คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่หก : สกุลเสวี่ยรักใคร่ปรองดอง
เป็นมารดาของทรราชมิใช่เรื่องง่าย
แต่งโดย เดือนสีนวล
*
ตอนที่หก : สกุลเสวี่ยรักใคร่ปรองดอง
*
ยังไม่ตรวจคำผิด
ยังไม่ตรวจคำผิด
ยังไม่ตรวจคำผิด
ที่ห้องโถงหลักมีเสนาบดีเสวี่ย ฮูหยินเอก ฮูหยินรอง และอนุอีกสองคน เสวี่ยหนิงเซียนเหลือบมองมารดาของตน ก่อนจะหันหน้าหนี ข้างกายฮูหยินเอกมีคุณชายใหญ่เสวี่ยหยุนเชิง เศษสวะประจำสกุลนาง ส่วนข้างกายฮูหยินรองมีคุณหนูสามและคุณหนูสี่ที่ยังไม่ออกเรือน และสุดท้ายคืออนุถังที่มีบุตรชายอันเป็นความหวังของจวนสกุลเสวี่ยอย่างคุณชายเล็ก
“พระสนมกลับมาแล้วหรือเพคะ” มูเฟิ่งเซียน หรือฮูหยินมู่เอ่ยเสียงอ่อนโยน หนิงเซียนเพียงยิ้มบางเบาก่อนจะเบี่ยงกายหนีสัมผัสมารดา “ลูกนั่งตรงนี้ได้เจ้าค่ะ” นางกล่าวก่อนจะยอบกายลงตรงข้ามคนในครอบครัว
มู่เฟิ่งเซียนนั้นเป็นมารดาที่ไม่ได้เรื่อง ยามนางยังไม่ถวายตัวเข้าวังหลวง เสวี่ยหนิงเซียนถูกพี่น้องกลั่นแกล้ง ฮูหยินมู่ไม่แม้แต่จะดุด่าต่อว่าผู้ที่กระทำบุตรีของตน เนื่องด้วยความขลาดเขลา หากนางติเตียนบุตรของฮูหยินรอง ก็กลัวว่าสามีที่ตนปักใจรักจะไม่พอใจเข้า ความเป็นอยู่ของสองพี่น้องจึงค่อนข้างลำบากไม่น้อย
ในชีวิตที่แล้วนางรักมารดาของตนเป็นอย่างมาก เพราะเข้าใจหัวอกของการเป็นแม่ ยามโอรสขึ้นครองราชบัลลังก์ เสวี่ยหนิงเซียนจึงตั้งนามพระตำหนักใหม่ว่า พระตำหนักเฟิ่งเซียน ตามชื่อมารดาของตน ท้ายที่สุดจึงมาคิดได้ทีหลังว่ามารดาเป็นแค่คนเห็นแก่ตัว รักสามีและตัวเองมากกว่าบุตรในไส้
ตามธรรมเนียมแล้ว พระสนมกลับมาเยี่ยมเยียนบ้านเดิม คนในจวนจักต้องออกมาต้อนรับและคารวะพระสนมสามครั้ง ขันทีน้อยเห็นท่าทีคนบ้านเดิมที่ปฏิบัติพระสนม ตนก็ได้เก็บความน้อยเนื้อต่ำใจนี้ไว้ เพราะอย่างนี้ห้าปีที่ผ่านมาพระสนมจึงไม่เคยกลับมาเยี่ยมเยียน ในที่สุดขันทีน้อยก็เข้าใจเสียที
เสวี่ยหนิงเซียนลอบสำรวจขันทีน้อยข้างหลังตน ชีวิตก่อนขันทีผู้นี้จะตายในอีกไม่กี่เดือน เหตุเกิดจากไปขัดแข้งขัดขากับจ้านกงกงเข้า ขันทีน้อยผู้นี้นับว่าใช้ได้ เขามีความซื่อสัตย์ สีหน้ายังอ่านออกได้ง่าย อีกทั้งภายหลังหนิงเซียนมารู้ทีหลังว่าขันน้อยประจำตำหนักตนนั้นเป็นคนของเมิ่งไทเฮา พระมารดาแท้ๆ ขององค์จักรพรรดิซ่งจินเหยียน คาดว่าสตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นคงส่งคนของตนเข้าตำหนักนางสนมทุกคนเพื่อจับตาดู
“ฉิงชิว”
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะพระสนม” ฉิงชิวขานรับทันทีที่หนิงเซียนเอ่ยชื่อ นางกำนัลสาวยื่นหีบของสำหรับมอบให้บ้านเดิม
