ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    How to love ก็เด็กมันร้าย

    ลำดับตอนที่ #6 : EP.3 คนที่อยากให้ดูแล / 50

    • อัปเดตล่าสุด 13 ม.ค. 64


    EP. 3 คนที่อยากให้ดูแล

     

    เพราะคิดว่าร้านอาหารที่ธนูเลือกพาทิวเขามากินนั้นอยู่ไกลจากตัวมหาวิทยาลัยพอสมควร จึงค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อยตรงที่โอกาสจะได้เจอกับคนรู้จักอาจน้อยลงไปด้วย ไม่ใช่ว่ากลัวอะไรหรอกเพียงแต่ยังไม่อยากตอบคำถามใครก็เท่านั้นเอง

     

    และแล้วมื้อนี้ก็ผ่านพ้นไปด้วยดีโดยที่คนพามาเลี้ยงรู้สึกไม่ติดค้างอะไรอีก แม้ก่อนหน้านั้นจะรู้สึกผิดกับการกระทำของตัวเองลงไปบ้างแต่พอรู้ว่าน้องมันไม่ได้โกรธอะไรก็เลยคิดว่าจะปล่อยผ่าน ยังไงก็คนรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก นิสัยอย่างทิวเขาถ้ามันไม่หนักหนาสาหัสจริงๆ ก็คงไม่เก็บเอาไปคิด เหมือนอย่างตอนนั้นที่มีเรื่องชกต่อยกันจนต้องขอค้างอ้างแรมที่บ้าน ทั้งๆ ที่โดนกระทำมากขนาดนั้นแต่ก็บอกว่าไม่เป็นอะไร

     

    “พี่...ผมสงสัย”

     

    เป็นคำพูดของคนที่เดินตามออกมาจากในร้านกับเวลาที่ล่วงเลยมาถึงสองทุ่ม ธนูหันมามองหน้าพร้อมกับขมวดคิ้วใส่

     

    “มึงสงสัยอะไร”

     

    “ก็สงสัยว่าทำไมพี่ต้องพาผมมากินตั้งไกลขนาดนี้ ผมจำได้นะว่าตอนที่รุ่นพี่เรียกทำกิจกรรม รุ่นพี่บอกว่าแถวมหาลัยมีร้านอาหารอร่อยๆ แถมยังมีที่เดินดูของได้อีกด้วย ผมก็เลยสงสัยว่าพี่จะเสียเวลาพาผมมาเลี้ยงตั้งไกลทำไม” ทิวเขาถามหน้านิ่ง มองคนที่กำลังเดินไม่หยุดเพื่อมุ่งหน้าไปที่ลานจอดรถของร้าน

     

    “มึงนี่ขี้สงสัยจริงๆ เลยนะ ไม่น่ามาเรียนคณะนี้”

     

    “ก็ผมอยากรู้เหตุผลของพี่ธนูนี่นา ว่าทำไมถึงพาผมมากินตั้งไกล นี่ถ้าไม่อธิบายให้ชัดเจนผมจะคิดไปเองแล้วนะว่าพี่อยากมีเวลาอยู่กับผมนานๆ”

     

    เหมือนประโยคที่ลั่นออกไปไม่ได้รับการตอบสนองเห็นได้จากคนที่ยังเดินหน้าโดยไม่อธิบายให้เคลียร์ เป็นทิวเขาเองที่ต้องรีบตามไปไวๆ “ผมรู้ละว่าทำไมพี่ถึงพาผมมาไกลขนาดนี้” ทิวเขาว่ายิ้มในตาคราวนี้เหมือนอีกฝ่ายจะหยุดฝีเท้าแล้วหันมามองหน้าตึง แต่กลับรู้สึกเป็นสึขใจแก่คนมอง

     

    “เพราะพี่ไม่อยากให้ใครในมหาลัยรู้ใช่ไหมว่าพี่มาเดทกับผม” คนว่าเผยยิ้มออกมา ก่อนจะขำให้กับคำตอบของอีกฝ่าย

