คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : NIGHT or NICE ?
วันนี้โรงเรียนเลิกสี่โมงครึ่ง..
คชาเงยหน้ามองนาฬิกาอะนาล็อกที่ถูกแขวนไว้หน้าห้องเรียน เข็มยาวและเข็มสั้นทำองศาชี้เวลา 16.35 นาฬิกา ทันทีที่เสียงออดสัญญาณที่บอกถึงการสิ้นสุดการเรียนอย่างคร่ำเคร่งของวันนี้ได้จบลงแล้ว คนในห้องต่างรีบร้อนเก็บของ บางคนลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจอย่างไม่เกรงใจอาจารย์ที่อยู่หน้าห้อง เขายกมือไหว้อาจารย์หนุ่มที่ดูไม่ซีเรียสเท่าไหร่กับพฤติกรรมของเด็กในห้อง อาจารย์เพียงแต่พยักหน้าให้เขา ก่อนเดินตัวปลิวออกไป คชาขยับแว่นให้ชิดใบหน้าขึ้นอีก ก่อนเพ่งสมาธิให้จดจ่อกับตัวหนังสือในตำราเล่มหนาแข่งกับเสียงโหวกเหวก
โรงเรียนชายล้วน แม่ง.. คุยกันแต่เรื่องบอล
“เฮ้ย เฉื่อย ฝากส่งการบ้านคณิตหน่อยดิ กูจะรีบไปซ้อมบอลอ่ะ แต้งกิ้วว” ประโยคบอกเล่าแกมคำสั่งจากเพื่อนร่วมห้องทำให้คชาต้องละสายตาออกจากตำราเรียนเล่มหนาที่เขากำลังพยายามตั้งสมาธิอยู่กับมัน เมื่อโดนรบกวน คิ้วบางใต้กรอบแว่นขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ยังไม่ทันพูดปฏิเสธคนค่อนห้องก็วิ่งหายไปพร้อมกับทิ้งสมุดการบ้านกองโตไว้ให้เขาอย่างไร้ระเบียบ
เฮ้อ..
คชาถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ล้มเลิกความตั้งใจที่จะรวบรวมสมาธิให้อยู่กับหนังสือเรียนท่ามกลางความวุ่นวายหลังเลิกเรียน เขาเก็บหนังสือเรียนเข้ากระเป๋าใบโตที่ด้านในอัดแน่นไปด้วยตำราวิชาอื่นๆ อยู่ก่อนแล้ว จนกระเป๋านักเรียนนั้นดูหนักกว่าที่เห็นภายนอก ร่างโปร่งก้มลงหยิบสมุดบางเล่มที่ถูกโยนอย่างทิ้งๆ ขว้างๆ ก่อนเอามันไปรวมกันไว้บนโต๊ะ
“ฝากด้วยได้ไหม?” น้ำเสียงทุ้มที่ดังขึ้นไม่ห่างนักทำให้คชาลอบเบ้ปากกับตัวเองอย่างเบื่อหน่าย เขาผละจากการเก็บสมุดบนพื้นแล้วลุกขึ้นยืนเพื่อให้มองเห็นคนพูดชัดๆ ทันทีที่รู้ว่าใครคือเจ้าของสมุดเล่มใหม่ก็ทำให้เขาต้องหลบสายตาวูบ พยายามปิดบังพวงแก้มที่คชาแน่ใจว่ามันกำลังแดงอย่างเห็นได้ชัดเพราะอาการประหม่ากับการปรากฏตัวของคนตรงหน้า
“อืม” แม้ใจอยากเอ่ยคำพูดให้เยอะกว่านี้แต่สมองกลับบังคับร่างกายให้ทำได้เพียงแต่พยักหน้าและส่งเสียงตอบรับเบาๆ ในลำคอเท่านั้น
