ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    How to love ก็เด็กมันร้าย

    ลำดับตอนที่ #3 : EP. 1 คำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ / 100

    • อัปเดตล่าสุด 7 ม.ค. 64


    "ใครวะมึง"

     

    ซนสะกิดด้วยเสียงข้างๆ หูของธนู เมื่อไล่ดูผ่านสายตาตัวเองก็เห็นชัดว่าต้องเป็นน้องปีหนึ่งแน่ๆ ดูได้จากป้ายชื่อที่คล้องคออยู่แต่ประเด็นคือน้องมันไปรู้จักกับธนูได้ยังไง

     

    "สวัสดีครับพี่เพื่อนพี่ธนู ผมทิวเขาเป็นแฟน...คลับของพี่ธนูเขานะครับ" ทิวเขาแนะนำตัว ส่งสายตายียวนมาทางคนร่างสูง ภายใต้แว่นตานั่นยังเห็นถึงความหล่อทะลุออกมา ซึ่งก็ยังเป็นพี่ธนูคนเดิมเมื่อสามปีที่แล้วไม่เปลี่ยน

     

    "แฟนคลับ เดี๋ยวนะ นี่น้องใช่น้องปีหนึ่งหรือเปล่า"

     

    "ใช่ครับ" คนตอบยังมั่นหน้ายิ้มใส่

     

    "อ้าวแล้วไปรู้จักเพื่อนพี่ได้ไง" ซนถามหน้ามึนขณะที่กำลังโอบไหล่ธนูอยู่

     

    "รู้จักมาตั้งนานแล้วละครับ พอดีบ้านเราอยู่ติดกัน ปืนข้ามรั้วข้ามหน้าต่างกันออกบ่อย" แม้จะโดนมองด้วยสายตาดุๆ แบบนั้นแต่สำหรับทิวเขามันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นดี ก็คิดว่าวันนี้จะไม่ได้เจอกันแล้วเพราะคณะเราอยู่คนละฝั่งกันแต่คงเป็นพรหมลิขิตแหละที่นำพาให้มาเจอกันจนได้

     

    "นี่มึงปีนหน้าต่างเป็นกับเขาด้วยเหรอวะ กูนึกว่ามึงเก่งแต่เรื่องติวหนังสือเป็นอย่างเดียว" คนว่าหัวเราะใส่เพื่อนเพราะนึกไม่ถึงว่าจะมีวีรกรรมเล่นซนกับใครเขา นี่ถ้าไม่ได้มารู้จากปากของเด็กข้างบ้านมันละก็จะไม่เชื่อเด็ดขาด ก็ออกจะคุณชายซะขนาดนั้น

     

    "กูไปก่อนนะ เผอิญมีธุระต้องสะสาง" ธนูตัดบท ดึงมือเพื่อนออกจากการเกาะไหล่ มือหนึ่งกระชับกระเป๋าสะพายไว้ก่อนสายตาจะเล็งมาที่ทิวเขา "ส่วนมึง...มากับกู" เอ่ยจบก็ก้าวเท้าเตรียมเดินแต่กลับชะงักกึกเมื่อได้ยินประโยคคำถาม

     

    "เดี๋ยวสิครับ ผมยังคุยกับเพื่อนพี่ไม่เสร็จเลยนะ ว่าแต่พี่เถอะจะพาแฟน...คลับอย่างผมไปไหนเหรอครับ" คำพูดนั้นฟังดูเหมือนไม่มีอะไรแต่สายตาที่ส่งมาหาติวเตอร์หนุ่มนั้นบอกให้รู้ว่ามันมีอะไรที่มากกว่านั้นซึ่งก็คงมีแค่ทิวเขากับธนูเท่านั้นที่รู้ดี

     

    "เออนั่นดิ มึงจะพาน้องมันไปไหน"

     

    "ไม่ยุ่งสักเรื่องได้ไหม" ธนูหันมาว่าซนก่อนจะดึงมือทิวเขาแล้วลากออกไปด้วยกันท่ามกลางสายตาและสีหน้าชวนมึนงงของซน

     

    พ้นจากตรงนั้นไปนานแล้วแต่คนนำทางก็ยังจะลากให้เดินไปด้วยกันอีกจนไม่รู้ว่าที่ทำอยู่ตอนนี้คืออารมณ์พาไปหรือเพราะอยากทำแบบนั้นจริงๆ กันแน่

     

    "อยากจะจับมือผมก็บอกกันดีๆ ก็ได้นี่ครับ ไม่เห็นจะต้องฉุดกระชากลากถูกันเลย ไหนว่าไม่ชอบความรุนแรงไง" จบคำนั้นทิวเขาก็ถูกปล่อยอย่างเป็นอิสระ ต่อหน้าลานเกียร์ของคณะวิศวะซึ่งเป็นที่เล่าลือถึงความขลังแต่กลับไม่น่าสนใจเท่ากับคนที่กำลังยืนปั้นหน้าดุใส่อยู่ตอนนี้

