ 4    991 คะแนน  ฟาว  เกรย์น่า

             อันดับ 5    990 คะแนน  ไคน์  ลาเลียส



             “คะแนนเต็มแบบนี้เพิ่งจะมีเป็นครั้งแรกเลยมั้ง” ไคน์ยิ้ม



             “นายก็ไม่เลวนะ ตั้ง 990” ซีโร่พูด



             “ว่าแต่อันดับ 2 นั่นก็ไม่ธรรมดาเลยนะ ถ้าเป็นปกติคงได้ที่ 1 ไปแล้ว”



             “นั่นสิ  ตั้ง 997 คะแนน”



             ไคน์หยุดคิดเล็กน้อย “อเล็กซ์  เอลด์แมนเหรอ ฉันเคยเจอหน้าเหมือนกันนะ รู้สึกว่าจะเป็นลูกชายของ นายพลเดอโกล  เอลด์แมน แห่งกองทัพสหพันธ์โลก  



             “ฉันก็เคยเจอนะถึงจะไม่เคยคุยกัน แต่ทุกครั้งที่เจอมักจะต้องมีพวกผู้หญิงเป็นกลุ่มคอยเดินตามอยู่ด้วย”



             “ก็ทั้งหล่อทั้งเก่งนี่นา แถมพ่อยังเป็นถึงนายพลอีก ไม่แปลกที่จะเป็นคนดังในหมู่สาวๆหรอก แต่ว่าหลี่  เหม่ยชิงนี่ใครกัน ดูจากชื่อแล้วน่าจะเป็นผู้หญิง แต่ผู้หญิงที่เป็นนักบินฝึกหัดมีค่อนข้างน้อย ถ้าเก่งขนาดได้คะแนนสูงแบบนี้เราน่าจะเคยได้ยินชื่อบ้างนะ”



             ซีโร่ยิ้ม “ช่วยไม่ได้นี่ ก็ที่อควอเรียสนี่มีคนอยู่ตั้งพันกว่าคน แถมยังมีสถานีย่อยๆกระจายอยู่รอบๆบริเวณตั้งเยอะ ย่อมต้องมีหลายคนที่เราไม่เคยเห็นหรือได้ยินชื่อบ้างเป็นธรรมดาและที่สำคัญคือพวกเราก็เพิ่งถูกส่งตัวมาอยู่ได้แค่ 2 เดือนเท่านั้นเอง มันก็ไม่แปลกที่เราจะยังไม่รู้จักชื่อของอีกหลายคนที่อยู่ที่นี่”



             “นั่นสิ และบางทีหล่อนเองก็อาจจะเพิ่งถูกส่งตัวมาด้วยเหมือนกัน แต่ที่ฉันเจ็บใจก็คือดันไปแพ้ให้เจ้าฟาวนี่สิ แถมแพ้แค่คะแนนเดียวด้วย” ไคน์พูดต่อ  

            

             แล้วซีโร่ก็สังเกตเห็นใครบางคนเดินตรงมาที่พวกเขา จึงพูดกับไคน์เบาๆ “พูดถึงก็มาเลยแฮะ”



             เด็กหนุ่มที่เดินมานั้น มีเอกลักษณ์ที่สามารถสังเกตเห็นได้แต่ไกล นั่นคือผมทรงตั้งสีเขียว ใบหน้าของเขาก็หล่อเอาการ แต่เมื่อเห็นแล้วไม่ค่อยอยากมีคนเข้าใกล้นัก เพราะหน้าตาของเขาให้ความรู้สึกค่อนข้างจะเอาเรื่องต่อคนที่พบเห็น ซึ่งเด็กหนุ่มคนที่ว่านี่ก็เดินมาพร้อมกับเด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่อีกคน



             “พูดถึงฉันอยู่รึไง” เด็กหนุ่มผู้มีผมสีเขียวหน้าตาท่าทางไม่ค่อยจะสบอารมณ์นักเป็นฝ่ายพูดขึ้น



             “ก็นิดหน่อย ดูท่าทางนายจะอารมณ์ดีนะฟาว” ไคน์พูดประชดใส่เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะเดินมาถึงคนนี้



             “เชอะ” ว่าแล้วฟาวก็เหลือบมองคะแนนบนจอคอมฯ “น่าเสียดายนะไคน์ อุตส่าห์ขยันฝึกทุกวัน แต่สุดท้ายก็ยังแพ้ฉันอยู่ดี” ฟาวยิ้มเยาะ



             “หึ ก็แค่คะแนนเดียวเท่านั้น แต่แกเองก็แพ้ซีโร่เหมือนกัน”



             ได้ยินแบบนั้น ฟาวก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย แล้วหันมาจ้องหน้าซีโร่ตาเขม็ง จากนั้นพูดกลับใส่เขาด้วยเสียงอันเย็นชา “อย่าคิดว่าทำได้คะแนนเต็มแล้วจะเหลิงได้นะ”



