ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Wings (ภาคสมบูรณ์)

    ลำดับตอนที่ #1 : ลำนำแห่งการเดินทาง (Song of Journey)

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ค. 48










             อวกาศ....ดินแดนอันเป็นที่หมายปองของมวลมนุษยชาติ



             เหล่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่บนโลกได้ศึกษาค้นคว้าถึงความลับของมันมานานแสนนาน ด้วยความมุ่งหวังที่ว่าสักวันหนึ่งในอนาคต มนุษย์เราจะได้ขึ้นไปและใช้ชีวิตราวกับจินตนาการบนผืนฟ้าอันมืดมิดและตระการตาด้วยหมู่ดาวที่ส่องประกายระยิบระยับจนนับไม่ถ้วน



             แต่อวกาศอันแสนกว้างใหญ่ไพศาลนั้น อยากให้พวกเราขึ้นไปจริงๆรึเปล่า เพราะในระวัติศาสตร์อันแสนยาวนานของโลกได้แสดงให้เห็นว่า สถานที่ใดซึ่งเหล่ามนุษย์ผู้ศิวิไลซ์ได้ทำการบุกเบิกและค้นพบ...สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็คือ สงคราม...เลือด...น้ำตา และความวุ่นวายที่ไม่รู้จบ



             ที่นี่ก็เช่นกัน....สถานีอวกาศแห่งโลกยุคอนาคตนามว่าอควอเรียส ซึ่งเป็นสถานีอวกาศขนาดใหญ่ที่ใช้สำหรับฝึกสอนเหล่านักศึกษาด้านวิชาอวกาศ ขณะนี้กำลังประสบกับความวุ่นวายจากฝีมือของมนุษย์ด้วยกัน



             ผู้คนมากมายหลายสิบคนวิ่งวุ่นกันตามทางเดิน บ้างก็เอะอะโวยวาย บ้างก็ร้องเหมือนคนเสียสติ กลุ่มคนเหล่านี้ต่างก็พยายามเบียดเสียดกันจนทางเดินที่กว้างนั้นดูแคบไปถนัดตา ในขณะที่เสียงสัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้นไม่หยุดหย่อนราวกับจะโหมกระพือความวุ่นวายนี้ให้รุนแรงมากขึ้นไปอีก



             “ขณะนี้สถานีอวกาศอควอเรียสของเรากำลังถูกศัตรูเข้าบุกรุก ดังนั้นจึงขอประกาศสภาวะฉุกเฉินระดับ 2 และขอให้เจ้าหน้าที่และนักศึกษาทุกคนทำการอพยพโดยด่วน ขอย้ำ....” เสียงเตือนภัยนี้ถูกประกาศดังขึ้นไปทั่วทุกบริเวณ



             ซีโร่  แอคเซล เด็กหนุ่มอายุ 16 ปี ผมดำสนิทผิวขาว รูปร่างผอมสูงพอประมาณ ดูผ่านๆแล้วเขาก็ไม่แตกต่างไปจากเด็กหนุ่มธรรมดา แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นให้จดจำได้ง่ายนั่นคือดวงตาสีเขียวมรกต ซึ่งปัจจุบัน คนที่มีตาสีนี้ถือว่าหาได้ยากทีเดียว



             เขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่ติดอยู่ในฝูงชนที่กำลังสับสนวุ่นวายนี้ด้วย ซึ่งตัวเขาก็พยายามที่จะฝ่าฝูงชนที่วุ่นวายนี้ออกไปให้เร็วที่สุดเช่นเดียวกับคนอื่นๆ แต่ก็ไม่สำเร็จ



             เมื่อสักประมาณ 10 นาทีที่แล้วสถานีอวกาศอควอเรียสแห่งนี้ยังคงเป็นสถานที่ๆซึ่งเขาและเพื่อนๆอยู่ร่วมกันอย่างปรกติ เหมือนเช่นเมื่อ 3 เดือนก่อนที่เขาได้รับสิทธิ์ให้ขึ้นมาเข้ารับการฝึกในฐานะนักบินอวกาศฝึกหัด ซึ่งเป็นความฝันที่เขาได้บากบั่นมานาน



             แต่เพราะการลอบเข้าโจมตีอย่างสายฟ้าแลบของยาน 3 ลำ ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นของกองกำลังฝ่ายไหน ไม่ทราบแม้แต่จุดประสงค์ ความวุ่นวายจึงเกิดขึ้น