ร่างสูงโปร่งตรงหน้าเผยยิ้มละมุน เขายื่นสมุดในมือมาวางบนกองให้ กลิ่นหอมติดเสื้อของคนตรงหน้าเรียกให้จังหวะการเต้นของหัวใจได้ถี่รัวขึ้นอีก คชาก้มหน้างุดทำทีเหมือนสนใจพื้นห้องเสียเต็มประดาทั้งๆ ที่ความจริงแล้วอยากเงยหน้าจ้องตากันให้รู้แล้วรู้รอด แต่ขณะที่ร่างสูงกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างกับเขา เสียงตะโกนแทรกของใครบางคนก็ดังขึ้นเสียก่อน
“เฟรม ‘จารย์เรียกไปซ้อมเว้ย ด่วน” คชาพรูลมหายใจออกเบาๆ อย่างโล่งอก นึกดีใจไม่น้อยที่มีอะไรมาขัดจังหวะก่อนอัตราการเต้นของหัวใจจะทำเขาหัวใจวายตายไปเสียก่อน แต่อีกใจหนึ่งก็ตัวโก่งอยากรู้ใจจะขาดว่าเฟรมจะพูดอะไรกับไอ้เฉื่อยอย่างเขากันนะ? เมื่อความรู้สึกเสียดายมีมากกว่าความสบายใจคชาก็อดตวัดสายตามองหาเจ้าของเสียงนิรนามอย่างนึกรำคาญไม่ได้ แต่อาจเป็นเพราะเลนส์หนาของแว่นสายตามที่สวมอยู่ทำให้คนถูกมองไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับสายตาต่อว่าที่เขาส่งไปให้ แถมยังถือวิสาสะยกแขนขาวขึ้นโอบรอบคอเหมือนเขากับมันสนิทสนมกันมาแต่ชาติปางก่อน
“จะเอาการบ้านคณิตไปส่งหรอเฉื่อย? ฝากด้วยได้ป่ะ” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะท่าทีของคชาที่มัวแต่อึกอักไม่พูดปฏิเสธหรือเพราะสมุดการบ้านที่ว่านั่นถูกเตรียมไว้อยู่ก่อนแล้ว จึงทำให้สมุดกองใหญ่บนโต๊ะเพิ่มขึ้นมาอีกเล่มหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ คชาพ่นลมหายใจหงุดหงิด แอบสบถกับตัวเองเบาๆ ไม่ให้คนข้างๆ ได้ยินถนัด นึกโกรธตัวเองไม่น้อยที่มักจะแสดงอารมณ์หรือถ่ายทอดความรู้สึกได้ไม่ดีเท่าที่ต้องการ หรืออาจเป็นเพราะการเกิดมาเป็นไอ้เฉื่อยที่ชื่อว่าคชาล่ะมั้ง?
ด้วยสายตาที่สั้นเป็นกรรมพันธุ์มาตั้งแต่เด็กกอปรกับการที่เขาหักโหมอ่านหนังสือสอบเข้าม.ปลายเสียจนดึกดื่นตอนอยู่ม.สาม นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้คชาต้องสวมแว่นสายตาเลนส์หนาที่กินเนื้อที่กว่าสี่สิบเปอร์เซ็นต์ของใบหน้า ซึ่งทำให้เมื่อเขาแสดงอารมณ์อะไรออกไปคนอื่นก็มักคิดว่าเขากำลังเพ่งสมาธิติดต่อกับวิญญาณอยู่ไปเสียอย่างนั้น ยิ่งตอนม.สามที่เขาเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อทุ่มเทให้กับการเรียน ลดการพูดลดการเล่นลงจนดูเหมือนเขารังเกียจสังคมในทีแรกก็เป็นที่น่าเกรงขามสำหรับคนอื่นอยู่ไม่น้อย แต่พอสอบเข้าม.