ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    How to love ก็เด็กมันร้าย

    ลำดับตอนที่ #9 : EP. 4 คนที่ร้ายที่สุด / 100

    • อัปเดตล่าสุด 3 มิ.ย. 64


    อาคารไม้หน้าห้องสมุดใหญ่

     

    คนร่างสูงในเสื้อช็อปของวิศวะกำลังมุ่งมั่นกับการสอนเนื้อหาแคลคูลัสขั้นพื้นฐานให้กับน้องนักศึกษาปีหนึ่งก่อนจะปล่อยให้ลูกศิษย์ลองทำโจทย์ด้วยตัวเองภายในระยะเวลาที่กำหนด

     

    “ทำกันไปก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่มาเฉลยตอนท้ายนะ” ธนูบอกน้องๆ แล้วเดินกลับมานั่งลงที่โต๊ะอีกตัว เขาคาดหวังว่าความรู้ที่สอนไปนั้นจะทำให้น้องๆ ที่มาเรียนเอาไปใช้ประโยชน์ได้จริง แม้ไม่เต็มร้อยแต่ก็คิดว่ามันน่าจะเป็นแนวทางที่ดีกับคนที่ยังไม่มีพื้นฐานในเรื่องของแคลคูลัส

     

    “ช่างเป็นรุ่นพี่ที่น่ารักจังเลยนะครับ”

     

    ประโยคนั้นทำเอาคนกำลังนั่งมองน้องๆ ทำโจทย์อยู่อีกโต๊ะต้องเอียงหน้ามาหาแล้วถึงกับปั้นหน้านิ่ง ยิ่งขมวดคิ้วใส่เมื่ออีกฝ่ายถือวิสาสะมานั่งลงข้างๆ กัน

     

    “มึงมาได้ไง”

     

    “เดินมาครับ” คนตอบยิ้มใส่

     

    “อย่ามากวนตีนกู”

     

    “ผมไม่ได้กวนนะ ก็พี่ถามว่าผมมาได้ยังไง ผมก็เดินมาจริงๆ” ทิวเขาว่า มันรู้สึกมีความสุขที่ได้ต่อปากต่อคำกับพี่คนข้างบ้าน ถึงแม้ทุกครั้งที่เจอกันจะเห็นแค่เพียงสีหน้าหงิกงอแต่พอมองไปนานๆ ก็น่ารักดี เลยไม่ได้รู้สึกขัดตาอะไร

     

    ด้านธนูไม่ได้พูดอะไรอีก เขาถอนหายใจแล้วเลื่อนมือมาหยิบแก้วน้ำเก็บความร้อนบนโต๊ะมาถือไว้ ตั้งใจจะดื่มแต่แล้วกลับต้องชะงักเพราะมันหมดแล้ว จังหวะนั้นเหมือนมีบางอย่างถูกยื่นมาให้ ติวเตอร์หนุ่มเลื่อนมามองเห็นเป็นขวดน้ำที่กำลังอยู่ในมือของทิวเขา

     

    “นี่ครับ น้ำ”

     

    “ใครขอ” คนถามปั้นหน้านิ่ง ไม่สนใจขวดน้ำในมือของอีกฝ่าย

     

    “ก็ผมเห็นว่าน้ำพี่ธนูหมดแล้ว ผมก็เลยเอาน้ำของผมให้พี่แทน ไม่ได้หรือครับ” ในประโยคนั้นทิวเขาไม่ได้ตั้งใจจะกวนประสาทก็แค่คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะยอมรับสินน้ำใจจากเขาก็เท่านั้น

     

    “ไม่ได้ เพราะกูไม่ชอบกินน้ำของใคร”

     