             บรรดาฝูงคนที่เบียดเสียดกันอยู่ขณะนี้ ความจริงแล้วทั้งหมดต่างก็เป็นนักศึกษาด้านอวกาศเช่นเดียวกับตัวเขา แต่ละคนต่างก็เป็นเพียงเด็กที่มีอายุ 14-16 ปี เมื่อเกิดความวุ่นวายแบบนี้ขึ้นมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้พวกเขาสงบสติอารมณ์ลงได้



             พวกเขาทั้งหมดต่างก็มีจุดหมายอยู่ที่ยานหนีภัยฉุกเฉิน ซึ่งก็อยู่ห่างไปจากตรงนี้มากพอดู แต่ในเมื่อทุกคนต่างก็พยายามแย่งที่จะไปกันก่อนแบบนี้แล้ว ตัวเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าทุกคนอาจจะต้องตายกันหมด



             และในทันใดนั้นเองซีโร่ก็เกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้น ซึ่งในขณะที่ยังไม่ทันที่จะได้ตั้งตัวอะไร เสียงปืนก็ดังขึ้นมาจากทางข้างหน้าจนผู้คนต่างแตกฮือเหมือนรังผึ้งเพราะเสียงปืนนั่น



             ทางที่เสียงปืนดังขึ้นนั้น ก็ปรากฏคน 3 คน แต่งกายแบบทหารและสวมหมวกสำหรับใส่ในอวกาศ และยังไม่ทันที่ใครจะได้ทันพูดอะไร คนทั้ง 3 นั้นยิงปืนเข้ามาทางฝูงคนที่กำลังหนีอย่างไม่คิดชีวิต มี 3-4 คนที่หนีรอดไปได้ ส่วนคนที่เหลือนั้นร่วงลงไปนอนจมกองเลือดอยู่กับพื้น



             ทหาร 3 คนนั้นเดินตรงเข้ามายังบรรดานักศึกษาที่นอนอยู่กับพื้นเพื่อดูว่ามีใครรอดอยู่บ้างและเมื่อเห็นว่าไม่มีใครรอด ทั้ง 3 คนจึงคิดจะเดินจากไป



             “โอย..”



             นักศึกษาคนหนึ่งซึ่งถูกยิงแต่ยังไม่ถึงกับชีวิต นอนร้องครางออกมา ทหารคนหนึ่งในสามคนนี้จึงเดินเข้ามาและยกปากกระบอกปืนเข้าหานักศึกษาคนนั้น



             “หยุดนะ!”



             ซีโร่ซึ่งนอนหมอบอยู่ เพราะแกล้งตายนั้น ได้ตะโกนเสียงดังแล้วพุ่งพรวดขึ้นมาเตะปืนออกไปจากมือของทหารคนนั้นและใช้ขาอีกข้างเตะเข้าไปที่หน้าจนฝ่ายตรงข้ามร่วงไปกองกับพื้น



             ทหารอีก 2 คนที่ยืนอยู่ห่างๆ จึงหันกระบอกขึ้นเพื่อจะยิงใส่เขา ดังนั้นเขาจึงรีบหยิบปืนของทหารคนที่เขาเตะจนหล่นขว้างใส่หัวของทหารอีกคนที่กำลังจะยิงเขาจนร่วงลงไปกองกับพื้น ทำให้ทหารคนที่เหลืออยู่ตกใจ และรีบหันปากกระบอกปืนมายิงใส่เขา  



             กระสุนเฉี่ยวแขนของซีโร่ไป แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาทรุดลงเพราะความเจ็บปวด



             ทหารคนนั้นเดินเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ พร้อมกับหันกระบอกปืนเข้าหาเขา ในขณะที่ทหารอีกคนที่โดนปืนขว้างใส่เมื่อครู่ก็ลุกขึ้นมาได้และกำลังจะเดินตรงเข้ามาหาเขาเช่นกัน



             ซีโร่จ้องมองพวกเขาด้วยความโกรธแค้น ทั้งที่ปากกระบอกปืนกำลังเล็งมาทางเขา แต่เขากลับไม่รู้สึกกลัวตายเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นอาจเพราะความโกรธเกลียดที่มีต่อฝ่ายตรงข้ามนั้น มันมีมากกว่าก็เป็นได้



             “เฮ้!”