     

    "อย่ามากวนประสาท"

     

    "งั้นผมไม่กวนแล้วก็ได้แต่จะมาเข้าเรื่องเลยละกัน" ทิวเขาว่า ยิ้มเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นนิ่งขรึมจ้องอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ "ผมมาทวงสัญญา"

     

    "สัญญาอะไร"

     

    "อย่าทำเป็นลืมสิพี่ ถึงมันจะผ่านไปแล้วสามปีแต่ผมยังจำมันได้อยู่นะว่าคืนนั้นพี่พูดอะไรกับผม"

     

    คำพูดของทิวเขาทำให้ธนูนึกถึงเรื่องราวในคืนนั้น คนที่บ้าบิ่นบุกเข้าห้องนอนคนอื่นโดยพละการแถมยังต้องมาทำแผลให้ด้วยความสมเพชเวทนาอีก เป็นคนเดียวที่ชอบมีเรื่องชกต่อยและอาจพูดได้ว่าทิวเขาในตอนนั้นกับตอนนี้ดูต่างกันลิบลับ

     

    "ก็ตั้งใจเรียนซะสิ ถ้ามึงสอบเข้ามหาลัยเดียวกับกูได้ มึงก็ได้เจอกู"

     

    "ถือว่าเป็นคำสัญญาแล้วน๊า ว่าถ้าผมสอบเข้ามหาลัยเดียวกับพี่ได้ พี่ต้องยอมให้ผมเจอตัวบ่อยๆ”

     

    "เออ กูจะรอ"

     

    "แล้วยังไง กูก็เจอมึงตามที่พูดแล้วนี่ไง" ธนูว่าไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดในคืนนั้น เพราะไม่คิดว่าทิวเขาจะสอบเข้ามหาลัยเดียวกับเขาได้ และมันก็น่าทึ้งที่เด็กเกเรไม่เอาดีด้านการเรียนคนหนึ่งจะทำเรื่องนี้สำเร็จ

     

    "มันไม่ใช่แค่นั้นสิพี่ ผมรอมาตั้งสามปี มีไลน์พี่แต่ก็เหมือนไม่มีเพราะส่งอะไรไปพี่ก็ไม่เคยอ่าน จะโทรไปคุยก็กลัวจะรบกวน นี่ผมอดทนมากแค่ไหนพี่รู้ไหม สามปีเลยนะที่ผมไม่ได้เจอหน้าไม่ได้คุยกับพี่เลย"

     

    "ตอนนี้มึงก็ได้เจอหน้ากูแล้วนี่ไง ได้คุยกับกูแล้วด้วย เพราะงั้นก็ถือว่าคำพูดในคืนนั้นจบแล้วนะ"

     

    "ไม่จบง่ายๆ แบบนี้สิ" ทิวเขาว่าสีหน้าเหมือนไม่พอใจ

     

    "แล้วมึงจะเอายังไง"

     

    "จะเอาไงนะเหรอ พี่ก็ไม่น่าถามผมแบบนี้ เพราะพี่เองรู้ดีว่าเป้าหมายผมจริงๆ มันคืออะไร" ทิวเขาว่าส่งสายตาซึ้งๆ ให้

     

    "กูไม่รู้เว้ย" ธนูปัดทำหน้าฟัดเหวี่ยงพยายามไม่คิดถึงมันอีก

     

    "แกล้งทำเป็นลืมแบบนี้ ผมไปบอกเพื่อนพี่ดีมั้ยว่าผมน่ะ....เป็นแฟนพี่” ทิวเขาว่าปั้นหน้าขรึมใส่แต่แทนที่อีกฝ่ายจะกลัวกลับพูดประโยคที่ทำเอาคนฟังเสียวหลังวาบ

     

    “มึงกล้าลองดีกับกูเหรอ ถ้ามึงทำแบบนั้น มึงก็ไม่ต้องมาเจอหน้ากูอีก”

     

    “โธ่พี่ธนู ทำไมไม่อ่อนโยนกับผมบ้างเลย ทีตอนแนะนำตัวกับน้องในเอกพี่ก็ยังพูดจาดีๆ อยู่เลย นี่ก็สามปีแล้วนะพี่จะไม่พูดดีๆ กับผมบ้างเลยเหรอ” คนว่าค่อยๆ ขยับเท้าเข้ามาใกล้แต่ก็เหมือนเคยเพราะอีกฝ่ายเหมือนจะรู้ทันรีบถอยห่างออกไปอีก

     

