ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คันปากอยากเล่า

    ลำดับตอนที่ #5 : คันปากอยากเล่า : กลัว

    • อัปเดตล่าสุด 16 ม.ค. 58


      ผมเป็นลูกคนเดียว  อยู่คนเดียว โตมาคนเดียว เล่นคนเดียว ด้วยเหตุนี้เวลาเหงาๆผมก็มักจะแก้ปัญหาด้วยการพูดคนเดียว พูดกับตัวเองนี่แหละไม่ต้องมีกระจกด้วย ผมสามารถคุยกับตัวเองได้เหมือนมีคนนั่งอยู่กับผมในห้องทั้งๆที่ห้องนั้นก็มีผมแค่คนเดียว ผมจึงมีที่ต้องถามตัวเองอยู่เสมอ เช่น อยากทำอะไร? อยากกินอะไร? เบื่อสิ่งที่ทำไหม? ตัวเองต้องการอะไร? และคำถามที่ถามบ่อยที่สุดคือ"อะไรน่ากลัวที่สุด..." ผมคิดว่าคำตอบมันก็คงเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่เมื่อมองกลับไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา สิ่งที่ผมกลัวที่สุดกลับไม่เคยเป็นอย่างอื่นนอกจาก ความเปลี่ยนแปลง
     
      การเปลี่ยนแปลงของสิ่งรอบข้าง เช่น การตัดถนนใหม่ ผมเข้าใจนะว่ายิ่งตัดถนนมันก็ยิ่งย่นระยะทาง แต่ไอ้พวกสะพานที่พาดไปพาดมานี่สิ มีปัญหากับผมมากเยอะไปไหน จะทำถนนหรือขนมชั้น พาดกันสามสี่ทบถ้าเลี้ยวผิดชีวิตบรรลัยเลยนะ หาที่กลับรถก็ยากบางทีต้องขับต่อเป็นกิโลฯกว่าจะเจอ มันเหนื่อยมากสำหรับคนที่ไม่ชอบขับรถแบบผม ยิ่งถ้าเป็นถนนที่เคยชินทางเมื่อนานมาแล้ว พอกลับไปอีกที่มันไม่เหมือนเดิมนี่นรกชัดๆ ถนนเส้นไหนไปไหนวะเยอะแยะไปหมด บอกเลยครับว่างงมาก ใครไม่งงผมนี่แหละงง
     
      ผมเป็นคนที่คิดมากเรื่องเพื่อน บางทีก็แอบนอยด์กับพฤติกรรมเล็กๆน้อยๆของเพื่อนอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยพูดออกไป สาเหตุที่นอยด์ก็เพราะ "มันเปลี่ยนไป" ทำไมพูดอะไรไม่ค่อยฟัง ทำไมมันไม่สนใจกูวะ อันนี้ยังพอรับได้ ที่หนักสุดทำไมมันทิ้งกูวะ? ตอนนั้นผมกลัวมากๆ กลัวจะเสียเพื่อนคนนี้ไป สุดท้ายความเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวและเจ็บปวดที่สุดของผมก็มาถึง ผมโดนเพื่อนที่รักที่สุดคนหนึ่งทิ้ง จากรักมากกลายเป็นเกลียดมาก และกลายเป็นความเฉยชาไปในที่สุด กว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้ผมต้องใช้เวลานานพอดู แต่สุดท้ายผมก็ผ่านมาได้ ถึงแม้ว่าไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลยก็ตาม
     
     การเปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรมผมว่ามันก็น่ากลัวนะ ถ้าเปลี่ยนในทางที่ดีก็แล้วไป แต่บางครั้งการเปลี่ยนแปลงมันก็ขัดกับวิถีชีวิตของผมมาก ไม่ชอบมันเลย ไม่อยากเปลี่ยนด้วย ทว่าปฏิเสธให้ตายยังไงจนแล้วจนรอดก็ต้องเปลี่ยน... (เคยเป็นป่ะ?)
     