             ในขณะที่ทหารทั้ง 2 คนนี้กำลังเดินเข้าไปใกล้ๆซีโร่นั้น จู่ๆก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากข้างหลังของพวกเขาจนต้องเหลียวหลังกลับไปมอง และโดยไม่ทันตั้งตัว ทหารคนที่เห็นเจ้าของเสียงนั้นก่อนก็ถูกลูกเตะของเจ้าของเสียงนั่นเตะใส่ที่คอเต็มแรง ตามด้วยถูกหมัดเข้าที่ท้องอีกทีหนึ่ง  จนร่วงลงไปกับพื้น



             ทหารอีกคนรีบยิงปืนเข้าใส่ แต่คนๆนี้ก็กระโดดหลบโดยการโดดเข้าหากำแพงแล้วอาศัยแรงถีบตัว พุ่งตัวเข้าใส่ทหารคนนี้พร้อมกับประเคนด้วยหมัดและลูกเตะเข้าใส่จนร่วงลงไปกองกับพื้นอีกคน ซึ่งหลังจากจัดการอีกฝ่ายลงไปนอนกองหมดแล้วแล้วคนๆนี้ก็รีบเดินเข้ามาหาซีโร่



             “เธอเป็นอะไรรึเปล่า แล้วก็ปืนมันมีไว้ยิง ไม่ได้มีเอาไว้ขว้างหรอกนะ”



             ซีโร่แหงนมองดูผู้ที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ และที่ทำให้เขาต้องแปลกใจมากก็เพราะว่าคนๆนี้เป็นเด็กสาวผมดำยาวสนิท ผิวขาวนวล รูปร่างพอเหมาะ และมีใบหน้ากับแววตาอันตาสดใสที่ดูแล้วน่าจะอายุประมาณ 15 –16 ปี ซึ่งก็ไล่เลี่ยกันกับเขา  

            

             “ไม่....ไม่เป็นไร ขอบคุณเธอมากนะที่ช่วย เอ่อ..คือว่า”



             “ฉันรู้จัก…เธอคือ ซีโร่  แอ็คเซล สินะ” สาวน้อยคนนี้ตอบกลับเสียงใส



             “รู้จักฉันด้วยเหรอ” เขาพูดด้วยความฉงน



             “รู้สิ ก็เธอคือซีโร่ แอ็คเซล เป็นนักบินฝึกหัดที่ทำคะแนนสอบได้เต็ม 1000 คะแนนในการสอบเลื่อนขั้นของนักฝึกหัดระดับ 2 ซึ่งยังไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน เธอคงไม่รู้หรอกว่าชื่อของเธอน่ะดังมากนะในบรรดานักบินฝึกหัดด้วยกัน”



             “นักบินฝึกหัด รึว่าเธอคือ” เขาทำหน้าเหมือนกับนึกอะไรบางอย่างออก



             เธอยิ้มให้อย่างอ่อนหวานแล้วพูดด้วยเสียงใส “ใช่ ฉันชื่อหลี่ เหม่ยชิง คนที่ทำคะแนนได้เป็นอันดับ 3 ในการสอบนักบินฝึกหัดระดับเดียวกันกับเธอยังไงล่ะ”



             “ใช่จริงๆด้วย ไม่นึกว่าจะเป็นเธอ” ซีโร่พูดด้วยรอยยิ้มแต่ก็ชะงักไป “แต่…เดี๋ยวก่อน นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมัวมาคุยกันนะ” ว่าแล้วซีโร่ก็รีบหันมาดูอาการของนักศึกษาคนที่นอนบาดเจ็บอยู่ “นายเป็นยังไงบ้าง”



             นักศึกษาคนนั้นมองเขาเล็กน้อยแล้วตอบกลับ “…ไม่รู้..เหมือนกัน..แต่…ขอบคุณนะ…ที่ช่วยผมไว้” เด็กหนุ่มคนนี้มีผมและแววตาสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้ามีความหล่อเหลาพอสมควร ตอบกลับอย่างตะกุกตะกักในขณะที่เอามือกุมบาดแผลบริเวณท้องไว้



