คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ค่ายพุทธธรรม
'แม่ ๆ ๆ รีบๆหน่อยเดี๋ยวไปขึ้นรถไม่ ทัน!!' ผมเองอาทิวเด็กหนุ่มผู้กำลังรีบร้อนยืนเขย่งเท้าไปมาอย่างร้อนรน ไม่นานนักแม่ผมก็รีบวิ่งออกจากประตูบ้านมาแล้วขึ้นมานั่งสต๊าทรถอย่ารวดเร็ว จากนั้นผมกับแม่ออกจากในเวลา 6โมงครึ่งในตอนเช้า
บรรยากาศในรถเงียบกริบไม่นานแม่ผมก็ พูดขึ้นมา
'ไปวัดอย่าไปเป็นอะไร ไม่ดีนะลูก' 'ครับแม่' ผม ตอบกลับมาอย่างไม่ค้อยแน่ใจ--* เท่าไหร่ ระหว่างนั้นแม่ได้ชะลอรถแล้วหยุดเพราะติดไฟแดง แม่ผมก็เอาข้าวกล่องให้ผมกินในรถเลย มันเป็นเรื่องธรรมดาๆสำหรับผมเพราะส่วนมากเวลาไปโรงเรียน ผมกับน้องมักจะได้กินข้าวในรถบ่อยๆ วันนี้ก็เช่นกันผมเปิดดูสิ่งที่อยู่ข้างใน วันนี้แม่ทำหมูกรอบกับไข่ดาวให้ผมระหว่างรอไฟเขียวผมก็นั่งกินข้าวกล่องไป มองดูนาฬิกา 6โมง50นาที เอาแล้ววววววว รถออกเวลา 7 โมงตรง ผมเลยเร่งให้แม่เหยียบคันเร่งเพื่อที่จะขึ้นรถไปพร้อมเพื่อนๆโชคดีหน่อยที่ ไฟแดงนี้ไปไม่นานก็ถึงโรงเรียนผมแล้ว
บุญมีแต่กรรมบังจริงๆ รถติดยาวมากกกก ตามจริงไม่ได้ติดเพราะโรงเรียนผมหรอกแต่เป็นพวกโรงเรียนอนุบาลต่างหากกว่าจะ ลงได้ทั้งทีต้องโอ๋กัน หอมกันแถมจอดรถทิ้งไว้แล้วเดินไปส่งลูกที่ห้องอีก โห่รถไม่ติดก็ไม่รู้จะว่าไง ด้วยความที่หัวเสียผม จึงไหว้แม่แล้วเปิดประตูเอาข้าวของลากกกกลงจากรถแล้ว เดินไปขึ้นรถในโรงเรียน
ณ โรงเรียน
โรงเรียนที่ผมเรียนอยู่เป็นโรงเรียนที่ เพิ่งเปิดเป็นโรงเรียนสหะซึ่งแต่ก่อนเป็นชายล้วนจึงมีนัก เรียนหญิงน้อยเป็นธรรมดา ผมเดินเข้ามาในโรงเรียนพร้อมกับมองหารถบัสหมายเลข 5หมายเลข 1 หมายเลข 2 หมายเลข 3 4 5 นั่นไงรถบัสหมายเลข5 ไม่ทันจะได้ฝากของให้เด็กรถเก็บก็มีเสียงโห่ร้องอย่างดีใจ บนรถ (รู้เลยนั่นเพื่อนฉันเอง)
"ไงๆๆๆๆๆๆ อาทิวมาแล้วโว่ยยยยย" เจ้าบุ้งกี๋อาตี๋ใหญ่รีบมาทักทายผมอย่างเคยพอผมขึ้นไปบนรถเพื่อมองหาที่นั่งปรากฏว่าเพื่อนๆ ผนนั่งเต็มกันไปหมด ด้วยความที่ผมมาช้าผมเลยได้ยืนกับเพื่อนบางคน ไม่นานล้อก็หมุนออกทางหลังโรงเรียนโชคดีที่หลังโรงเรียนผมมันเป็นทุ่งนาไม่ได้วุ่นวายเหมือนหน้าโรงเรียนรถเลยแล่นได้อย่างสบายๆ
"เฮ้ย กี๋ วัดที่เราจะไปมันกี่ กิโลวะ"ผมยืนถามอย่างทุกรักทุเล
"ก็ 40-50 โลนั่นล่ะ"
