ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คันปากอยากเล่า

    ลำดับตอนที่ #1 : คันปากอยากเล่า : Fast and Furious Oppa Thai Style

    • อัปเดตล่าสุด 6 พ.ย. 56


    “ขากลับนี่สยองกว่าขามาอีกอะ TT^TTประโยคสั้นๆนี้อยู่ในสมุดโน้ตที่ผมหอบมันไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลา
    ผมเปิดหน้าที่เขียนประโยคนั้นทิ้งไว้โดยบังเอิญขณะทำงาน เป็นเหตุให้เพื่อนของผมสงสัยว่า
    “มันคืออะไร?”....จนกลายเป็นที่มาของเรื่อง...คันปากอยากเล่า
    : Fast and Furious Oppa Thai Style

     

    เมื่อ มหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 18’ ที่ผ่านมา ผมกับพี่ชายได้นั่งรถเมล์สายหนึ่งจากบ้านของผมที่มีนบุรีไปที่ห้างแห่งหนึ่ง
    แล้วต่อเรือโดยสายไปลงที่ท่าน้ำอโศก ต่อด้วยการขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินไปที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 
    ปกติแล้วขากลับผมกับพี่ชายจะนั่ง
    MRT  ไปลงที่สถานีพหลโยธิน แล้วต่อรถกลับบ้าน และบางอาจจะแวะไปหาของกินที่ ม.เกษตร
    ก่อนจะแยกย้ายกันไปที่อื่นต่อ ซึ่งขากลับจะใช้เวลาและค่าเดินทางมากกว่าขามาพอสมควร...

     

    เป็นเหตุทำให้ครั้งนี้ผมอยากจะลองของ.... ผมจึงชวนพี่ชายกลับบ้านทางเรือ เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ

    1. เมื่ออาทิตย์ก่อนมีข่าวว่าเรือล่ม หรือชนท่าน้ำอะไรสักอย่างหลังจากที่ผมกับครอบครัวกลับมาจากงานหนังสือเพียงไม่กี่ชั่วโมง
    ผมจึงสงสัยว่าทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น เพราะภาพที่ผมเห็นตอนขามาค่อนข้างชิวเลยทีเดียว คนไม่เยอะมากถึงจะต้องยืน
    แต่ก็ไม่ต้องอัดกันเป็นปลากระป๋อง เรื่อก็ขับไม่เร็วเท่าไหร่ไปเรื่อยๆสบายๆ(สไตล์แสนแสบ
    = =;)
    มันไม่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้เลยสักนิดเดียว


    2.ค่าเดินทางถูก

    3.ประหยัดเวลา

    แค่นั้นแหละครับที่ผมคิด พี่ชายผมเองก็เออออห่อหมกไม่ได้โต้แย้งอะไร เพราะว่าไม่เคยกลับทางนี้เหมือนกัน อยากลองเหมือนกันทั้งคู่
    จึงตัดสินใจกลับทางเรือ....

     

    ปกติเวลาขึ้นเรือแสนแสบนี่ผมจะไม่ค่อยชอบนั่งครับ ผมชอบยืนมองข้างทาง บ้านเรือน ผู้คน และคลื่น(น้ำเน่า)ใหญ่ๆกระทบกับฝั่งมอง
    แล้วสยองดีแท้บวกกับลมเย็นๆที่ซัดตัวผมเต็มๆถือว่าแก้ร้อนได้พบสมควร ผมเลยเลือกที่จะยืนเสียดีกว่า(คนนั่งโดนผ้าใบบังลมผมร้อน
    แย่) ถือว่าเป็นการเดินทางที่เพลิดเพลินมากเลยล่ะ(สำหรับผมอะนะ) แต่ครั้งนี้จากเรือที่ผมเคยยืนชิวมองคลื่นน้ำเน่าบนเรือที่มีคนไม่
    มากนัก กลายเป็น เรือที่คนแน่นแบบไม่มีที่หายใจ คือคนบนเรือเยอะมากกก ก ก  ก ก~
    ถ้าผู้โดยสารขี่คอกันหรือ ตะกายขึ้นไปนั่งบนหลังคาเรือได้คงทำไปแล้ว คนนั่งก็นั่งตัวรีบเป็นถั่วเขียวขาดสารอาหาร ส่วนคนยืนก็ยืน
    แนบชิดสนิทกันแทบจะเข้าสิงกัน หรือไม่ก็ออสโมซิสเข้าไปอยู่ในร่างคนข้างได้อยู่แล้ว แน่นจนไม่รู้จะอธิบายยังไง ผมกับพี่ชายมองดูแล้ว
    ไม่น่าจะมีที่ให้แทรกตัวเข้าไปได้ ตอนนั้นผมเริ่มเข้าใจหนึ่งข้อแล้วว่าจะอาจเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุ แต่ด้วยความสามารถของกระเป๋าเรือ
    (เรียกแบบนั้นรึเปล่า?)พวกเขาก็ยังสามารถหาที่นั่งให้ผมสองคนจนได้...ที่ไหนนะหรอครับ

    เป็นที่วีไอพีนั่งได้ไม่เกินข้างละสองคนครับเพราะมันเป็นบันไดขั้นเล็กที่อยู่บริเวณหัวเรือข้างๆคนขับเพื่อให้ก้าวขึ้นกาบเรือได้ง่ายขึ้น....