             ซีโร่เหลือบมองที่บาดแผลนั่นซึ่งกำลังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุดจึงรีบฉีกแขนเสื้อของตนมาใช้เป็นผ้าแล้วเอามากดแผลไว้ “แข็งใจไว้ก่อนนะ นายชื่ออะไร”



             “...เรอิ..” เขาตอบอย่างช้าๆ



             “เอาล่ะ เรอิ แข็งใจไว้ก่อนนะ ฉันจะรีบพานายออกจากที่นี่”



             “เดี๋ยวก่อน” เหม่ยชิงรีบพูดเมื่อสังเกตเห็นเลือดไหลออกมาจากแขนของซีโร่เล็กน้อย “เธอเองก็ถูกยิงที่แขนนี่”



             “แค่เฉี่ยวๆ ไม่เป็นไรมากหรอก ที่สำคัญเราต้องรีบพาเขาไปขึ้นยานโดยด่วนเลย”ซีโร่พูดต่อ



             “ฉันจะช่วยนะ”



             พูดจบซีโร่และเหม่ยชิงก็ช่วยกันประคองเรอิขึ้นมาจากพื้น โดยที่ซีโร่ยังคงเอาผ้ากดแผลที่ท้องของเรอิไว้



             “ตอนนี้พวกเราอยู่ที่พื้นที่เอ็ม-2 ฉันคิดว่าท่าส่งยานที่ใกล้ที่สุดจากตรงนี้น่าจะเป็นท่าส่งที่ 5 นะ” เหม่ยชิงพูดขึ้นหลังจากที่ได้มองสำรวจบริเวณรอบๆตัว



             “น่าจะใช่นะ”ซีโร่พูดพลางเหลือบสายตาไปยังเหล่าเพื่อนนักศึกษาที่นอนจมกองเลือดจากการยิงในครั้งแรก แล้วจึงรีบเบือนหน้าหนี “รีบไปกันเถอะ”



    .................................................



             พันโทโดโนแวน เจ จาคอบกำลังยืนดูภาพมากมายที่ปรากฏบนจอมอนิเตอร์ในห้องบังคับการ ซึ่งภาพทั้งหลายที่ปรากฏขึ้นมานั้นเป็นภาพจากกล้องที่ติดอยู่ภายในสถานีอวกาศอควอเรียสแห่งนี้ ซึ่งมีอยู่เกือบร้อยตัว  



             “กำลังจะถูกยึดแล้วสินะ ที่นี่น่ะ”



             ภาพส่วนใหญ่ที่ปรากฏออกมานั้น ส่วนใหญ่จะเป็นภาพของทหารที่บุกเข้ามากำลังยิงต่อสู้กับฝ่ายเจ้าหน้าที่ของอควอเรียส ซึ่งดูแล้วฝ่ายเจ้าหน้าที่กำลังเป็นฝ่ายแพ้แทบจะทุกจุด นอกจากนี้ตามทางเดิน หรือโซนต่างๆภายในสถานีก็ถูกยึดเอาไว้เกือบจะหมดแล้ว เหลือเพียงไม่กี่ที่เท่านั้น        



             “ท่านครับเราจะต้านไม่ไหวแล้ว ท่านรีบหนีเถอะครับ” เสียงของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งดังขึ้นมาจากหน้าประตูห้องบังคับการ พร้อมกับเสียงปืนที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง



             โดโนแวนเป็นนายทหารวัยกลางคนซึ่งมีลักษณะท่าทางองอาจสมเป็นผู้บัญชาการของสถานีอวกาศ รับฟังการรายงานของลูกน้องแล้วก็ไม่ได้ลนลานอะไร แต่มองไปยังจอมอนิเตอร์ตัวหนึ่งที่ฉายภาพของโรงเก็บยานที่อยู่ภายในอควอเรียส



             ภายในโรงเก็บยานที่กว้างขวางใหญ่โตนั้นมียานรบและยานขนส่งจอดอยู่มากมาย แต่ในบรรดายานอวกาศเหล่านั้น มีอยู่ลำหนึ่งซึ่งมีลักษณะโดดเด่นไปกว่าลำอื่นๆ