โรงเรียนผมม.5 ทุกคนจะต้องเข้าค่ายพุทธธรรม ที่วัดทุกปีสำหรับผมมันไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอะไรเพราะคงจะเหมือนตอนม.1ที่เคยเข้าตอนนี้รถบัสเริ่มออกไกลจากตัวเมืองมากขึ้นบรรยากาศในรถสนุกสนานร้องคาราโอเกะกันอย่างเริงร่าตัวผมก็คอยโยกย้ายนิดๆโจ๊ะๆหน่อยๆ เพราะหลังจากที่ขึ้นวัดแล้วพวกผมจะไม่ได้เฮฮาอย่างนี้อีกเพราะต้องถือศิล 8 คือห้ามร้องเล่นเต้นกันผมจึงถือโอกาสนี้ให้มันๆ หน่อย มีหลายครั้งที่พวกเพื่อนๆยื่นไมล์ให้ผมร้องแต่ผมก็ปฏิเสธเสมอเพราะผมไม่ค้อย ชอบ ร้องเพลงเท่าไหร่ เฮฮากันซักพัก คุณครูสมเกียรติก็ตะโกนให้พวกเราหยุด ร้องเพลงเพราะเริ่มใกล้ถึงวัดแล้ว พวกผมเลยอดสนุกกัน
“นิๆๆตามจริงยังไม่ถึงหรอกโน่นนนนนนนนนน่ะอยู่ยอด ภูโน่น” ไอ้ภูแอบกระซิบ บอกเพื่อนที่ยืนกับเป็นกลุ่มเล็กๆผมก็แอบเข้าไปฟังพวกมันซุกซิบด้วยเช่นกัน พูดถึงเพื่อนๆ ผมก็มีกลุ่มมีแก๊งเช่นกัน
คนแรกที่บอกไปชื่อ บุ้งกี๋ เพื่อนชอบเรียกมันว่า เฮียกี๋ พวกผู้หญิงชอบเรียกมันว่าอาตี๋น้อย (ตามจริงแม่งตี๋เถื่อนชัดๆ!!!) มันเป็นพวกลูกคลึ่งไทยจีน เนื่องจากเป็นลูกคนเดียวพ่อมันจึงหวงมันมากและอยากให้มันเป็นคนดีซึ่งพ่อมันมีอาชีพขายข้าวสารแถวตรอกคนเจ๊ก
ส่วนเจ้าภูลูกชาวไร่มันเป็นคนซื่อบื่อ ชอบคิดอะไรง่ายๆ ง่ายซะจนโง่เลย เพื่อนๆเรียกมันว่า ตาภู ( เพราะบางทีมันชอบทำตัวเหมือนคนแก่ )ไอ้นี่มันธรรมะธรรมะโม เรื่องแบบนี้มันชอบดีนักแล และมันก็มาวัดนี้บ่อยๆเวลามีงานบุญ คุยกันไป เล่นกันไป รถก็เริ่มขึ้นทางชันขึ้นๆหูก็เริ่มอื้อเป็นระยะๆ ด้วยความที่เมื่อยขาก็เลยขอเปลี่ยนกันนั่งกับเพื่อน ยิ่งสูงยิ่งหนาว เป็นอย่างที่คำพังเพยเหมาะมากเพราะช่วงนี้ฤดูฝน ถนนก็ไม่ได้ดีซะเท่าไหร่ อากาศก็หนาวเย็น 2 ชั่วโมงผ่านไปจากโรงเรียนก็มาถึงวัด
ณ วัดป่าไกล ไกล
บรรยากาศในวัดร่มรื่นมาก เย็น สบาย ผมลงมาจกรถบัสพร้อมกับหอบข้าวของต่างๆ ลงมา ซักพักก็มีคนตะโกนขึ้น
"ครูครับๆถึงวัดแล้วทำไมยังไม่เห็นวัดเลยครับ" ผู้ที่ตะโกนถามครูสมเกียรติก็คือไอ้โจ้ เพื่อนผมอีกคนหนึ่งมันถือของอย่างทุลักทุเลเดินลงมาจากรถยืนข้างๆผมเพื่อฟังคำตอบจากครูสมเกียรติ ครูสมเกียรติไม่พูดอะไรแต่ชี้นี้วไปที่ๆหนึ่งซึ่งทำให้นักเรียนหลายคนหันมองไปตามๆกัน ที่ๆครูชี้กูคือ "บันได" ซึ่งเมื่อเดินแล้วแหงนหน้าขึ้นมองแล้วช่างสูงอะไรเยี่ยงนี้ และเป็นบันไดที่ชันมาก และแล้วครูอีกท่านหนึ่งก็พูดขึ้นมา
"เอาล่ะนักเรียน นี่แค่พื้นที่วัดเฉยๆตัววัดจริงๆอยู่โน่นขึ้นบันไดไปถึงยอดภูน่ะ ไป ไป๊รีบขึ้นเดี๋ยวฝนตกก่อน" ผู้ที่พูดขึ้นนี้แกชื่อ ครูสมาน แกสอนวิชาเคมี(ผมว่าเหมือนสอนพระพุทธศาสนามากกว่า) ใครๆชอบเรียกแกว่าครูสมาท เพราะท่าทางของแกช่างเท่ห์ซะไม่มีถึงแม้วัยจะล่วงไป 53 ปีก็ตาม