     

    “เดทพ่อมึงดิ” นายเกริกพลว่า ตาเขียวฟัดก้าวเท้าไปยังรถก่อนจะเลื่อนมือมาเปิดประตูฝั่งคนขับ จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

     

    “ธนู”

     

    ธนูเอียงหน้ามามองถึงกับหน้าชาเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอกับเพื่อนร่วมสถาบันแต่คนละคณะ ร้อยวันพันปีไม่เคยเจอแต่กลับมาเจอกันเอาตอนนี้ได้

     

    “มึงจริงๆ ด้วย แปลกใจว่ะที่มาหาอะไรกินถึงที่นี่” ธามว่าหน้ายิ้มก่อนจะเลื่อนสายตามาหาคนที่มากับธนู “มากับเด็กซะด้วยแต่เดี๋ยวก่อนนะ กูว่าหน้าเด็กมึงมันคุ้นๆ อยู่นะ นี่มึงไปตีสนิทกับน้องคณะกูตั้งแต่เมื่อไร” ธามว่าหันมาสบตาเพื่อนอีกครั้งแต่กลายเป็นว่าคนตอบคำถามนี้คือรุ่นน้องของเขาเอง

     

    “เมื่อนานมาแล้วครับ สวัสดีครับพี่ธาม นี่มากินที่ร้านนี้เหมือนกันเหรอครับ เอ๋ หรือว่าแอบหนีหน้าใครกันแน่ครับ” คนว่ายิ้มน้อยๆ ยังไม่ลืมโฟกัสไปที่พี่วิศวะปีสามซึ่งยังปั้นหน้านิ่งอยู่

     

    “เปล่า กูไม่ใช่คนดัง ไม่จำเป็นต้องหนีหน้าใคร ก็กินอาหารฝั่งคณะวิศวะมาจนเบื่อแล้วส่วนร้านอาหารข้างมหาวิทยาลัยก็ขี้เกียจว่ะ คนมันเยอะกูเลยไม่ชอบ แล้วนี่จะกลับกันแล้วเหรอ”

     

    “อืม” ธนูว่าแล้วเปิดประตูรถออกมาแต่กลับถูกมือหนาของธามปิดเอาไว้ เขาได้แต่ขมวดคิ้วทำงง

     

    “เฮ้ย อย่าเพิ่งกลับดิ นานๆ จะได้เจอทั้งเพื่อน เจอทั้งรุ่นน้องพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ เพราะงั้นไปเที่ยวผับกับกูนะ กูกำลังหาเพื่อนไปอยู่พอดี ได้ยินว่าคืนนี้มีวงดนตรีมาเล่นสดด้วย กูคาดหวังว่าจะได้เจอศิลปินที่กูชอบ”

     

    “กูว่า...” ธนูอ้าปากจะปฏิเสธแต่กลับต้องเบรกเอาไว้เพราะมีประโยคหนึ่งขัดขึ้น

     

    “ก็ดีเหมือนกันครับ” ทิวเขาว่าเหลือบตามามองคนที่มาด้วยเห็นชัดว่ากำลังหันหน้ามาหา เขาเพียงยิ้มส่งพร้อมทั้งอธิบาย “คือมันดีตรงที่ผมจะได้ไปเปิดหูเปิดตา ตัวผมเองก็เป็นน้องใหม่ ถ้าพี่ๆ ไม่พาผมไป ผมคงไม่มีโอกาสไปในที่แบบนั้นแน่”

     

    “งั้นมึงก็ไปกับพี่ของมึง ยังไงกูก็ฝากส่งมันกลับหอด้วยนะ” ธนูตัดบทเฉย แต่ถูกทิวเขาขัดเสียงสูง

     

    “ได้ไงละ พี่ต้องไปกับผมด้วยสิ”

     

    “เฮ้ย ทิวเขา ถ้าพี่ธนูเขาไม่ไป เราก็ไปกับพี่ได้นะ ไม่ต้องกังวลพี่ดูแลเราได้อยู่แล้ว” ธามว่าหน้ายิ้ม