สี่ที่โรงเรียนใหม่ เพื่อนใหม่ สังคมใหม่ การเฉยชากับทุกอย่างรอบตัวและพูดในสิ่งที่จำเป็นเท่านั้นของคชากลับถูกคนที่นี่มองว่าเขาโดนสังคมรังเกียจจนเป็นเด็กโรคจิตที่ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายในไปซะอย่างนั้น ที่จริงความคิดที่อยากจะเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับสังคมเขาเองก็เคยมี แต่กว่าจะรู้ตัวก็พบว่าตัวเองกลายเป็นพี่ใหญ่ของโรงเรียนไปเสียแล้ว ช่วงเวลาของชีวิตม.หกที่เหลืออีกสี่ห้าเดือนต่อจากนี้แทบไม่มีความหมายกับใครต่อให้เขากลายเป็นเด็กหนุ่มผู้แสนร่าเริงแค่ไหนก็ตาม
ไม่ใช่ว่าการถูกมองว่าเป็นปัญหาของสังคมจะทำให้เขารู้สึกแฮปปี้หรอกนะ แต่ก็นั่นล่ะ.. เขาไม่รู้จะแก้ต่างตัวเองว่ายังไงในเมื่อพฤติกรรมที่แสดงออกไปก็ชวนให้คนอื่นมองเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ คชาจึงได้แต่วางเฉยต่อคำพูดทั้งต่อหน้าและลับหลังต่างๆ แม้ในใจจะพรั่งพรูคำด่าไปถึงโคตรมันแล้วก็ตาม
“เฉื่อย ฟังอยู่ป่ะวะ?” แรงบีบที่ไหล่ดึงคชาออกจากห้วงความคิด คิ้วบางขมวดเข้าหากันนิดๆ อย่างลืมตัว เขาเผลอตวัดสายตามุ่งร้ายจ้องกลับไป แต่ก็เปล่าประโยชน์อีกตามเคย
“อือ” เขาส่งเสียงตอบรับ สายตาที่จ้องกลับมาทำให้ต้องขืนตัวออกจากการเกาะกุม คชาก้มลงหยิบสมุดสองสามเล่มที่เหลือบนพื้นมาวางไว้บนโต๊ะ ประโยคสนทนาเกี่ยวกับการซ้อมฟุตบอลของสองคนที่ยืนคุยกันอยู่ยังดังต่อเนื่อง ทันทีที่เขาหยิบสมุดเล่มสุดท้ายขึ้นมาวางไว้สูงสุดบนกอง เฟรมก็เอ่ยปากบอกขอบใจเขาเบาๆ ก่อนวิ่งออกไปด้วยความรีบเร่งพร้อมกับเพื่อนอีกสามคนที่เหลือในห้อง
ไปกันหมดเลย ยกเว้น..
“จะเอาไปการบ้านไปส่งยัง?”
“ต้องปิดห้องก่อน” คนฟังได้แต่พยักหน้าให้ ขณะที่คชาเดินเลี่ยงไปปิดหน้าต่างตั้งแต่บานแรกยันบานสุดท้ายโดยปราศจากการช่วยเหลือใดๆ จากมนุษย์ร่วมห้องอีกคนที่กำลังยืนพิงโต๊ะ ฮัมเพลงอย่างมีความสุข
ท่าทางอ้อยอิ่ง ละล้าละหลัง เหมือนรออะไรบางอย่างของคนอารมณ์ดีคนเดียวในห้องทำให้คิ้วบางเผลอขมวดเข้าหากันด้วยความเคยชิน เขากำลังลบกระดานโดยมีเมโลดี้ของเพลงอะไรซักอย่างดังคลออยู่ นึกอยากจะเอ่ยปากถามนักว่ามันมีเหตุผลอะไรถึงต้องมาฮัมเพลงมีความสุข ไม่นึกจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์หน่อยหรือไงนะ แต่ถ้าพูดไปก็จะหาเรื่องชวนทะเลาะเสียเปล่าๆ ร่างโปร่งจึงได้แต่เขย่งเท้าลบกระดานประกอบเพลงต่อไปอย่างเงียบๆ
“ต้องทำอย่างนี้ทุกวันเลยเหรอ?”