     

    ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไรหรอกครับจนเรือออกจากท่าเท่านั้นแหละ ผมเริ่มห่วงชีวิตตะหงิดๆเพราะอะไรน่ะหรอกครับ... ก็เพราะว่าจาก
    เรือที่เคยนั่งชิวๆมองข้างทางผ่านไปช้าๆเปลี่ยนเป็นเรือที่ขับได้แว๊นแบบแมงกะไซด์เรียกป๊ากันเลยทีเดียว แถมช่วงขามาเรือที่แล่นสวน
    ทางมาก็มีไม่มากบางครั้งไม่มีเลยซะด้วยซ้ำ ต่างจากตอนนี้ครับมาแบบถี่ยิบเรือฝั่งนู้นก็แว๊น ฝั่งเราก็แว๊น คลื่นในคลองแสนแสบสูงลิ่ว
    แต่พี่คนขับก็ไม่หวั่นขับเรือโต้คลื่นกันหัวเรือลอยลิ่วกันเลยทีเดียว ผมจะกลัวชีวิตผมจะปลิวไปกับหัวเรือจริงๆยิ่งไปกว่าการนั่งเรือ

    Fast and furious แล้ว เมื่อเวลาเรือจอดรอให้เรืออีกลำผ่านไปผมว่านรกของชีวิตผมกับพี่ชายเลยล่ะ เพราะคลื่นที่อีกลำทิ้งไว้ทำเอา
    เรือลำที่ผมนั่งโดนซัดเรือโคลงไปเคลงมาเมื่อกับว่าจะคว่ำไปอีกข้างให้ได้ แต่สุดท้ายก็ตีกลับมาที่เดิมแต่ก็โดนซัดใหม่อยู่อย่างนั้น
    ตัวผมเองก็โดนเขย่าจนเครื่องในจะรวมกันกลายเป็นสมูตตี้อยู่แล้ว บอกเลยว่ากว่าจะได้ลงจากเรือทำเอาผมสองคนแทบแย่เหมือนกัน
    และแล้วเราก็รอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์(เฮ้
    !!)ผู้โดยสารเกินพิกัด กับการขับเรือสุดแว๊นผมหมดข้อสงสัยครับว่าทำไมเรือถึงล่ม

     

    แต่ก็นะความโชคร้ายเพราะความอยากลองของเราสองคนยังไม่จบแค่นั้น ขากลับผมสองคนต้องกลับทางเดิมผมจึงเดินไปขึ้นรถสาย
    เดิมที่เคยขึ้นมาห้างๆแห่งนี้ ขามานี่ส่วนใหญ่ขับกันสบายๆคนไม่เยอะ แต่พอขากลับเป็นช่วงเลิกงานพอดีคนเลยเยอะนิดนึง
    แต่พอดีตอนที่ผมขึ้นเป็นต้นสายไงเลยพอมีที่นั่งเหลืออยู่บ้าง รถที่ผมขึ้นเป็นรถมินิบัสแบบแอร์กี่ครับ(รถกระป๋อง) พี่ชายผมเดินไปหาที่นั่ง
    ซึ่งเหลืออยู่ที่เดียวคือที่นั่งแถวหลังสุดของรถ ผมเองก็สเต็ปเดิมยืนครับ ผมยืนอยู่ข้างๆประตูเพราะรู้สึกว่าแถวนั้นลมจะเย็นสุด....
    คือผมร้อน(ฮา) เท่าที่ผมสังเกตที่นั่งของพี่ชายผมจะแปลกกว่าชาวบ้านเค้านิดนึงครับ คือจะสูงกว่าที่นั่งปกติประมาณครึ่งตัว
    ถ้านึกไม่ออกให้นึกถึงสแตนด์เชียร์ครับเหมือนเลย ไม่มีพนักพิง มีแค่เบาะหนังเล็กๆพอนั่งได้ที่สำคัญมันอยู่หลังประตูรถพอดิบพอดี
    ถึงจะมีราวจับทางลงเหมือนรถโดยสารปกติก็เถอะแต่มันไม่ใช่สิ่งที่จะช่วยกั้นพี่ชายผมไม่ให้ปลิวลงรถไปได้เลย ถ้ารถเบรกแรงๆนี่คือไป
    ทั้งตัวไม่ต้องหาที่ยึดเกาะใดๆทั้งสิน(เพราะไม่มี ฮา)

     