     

    “แต่ผม...มีเรื่องที่ต้องคุยกับพี่ธนูอีกเยอะเลยครับ”

     

    “ก็ค่อยคุยกันวันหลังก็ได้ อยู่มหาลัยเดียวกัน ต้องได้เจอกันอยู่แล้ว”

     

    จบคำของธามก็เหมือนจะได้เห็นใครบางคนยิ้มมุมปากแต่สำหรับทิวเขา เขายังไม่อยากอยู่ห่างจากธนูเพียงเพราะต้องไปกับธาม ยังไงก็ไม่ปล่อยให้เวลาแห่งความสุขมันหมดลงโดยง่าย

     

    “เออ จริงด้วย พี่ธนูครับ แม่บอกให้ผมช่วยมาบอกพี่ว่าให้ดูแลผมดีๆ อย่าให้คลาดสายตา พอดีแม่ค่อนข้างที่จะเป็นห่วงผมนะครับกลัวว่าจะไปมีเรื่องชกต่อยกับใครเขาอีก นี่แม่ผมกำชับมาเลยนะครับว่าต้องเป็นพี่ธนูคนเดียวเท่านั้น”

     

    คำพูดนั้นทำให้ธนูนึกถึงบทสนทนาที่ได้คุยกันไว้กับมารดาของทิวเขา มีบางประโยคที่น้าเรียมพูดแบบนั้นจริงๆ เล่นเอาเซ็ง

     

    “ตกลงจะเอาไงวะ ไอ้ธนู มึงจะไปหรือไม่ไป” ธามถามขึ้น เพราะไม่รู้เรื่องราวจะลงเอยยังไง ยิ่งเป็นธนูคนนี้ก็เดาอะไรไม่ได้เลย ถึงจะเป็นเพื่อนกันมาก็ใช่ว่าจะรู้ใจมันไปเสียหมด

     

    “อืม ร้านเดิมใช่ไหม มึงขับรถไปเลยเดี๋ยวกูขับรถตาม” สุดท้ายก็เลี่ยงที่จะหนีไปไม่พ้น ด้วยเด็กข้างบ้านมันใช้ข้ออ้างของแม่มันมาต่อรอง ก็คงรู้ว่าเขาเกรงใจน้าเรียมถึงได้ใช้ความเกรงใจนี้มาเป็นขออ้างแล้วมันก็ใช้ได้ผล

     

    ฟอร์จูนเนอร์ดำขับเคลื่อนไปตามเส้นทางสู่เป้าหมายในอีกไม่กี่กิโลก็ถึง ขณะที่คนขับยังปั้นหน้านิ่งสายตาจดจ่อกับถนนเบื้องหน้าอย่างไม่วอกแวก

     

    “ขอบคุณนะครับ” เป็นประโยคแรกที่เอ่ยขึ้นไหลังจากที่เข้ามานั่งด้วยกันในรถ และเพราะตลอดทางที่เขาเอาแต่มองหน้าคนขับโดยที่ไม่พูดอะไรจนสุดท้ายก็อดใจไม่ไหวเอ่ยคำนี้ออกมา

     

    “เรื่อง” ธนูถามกลับไปโดยที่ไม่มองหน้า

     

    “ก็ที่ไม่ปล่อยให้ผมไปกับพี่ธามด้วยกันตามลำพังยังไงละครับ”

     

    “กูแค่ทำตามคำขอของน้าเรียม ถ้าไม่ติดที่น้าเรียมขอให้กูช่วยดูแลมึงไว้ จ้างให้กูก็ไม่ทำหรอก เสียเวลา”

     

    “งั้นก็ไม่ต้องมาดูแลผมสิครับ เดี๋ยวผมจะเป็นฝ่ายดูแลพี่เอง” คนว่ายิ้มออกมา มีความสุขที่ได้พูดแบบนั้นกับคนที่ชอบมาตั้งหลายปี แต่สายเรียกเข้าก็ทำเอายิ้มชะงัก เลยต้องกดรับสายทั้งที่สายตายังมองนิ่งที่คนขับ