             ดูจากสายตาแล้วยานอวกาศลำนั้นมีความยาวประมาณ 600-700 เมตร ส่วนสูงประมาณ 300-400 เมตร ส่วนหน้าสุดของยานมีหัวยื่นออกมาเล็กน้อย ในขณะที่ส่วนบัญชาการหรือสะพานเดินเรือนั้นอยู่ที่ส่วนหัวสุด ซึ่งจะเหมือนกับหัวของหอคอยที่ยื่นออกมาจากตัวยานเล็กน้อย



             ทั่วตัวยานทาด้วยสีขาวตัดสีฟ้า ซึ่งเข้ากันได้อย่างเหมาะเจาะ ปีกขนาดใหญ่ทั้งสี่ที่ยื่นออกมาจากด้านของยานก็ช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้มากขึ้น



             “ก็ยังดีที่ยังปลอดภัยอยู่ ถึงจะไม่รู้ว่าพวกที่บุกเข้ามาเป็นใคร แต่ยังไงก็จะให้เจ้ายานลำนี้ตกอยู่ในมือพวกมันไม่ได้” แล้วโดโนแวนก็ดึงสายวิทยุซึ่งติดอยู่ที่หูมาพูด “ร้อยโทโฟน่าได้ยินรึเปล่า”

            

             ขณะเดียวกันนั้นเองนายทหารหญิงที่ชื่อโฟน่าก็กำลังวิ่งอยู่บนทางเดินภายในสถานีอย่างรีบร้อน



             เธอเป็นญิงสาวสวยอายุประมาณ 24 ปี แต่ด้วยใบหน้าสีชมพูระเรื่อ ผมยาวสลวยสีน้ำตาลอ่อนๆ และรูปร่างเพรียวระหง ซึ่งแม้เธอจะสวมเครื่องแบบนายทหารแล้ว ก็ยังไม่อาจปิดบังความสวยและความมีเสน่ห์นั้นไปได้



             เมื่อเธอได้ยินเสียงสัญญาณติดต่อมาจากโดโนแวนจึงกดรับสัญญาณด้วยเครื่องมือสื่อสารที่สวมอยู่ที่ข้อมือ



             “ท่านคะ ได้ยินไหมคะ ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหนคะ”



             “อยู่ที่ไหนน่ะ ช่างมันเถอะ ว่าแต่พวกนักศึกษาเป็นยังไงกันบ้าง”



             “ส่วนมากขึ้นยานฉุกเฉินหนีออกไปกันแล้วค่ะ มีหลายคนที่กำลังจะขึ้นยาน แล้วก็…”



             “อื้อ....ฉันเห็นจากจอมอนิเตอร์แล้ว หลายคนที่ยังติดอยู่ก็โดนไอ้พวกนั้นมัน…”



             “…...หมายความว่านี่ท่านอยู่ที่ห้องบังคับการหรือคะ ถ้าอย่างนั้นรอเดี๋ยวนะคะ ดิฉันจะรีบระดมเจ้าหน้าที่ที่เหลือไปช่วยท่านเดี๋ยวนี้แหละ”



             “ไม่ต้องมานะ!”



             “หา!” โฟน่าตกใจจนตาลุก



             “ฟังนะ ฉันขอสั่งให้เธอไปที่โรงเก็บยานและนำยานอาเธน่าออกไปโดยด่วนที่สุด”



             อาเธน่าคือชื่อของยานที่มีลักษณะโดดเด่นลำนั้น...และเป็นยานรบอวกาศที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลย้านอวกาศที่ทันสมัยที่สุดของโลก



             “เดี๋ยวค่ะท่าน” โฟน่าร้อง



             “ไม่แน่ว่าบางทีการที่เจ้าพวกนี้บุกมาคราวนี้ อาจจะมีจุดประสงค์อยู่ที่ยานลำนั้นก็ได้”



             “..ถ้างั้น”



             “ไม่ว่ายังไงจะมอบยานลำนั้นให้กับใครไม่ได้เด็ดขาด เท่าที่ดูจากมอนิเตอร์แล้ว ภายในโรงเก็บยานนั้นมีพวกของร้อยตรีวินด์กำลังต้านทานอยู่ ให้เธอรีบรวบรวมพวกเจ้าหน้าที่และนักศึกษาที่เหลืออยู่ ขึ้นยานลำนั้นและหนีออกไปจากที่นี่ทันที”



             “แล้วท่านล่ะคะ”



             “บอกแล้วไงว่าฉันเป็นผู้บังคับการที่นี่ จะให้ฉันทิ้งพวกคนที่ยังสู้อยู่ไปไม่ได้หรอก” โดนโนแวนตะโกนในขณะที่เสียงปืนยังคงดังขึ้นเรื่อยๆที่หน้าห้องบังคับการพร้อมๆกับเสียงร้องตะโกนอย่างเจ็บปวดจากคนที่ถูกยิง



             “เอาล่ะ ไม่มีเวลาแล้ว รีบหนีออกไปซะ!!” เขาตะโกนใส่เครื่องติดต่อ



             “ท่านคะ!!”