“ท่านพ่อ ท่านแม่ หนิงเซียนไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณพวกท่านได้อย่างไร จึงได้นำสมบัติที่มีอยู่แทบทั้งหมดมามอบให้พวกท่านเพื่อทดแทนบุญคุณเท่าที่ลูกจะทำได้”
เสวี่ยหรงซวนรับหีบและเปิดดู เมื่อเห็นว่าเป็นเครื่องประดับราคาต่ำ สีหน้าของเสนาบดีเสวี่ยจึงมืดคล้ำ
นี่คือสมบัติที่นางมีอยู่แทบทั้งหมดอย่างนั้นหรือ เป็นถึงพระสนม แม้จะเป็นเพียงขั้นจิ่วผินก็ควรจะมีสมบัติมากกว่านี้ นั่นย่อมหมายความว่าบุตรีของตนไม่เป็นที่โปรดปราณของโอรสสวรรค์
“พวกเจ้าออกไปให้หมด” เสวี่ยหรงซวนเอ่ยปากไล่คนในครอบครัว หนิงเซียนพยักหน้าให้นางกำนัลและขันทีของตน ภายในห้องโถงหลักจึงเหลือเพียงบิดาและบุตรี
“ท่านพ่อ ลูกขออภัยที่เพิ่งจะกลับมาเยี่ยมเยียนบ้านเดิม” เสวี่ยหนิงเซียนแสร้งร่ำไห้ พริบตาเดียวดวงหน้าก็เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา การแสดงที่ตนร่ำเรียนมาจากยายเฒ่าเฉิงนับว่าเป็นศาสตร์ชั้นสูงไม่น้อย อีกทั้งยามนี้ตนกำลังตั้งครรภ์ อารมณ์ของหนิงเซียนอ่อนไหวง่ายอยู่แล้ว แค่การร้องไห้จึงมิใช่เรื่องยากลำบากสำหรับนาง
เสวี่ยหรงซวนขมวดคิ้ว เมื่อครู่เขากำลังจะตำหนิบุตรสาวที่ไม่แม้แต่จะตอบกลับจดหมาย ไม่คาดคิดว่านางจะร้องไห้ออกมาเช่นนี้
“ลูกกลับบ้านเดิมไม่ได้เจ้าค่ะ เพราะไม่มีสมบัติติดตัว หากจะเยี่ยมเยียนบ้านเดิมก็ต้องนำของมามอบให้ หนิงเซียนเลยเก็บเล็กผสมน้อย เมื่อเห็นว่าสมบัติที่มีอยู่น่าจะนำมามอบให้บ้านเดิมได้อย่างเหมาะสม จึงได้รีบมาเยี่ยมเยียนท่านพ่อ”
“จะ…เจ้าหยุดร้องได้แล้ว” เสวี่ยหรงซวนทักท้วงเช่นนี้มิใช่ว่าตนเป็นห่วงบุตรสาว แต่เนื่องจากเรื่องราวที่เขาได้ยินนั้นทำเอาเสนาบดีเสวี่ยตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
ต้องอดออมถึงห้าปี ถึงจะสามารถนำมาเป็นของมอบบ้านเดิมได้ ความเป็นอยู่ของบุตรีตนนั้นย่ำแย่เพียงใดกัน เสวี่ยหรงซวนรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง ฮ่องเต้ไม่โปรดปราณบุตรสาวตน เขายังพอเข้าใจได้ แต่ตนก็จำได้ว่านางสนมขั้นจิ่วผินจะได้รับเบี้ยหวัดเดือนละห้าสิบตำลึงทอง ของมอบบ้านเดิมต้องมีคุณค่าอย่างน้อยยี่สิบตำลึงทอง เช่นนั้นย่อมหมายความว่าบุตรีของตนได้รับเบี้ยหวัดน้อยกว่านางสนมอื่น จึงได้เยี่ยมเยียนบ้านเดิมล่าช้าถึงห้าปี
ฮ่องเต้ทรงกระทำเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากการตบหน้าเสนาบดีเสวี่ย
หัวหน้าจวนอย่างเสวี่ยหรงซวนพยายามควบคุมความโกรธ เขากล่าวอย่างกลัดกลุ้มกับบุตรสาวที่ตนไม่เคยสนใจ “แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่ตอบจดหมายข้า”
“…จะ..เจ้าคะ ท่านพ่อส่งจดหมายมาหาลูกด้วยหรือ ห้าปีที่ผ่านมาลูกนึกว่าท่านพ่อตัดขาดข้าเสียอีก” เสวี่ยหนิงเซียนเช็ดน้ำตา แสร้งทำเป็นตกใจ
