คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Prologue 4 : แม่
หลังจากเหตุการณ์นั้นก็ผ่านมาเพียงข้ามวัน เสียงที่ก้องอยู่ในหูราวกับสลักลงไปในจิตใจ ลูน่าคิดทบทวนถึงมันซ้ำไปซ้ำมาจนไม่เป็นอันเรียน
ตั้งแต่เกิดมาฉันเป็นคนเข้าใจเรื่องซับซ้อนได้ง่าย แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยค่ะที่ประโยคสั้น ๆ ทำฉันคิดไม่ตกจนไม่มีสมาธิกับอะไรเลย
พยายามปะติดปะต่อแล้ว แต่กลับไม่เข้าใจอะไรขึ้นมาเลยสักนิด นั่นทำให้เธอไม่สบายใจเล็กน้อยประกอบกับวันนี้ทั้งวันต้องคอยย้ำเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าห้ามใช้พลังอีกด้วย
เนื่องจากคืนนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง หากเธอใช้พลัง อักขระคล้ายยันต์รูนจะปรากฏขึ้นตามตัวของเธอทุก ๆ ครั้งที่ใช้พลัง และนั่นสร้างความเจ็บปวดจนสามารถนำพาลูน่าไปสู่ความตายได้เลยหากมันมีมากพอ
แต่ที่บอกว่าจะไม่ใช้ ก็แค่ตอนกลางวันเท่านั้นแหละ เธอเตรียมใจมาประมาณหนึ่งแล้วว่ายังไงคืนนี้ก็ต้องใช้แน่ เมื่อลูน่าคือคนแรกที่มาถึงสถานที่ที่นัดกันไว้คือตึกร้างที่ว่ากันว่าผีดุที่สุด ตอนเวลาสามทุ่ม
ฉันสามารถยืนยันได้ตรงนี้เลยว่าจริง แค่ฉันมองเข้าไปแวบเดียว พลังวิญญาณที่ยังยึดติด อยู่ต่อด้วยความโกรธแค้น อาฆาต จนกลายเป็นก้อนพลังงานสีดำก็มีอยู่ให้เห็นทุกบริเวณของตึก ที่สำคัญคือเยอะมากด้วย
"พวกแกแน่ใจกันจริงๆนะ ว่าจะเข้าไป" เธอถามย้ำกับเพื่อนทั้งห้าคน หนึ่งในนั้นมีเมฆรวมอยู่ด้วย
"แน่ใจสิลูน่า เรามากันถึงตรงนี้แล้วจะหันหลังกลับได้ยังไงกัน" เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้น แล้วที่เหลือก็พร้อมใจกันเห็นด้วย
เรื่องแบบนี้ล่ะเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยจริงจริ๊ง อยากจะรู้นักว่าถ้าวันนี้ไม่มาด้วยจะซ่ากันแบบนี้ไหม
ลูน่าถอนหายใจเบาๆไล่ความกดดัน เตรียมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ครั้งนึงในชีวิตเธอเคยเผลอใช้พลังในคืนพระจันทร์เต็มดวงมาแล้ว ความรู้สึกที่เหมือนโดนไฟลวกจากทุกรอยอักขระที่เกิดขึ้นยังไม่ลืมไปจากความทรงจำ
แต่ครั้งนี้อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดล่ะวะ
เธอเริ่มเรียกพลังเวทย์ขึ้นมาบนมือทั้งสองข้าง เมื่อนั้นพลังเวทย์สีขาวประกายทองก็วิ่งไปตามร่องของปูนที่ฉาบและบริเวณที่แตกของกำแพงอิฐเก่าๆเบื้องหน้า
แสงจากพลังเวทย์นั้นส่องสลัวในความมืด ขอบเขตของมันจำกัดอยู่เพียงช่องสี่เหลี่ยมที่พอจะเดินเข้าออกทีละสามคนได้สบาย ก่อนที่ลูน่าจะใช้มือข้างขวาอัดพลังใส่บริเวณกำแพงที่เวทย์ของเธอครอบคลุมไว้ จนอิฐก้อนเหล่านั้นกระเด็นออกไป เปิดเป็นทางให้พวกเธอเข้าออกสะดวก
สิ่งที่เธอทำ ทำเอาเพื่อนข้างหลังส่งเสียงโห ออกมาด้วยความทึ่ง
"แกเก่งจังอะลูน่า!"