     

    ‘ครับพี่ขวัญ...อ๋อ กำลังอยู่ข้างนอกครับ ขอบคุณนะครับที่ชวน พอดีผมออกมากับพี่ที่รู้จักแล้วนะครับ ไว้โอกาสหน้าผมไม่พลาดแน่นอนครับ ครับ ได้ครับ สวัสดีครับ’ จบบทสนทนาสายก็ถูกตัดทิ้ง แต่กลับมีประโยคหนึ่งดังขึ้น

     

    “ฮอตจังนะมึง คราวนี้ใครชวนไปไหนอีกล่ะ”

     

    “ก็...เป็นพี่ที่คณะนะครับ ชอบมาเทคแคร์ผมอยู่บ่อยๆ และนี่ก็มาชวนไปหาอะไรกินด้วยกัน ผมนะเกรงใจสุดๆ เลยเพราะพี่แกเป็นคนที่ดีมากๆ แต่พี่ไม่ต้องหึงผมหรอกนะเพราะถึงยังไงผมก็มีพี่แค่คนเดียว ไม่มีทางนอกใจแน่นอน”

     

    “เลิกพูดกวนประสาทกูซะที กูไม่ใช่เพื่อนเล่นมึง” ธนูว่าหันมาทำตาเขียวใส่แวบหนึ่งแล้วกลับไปมองด้านหน้าต่อโดยไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มแห่งความสุขนั้น

     

    “ก็ไม่ได้อยากเป็นเพื่อนเล่นนี่ครับ ยังไงซะสถานะเดียวที่ผมจะให้พี่เกี่ยวข้องกับผมด้วย นั่นก็คือ เป็นแฟนกันนะครับ โอ๊ย” ทิวเขารู้สึกเหมือนแผ่นดินไหวชั่วขณะเพราะกหลังจากที่จบประโยคนั้นหัวเขาก็ไปชนเอากลับช่องปล่อยแอร์ข้างหน้าก่อนที่รถจะจอดสนิท

     

    “ทำอะไรของพี่เนี่ย นึกจะเบรกก็เบรกผมหัวทิ่มแล้วนะ”

     

    “แล้วใครใช้ให้มึงไม่คาด Belt ประมาทเองช่วยไม่ได้” ธนูว่าเลื่อนสายตาไปมองที่สัญญาณไฟที่ขึ้นเป็นสีแดง เกือบจะขับฝ่าไฟแดงอยู่แล้วเพราะมัวแต่ฟังเรื่องไร้สาระจากทิวเขา

     

    “แต่ความประมาทของผมมีพี่เป็นตัวการเลยนะ” ทิวเขาว่าเอามือขึ้นมาถูหน้าผากตัวเอง ก่อนจะขยับตัวนั่งให้เป็นปกติ

     

    “ยังอีก คาดเข็มขัดสิ เดี๋ยวก็เจ็บตัวอีกหรอก”

     

    คนถูกว่าทำหน้าอมทุกข์แต่ก็ยอมคาดเข็มขัดนิรภัย ระหว่างนั้นมีวิดีโอคอลเข้ามา เจ้าของมือถือรีบกดรับทันทีเมื่อรู้ว่าปลายสายเป็นใคร

     

    ‘ไงตัวแสบ ไปอยู่ที่โน่นเป็นยังไงบ้าง’

     

    ‘ก็ดีนะแม่ อ๋อ ตอนนี้ผมอยู่กับพี่ธนูเขาด้วยนะ’ ทิวเขารีบเอียงมือถือหาคนที่เพิ่งเอ่ยถึง

     

    ‘อ้าวธนู’

     

    ‘ครับน้าเรียม’ ธนูจำใจต้องสนทนาตอบแต่ยังมีเหลือบไปทำตาเขียวใส่ทิวเขา

     