             “นี่เป็นคำสั่งสุดท้าย ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีชีวิตรอดไปให้ได้นะ โฟน่า” เมื่อสิ้นเสียง....สัญญาณก็ดับหายไป



             “อาจารย์คะ!” โฟน่าร้องลั่น แล้วยืนตะลึงตัวแข็ง ในขณะที่น้ำตาค่อยๆไหลรินออกมา



             “..ไม่ได้..นี่ไม่ใช่เวลาร้องไห้ซะหน่อย” โฟน่าพูดเบาๆแล้วพยายามกัดฟันรวบรวมสติกลับมา พร้อมกับปาดน้ำตาทิ้ง จากนั้นจึงกดเปิดสัญญาณวิทยุอีกครั้ง “ร้อยตรี วินด์ ได้ยินรึเปล่า”



             เงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะมีเสียงตอบกลับมาจากอีกฝั่ง “ร้อยโทโฟน่า ปลอดภัยใช่ไหมครับ”



             โฟน่ายิ้มออกเมื่อได้ยินเสียงของเจ้าหน้าที่ๆชื่อร้อยตรีวินด์ดังขึ้นมาทางเครื่องสื่อสาร จากนั้นจึงรีบพูดต่อ “ใช่ ตอนนี้เจ้าหน้าที่บางส่วนอยู่กับคุณใช่ไหม”



             “ครับ ตอนนี้เรากำลังต้านศัตรูอยู่บริเวณโรงเก็บยาน แถมมีพวกนักศึกษาหลายคนมาหลบอยู่กับเราและตอนนี้จ่าโมลกำลังไปรวบรวมพวกนักศึกษาที่เหลือที่ไปขึ้นยานฉุกเฉินไม่ได้ให้มาอยู่ที่นี่ด้วย” วินด์ตอบกลับ



             “จ่าโมลงั้นเหรอ….แล้ว ตรงนั้นมีพวกเราอยู่เยอะมั้ย”



             “ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่ ตรงนี้เราเหลือกันอยู่ประมาณสิบกว่าคนเท่านั้น ส่วนพวกนักศึกษามีประมาณ…คิดว่าประมาณ 70-80 คนเห็นจะได้ และก็พวกที่กำลังต้านศัตรูตามจุดต่างๆ ตอนนี้ติดต่อไม่ได้เลย บางที…”



             “…เข้าใจแล้ว เอาล่ะ...ให้คุณรีบรวบรวมทุกคนที่อยู่ที่นั่นขึ้นยานอาเธน่าโดยด่วน”



             “อะ..ครับ”



             “แล้วติดต่อจ่าโมล บอกให้เขารีบไปที่อาเธน่าโดยด่วน เดี๋ยวฉันจะรีบไปที่นั่นเหมือนกัน”



             “ครับ..แล้วผู้พันโดโนแวน”



             “….ท่านไม่มาด้วย” โฟน่าพูดเสียงสั่น



             “…งั้นเหรอครับ” วินด์เสียงอ่อยเล็กน้อย “เข้าใจแล้วครับ ผมจะทำตามที่สั่ง ดังนั้นคุณเองก็ต้องรีบมาที่นี่โดยเร็วนะครับ” พูดจบสัญญาณก็ถูกตัดไปในขณะที่โฟน่ารีบเร่งฝีเท้าวิ่งไปยังโรงเก็บยานโดยเร็วที่สุด ท่ามกลางเสียงเตือนภัยที่ดังไปทั่วทั้งสถานี



             ขณะนี้คือปีศักราช A.U.ที่ 80 วันที่ 11 มกราคม เทียบเวลาจากโลกคือ 12.30 น. ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ตัวเลยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว.............



      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×