             “ฉันไม่เคยคิดเหลิงเลยนะ” ซีโร่พูดพลางมองหน้าฟาวกลับ



             “ถ้าคิดจะหาเรื่องล่ะก็อย่าดีกว่านะ ฟาว” ไคน์จ้องหน้าฟาวอีกคน



             เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มาพร้อมกับฟาวเดินเข้ามาร่วมวงอีกคน



             “ถ้านายอยากจะลุยล่ะก็ ฉันอนุญาตนะเบโร” ฟาวพูดพลางเหลือบมองที่เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เหมือนกับเป็นคู่หูของเขา



             แล้วเบโรก็จ้องหน้าซีโร่กับไคน์เขม็ง



             บรรดาคนอื่นๆที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่รอบๆต่างรู้ว่าสถานการณ์ชักจะตึงเครียดแล้ว  แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดหรือทำอะไร  



             “ทำอะไรกันอยู่น่ะ” เสียงๆหนึ่งดังขึ้นทำเอาทุกคนที่อยู่ในที่นั้นหันไปยังต้นเสียงตามๆกัน



             เด็กสาวผมแดงใบหน้าสีชมพูระเรื่อ ผิวขาวนวล ท่าทางสดใส รีบเดินตรงมายังที่ๆทั้ง 4 คนยืนอยู่



             “ไม่มีอะไรหรอก” ไคน์พูดกับเด็กสาวโดยไม่หันมามองด้วยเสียงอันเย็นชา



             “ไม่มีได้ไง จะมีเรื่องกันอีกแล้วล่ะสิ” เด็กสาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ



             ฟาวยิ้มให้เล็กน้อยแล้วทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ แล้วจากนั้นก็หันหลังเดินจากไปพร้อมกันกับเบโร



             หลังจากมองดูทั้ง 2 คนนั้นเดินหายไปแล้วเนียก็หันกลับมามองที่ซีโร่และไคน์ด้วยสีหน้าที่แสดงให้รู้ได้ว่ากำลังโกรธจากนั้นจึงพูดใส่พวกเขาทั้งสองด้วยเสียงอันดัง “พวกเธอนี่นะ เมื่อไหร่ถึงจะเลิกมีเรื่องกันสักที”



             “มันเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนนะ ไม่เชื่อถามซีโร่ก็ได้” ไคน์พูดอย่างมีอารมณ์



             “เอาเถอะๆ แล้วกันไปเถอะ แต่คราวหลังระวังตัวกันหน่อยนะ ถ้าเกิดมีเรื่องกันขึ้นมาจริงๆแล้วเรื่องรู้ไปถึงพวกครูฝึกล่ะก็ เรื่องไม่จบง่ายๆหรอกนะ” เนียพูดพลางถอนใจ



             “รู้แล้วน่า พวกเรา 2 คนรู้ตัวดีว่าอีกแค่ 3 เดือนเท่านั้นพวกเราก็จะได้เป็นนักบินเต็มตัวแล้ว ดังนั้นพวกเราไม่โง่พอที่จะทำลายอนาคตของตัวเองหรอก ใช่ไหมซีโร่” พูดจบไคน์ก็หันมาที่ซีโร่เหมือนจะขอให้ช่วย ในขณะที่ซีโร่ก็ยิ้มให้เล็กน้อยแล้วตอบกลับเบาๆ “ช่างมันเถอะ ไปทางข้าวกันดีกว่า”



             เพื่อนทั้งสองเห็นด้วยจึงพากันเดินนำไปโดยมีเขาเดินตามหลัง ซึ่งในระหว่างที่เดินไปนั้นซีโร่ก็จ้องมองดูที่แผ่นหลังของคนทั้งสองที่กำลังเดินพูดคุยอยู่เบื้องหน้า



             “พวกเราสามคนจะเป็นเพื่อนกันตลอดไปเลยนะ” อยู่ๆภาพความทรงจำในอดีตก็ถูกย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน ถึงคำสัญญาที่เนียเคยได้พูดไว้ร่วมกันกับเขาและไคน์



             ถ้าคำสัญญานั่น....มันเป็นจริงไปตลอดได้ก็ดี เพราะในเวลานี้ทั้งสองคนนี่คือคนสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาชนิดที่ไม่อาจจะหาอะไรมาแทนได้อีกแล้ว และก็มีเพียงสองคนนี้เท่านั้นที่รู้ความลับสำคัญที่สุดของตัวเขา



             เรื่องที่เขาเป็น....มนุษย์แห่งศักราชใหม่ที่ถูกเรียกว่า....เอ็กซ์คลูสเซอร์

            











            

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×