    “แต่เอาจริง มันเป็นน้ำของพี่นะ เพราะผมตั้งใจซื้อมาให้พี่อยู่แล้ว ผมรู้ว่าในการสอนแต่ละครั้งพี่ต้องใช้เสียงมากแค่ไหน ผมเป็นห่วงกลัวพี่จะคอแห้งก็เลยซื้อมาให้ พี่ธนูรับมันไปเถอะนะ” คนพูดทำสายตาอ้อนให้พร้อมกับเอาขวดน้ำแตะไปที่แขนของอีกฝ่าย ถึงกับตกใจที่ถูกติวเตอร์รุ่นพี่สะบัดแขนหนีออกโดยเร็ว กำลังจะอ้าปากถามก็ถูกแย่งซีนพูดขึ้นมาเสียก่อน

     

    “มึงเป็นอะไรกับกู กูถึงต้องรับของจากมึง”

     

    “ก็...เป็นเพื่อนข้างบ้านกันยังไงละครับ ทำไมต้องคิดมากด้วย อีกอย่างพี่ธนูกับผมเราก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ถึงพี่จะไม่อยากข้องแวะกับผมก็เถอะแต่ผมก็ยังอยากสนิทกับพี่อยู่นะครับ”

     

    “ไม่ต้องมาอ้อมค้อม มึงต้องการอะไรจากกูกันแน่ พูดมา” ธนูถาม ไม่เชื่อกับคำพูดที่อีกฝ่ายพยายามแถ คิดว่าอ่านสายตาของอีกฝ่ายออกว่าที่มาหากันวันนี้เพราะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง

     

    “ต้องการอะไรเหรอครับ” ทิวเขาแกล้งถามหน้างง แต่เหมือนคู่สนทนาจะไม่ยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปโดยง่าย

     

    “หนึ่ง...สอง...”

     

    “เออก็ได้ครับ ผมยอมบอกแล้ว” ทิวเขาทำหน้าซึม เซ็งที่อีกฝ่ายมองออก เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ผ่อนมันออกมา สบตาอีกฝ่ายเห็นจ้องเขม็งอยู่ “จริงๆ ที่มาหาพี่ธนูถึงที่นี่ก็เพราะอยากขอบคุณที่เมื่อคืนพี่ไม่ทิ้งผมไว้ที่ร้านเหล้าและก็อยากไถ่โทษที่เมื่อคืนผมอาจจะทำตัวไม่น่ารักกับพี่ จนพี่ต้องเอาผมประจารลงไอจีแบบนั้น”

     

    “แปลว่ามึงจำได้” ธนูหรี่ตาถามเสียงอ่อน ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจำได้ในเมื่อเมาหนักขนาดนั้น

     

    “ผมจำได้แต่ว่าผมเมา เมามากจนอาจสร้างความวุ่นวายให้กับพี่ และจากที่เห็นพี่โพสในไอจีผมเลยคิดว่าเมื่อคืนคงจะเผลอทำตัวแย่ๆ กับพี่ ดังนั้น ผมจึงอยากมาขอโทษ”

     

    “ไม่จำเป็น” ธนูบอกปัดและก็แอบโล่งใจอยู่ไม่น้อยที่อีกฝ่ายจำเรื่องจูบไม่ได้เพราะหากจำได้ อาจเป็นเขาที่จะรู้สึกแย่จนไม่กล้ามองหน้าไอ้เด็กเวรนี่ได้อีก

     

    “จำเป็นสิพี่ เพราะผมแคร์พี่มากเลยนะ พี่ธนู...ถ้ามันพอจะมีอะไรที่ทำให้พี่หายโกรธผมได้ บอกผมมาได้เลยนะ ผมจะไปทำให้เดี๋ยวนี้เลย” ทิวเขาว่า สายตาดูมีความคาดหวัง

     

    “มึงแน่ใจนะ ที่พูดน่ะ” ธนูถามหน้านิ่งสายตาดุดันจ้องอีกฝ่ายไม่กะพริบ

     

    “ครับ ถึงจะรู้สึกเสียวหลังวาบก็เถอะ แต่ขอแค่เป็นความต้องการของพี่ธนู ผมก็พร้อมจะทำตามครับ” ไม่รู้ว่าการตัดสินใจพูดออกไปแบบนั้นมันจะเป็นผลดีกับตัวเองหรือเปล่าแต่ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง ก็ต้องรับผิดชอบในคำพูดของตัวเอง

