คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่เจ็ด : สนทนาตามประสาพี่น้อง
เป็นมารดาของทรราชมิใช่เรื่องง่าย
แต่งโดย เดือนสีนวล
*
ตอนที่เจ็ด : สนทนาตามประสาพี่น้อง
*
ยังไม่ตรวจคำผิด
ยังไม่ตรวจคำผิด
ยังไม่ตรวจคำผิด
ชาติก่อนฟ่านจื่อเถิงเก็บเรื่องที่ตนตั้งครรภ์นับเจ็ดเดือนไว้เป็นความลับ เพราะเกรงว่าฮูหยินรองจะบังคับให้นางดื่มน้ำแกงทำลายบุตร ทว่าท้ายที่สุดด้วยแรงหึงหวงของสตรี ฉีซู่จิงผู้เป็นฮูหยินรองได้ผลักฟ่านจื่อเถิงตกบ่อน้ำ ครรภ์เจ็ดเดือนมิได้ใหญ่โตเพราะเป็นการตั้งครรภ์ครั้งแรก เหตุการณ์ที่บ่าวอุ่นเตียงผู้นี้จมน้ำทำให้ทารกในครรภ์เสียชีวิตทันที เสวี่ยหรงซวนทราบภายหลังเข้า จึงโกรธฮูหยินรองเป็นอย่างมาก เขาย่อมคิดว่าเด็กที่ตายไปเป็นบุตรของตน ยิ่งมาทราบทีหลังว่าทารกที่ตายตกเป็นเพศชาย เสนาบดีเสวี่ยจึงผิดใจกับฉีซู่จิงทันที
ครานั้นฟ่านจื่อเถิงคงจะเสียใจที่บุตรของตนไม่มีโอกาสลืมตามองโลก อีกใจหนึ่งคงรู้สึกโล่ง เพราะเสนาบดีเสวี่ยและเสวี่ยหยุนเชิงมีใบหน้าต่างกันยิ่งนัก หากบุตรในท้องมีหน้าตาเหมือนคุณชายใหญ่ ก็อาจถูกจับได้ว่านางสวมหมวกเขียวให้สามี
สตรีสองจิตสองใจ
“พี่ชายของเจ้า ฟ่านซีหยางใช่หรือไม่”
“จะ..เจ้าค่ะ” จื่อเถิงแทบไร้เรี่ยวแรงที่จะขานรับ
นางทราบมาว่าพี่ชายของฟ่านจื่อเถิงนั้นเป็นคนซื่อสัตย์ยิ่งนัก ทำงานแบกหามข้าวสาร ที่สำคัญยังอ่านออกเขียนได้ คนเช่นนี้เหมาะสมที่จะใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากินของหนิงเซียนได้
“นำตั๋วเงินนี้ไปให้เขา และบอกพี่ชายเจ้าว่า…” เสวี่ยหนิงเซียนเอ่ยบอกสตรีงดงามตรงหน้าเสียงเบา ฟ่านจื่อเถิงเบิกตากว้างกับสิ่งที่ได้ยิน นี่มันการค้าประเภทไหนกัน? จื่อเถิงถือตั๋วเงินมูลค่าสามพันตำลึงทองด้วยแรงสั่นเทา บ่าวอุ่นเตียงเช่นนางหรือจะเคยถือตั๋วเงินล้ำค่าเช่นนี้มาก่อน
เสวี่ยหนิงเซียนไม่กลัวว่าฟ่านจื่อเถิงจะนำเงินของตนไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว ต่อให้อยากทำแค่ไหน จื่อเถิงก็ไร้ความสามารถที่จะทำได้ หากยังอยากมีเงาหัวอยู่ อย่างไรก็ต้องทำตามคำกล่าวของหนิงเซียน
ตั๋วเงินสามพันตำลึงทอง คือเบี้ยหวัดนับห้าปีที่นางไม่เคยแตะต้องมาก่อน สิ่งที่เสนาบดีเสวี่ยได้ยินในห้องโถงหลัก ก็เป็นเพียงหนึ่งคำโป้ปดของตัวหนิงเซียนเท่านั้น
“นำสารนี้ไปให้พี่ชายของเจ้าด้วย เข้าใจที่ข้าสั่งใช่หรือไม่”
“..มะ…หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”