คำชมนั้นผ่านเข้ามาในหู แล้วก็ผ่านออกไป เธอหันกลับไปหาเพื่อนทั้งห้าคน เอ่ยด้วยเสียงที่กดต่ำลงเล็กน้อย "เดี๋ยวเราตามหลังทุกคนไปเอง จะทำอะไรก็รีบไปทำ เราอยู่ดึกไม่ได้"
เธอเก็บอาการที่สุดแล้ว ปล่อยให้เพื่อนทั้งห้าคนที่ถือของอะไรมากันบ้างก็ไม่รู้และไฟฉายครบมือเดินเข้าไปก่อน จึงเริ่มสำรวจตัวเองจากบริเวณที่ความเจ็บปวดดั่งถูกไฟเผาปะทุขึ้นมา รอยอักขระแรกประทับลงบนหลังมือขวา ลูน่ามองมันอยู่ครู่หนึ่ง เพราะพยายามข่มความเจ็บปวดมือจึงสั่นเล็กน้อย
แต่แค่นี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอกนะ!
เธอกำมือนั้นก่อนจะสะบัดมันลงแล้วละความสนใจจากรอยอักขระ
ลูน่ามองอย่างไร้ความกลัวเข้าไปในตัวตึกที่เพื่อนๆเริ่มสำรวจ และสัมภเวสีแถวนั้นที่เริ่มหัวเราะคิกคัก ก่อนจะเดินตามเพื่อนๆเข้าไปเพื่ออารักขาไม่ให้เป็นอันตราย
ฉันไม่กลัวผี ตราบใดที่พลังงานของพวกมันอยู่ในศาสตร์ของไสยศาสตร์ พลังเวทย์ของฉัน ก็อยู่ในศาสตร์ของคุณไสยแม่มด ดาหน้ากันเข้ามาเลย เดี๋ยวจะเอาให้ตายรอบสองให้ดู!
เธอเดินเข้าไปในตัวอาคารตามหลังคนอื่น ๆ ที่กำลังส่องไฟสำรวจอย่างตั้งใจ ไม่ได้คิดว่าจะไปกับใครเป็นพิเศษ เพียงแค่อยากจะสังเกตการณ์ทุกคนไปพร้อม ๆ กันเท่านั้น เมื่อมีปัญหาจะได้ไปช่วยได้เลย ลูน่าจึงเลือกไปยืนอยู่ตรงกลางโถงนั้น
"น้ำใส เมื่อกี้มึงจับไหล่กูป๊ะ" บิวถามเพื่อนของตนที่คิดว่าเดินมาด้วยกัน
"จับเหี้ยไร กูอยู่มุมนี้"
"..."
สิ้นคำตอบของน้ำใสทุกคนก็เริ่มคิดว่ามีอะไรผิดปกติจนละความสนใจจากสิ่งที่ทำอยู่ อีกทั้งบิวยังลุกลี้ลุกลนกว่าใครเมื่อเหตุนั้นประสบกับตัวเอง
"ล..ลูน่า ใครจับไหล่เราเหรอ.." บิวเสียงสั่น
เธอเห็นแล้วว่าวิญญาณตนนั้นดูจะสนใจบิวเป็นพิเศษซ้ำยังไม่เกรงกลัวเมื่อตัวที่เหลือเอาแต่แสดงอาการหงุดหงิดเมื่อมีคนเข้ามายุ่งในพื้นที่ของตน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะหวาดกลัวในพลังของตัวเธอ
ยัยคนนี้เขามีฤทธิ์นะ
"ไปแล้ว" ลูน่าเอ่ยก่อนจะเงยหน้าขึ้น "ขึ้นไปชั้นสองแล้ว"
คำพูดนั้นไม่รู้อะไรดลใจให้เพื่อนเมฆคนดีคนเดิมเกิดไอเดียบรรเจิด เขารีบเปิดกระเป๋าที่สะพายมาก่อนจะค้นหาของอยู่ครู่หนึ่งจึงพบ
"เล่นผีถ้วยแก้วไหมทุกคน เราเอามาด้วย"
แล้วทำไมเวลาแบบนี้ของถึงเตรียมพร้อมนักวะเนี่ย! ชีวิตสนุกกันไม่พอหรือไง!
"เราว่า.."