พูดจบครูสมานกับคณะครูอีก4-5คนก็ขึ้นบันไดนำหน้าพวกเรา จากนั้นพวกเราก็เดินตามกันอย่างเงียบๆ
--1ชั่วโมงผ่านไป--
พวกเราก็เดินมาถึงหน้าวัด บรรยากาศร่มรื่นมากต้นไม้ใหญ่ทะมึนเต็มไปหมด พวกเราบางคนเมื่อขึ้นมาถึงบ้างก็พักหอบกันเป็นแถว ส่วนผมกับเพื่อนๆก็นั่งตามโขดหินที่พอมีพักเหนื่อยไปตามๆกันไม่นานคุณครูก็ ให้พวกเรารีบนั่งลงกับพื้นอย่างเรียบร้อยเพราะ มีพระลูกวัดจำนวนหนึ่งกำลังมาทางนี้
"นมัสการขอรับ นมัสการเจ้าค่ะ" พวกเราทั้งหมดพากันนั่งยองๆแล้วยกมือไหว้นมัสการ พระคุณเจ้าตามที่คุณครูสอน
"สวัดดีทุกๆคนเป็นไงเหนื่อยมั้ยขึ้นมาถึงวัดแล้ว... ที่ทุกๆคนเห็นกันอยู่นี้คือพระอาจารย์ที่จะดูแลพวกเราทั้งหลายตลอดการเข้าค่ายพุทธธรรม เอาล่ะพระอาจารย์อยากให้พวกราจับกลุ่มกัน 5 กลุ่ม ใหญ่ๆ เอาเร็วๆเดี๋ยวไม่ทันการพอดี"
พูดจบพวกเราก็พากันอ้อยอิ่งเดินเอื่อยๆ จับกลุ่มกันตามที่พระอาจารย์บอก
เนื่องจากมาเข้าค่ายครั้งนี้มีด้วยกัน 5 ห้อง จึงไม่ต้องเข้ากลุ่มกันให้วุ่นวายห้องใครห้องมัน ไม่นานนักพวกเราก็พากันจับกลุ่มกันเสร็จ ทันทีที่ดูท่าเรียบร้อยแล้ว
"เอาล่ะพระอาจารย์จะตั้งชื่อกลุ่มให้นะ เริ่มจากซ้าย ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เวียนตามกันไป รู้ชื่อกลุ่มแล้วขอให้ทุกคนเดินตามพระอาจารย์แต่ละคนเลยนะ"
พูดจบแต่ละกลุ่มก็พากันตามพระอาจารย์ไป ส่วนห้องผมเนื่องจากอยู่ห้อง5ห้องผมเลยได้ชื่อกลุ่มว่า ปัญญา จากนั้นพวกเราก็พากันเดินไปยังที่พักซึ่งมีระยะทางไม่ไกลมากตอนนี้ทุกคนใส่ชุดพละอยู่ผมคาดว่าเมื่อไปยังที่พักต้องได้ใส่ชุดขาวชัวร์ๆ
ณ อาคารที่พัก
หน้าตาแต่ละคนบ่งบอกได้ว่าเหนื่อยสุดๆ พอมาถึงอาคารที่พักแต่ละคนแทบล้มทั้งยืนพระอาจารย์ที่นำพวกเรามายังที่พัก หันมา แล้วทักทายพวกเราอย่างแจ่มจิต
“สวัดดีกันอีกครั้งทุกคน พระอาจารย์มีชื่อว่า พระอาจารย์นิยม เป็นพระพี่เลี้ยงของกลุ่มปัญญา ก็พวกเรานี่ล่ะ เห็นหน้าแต่ละคนคงจะเหนื่อย พระอาจารย์จะให้พวกเราเข้าไปพัก เอาล่ะไปได้...หญิงเข้าประตูด้านซ้ายชายเข้าประตูด้านขวา... ”
ท่าทางของพระอาจารย์นิยมดูสำรวมดีสมเป็นพระลูกวัดป่าจริงๆ เวลาท่านพูดท่านก็ดูสงบและดูท่าจะใจดีด้วย
ว่าแล้วทุกคนก็พากันเบียดเสียดเข้าไปผ่านประตูแคบๆภายในที่พักกว้างขวางมากทั้งที่ดูข้างนอกแล้วท่าจะแคบ ว่าแล้วพวกเราก็มองหาทำเลดีๆแล้วก็พากันล้มตัวนอนอย่างอ่อนเพลีย....
ความคิดเห็น