เสวี่ยหนิงเซียนมองกระดาษปึกหนาที่อยู่ในมือฟ่านจื่อเถิง ทุกใบมีรอยหมึกดำขนาดใหญ่ปิดทับไว้ มันคือจดหมายที่บิดาส่งให้นางนับห้าปี หากไม่นับจดหมายฉบับล่าสุด ที่ผ่านมาเสวี่ยหนิงเซียนไม่เคยทิ้งกระดาษเหล่านั้น ในด้านที่ยังไม่ถูกใช้งาน นางได้เขียนสิ่งที่ฟ่านซีหยางจะต้องทำ ส่วนด้านที่มีสานจากบิดา ตนก็ได้ทำการใช้หมึกวาดทับ
เพียงเท่านี้ก็จะได้กระดาษที่ไม่จำเป็นต้องขอจากวังหลวง และไม่จำเป็นต้องออกไปซื้อกับโรงกระดาษนอกวังให้เสียเงินทอง
การมาเยี่ยมเยียนบ้านเดิมครั้งแรกของเสวี่ยหนิงเซียน อาจทำให้บิดาและพระสวามีผิดใจกัน เมิ่งไทเฮาทราบว่าสกุลเสวี่ยปฏิบัติต่อพระสนมอย่างไม่เหมาะสม และที่สำคัญ นางจะได้ทุนก้อนใหญ่ไว้สำหรับเลี้ยงดูเจ้าลูกเต่าและเซียงเอ๋อร์
ยิงเกาทัณฑ์หนึ่งครั้งได้นกถึงสามตน ยายเฒ่าเฉิงจะต้องภูมิใจให้กับลูกศิษย์เช่นนาง
“เซียนเอ๋อร์”
เสวี่ยหนิงเซียนก้าวขาออกจากเรือนฟ่านจื่อเถิงได้ไม่ทันไร คุณชายใหญ่สกุลเสวี่ยก็เรียกหานางทันที นางแสร้งยิ้มโง่งมเฉกเช่นที่ตนเคยเป็น คนแซ่เสวี่ยล้วนเข้าใจว่านางโง่เขลาเบาปัญญา ไม่เคยเรียกร้องสิ่งใด ไม่เคยต่อต้านใคร ที่ผ่านมาชีวิตของเสวี่ยหนิงเซียนจึงเป็นเหมือนตัวตลกประจำตระกูล
“พี่ชายใหญ่ ไม่พบกันนานเลยนะเจ้าคะ” นางกล่าวขณะลอบสำรวจพี่ชายของตน
ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา กลิ่นสุราหึ่งจนหนิงเซียนแทบจะอาเจียนออกมา นี่ขนาดฝังตัวอยู่ในจวนไม่ออกไปเที่ยวเล่นที่ไหน ยังมีสภาพเช่นนี้ได้ นับว่าพี่ชายใหญ่ช่างมีความสามารถ
“น้องหญิง หากเจ้าไม่ว่าอะไร พี่ขอยืมสมบัติของเจ้าก่อนได้หรือไม่” เสวี่ยหยุนเชิงเอ่ยโดยไร้ยางอาย เมื่อคราหนิงเซียนถวายตัวเข้าวังหลวง สินเดิมของนางลากยาวนับสิบหีบ มิใช่ว่าเสนาบดีโปรดปราณบุตรสาว ตนเพียงต้องการเอาหน้า ให้ชาวเมืองเข้าใจว่าสกุลเสวี่ยร่ำรวยมั่งมียิ่งกว่าสกุลใดก็เท่านั้น
หนิงเซียนยิ้มอ่อนโยน ยิ่งนุ่มนวลเท่าไหร่โทสะก็ยิ่งมีมากเท่านั้น ห้าปีที่ผ่านมานางไม่เคยแตะต้องสินเดิมของตน และที่เห็นหีบทองของนางลากยาวเช่นนั้น ด้านล่างถูกอัดด้วยหินไร้ค่า ทองที่โปรยอยู่ด้านบนนับสิบหีบมีค่าไม่ถึงหนึ่งหมื่นตำลึงทองเสียด้วยซ้ำ ในวันนั้นเสวี่ยหนิงเซียนโมโหบิดาของตนยิ่งนัก ที่ผ่านมานางจึงไม่เคยแตะต้องสินเดิม หากไม่จำเป็นก็จะไม่ใช้ อดออมได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี
ยังจะมีหน้ามาขอนางอีกงั้นรึ ชั่วชีวิตนับยี่สิบห้าหนาวเคยทำหน้าที่พี่ชายให้นางสักครั้งหรือไม่ แน่นอนว่าไม่เคย
“พี่ชายใหญ่ น้องเกรงว่าคงจะไม่ได้ หากท่านพ่อรู้…”