"เอาสิ! ไปๆ เผื่อเขาอาจจะอยากสื่อสารกับบิวก็ได้นะ"
พอมีคนเปิดแล้วมีคนตาม คนที่เหลือก็เห็นด้วยกันทั้งหมดโดยไม่ถามอะไรเธอสักคน ทั้งยังพร้อมใจกันขึ้นชั้นสองโดยไม่รอลูน่ากันอีกต่างหาก
มาถึงตรงนี้ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากตามไปแล้วล่ะ ถึงแม้ว่าใจเธออยากจะบินกลับไปเลยเสียตอนนี้ แต่แบบนั้นพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาเพื่อนเธอก็จะหายไปห้าคนแน่นอน ไม่ตายก็เลิกคบ มีสองทาง
"เห้อ.." ลูน่าถอนหายใจแผ่วเบา เป็นเวลาไม่นานเลยหลังจากที่เธอเดินตามเพื่อนคนอื่น ๆ ขึ้นมา แต่พอเธอตามขึ้นมาถึง พวกนั้นก็ล้อมวงเริ่มถามคำถามแล้ว
คนล้อมวง ผีเองก็ล้อมวงเหมือนกัน วิญญาณสีดำจำนวนมากยืนรายล้อมดูเด็กนักเรียนห้าคนเล่นผีถ้วยแก้วอยู่กลางวงของพวกเขา แต่มีผีตนหนึ่งที่ร่วมวงเลื่อนแก้วอยู่ด้วย
ใช่แล้วค่ะ ตนเดียวกับที่จับไหล่บิวนั่นแหละ นั่งอยู่ข้างๆเลย
เธอมองทุกที่สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ไม่ไกล แต่ก็ไม่ได้ลงไปล้อมวงด้วย
"จะทำอะไรพวกเขา" นี่คือสิ่งเดียวแล้วที่ลูน่าจะทำได้คือคุยกับวิญญาณตนนั้นผ่านกระแสจิต
"พวกมึงรุกล้ำที่กู พวกมึงต้องตายที่นี่ทุกคน แล้วกูจะเอาร่างอีนังนี่เป็นตัวตายตัวแทนกู"
สิ้นเสียงนั้น ลมรอบตัวก็พัดแรงขึ้น ไฟฉายห้ากระบอกที่เปิดไว้เริ่มติด ๆ ดับ ๆ แก้วบนกระดานลากวนที่สามตัวอักษรเป็นคำว่า'ตาย'ซ้ำไปมาอย่างรวดเร็ว ซากไม้ผุพังที่อยู่ฟากหนึ่งของห้องกำลังลอยมาหาวงผีถ้วยแก้ว
"ฝ้ายระวัง!" บิวที่อยู่ฝั่งที่จะเห็นไม้ลอยมารีบส่งเสียงเตือนด้วยความตกใจ
มันพยายามใช้จุดอ่อนที่ห้ามคนที่เล่นผีถ้วยแก้วเอานิ้วออกจากแก้วให้พวกเขาเป็นเป้านิ่ง
แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ!
ข่ายพลังเวทย์ตรึงไม้ที่กำลังลอยมาให้หยุดอยู่กลางอากาศ ก่อนจะปัดมันให้ร่วงลงพื้น ความเจ็บปวดก็แล่นขึ้นที่หลังมือขวา เมื่ออักขระปรากฏขึ้นอีกแล้ว
"อึก!..."
ในจังหวะที่ลูน่าไม่ทันเห็น ไหล่ของฟิล์มก็ได้ชนเข้ากับบิวจนนิ้วหลุดออกจากแก้ว เมื่อนั้นเหล่าวิญญาณที่ยืนล้อมวงอยู่ก็เริ่มแย่งกันที่จะเข้าร่าง แต่วิญญาณตนที่กำลังสื่อสารด้วยนั้นเข้าไปก่อนใคร
"เชี่ย! ชิบหายแล้ว อีบิวผีเข้า!"
สติของทุกคนแตกกระเจิงลุกขึ้นวิ่งกระจายไปคนละทิศละทาง เมื่อบิวเริ่มลุกขึ้นมาหัวเราะและมีท่าทีไม่ใช่คนที่เธอรู้จัก
ในสถานการณ์นี้ลูน่าเป็นเดียวที่มีสติที่สุด แม้ว่าจะเริ่มทนความรู้สึกเจ็บไม่ไหวแล้วก็ตาม แต่ก็ต้องทน
เธอเรียกพลังเวทย์ขึ้นมาบนมือทั้งสองข้าง ประชันหน้าบิวที่โดนผีเข้า "ออกจากร่างเพื่อนฉันเดี๋ยวนี้!"