     

    และในเวลาต่อมา ทิวเขาก็มายืนอยู่ที่ร้านถ่ายเอกสารหน้ามหาวิทยาลัย หลังได้รับคำสั่งจากติวเตอร์ธนูว่าให้ไปถ่ายเอกสาร ยังนึกถึงบทสนทนานั่นได้ดี

     

    “มึงเอาชีทนี่ไปถ่ายเอกสาร เอาสิบชุดแล้วก็ต้องถ่ายให้หมดทุกหน้า กูขอก่อนสี่โมงเย็น ทำได้ไหม” คนถามหน้านิ่งพร้อมกับยื่นชีทในมือให้

     

    “แค่นี้เองหรือครับ” คนถามรับมาถือ ยังงงกับงานที่ได้รับมอบหมาย

     

    “แค่นี้แหละ แล้วก็ต้องไปถ่ายที่ร้านหน้ามอเท่านั้นนะ บอกเขาว่าเป็นชีทของธนูวิศวะปีสาม”

     

    “ได้ครับ” ทิวเขายิ้มให้ รู้สึกเหมือนได้รับความไว้วางใจจากคนที่แอบชอบ

     

    “อ่ะนี่เงิน”

     

    “ไม่ต้องครับ ชีทแค่นี้เดี๋ยวผมจ่ายเอง ได้ยินว่าพี่ธนูก็สอนให้ฟรี ถือว่าผมช่วยออกค่าชีทให้นะครับ”

     

    บทสนทนาในตอนนั้น มาคิดดูอีกทีในตอนนี้ก็คงสายไปแล้ว เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จะเข้าสี่โมงเย็นแล้วแถมตอนนี้ยังมาติดเรื่องค่าชีทอีก

     

    “ชีทแค่นี้ตั้งห้าร้อยเลยหรือครับพี่” คนถามหน้าชา เมื่อรู้ยอดที่ต้องจ่ายจริง

     

    “ใช่ค่ะ ก็น้องบอกเองว่านี่เป็นชีทของธนูวิศวะปีสาม พอดีครั้งก่อนน้องเขายังค้างจ่ายอีกสามร้อย ครั้งนี้ก็เลยคิดรวมทีเดียวเลย” พนักงานในร้านอธิบาย

     

    “เออ งั้นรอเดี๋ยวนะครับ เดี๋ยวผมให้เพื่อนเอาเงินมาให้ก่อน” ทิวเขาบอกแล้วหยิบมือถือกดโทรหาหวายทันที ตอนนี้หวายคือความแหวังเดียวที่เหลือ ส่วนธารานอกจากติดต่อยากแล้วรายนั้นก็ดูไม่ค่อยจะอยากเสวนากับใครเท่านั้นและท่าทางที่เห็นก็เหมือนคนอกหักเข้าไปทุกที

     

    ‘ไม่ต้องถามมากน่า เอาเงินมาให้กูก่อน ตอนนี้กูอยู่ที่ร้านถ่ายเอกสารหน้ามอ รีบๆ มานะมึง’

     

    จบประโยคสายสนทนาก็ถูกตัดไป หนุ่มน้อยคณะเภสัชเดินมาหาที่นั่งรอซึ่งเป็นเก้าอี้ที่อยู่หน้าร้าน คาดหวังว่าเพื่อนจะมาทันเวลาก่อนสี่โมงเย็น แต่ผ่านไปสิบนาทีไอ้รูทเมทก็ยังไม่โผล่หัวมา เขาได้แต่ถอนหายใจอย่างใจเย็นไล่สายตาดูคนที่เดินผ่านไปมาพอผ่านไปห้านาทีก็กดเบอร์โทรหาเพื่อนอีกครั้ง

     