“อืม”
“เรียนจบแล้วก็มาเป็นภารโรงที่นี่เลยสิ ท่าทางคล่องดี” คชาแค่นหัวเราะรับมุกตลกไร้ความคิด เม้มริมฝีปากพยายามปิดกั้นคำผรุสวาทที่พรั่งพรูในสมองไม่ให้ออกมาทักทายโลกภายนอก เมื่อลบกระดานเสร็จคชาก็เดินมาที่โต๊ะ ปัดฝุ่นผงชอล์กตามตัวเล็กน้อยก่อนเอื้อมหยิบกระเป๋าและพยายามหอบสมุดกองสูงไว้ในอ้อมแขนเพียงแขนเดียวทำให้สมุดสามสี่เล่มด้านบนสุดร่วงตกไป ร่างสูงที่ฮัมเพลงอยู่เหลือบตามองท่าทีงกๆ เงิ่นๆ ของเขาก่อนก้มลงหยิบพวกมันมาไว้ที่เดิม
“ขอบใจ” คชาเอ่ยปากขอบใจผ่านกองสมุดที่สูงบังจมูกเขาเสียมิด คนตรงหน้าไม่ได้ตอบรับคำขอบคุณด้วยคำพูดใดๆ แต่ปลดกระเป๋าที่สะพายอยู่ออก แล้วยื่นมือมาตรงหน้า คชาเอียงคอหลบสมุดที่บังสายตา คิ้วเรียวถูกกดให้ชิดกัน ดวงตาดำใต้กรอบแว่นหนาได้แต่มองมือขาวสลับกับใบหน้าใบหน้าหล่อคมตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ ร่างสูงต้องจิ๊ปากที่เขาไม่กระจ่างกับจุดประสงค์ของมือที่ถูกยื่นมา
“ส่งสมุดมา จะช่วย!” เท่านั้นยังไม่พอ คิ้วบางต้องขมวดหนักเข้าไปอีกเมื่อน้ำหนักของสมุดในอ้อมแขนถูกถ่ายเทไปให้อีกคนจนหมด คชาได้แต่ยืนนิ่งจ้องหน้าคนหวังดีผิดปกติตาปริบๆ จนร่างสูงต้องออกคำสั่งอีกประโยค จึงเรียกสติให้คืนมาได้
“หยิบกระเป๋ากับรองเท้าตามมาด้วยนะ” กว่าคชาจะประมวลความหมายของคำพูดและพฤติกรรมนั่นได้ ร่างสูงของผู้หวังดีก็เดินออกนอกห้องไปแล้ว เขาจึงต้องรีบคว้ากระเป๋าสองใบและรองเท้านักเรียนสองคู่สุดท้ายบนอาคาร อีกคนก้าวยาวเสียจนคชาต้องเปลี่ยนเป็นการวิ่งเหยาะๆ แทนการเดินเร็วจึงจะตามแผ่นหลังนั่นได้ทัน แต่กว่าจะถึงห้องพักอาจารย์ที่ต้องขึ้นบันไดมากว่าสามชั้นก็เรียกเหงื่อเม็ดเล็กให้ผุดขึ้นตามไรผมและเปียกซึมตามร่างกายไปทั่ว ร่างโปร่งปล่อยกระเป๋าสองใบที่หนักอึ้งลงบนพื้นทันที (กระเป๋าของเขาหนักก็จริงแต่อีกใบนั้นเบามากซะจนแทบจะใช้เล่นแทนว่าวได้) แผ่นอกขยับถี่ หอบน้อยๆ เพราะความเหนื่อย พิงแผ่นหลังกับผนังคอนกรีตเย็น พักให้หายเหนื่อยขณะรอคนที่มาถึงก่อนเข้าไปส่งสมุดการบ้านตัวปัญหาให้กับอาจารย์ด้านในห้อง
คชานึกแปลกใจไม่น้อยที่จู่ๆ วันนี้ก็ได้รับความช่วยเหลือจากคนที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้เพราะเขาจำได้แม่นว่าไอ้หมอนี่ล่ะเป็นคนเริ่มเรียกเขาด้วยชื่อ ‘เฉื่อยชา’ แทนชื่อ ‘คชา’ อย่างที่คนอื่นเรียกกัน แม้เขาจะชักสีหน้าไม่พอใจหรือยิ่งพยายามทำเป็นไม่สนใจมากเท่าไหร่ก็ดูเหมือนว่าสิ่งที่แสดงออกไปก็ยิ่งทำให้คนอื่นพลอยเรียกเขาว่าไอ้เฉื่อยตามๆ กันไปหมด ดังนั้นพอถูกเรียกด้วยชื่อนี้ทีไรเขาก็อดนึกโกรธไอ้คนที่มันเรียกคนแรกนั่นจริงๆ