    ‘ดีแล้วที่อยู่กับพี่ธนู แม่ละกลัวจริงๆ ว่าเราจะไปมีเรื่องชกต่อยกับใครเขาอีก’

     

    ‘โธ่ ผมไม่ได้เกเรขนาดนั้นนะแม่ อีกอย่างมีพี่ธนูคุมแบบนี้แล้วผมจะไปกล้าเกเรใส่ใครเขาได้ละ’ ทิวเขาว่าสบตาพร้อมกับยิ้มให้ธนู ยังมีประโยคออกมาจากมารดาอยู่

     

    ‘ดี งั้นธนูน้าฝากดูแลทิวเขาด้วยนะลูก น้าไม่ค่อยไว้ใจใครเลยแต่ถ้าเป็นธนูดูแลน้อง น้าค่อยอุ่นใจหน่อย’

     

    ‘ไม่ต้องห่วงครับน้าเรียม ผมจะช่วยดูๆ ให้ครับ’ เป็นคำพูดที่ฟังแล้วหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก คิดว่าชีวิตต่อจากนี้ของธนูคงวุ่นวายไม่จบสิ้นแน่

     

    ‘เออแม่ ผมขอวางสายก่อนนะ พอดีพี่ธนูจะพาผมไปเที่ยวน่ะ ไว้ค่อยคุยกันครับ รักแม่นะ จุ๊บๆ’

     

    ‘ไม่ต้องมาจุ๊บๆ เลย งั้นก็เที่ยวให้มีความสุขละกัน’

     

    ‘ก่อนจะวาง แม่ต้องบอกรักผมก่อน เร็วสิแม่ ผมรอฟังอยู่’ ทิวเขาหยอกมารดา เห็นรอยยิ้มอ่อนๆ ผุดที่ใบหน้าของท่านด้วย สุดท้ายคำที่ร้องขอก็ได้ยินจริงๆ

     

    ‘แม่ก็รักเราเหมือนกัน ทิวเขา’ แล้วสายก็ถูกตัดไปจึงไม่ทันได้เห็นอาการเขินอายของคนที่ไม่ค่อยได้บอกรัก หากอยู่ต่อหน้ากันคงพูดยาก โชคดีที่มีตัวช่วยอย่างมือถือที่ทำให้การบอกรักกันเป็นเรื่องที่ง่ายดาย

     

    “พี่ธนูได้ยินแล้วใช่ไหมครับว่าแม่ผมเขาฝากฝังให้พี่ช่วยดูแลผม แล้วพี่ก็รับปากกับแม่ผมแล้ว เพราะฉะนั้น เราสองคนก็ไปเข้าหอกัน เอ๊ย ไปผับกันได้เลยนะครับ” คนพูดเขินเองพร้อมกับเอามือขึ้นมาเกาคอตัวเอง ลอบมองคนพี่ที่ยังปั้นหน้านิ่ง เขาไม่ใส่ใจถึงความรู้สึกด้านชาของธนู ก็เพราะว่าถูกเมินเฉยและทำเป็นไม่แคร์แบบนี้ไงถึงได้ชอบมาตลอด หากตอนนั้นถูกให้ความสนใจก็คงไม่รู้สึกว่าอยากได้มากขนาดนี้แต่มันก็เป็นเรื่องดีเพราะทำให้ทิวเขารู้ว่าความรักถ้าได้มาง่ายๆ ก็อาจจะถูกทำลายโดยง่ายเหมือนกัน

     

    ขณะที่ธนูเริ่มเคลื่อนตัวรถออกไปหลังสัญญาณไฟเขียวปรากฏ คำพูดของทิวเขาเมื่อครู่ทำเอาคิดหนักแต่ด้วยความกวนประสาทที่มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรจึงไม่อยากเก็บเอามาคิดให้ปวดหัวนอกจากพึมพำเบาๆ

     

    “ไอ้เด็กบ้า” คำนั้นแค่ปากขยับหากแต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×