    ‘ไอ้หวาย เมื่อไรมึงจะมาสักทีวะ กูนั่งรอจนรากจะงอกอยู่แล้วเนี่ย รีบๆ มาเลย’ ประโยคเร่งรัดดังขึ้นอีกครั้งและเหมือนเวลาที่นัดหมายจะใกล้เข้ามาแล้ว ใบหน้าขาวมีความกังวลเต็มไปหมด คิ้วสองข้างขมวดเข้าด้วยกัน มันค่อนข้างเครียดยิ่งกว่าอ่านหนังสืออีก มือข้างหนึ่งยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา ใจจดใจจ่อกับหน้าปัดเข็มยาวกระทั่งมีเสียงหนึ่งดังขึ้น

     

    “พี่ครับ นี่ใช่ชีทของธนูวิศวะปีสามหรือเปล่า” ประโยคนั้นมาจากหนุ่มร่างสูงในเสื้อกาวน์สีขาวครึ่งตัว ใบหน้าหล่อมีภูมิฐาน

     

    “ใช่ค่ะน้อง” พนักงานในร้านถ่ายเอกสารตอบแล้วยิ้มอายๆ

     

    “งั้นคิดรวมกับของผมเลยครับ”

     

    “เออ โทษนะครับ ชีทพี่ธนูผมเป็นคนเอามาถ่ายเอง” ทิวเขาลุกขึ้นแล้วเดินไปหา ออร่าความหล่อเล่นเอาเขาแพ้แถมคำพูดคำจาก็ดูสุภาพเข้าไปอีก

     

    “หรือครับ น้องคงเป็นลูกศิษย์ของพี่ธนูเขาสินะ ไม่เป็นไรนะครับ ยังไงพี่ก็จะแวะไปหาพี่ธนูเขาอยู่แล้ว เดี๋ยวพี่เอาไปให้เองครับ นี่มันก็จะสี่โมงเย็นแล้วด้วย พี่ธนูคงบอกน้องไปแล้วสินะครับว่าพี่เขาต้องใช้”

     

    เหมือนคำพูดประโยคนั้นแค่ให้คู่สนทนารับรู้เท่านั้น หลังจากที่จ่ายเงินไปแล้วคนในเสื้อกาวน์นั่นก็เดินถือชีทออกไปทันที เล่นเอาคนมองถึงกับงงเพราะเหมือนถูกขโมยผลงานไป

     

    “มาแล้วๆ โทษทีมึง ตู้เอทีเอ็มหน้าตึกคนต่อแถวยาวมาก กูขี้เกียจออกไปกดหน้าหอ” หวายวิ่งหน้าตามาหาพร้อมกับยื่นเงินไปให้เพื่อนที่ยังยืนทำหน้าเหมือนงงกับอะไรอยู่

     

    “ไม่เอาแล้ว”

     

    “อะไรของมึงเนี่ย เร่งกูแทบตายสุดท้ายไม่เอาเนี่ยนะ” หวายโวยเห็นเพื่อนเดินมานั่งอย่างคนหมดแรง

     

    “ก็เพราะมีคนจ่ายค่าชีทพี่ธนูให้แล้วไง กูเลยเป็นหมาหัวเน่าอยู่เนี่ย”

     

    “เดี๋ยวนะ ที่ให้กูรีบกดตังให้มึงเพราะมึงจะเอามาจ่ายค่าชีทพี่ธนูเขาเองเหรอ สรุปมึงโดนพี่ธนูหลอกให้เสียเงินใช่ไหมเนี่ย”

     

    “เปล่า พี่ธนูไม่ได้หลอกกู แต่เป็นกูเองที่ไม่ยอมเอาเงินจากพี่เขา ก็แค่คิดว่าทำแบบนี้แล้วจะเป็นที่สนใจขึ้นมาบ้าง”

     

    “ครับ ไอ้คนดี ไอ้คนประเสริฐแล้วเสือกมาเอาตังกับกูเนี่ยนะ”

     