“เจ้าก็อย่าบอกท่านพ่อสิ”
ไอ้บุรุษไร้ยางอาย
“ทุกเดือนนางกำนัลของเมิ่งไทเฮาจะตรวจสอบสินเดิมของนางสนมทุกคนเจ้าค่ะ หากข้าให้ท่านพี่ยืม ก็เกรงว่าเมิ่งไทเฮาอาจไม่พอพระทัย พี่ชายใหญ่อาจเดือดร้อนได้” เสวี่ยหนิงเซียนโกหกหน้าตาย
“…” เสวี่ยหยุนเชิงกล่าวไม่ออก เมื่อน้องสาวกล่าวถึงเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์เช่นนี้ ตนก็ไม่มีอาจหาเหตุผลใดมาโต้แย้งได้
แต่หากเขาไม่ได้เงินจากน้องสาว เจ้าหนี้อาจบุกมาถึงจวนสกุลเสวี่ย บิดารู้เข้าเขาคงถูกตัดขาดทันที
“น้องหญิง อีกหลายสัปดาห์ถึงจะใกล้สิ้นเดือน พี่ขอยืมเจ้าสักประเดี๋ยว ไม่เกินเจ็ดวันข้าจะนำเงินทั้งหมดมาคืนเจ้าอย่างแน่นอน”
เศษสวะอย่างเจ้าหรือจะมีปัญญาคืน นางผ่อนปรนลมหายใจเบาๆ พยายามควบคุมลมหายใจของตนไม่ให้เกิดความโมโหขึ้นมา
“หยุนเชิง เจ้าหยุดคาดคั้นพระสนมเดี๋ยวนี้!” มู่เฟิ่งเซียนกล่าวก่อนจะปรี่ตัวเข้าหาบุตรทั้งสอง
เสวี่ยหนิงเซียนเหลือบมองมารดาของตน แม้ใบหน้าจะประดับด้วยรอยยิ้มโง่งม ทว่านัยน์ตากลับเรียบเฉย นางทราบเจตนารมณ์ของมารดาเป็นอย่างดี การกระทำของเสวี่ยหยุนเชิงที่ปฏิบัติต่อนางนั้นไม่เหมาะสม หากคนนอกทราบเข้าแล้วเรื่องไปถึงหูเชื้อพระวงศ์ คนที่จะลำบากมากที่สุดก็คือเสนาบดีเสวี่ย
ทำทุกอย่างเพื่อบุรุษไร้ใจและเห็นแก่ตัว ยอมแม้กระทั่งโยนทิ้งบุตรีเช่นนางเข้าดงงูพิษ
นางรังเกียจสตรีแซ่มู่ยิ่งนัก
ถึงกระนั้นใบหน้าของเสวี่ยหนิงเซียนก็ยังประดับรอยยิ้มนุ่มนวลอยู่เช่นเคย
“ท่านแม่ ข้าเพียงจะยืมเงินไม่เท่าไหร่จากน้องหญิงก็เท่านั้น” หยุนเชิงกล่าวด้วยความหัวเสีย
“หยุนเชิง เจ้าไม่รู้ตัวเลยหรือว่าควรปฏิบัติต่อเชื้อพระวงศ์อย่างไร” ฮูหยินมู่เอ่ยด้วยสีหน้าตึงเครียด ก่อนจะรีบคารวะบุตรีที่มีศักดิ์เป็นถึงพระสนม “ขออภัยพระสนม บุตรชายของหม่อมฉันมิได้ความยิ่งนัก”
“ท่านแม่พูดตามปกติกับข้าเถิด พระสนมอะไรกัน” นางยิ้มรับ
ฮูหยินมู่ไม่ตอบอะไร ตนเพียงรีบพาบุตรชายกลับเรือนก็เท่านั้น ลับหลังมารดาและพี่ชายรอยยิ้มของเสวี่ยหนิงเซียนค่อยๆ ลดลงจนจางหาย เหลือเพียงใบหน้าเรียบเฉย
หึ หากเคารพธรรมเนียมจริง เหตุใดช่วงที่เสวี่ยหนิงเซียนเดินทางมาถึงหน้าจวน จึงไม่ทักท้วงสามีของตนรวมถึงคนอื่นๆ ในครอบครัวให้มาต้อนรับนางเลยเล่า
มารดาเลือกที่จะทอดทิ้งบุตรสาวแท้ๆ ส่วนพี่ชายก็ไม่เคยทำหน้าที่ของตนสักครั้ง รอยแดงข้างแก้มนางนั่นเด่นชัดเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ฟ่านจื่อเถิงยังมองอย่างกระอักกระอ่วน แต่มารดาและพี่ชายกลับเมินเฉย ทำเป็นมองไม่เห็นราวกับคนตาบอด เช่นนั้นหากนางจะไม่นับว่าคนทั้งสองเป็นคนในครอบครัว ก็มิใช่ความผิดของเสวี่ยหนิงเซียน