    ผมหยิบหนังสือการ์ตูนขึ้นมาอ่านฆ่าเวลาขณะรอรถออก และเมื่อผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ๆผม ผมก็รู้สึกได้ถึงความทะมึน
    ของบรรยากาศในรถเรียกได้ว่าเปลี่ยนไปทันทีที่ผมรู้ว่ามีเธอยู่บนรถครับ เธอไม่ใช่ใครอื่น กระเป๋ารถเมล์นั้นเอง ไม่รู้ว่าเมื่อเช้าเธอทาน
    น้ำตาลมาเป็นอาหารเช้ารึเปล่า ดุมากกก~ เห็นอะไรเธอสามารถหยิบมาเป็นประเด็นให้เธอ
    ด่าได้หมด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามในโลกนี้
    มดโดนน้ำตาลทับตาย ปลาขาดออกซิเจนเพราะขี้เกียจกายใจ อะไรก็แล้วแต่แม่นางสามารถวิจารณ์ได้ทั้งสิ้น เป็นมนุษย์ที่มีความ
    สามารถในการพูดสูงจริงๆ

     

    พอรถเริ่มออกตัวเท่านั้นแหละครับความบรรลัยก็เริ่มเกิดกับพี่ชายของผม ยังจำกันได้รึเปล่าครับว่าที่นั่งของพี่ชายผมเป็นที่วีไอพี
    ไรที่ยึดเกาะพร้อมจะพุ่งออกจากประตูรถได้ทุกเมื่อ  สิ่งที่ผมคิดมันเป็นจริงอย่างไม่น่าเชื่อเพราะ คุณพี่โชเฟอร์ นี่
    ตีนผีเรียกทวดกันเลย
    ทีเดียวเหยียบคันเร่งมิดปาดซ้ายทีคนทั้งคันก็เทไปทางซ้าย ปาดขวาผู้โดยสารก็กระเด็นกันไปทางขวา และที่เด็ดสุดคือตอนเบรกครับ
    ด้วยความที่รถวิ่งค่อนข้างเร็ว ระยะเบรกส่วนใหญ่ก็กระชั้นชิดเสียด้วย วิธีการเบรกของลุงแกก็คือเหยียบมิด ทำเอาผู้โดนสารหลายคน
    หน้าพุ่งชนพนักพิงเบาะหน้าเลยล่ะ ขนาดคนมีอะไรกั้นนะนั่นแล้วพี่ชายผมล่ะ คิดได้ดังนั้นผมเลยหันไปมองพี่ชายบนเบาะวีไอพี...
    บอกเลยครับว่าสงสาร(แต่แอบหัวเราะ ฮา~) นั่งตัวเกร็งตะกายหาที่เกาะกันแทบไม่ทันล่ะคุณผู้ชม ไม่เกร็งก็ไม่ได้เพราะถ้านั่งแบบ
    สบายๆนี่ลอยลงไปซบถนนลาดยางแน่นอน ผมเองที่คิดว่ามือหนึบเท้าหนึบเป็นตีนตุ๊กแกยังยอม ถอยไปหาที่นั่งไม่อย่างนั้นชีวิตผมคงไม่
    ปลอดภัยเป็นแน่ คิดไปคิดมาน่าเอาลุงแกไปขับรถวิบากในสวนสนุกอะไรทำนองนั้นนะครับ คงจะหวาดเสียวกันน่าดู

     

    ผมกับพี่ชายทนนั่งรถอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วก็ถึงที่หมาย สองพี่น้องเดินสะโหลสะเหลหอบสัมภารกไปหาของใส่กระเพาะ
    พี่ชายของผมปกติแล้วไม่ค่อยเมารถเมาเรือนะแต่ครั้งนี้ดูสภาพแกคนไม่ไหวจริงๆถือว่าเป็นมุมที่ผมไม่เคยเห็นก็แล้วกัน(ฮา~)
    ทั้งหมดที่ผมเล่ามามันก็เป็นที่มาของประโยคแรกของบทความนี่แหละครับ ผมเขียนมันให้พี่ชายผมอ่านตอนอยู่บนเรือ
    เพราะถ้าพูดไปมีหวังคนขับเรือที่อยู่ห่างกันไม่เกินหนึ่งฟุตกระโดดถีบยอดหน้าตกคลองแสนแสบเป็นแน่ ฮ่าๆๆ

     

    ===================================================================================

     

    ขอบคุณนะครับที่เข้ามาอ่าน บทความของคนติดบ้านที่นานๆจะออกไปเผชิญโลก(เผชิญโชค)อย่างผม

     

    บางคนอาจจะมองว่ามันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะว่าคุณเจอกับมันทุกวัน

     

    แต่สำหรับคนที่ไม่เคยเจอบอกได้เลยว่าเป็นประสบการณ์ที่ ทั้งมัน ทั้งมึน หลากความรู้สึกมากๆครับ รวมๆแล้วผมสนุกไปกับมันนะ

     

    ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิต และผมกับพี่ชายกับสัญญากันเลยว่าครั้งหน้าจะไม่ลองดีกับการซิ่งท้านรกแบบนี้อีกแล้ว ฮ่าๆๆๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×