    “ใช่ สามปีที่มึงก็ยังไม่เลิกกวนโมโหกู”

     

    “ก็ผมชอบพี่จริงๆ นี่นา เนี่ยต้องตั้งใจเรียนตั้งใจอ่านหนังสือมากแค่ไหนถึงจะสอบเข้าที่เดียวกับพี่ได้ พี่ก็น่าจะให้รางวัลกับความตั้งใจของผมหน่อย ไม่ใช่เจอกันวันแรกก็ทำเหมือนจะผลักไสไล่ส่งผมไปให้ไกลๆ แบบนี้” คิดว่าถ้าหากเล่นบทคนขี้สงสารอาจทำให้อีกฝ่ายเห็นใจขึ้นมาบ้าง ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น

     

    “เอาเถอะในฐานะที่มึงตั้งใจเรียนจนสามารถเข้ามาเรียนในมหาลัยนี้ได้ อย่างน้อยน้าเรียมก็จะได้ภาคภูมิใจกับเขาบ้างที่มีลูกชายเอาดีด้านเรียนมากกว่าเรื่องชกต่อย กูยอมพามึงไปเลี้ยงข้าวก็ได้”

     

    ประโยคสุดท้ายเหมือนคนพูดจะจำใจแต่กลายเป็นว่าคนที่ได้ฟังถึงกับตาโตใส่ด้วยความแปลกใจพร้อมกับทวนในสิ่งที่ได้ยินนั้นอีกครั้ง

     

    “พี่ว่าไงนะ นี่พี่จะพาผมไปกินข้าวด้วยกันจริงๆ เหรอ”

     

    “หรือมึงจะไม่ไป”

     

    “ไปสิพี่ ไปเลยไหม” ทิวเขาว่าหน้ายิ้ม ก้าวเท้านำออกไปก่อนแต่ชะงักไว้เพราะคำพูดของธนู

     

    “เดี๋ยว”

     

    “หะ” คนถูกขัดหันหน้ามามองพลางขมวดคิ้วใส่อย่างไม่เข้าใจ

     

    “กูมีติวน้องที่คณะ”

     

    “แล้ว”

     

    “กูก็ต้องไปติวไง ส่วนมึงถ้ายังอยากจะรอกูพาไปเลี้ยงข้าวก็รอจนกว่ากูจะมารับ” ธนูว่าดึงกระเป๋ามาหยิบชีทออกมายังมีเสียงของทิวเขาถามมา

     

    “แล้วจะให้ผมรอตรงไหนอ่า”

     

    “ก็แล้วแต่มึงสิ”

     

    “งั้นผมไปรอในใจพี่ได้ปะ” ทิวเขาว่า ยิ้มทะเล้นใส่แต่กลับต้องผิดหวังเพราะคนฟังไม่อินแถมยังปั้นหน้าบึ้งตึงใส่อีก “โอเค งั้นผมรอที่ตึกคณะพี่ละกัน พี่จะได้ไม่ต้องวนรถไปรับผมที่หอพัก ว่าแต่ติวเสร็จกี่โมงอ่า”

     

    “ไม่รู้ ไม่มีกำหนด”

     

    “ติวอะไรไม่มีกำหนด” คนถามขมวดคิ้วใส่อีกครั้ง

     

    “ก็จนกว่าเนื้อหาบทนั้นจะหมดไง ถ้ามึงรอไม่ไหวก็กลับไปก่อนได้เลย แล้วเรื่องที่กูจะเลี้ยงข้าวมึงในวันนี้ก็ถือว่าโมฆะ”

     

    “งั้นผมก็ไม่กลับ ยังไงก็จะรอ รอมาตั้งสามปีแล้วกับอีกแค่รอไม่กี่ชั่วโมงทำไมจะรอไม่ได้”

     

    “พูดเองนะ ว่าจะรอ” คนพูดหรี่ตามอง ยังอยากให้มั่นใจว่าเด็กมันยังจะรออยู่

     

    “ครับ และผมก็เชื่อด้วยว่าพี่ธนูต้องรีบสอนน้องๆ ของพี่ให้เสร็จโดยเร็วเพื่อจะได้พาผมไปเลี้ยงข้าว”

     

    “งั้นมึงก็รอไป กูมาเมื่อไรมึงก็ได้ไปกินข้าวเมื่อนั้นแหละ” ธนูว่าแล้วค่อยๆ เดินจากไป ไม่ถึงนาทีก็หันหน้าไปมองเห็นว่าทิวเขากำลังเดินไปหาที่นั่ง เขาหันหลังกลับแล้วแสยะยิ้มพร้อมกับคำพูดพึมพำ

     

    “รอไปเถอะมึง” แล้วเท้าหนาก็เดินจากไปโดยไม่หันไปมองคนข้างหลังอีก

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×