“ตายจริง ไม่พบพี่หญิงใหญ่ตั้งนาน งดงามกว่าห้าปีที่แล้วยิ่งนัก น้องหญิงสี่คิดเหมือนข้าหรือไม่” เสวี่ยหนิงเหมยเอ่ยเสียงค่อนขอด
“ข้าก็คิดเหมือนพี่หญิงสามเจ้าค่ะ” สองพี่น้องแซ่เสวี่ยหัวเราะคิกคัก คนหนึ่งผลัดรับ คนหนึ่งผลักโยน เข้ากันได้เป็นอย่างดี “ว่าแต่พี่หญิงใหญ่ใช้แป้งผัดแบบใดหรือเจ้าคะ ถึงได้แดงยิ่งกว่าก้นลิงเช่นนี้” เสวี่ยหนิงเหมยเอ่นพลางชี้มาที่รอยแดงข้างแก้มพี่หญิงใหญ่ของตน
เสวี่ยหนิงเซียนมีรูปโฉมดาษดื่น สามารถหาใบหน้าเช่นนี้ได้ทั่วไป ต่างกับหนิงเหมยและหนิงซินที่มีใบหน้างดงามดั่งดรุณีแรกแย้ม ที่ผ่านมานางจึงมักจะได้ยินวาจาเหน็บแนมของน้องหญิงสามอยู่บ่อยครั้ง ยายเฒ่าเฉิงเคยกล่าวไว้ว่าใบหน้าของนางสามารถแต่งเสริมจนกลายเป็นบุปผางามล้ำเลิศได้ ทั้งยังสอนวิธีประทินโฉมให้งดงาม ตั้งแต่กลับชาติมาเกิดนางก็ยังไม่ได้คิดจะประทินผิวหน้าของตนให้มีรูปโฉมโดดเด่น เนื่องจากตนไม่เล็งเห็นผลประโยชน์ที่จะได้รับจากความงามเลยแม้แต่น้อย
มีแต่จะถูกนางสนมอื่นริษยา
สำหรับเสวี่ยหนิงเซียน คนงามนั้นคือคนที่น่าสงสารที่สุดแล้ว
ที่ผ่านมาเสวี่ยหนิงเซียนไม่เคยเก็บคำพูดของสองพี่น้องไปคิดให้หนักศีรษะ ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา แต่ด้วยความที่นางกำลังตั้งครรภ์ อารมณ์จึงแปรปรวนได้ง่าย ยามได้ยินวาจาไม่เสนาะหู ย่อมบังเกิดโทสะขึ้นภายใน
ยิ่งโมโหเท่าไหร่ ใบหน้าของเสวี่ยหนิงเซียนก็ยิ่งปรากฏรอยยิ้มนุ่มนวลอ่อนหวาน “น้องหญิงทั้งสองมีอารมณ์ขันยิ่งนัก หากเทียบกับพวกเจ้าข้าไม่ถือว่างดงามหรอก ว่าแต่…พี่กลับมาเยี่ยมบ้านเดิมยังไม่เห็นน้องหญิงรองเลย นางไปไหนรึ” เสวี่ยหนิงเซียนแย้มยิ้มอย่างโง่งม ขัดกับเสวี่ยหนิงเหมยที่ได้ยินคำถาม ใบหน้างามก็เต็มไปด้วยความเดือดดาลทันที
“พะ…พี่หญิงใหญ่ไม่ได้ยินข่าวหรือเจ้าคะ” หนิงซินเอ่ยเสียงสั่นพลางลอบสำรวจพี่หญิงสามของตน เมื่อเห็นว่าพี่สาวคนสนิทไม่เอ่ยประโยคใดออกมา ตนจึงกล่าวต่อ “เดือนที่แล้วพี่หญิงรองตบแต่งเป็นฮูหยินเอกคุณชายเจิ้งเจ้าค่ะ พี่หญิงใหญ่น่าจะรู้ว่า…” อดีตคุณชายเจิ้งเป็นคู่หมั้นเสวี่ยหนิงเหมย หนิงเซียนทราบแก่ใจและรู้ข่าวตั้งนานแล้ว
“เจ้าหยุดพูดได้แล้ว!” เสวี่ยหนิงเหมยตบใบหน้าน้องสาวที่คลานตามตนมาด้วยความโมโห หนิงซินกรีดร้องอย่างตกใจ ที่ผ่านมานางไม่เคยถูกพี่สาวตบหน้าเช่นนี้
“ข้าจะฟ้องท่านแม่!”
“เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวหรือ เมื่อครู่เจ้ากล้าดียังไงถึงได้เอ่ยถึงเสวี่ยหนิงฮวาต่อหน้าข้า!”
“กรี๊ด พี่หญิงสาม อย่าตีข้านะ” หนิงซินร้องไห้ด้วยความเจ็บ เพราะหนิงเหมยมีแรงเยอะกว่า ใบหน้าดรุณีแรกแย้มจึงเต็มไปด้วยรอยเล็บและรอยช้ำ “พี่หญิงสาม ข้าไม่ใช่คนเริ่มก่อนนะเจ้าคะ พี่หญิงใหญ่ต่างหากที่เอ่ยถาม” ไม่ว่าเปล่าเสวี่ยหนิงซินยังชี้ไปที่นาง
“ก็ข้าไม่รู้หนิ” เสวี่ยหนิงเซียนตีหน้าซื่อ ซึ่งน้องหญิงสามก็เชื่อนางจริงๆ ที่ผ่านมาสิบหกปีก่อนถวายตัวเข้าวังหนิงเซียนคือตัวตลกและตัวโง่งมประจำตระกูล เหล่าบรรดาพี่น้องต่างเข้าใจว่านางเป็นคนไร้เล่ห์เหลี่ยม
“เจ้าคิดจะให้ข้าตีพระสนมแล้วต้องโทษร้ายแรงหรืออย่างไร!” เสวี่ยหนิงเหมยตะคอกก่อนจะจิกเรือนผมน้องสี่ของตน
เดิมทีแล้วสตรีผู้นี้เป็นคนโมโหง่าย ทั้งยังอารมณ์ร้าย เมื่อก่อนมักจะตบตีเสวี่ยหนิงฮวาอยู่บ่อยครั้ง พอพี่สาวเข้าพิธีวิวาห์กับคู่หมั้นตน หนึ่งเดือนที่ผ่านมาคงอดทนอดกลั้นโทสะไว้ไม่น้อย เมื่อได้ยินน้องสาวของตนเอ่ยถึงพี่หญิงรอง สติของหนิงเหมยจึงขาดผึงทันที
“กรี๊ด ท่านแม่ช่วยข้าด้วย”
“นังน้องสารเลว เจ้าคิดจะให้ข้าต้องโทษประทุษร้ายเชื้อพระวงศ์ใช่หรือไม่!”
เสวี่ยหนิงเซียนยิ้มบางก่อนจะหันตัวกลับ ขันทีน้อยและนางกำนัลที่อยู่ด้านนอกได้ยินวาจาผรุสวาทของสองพี่น้อง พวกเขาจึงมีใบหน้ามืดคล้ำ อะไรคือการกล่าวว่าประทุษร้ายเชื้อพระวงศ์กัน
แต่ละวันของพี่น้องสกุลเสวี่ยก็เป็นเช่นนี้
ติดตามตอนต่อไป
_Talk With Me_
สรุปความสัมพันธ์สกุลเดิมของนางเอกนะคะ
1)เสวี่ยหรงซวน (เสนาบดีกรมยุติธรรมขั้นสอง) เป็นหัวหน้าสกุลเสวี่ย
2)มู่เฟิ่งเซียน , ฮูหยินมู่ (ฮูหยินเอก) มีลูกสอนคน คือเสวี่ยหยุนเชิง และเสวี่ยหนิงเซียน
3)ฉีซู่จิง (ฮูหยินรอง) มีลูกสามคนคือ เสวี่ยหนิงฮวา เสวี่ยหนิงเหมย เสวี่ยหนิงซิน
4)อนุของเสวี่ยหรงซวนอีกสองคน โดยหนึ่งในนั้นมีบุตรชาย เป็นคุณชายเล็กของสกุลเสวี่ย
5)ฟ่านจื่อเถิง บ่าวอุ่นเตียงเสวี่ยหรงซวน
ความคิดเห็น