    “มึงจะบ่นอะไรนักหนา ตอนนี้ก็ไม่ได้เอาแล้วไง” คนว่าทำหน้าเซ็ง รู้สึกเหมือนถูกขัดแข้งขัดขา ทั้งที่มีโอกาสแต่ก็ไม่มีกำลังทรัพย์มากพอจนต้องเสียโอกาสดีๆ แบบนี้ให้คนอื่นไป

     

    “แสดงว่ามีคนจ่ายให้แล้ว ใครวะ โคตรใจดีเลย”

     

    “ก็คงจะดีจริง ทั้งการแต่งกาย ทั้งหน้าตา ยังเสือกขับเบนท์ป้ายแดงอีก”

     

    “แล้วยังไงวะ”

     

    “กูก็รู้สึกไงว่ากูกำลังเจอคู่แข่งที่น่ากลัว”

     

    “เดี๋ยวนะ นี่มึงชอบพี่ธนูเขาจริงๆ เหรอวะ กูก็คิดว่าตอนนั้นมึงพูดเล่นซะอีก” หวายจี้ถาม ลงมานั่งข้างพลางเอามือขึ้นมาโอบไหล่เพื่อน

     

    “ก็เออไง กูชอบของกูแบบนี้มาตั้งนานแล้ว กูยังคิดอยู่เลยว่าดีๆ อย่างพี่ธนูจะไม่มีคนสนใจเลยเหรอแต่แม่ง เจอหน้ากันแค่ไม่กี่วันกูก็รู้สึกว่ามีคนที่อยากเข้าหาพี่เขาเต็มไปหมด”

     

    “แต่ของแบบนี้มันก็ต้องลองดูก่อนไหม ตราบใดที่พี่ธนูเขายังไม่เปิดตัวแฟน มึงก็ยังมีโอกาส แม้โอกาสนั้นจะมีแค่ศูนย์จุดศูนย์ศูนย์หนึ่งก็เถอะ”

     

    “ไอ้บ้า ให้เปอร์เซ็นต์กูซะอนาถเชียว” ทิวเขาว่าแล้วถอนหายใจซ้ำ ตอนนี้เหมือนความมั่นใจจะขาดสะบั้นเพราะแค่คนเมื่อกี้ก็ทำเอาตัวเองดูด้อยค่าไปแล้ว

     

    “กูก็แค่สมมติ ยังไงกูก็เชื่อนะว่าตื้อเท่านั้นที่ครองโลก”

     

    “แต่กูชักไม่แน่ใจแล้วว่ะ” คนว่าทำหน้หงอย แล้วเอาหน้าซบลงกับแขนตัวเอง มีเสียงกระซิบดังขึ้น

     

    “กูช่วยมึงเอาไหม”

     

    “นี่มึงจะช่วยกูจริงดิ” สายตาคนถามเหมือนยังไม่ปักใจเชื่อ

     

    “เออดิ ถึงคนที่เข้ามาจีบพี่ธนูจะดีกว่ามึงเป็นร้อยเท่าพันเท่า แต่มึงเป็นเพื่อนกู เพราะฉะนั้น อะไรที่เพื่อนชอบกูก็ช่วยเต็มที่เว้ย ไม่ต้องห่วงพี่ธนูเป็นพี่รหัสกู ยังไงกูก็จะช่วยเป็นหูเป็นตาให้ ใครมาขายขนมจีบต้องไม่รอดสายตากูแน่”

     

    “ขอบใจ แบบนี้กูค่อยมีความหวังขึ้นมาหน่อย” ทิวเขาว่าพร้อมกับยิ้มมุมปาก เท่ากับตอนนี้เขามีคนที่คอยช่วยเหลือถึงสองคนแล้ว ไม่ว่าจะเข้าทางรุ่นพี่ซนก็ดีหรือเข้าทางน้องรหัสอย่างหวายก็ดี และคนเหล่านั้นอาจทำให้เขาได้หัวใจของรุ่นพี่ธนูมาครอบครองในที่สุด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×