“กระเป๋ากับรองเท้าอ่ะ?” คนที่กำลังโดนพาดพิงถึงในความคิดเปิดประตูห้องพักอาจารย์ออกมาพร้อมคำถามและนำเอาไอเย็นของเครื่องปรับอากาศด้านในห้องออกมาด้วย คชาย่อตัวหยิบกระเป๋ายื่นให้ ก่อนยกกระเป๋าของเขาขึ้นสะพายบ้างแต่ต้องกัดริมฝีปากแน่นเมื่อน้ำหนักที่แบกมากกว่าที่คิดไว้อยู่โข
ร่างสูงที่ไปหยิบรองเท้าเดินออกไปก่อนแล้ว คชากำลังพยายามหาทางลดน้ำหนักกระเป๋า ขณะที่สมองกำลัง
คำนวณถึงน้ำหนักของหนังสือและเปอร์เซ็นต์ความแข็งแรงของหลังตัวเองอยู่นั้น จู่ๆ น้ำหนักที่แบกรับก็เบาลงเกือบครึ่ง คชาเอี้ยวคอมองก่อนพบว่าร่างสูงที่เมื่อกี้เดินออกไปแล้ว ตอนนี้กำลังหยิบหนังสือในกระเป๋าเขาออกสี่ห้าเล่มแล้วยัดพวกมันลงในกระเป๋าตัวเองแทน ก่อนจะออกเดินนำอีกอีกครั้ง
“ขอบใจ” คชาเดินเร่งฝีเท้าให้ตามทันพอที่จะเอ่ยปากขอบคุณ คนข้างๆ ชายตามองเขาเล็กน้อย ก่อนเสตามองไปทางอื่นแล้วพยักหน้ารับรู้แบบห้วนๆ
“ถือว่าเจ๊ากัน”
“เจ๊า?” คชาเอ่ยทวน น้ำเสียงงุนงง
“อีกนิดเดียวก็จะได้บีบวกแล้ว อาจารย์แม่งออกข้อสอบยาก เลยต้องหาคะแนนอื่นมาช่วยเพิ่มเกรด” เมื่อเห็นว่าร่างโปร่งที่เดินข้างๆ นั้นยังใช้สายตาสงสัยมองเขาจนความสงสัยนั้นแทบจะทะลุออกมานอกแว่น คิ้วบางเหนือกรอบแว่นเลิกขึ้นอย่างคนไม่เข้าใจในคำตอบที่ให้ไปเท่าไหร่ เขาจิ๊ปากอย่างอารมณ์เสียก่อนอธิบายอีกครั้ง
“รวมสมุดเพื่อนแล้วเอามาส่งให้อาจารย์แลกกับคะแนนช่วยไงวะ” เท่านั้นเองก็ทำให้คชามั่นใจว่าคนที่เขาเอ่ยขอบคุณด้วยความซึ้งน้ำใจเมื่อกี้กับคนที่เขาต้องการเอาเบรกเกอร์เบอร์สี่สิบสองที่สวมอยู่ฟาดหน้ามันมากที่สุดเป็นคนๆ เดียวกัน
เชี่ย.. ไอ้เต๋า นึกว่าจะเป็นคนดี..
ร่างโปร่งกลอกตาขึ้นฟ้าอย่างเบื่อหน่ายทันทีที่รู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของร่างสูงที่ตอนนี้เดินล้ำหน้าเขาไปพอสมควรพอที่จะไม่ได้ยินคำสบถด่าที่คชาพึมพำออกมา ก่อนต้องรีบเม้มริมฝีปากบางกลืนคำหยาบเข้าไปให้หมดเมื่อจู่ๆ คนที่กำลังถูกด่าก็หยุดเดินเหมือนรู้ทันแล้วหันเสี้ยวหน้าหล่อเหลากลับมาปรายตาคมมองเขาเขม็ง ก่อนริมฝีปากนั่นจะขยับช้าๆ พออ่านปากได้ว่า
คชา.. แต้งกิ้วนะ
ความคิดเห็น