เสวี่ยหรงซวนได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเสนาบดีเสวี่ยจึงยิ่งมืดครึ้ม
จดหมาดหกสิบฉบับนับห้าปีที่เขาเขียนถึงบุตรี มันถูกดักสาร และยังส่งไม่ถึงมือเสวี่ยหนิงเซียนเสียด้วยซ้ำ
เมื่อสร้างความร้าวฉานระหว่างพระสวามีและบิดาเสร็จ หนิงเซียนจึงกล่าวบอกบิดาว่าตนต้องการเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว
เสนาบดีเสวี่ยรั้งให้บุตรีอยู่ต่อสักพัก เขาร่ายประโยคมากมาย ให้บุตรีช่วงชิงความโปรดปราณจากฮ่องเต้มากกว่านี้ สั่งสอนหนิงเซียนว่าควรกระทำอย่างไรเมื่ออยู่ในวังหลัง ทุกคำกล่าวล้วนแฝงความต้องการไว้มากมาย อยากได้ทั้งเส้นสาย อยากได้ทั้งอำนาจ
“เจ้าค่ะ หนิงเซียนจะทำตามคำสั่งของท่านพ่ออย่างเคร่งครัด” นางยอบกายคารวะบิดา ขณะที่ตนกำลังจะหันหลังกลับ ก็แสร้งทำเป็นฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “จริงสิท่านพ่อ ลูกได้ยินมาว่าท่านพ่อยังคงโปรดปราณบ่าวอุ่นเตียงผู้นั้นอยู่ หากหนิงเซียนสนทนากับนาง ก็อาจเรียนรู้วิธีช่วงชิงความโปรดปราณจากพระสวามีก็ได้นะเจ้าคะ”
“…” เสวี่ยหรงซวนกระแอมเสียงดัง “ข้าย่อมโปรดปราณฮูหยินมากที่สุด แต่ข้าก็ไม่ได้จะห้ามให้เจ้าสนทนากับเถิงเอ๋อร์หรอก” ไม่รู้ว่าฮูหยินที่กล่าวมาหมายถึงฮูหยินเอกหรือฮูหยินรอง แต่หนิงเซียนก็ไม่ประสงค์รู้ เพราะนางทราบอยู่แก่ใจดี
หนิงเซียนแย้มยิ้มอย่างคนโง่งม หลังเลื่อนประตูจนแนบสนิทตนจึงก้าวเท้าเข้าห้องน้ำ หยิบถุงหอมขึ้นมา ภายในมีสมุนไพรที่หาได้ทั่วไป นางจัดการนำใบผิงเล่อขึ้นมาถูกับฝ่ามือตน ก่อนจะหยิบสมุนไพรอีกสองชนิดมาขยี้รวมกัน กลิ่นเขียวฉุนไปทั่วห้องน้ำ เมื่อเสร็จสิ้นเสวี่ยหนิงเซียนึงนำสมุนไพรที่ขยี้มือเมื่อครู่ขึ้นมาทาแก้ม รอสักพักรอยช้ำก็โผล่ขึ้นมา
ถูใบผิงเล่อที่ฝ่ามือเพื่อป้องกันพิษเล็กๆ น้อยๆ ของสมุนไพรอีกสองชนิด ดอกยู่จินเมื่อถูกบดขยี้รวมกับใบจื้อจวี จะสร้างรอยแดงและรอยช้ำ แต่ไม่มีฤทธิ์ร้ายแรงอันใด ไม่เจ็บแสบ ไม่รู้สึกคัน นางรอให้กลิ่นฉุนภายในห้องน้ำหายหมดเกลี้ยง ตนถึงทำลายหลักฐานที่มีอยู่ด้วยการนำซากสมุนไพรที่ใช้แล้วลงโถ ราดด้วยน้ำก็ถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้น จวนเสนาบดีเสวี่ยนั่นร่ำรวยเพียงใดหนิงเซียนย่อมรู้ดี แม้แต่ในห้องน้ำยังมีคันฉ่องไว้ดูเงา
นางมองตนเองในกระจก แม้จะเห็นเลือนราง แต่ก็ดูเหมือนรอยฝ่ามือไม่น้อย ไม่จำเป็นต้องทำให้ตนเองเจ็บตัว ก็สามารถสร้างผลลัพธ์ได้เหมือนกัน
“คนที่ออกตัวแทนผู้อื่น ล้วนเป็นเครื่องมือชั้นยอด” ยายเฒ่าเฉิงกล่าวได้ตรงใจนางยิ่งนัก
เสวี่ยหนิงเซียนก้าวออกไปด้านหน้า ขันทีน้อยและนางกำนัลที่รออยู่ต่างนิ่งค้างด้วยความตกใจ “พระสนม…”