บิวแสยะยิ้มหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงหลายเสียงผสมกันจนดูน่ากลัว "หึ ๆๆๆ กูไม่ออก กูจะกัดกินร่างมัน แล้วก็จะเป็นมึงต่อไป!"
เกิดมาไม่เคยเจอผีอะไรไม่มีเหตุผลขนาดนี้ แต่ตอนนี้เธอเริ่มโมโหแล้วด้วยหลาย ๆ ปัจจัยรวมกันจนลืมไปแล้วว่าร่างของตนเจ็บปวดแค่ไหน "ถ้าทำได้ก็ลองดู"
ไม่รอให้เสียเวลา ลูน่ากระหน่ำปาบอลพลังเวทย์ใส่ร่างของบิวที่โดนผีสิงจนมันถอยหลังไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ ครั้งที่โดน พลังงานสีดำก็หลุดออกจากตัวบิวทีละตน แต่มันมากจนยังไม่ถึงตัวที่กำลังพล่ามอยู่นี่สักที
มันพยายามเข้ามาโจมตีเธอในระยะประชิด แต่ลูน่าก็บินหลบมันไปอีกทางแล้วปาบอลเวทย์ใส่มันต่อไป
"อึก!.. มึงทำแบบนี้ได้อย่างไร มึงเป็นผู้ใดกันแน่!"
เหมือนว่ามันจะเริ่มรู้สึกเจ็บปวดแล้ว นี่แหละตัวสุดท้ายแล้ว!
ลูน่าตรึงร่างของบิวแล้วยกให้ลอยขึ้นเหนือพื้นเล็กน้อย เท่านี้มันก็หนีไปไหนไม่ได้แล้ว
"อยากรู้เหรอว่าฉันเป็นใคร..." นัยน์ตาดำเปล่งประกายสีทองวาวโรจน์ในความมืด เธอเดินเข้าไปใกล้ร่างที่ถูกตรึงเอาไว้ ก่อนจะง้างมืออัดพลังเข้ากลางอกบริเวณที่เป็นจุดของหัวใจ
"บอกก็โง่แล้ว!"
วิญญาณสีดำตัวสุดท้ายกระเด็นออกจากร่างของบิวแล้วสลายไปในอากาศ ลมกรรโชกแรงได้หยุดลงแล้ว บิวที่ได้สติร่วงลงกับพื้น มองอย่างลุกลี้ลุกลนซ้ายขวา
"อีบิว!" น้ำใสเมื่อเห็นสถานการณ์สงบก็วิ่งเข้ามาดูเพื่อนก่อนใคร
"น้ำใส! เกิด.. เกิดอะไรขึ้นวะ" บิวถามอย่างตื่นตระหนก
"กูว่าเรากลับกันเถอะมึง ขอบใจมากเลยนะลูน่า...ลูน่า?" ฟิล์มกล่าวขอบคุณก่อนจะสังเกตจนชะงัก
"แฮ่ก.. แฮ่ก.. ไม่เป็นไร" เธอกล่าวขอบคุณทั้งหอบหายใจ คืนนี้เธอใช้พลังเวทย์แล้วรู้สึกเหนื่อยที่สุดในชีวิต
"รอยอะไรเต็มตัวแกไปหมดเลย.."
เมื่อฟิล์มทักขึ้นลูน่าเองก็เพิ่งสังเกต รอยอักขระขึ้นลามไปทั้งแขนขึ้นมาถึงคอ ก่อนที่ความเจ็บปวดเหลือคณานับจะโถมเข้าใส่จนเธอต้องทรุดตัวลงกรีดร้องออกมา
หัวปวดแทบระเบิด ตามเนื้อตัวร้อนดั่งถูกไฟเผา ทรมานเหมือนความตายอยู่เพียงเอื้อม ความโกลาหลวุ่นวายของเพื่อนทั้งห้าคนเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อเธอกลายเป็นแบบนี้แต่เสียงเหล่านั้นอื้ออึงจนฟังไม่ได้ศัพท์อีกต่อไปแล้ว
นี่เราจะตายแล้วเหรอ.... แม่คะ..
สติของเธอค่อยๆดับวูบลง แต่ห้วงสุดท้ายเธอกลับเห็นว่าแม่ของตัวเองอยู่เบื้องหน้าแล้ว
ความคิดเห็น