      ปกติแล้วก่อนสอบผมจำทำโน๊ตสำหรับอ่านสอบแบบสั้นๆ เพราะผมเป็นคนที่ความจำปลาทองมากให้จำเยอะๆนี่สมองพัง ข้อสอบแบบปรนัยนี่โคตรแม่น แต่เวลาเจอข้อสอบเขียนชีวิตพังไม่รู้จะเขียนตอบอะไรเพราะสรุปไว้แบบโคตรสั้น เลยเขียนตอบไปเหมือนที่สรุปมานั้นแหละแล้วก็รอตัวมาได้ พอสอบเสร็จอาจารย์ก็จะบ่นว่าตอบน้อยจัง เขียนหนังสือไม่เป็นบ้างล่ะ ต้องหัดไว้นะเพราะข้อสอบมหาวิทยาลัยเป็นแบบนี้ทั้งนั้น ผมเข้าใจนะว่าอาจารย์ต้องการเตรียมความพร้อมให้นักเรียน แต่ผมก็ยังตอบสั้นๆเหมือนเดิม ตราบใดที่อาจารย์ยังมีคะแนนให้(หุๆ)
     
      พอเข้ามามหาวิทยาลัย ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนตัวเอง จากตอนมัธยมเคยตอบสั้นๆ ข้อสอบหนึ่งข้อคำตอบไม่เคยเกินสิบบรรทัด ก็ต้องเปลี่ยนไปวิธีการตอบคำถามเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของคะแนน กลายเป็นครึ่งหน้ากระดาษบ้าง สองหน้ากระดาษบ้างซึ่งมันขัดกับระบบความจำ วีถีการดำเนินชีวิตของผม(แลดูยิ่งใหญ่ ที่จริงก็คือความขี้เกียจนั่นแหละ เขียนให้เวอร์ไว้ก่อน) และที่สำคัญมันปวดมือมากๆครับ(ไม่ชอบที่สุดก็ตรงนี้แหละ) มันทำให้ผมรู้ว่าคนอื่นมีอิธิพลต่อชีวิตของเราแค่ไหน ซึ่งมันคงไม่ดีแน่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่มากกว่านี้ ชีวิตของผมมันควรเป็นผมที่ต้องกำหนด แต่ทำไมผมไม่สามารถกำหนดชีวิตของตัวเองได้เพราะผมต้องเอาตัวรอดในที่แห่งนี้ให้ได้อย่างนั้นน่ะหรอ... มันน่าเศร้านะที่ไม่สามารถอะไรอะไรได้อย่างใจคิด แล้วอนาคตล่ะจะเป็นอย่างไร...?
     
      ความจริงแล้วความเปลี่ยนแปลงไม่ได้นำมาซึ่งความน่ากลัวเสมอไป ผมเองก็ไม่ได้กลัวทุกอย่างที่เปลี่ยนไปหรอก เช่น โทรศัพท์เมื่อก่อนกว่าจะพิมพ์ได้คำนึงกดหาตัวอักษรปุ่มแทบพัง ทุกวันนี้อยากจะระบายอะไรยาวๆหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วบ่นได้ยาวเป็นหน้ากระดาษได้ภายในเวลาไม่กี่นาที บีทีเอส เอ็มอาร์ที ช่วยให้ผมไปไหนมาไหนได้โดยไม่ต้องติดอยู่บนถนนนานๆ เป็นต้น 
     
    แต่การที่ผมรู้ว่าตัวเองกลัวอะไรมันก็มีประโยชน์อยู่นะ อย่างน้อยก็เตือนตัวเองได้ว่าผมเป็นใคร ผมต้องการอะไร บางครั้งมันก็บอกผมได้ด้วยว่าผมต้องทำอะไรต่อจากตอนนี้
     
      ผมลองถามตัวเองตอนนี้ว่าสิ่งที่ผมกลัวคืออะไร คำตอบที่ผมอีกคนตอบมา คือ กลัวFครับ เกรดออกทีไรเพื่อนไล่ไปขุดบ่อปลาตลอด คุณล่ะลองถามตัวเองรึยังว่า อะไรน่ากลัวสำหรับคุณ....
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×