“พวกเจ้ารออยู่ข้างนอกเถิด อีกสักประเดี๋ยวข้าจะกลับวังหลวงแล้ว”
ขันทีน้องและนางกำนัลทั้งสี่ต่างมองหน้ากันด้วยความอึดอัด รอยช้ำข้างแก้มพระสนมนั้นเกิดจากอะไร พวกตนก็ไม่กล้าคิด แดงเถือกถึงเพียงนี้ เสนาบดีเสวี่ยถึงขั้นกล้าประทุษร้ายพระสนมขององค์จักรพรรดิเชียวหรือ
แน่นอนว่าบิดาของนางมิได้โง่เขลาเช่นนั้น สมัยที่ตนยังไม่ออกเรือนเสวี่ยหรงซวนก็เคยสั่งบ่าวให้โบยนางอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อนางถวายตัวเข้าวังหลวง มีตำแหน่งเป็นพระสนม เสนาบดีเสวี่ยย่อมไม่กล้าลงมือเฉกเช่นอดีตอย่างแน่นอน
นางต้องการซื้อใจขันทีน้อย คนผู้นี้ปากมากยิ่งนัก คาดว่าเมื่อกลับวังหลวงเรื่องทั้งหมดที่คนแซ่เสวี่ยกระทำต่อนางคงถูกรายงานเมิ่งไทเฮาทันที
เมิ่งไทเฮาให้ความสำคัญกับยศฐาบรรดาศักดิ์ เชื้อพระวงศ์คือผู้ที่อยู่จุดสูงสุด หากคนบ้านเดิมกล้าประทุษร้ายพระสนม นั่นย่อมไม่ต่างจากการทำร้ายเชื้อพระวงศ์ นางพอจะรู้อุปนิสัยเมิ่งไทเฮา จึงได้ใช้ขันทีน้อยเป็นเครื่องมือ
นางก้าวเท้าเข้าเรือนบ่าวอุ่นเตียงที่บิดากำลังโปรดปราณ ฟ่านจื่อเถิง เมื่อเจ็ดปีก่อนที่เสวี่ยหนิงเซียนจะเข้าพิธีปักปิ่น บิดาไปทำกิจธุระต่างแดน และกลับมาพร้อมบ่าวอุ่นเตียงหน้าตางดงามผู้หนึ่ง ฟ่านจื่อเถิงมีใบหน้าหยาดย้อย งดงามยิ่งกว่าฮูหยินรองที่บิดาหลงรัก แม้เวลาจะผ่านมาเจ็ดปีแล้ว เสวี่ยหรงซวนก็ยังลุ่มหลงในความงามของบ่าวอุ่นเตียงผู้นี้ แต่ด้วยความเกรงใจฮูหยินรอง ตนจึงมิได้แต่งตั้งให้นางเป็นอนุ
“คารวะพระสนม” ฟ่านจื่อเถิงทราบมาจากบ่าวรับใช้ว่าเสวี่ยหนิงเซียนต้องการสนทนากับตน นางจึงออกมาต้อนรับหน้าเรือน
หนิงเซียนแย้มยิ้มบางพลางปรี่ตัวเข้าประครองสตรีตรงหน้า “เจ้าลุกขึ้นเถิด ก้มนานเช่นนี้เดี๋ยวบุตรในครรภ์จะเป็นอันตรายได้”
“…!” ฟ่านจื่อเถิงหน้าซีดเผือด นางก้มหน้าต่ำพยายามเก็บสีหน้า “พระสนมทรงหยอกล้อหม่อมฉันเกินไปแล้วเพคะ”
“บิดาของเด็กในท้อง คือพี่ชายใหญ่ใช่หรือไม่”
เมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ ฟ่านจื่อเถิงก็รีบพาตัวเสวี่ยหนิงเซียนเข้าเรือนทันที ใบหน้างามซีดเผือด เหงื่อไคลมากมายผุดโผล่จนอาภรณ์เปียกโชก “พะ…พระสนม อย่าบอกนายท่านเลยนะเจ้าคะ”
โทษของหญิงสวมหมวกเขียวให้สามีนั้นเป็นอย่างไร สตรีทุกคนต่างรู้กันดี แม้จะมิได้เป็นภรรยาตามธรรมเนียม แต่ด้วยตำแหน่งบ่าวอุ่นเตียง ก็นับว่าเป็นภรรยาเกินครึ่งตัวแล้ว ที่สำคัญชายชู้ของนางถึงกับเป็นบุตรชายของสามี นับว่าไร้ยางอายและแพศยาเป็นอย่างยิ่ง โทษตายอาจดูเบาไปเสียด้วยซ้ำ เสวี่ยหนิงเซียนยิ้มบาง “ข้าไม่บอกท่านพ่อหรอก เจ้าไม่ต้องกลัว”
ทิ้งให้บิดาโง่งมอยู่เช่นนี้ต่อไป เมื่อความจริงปรากฏ คงสาแก่ใจหนิงเซียนไม่น้อย
ติดตามตอนต่อไป
ความคิดเห็น