คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ห้า : รัชศกจินเหยียนปีที่แปด
เป็นมารดาของทรราชมิใช่เรื่องง่าย
แต่งโดย เดือนสีนวล
*
ตอนที่ห้า : รัชศกจินเหยียนปีที่แปด
*
ยังไม่ตรวจคำผิด
ยังไม่ตรวจคำผิด
ยังไม่ตรวจคำผิด
เสวี่ยหนิงเซียนจดจำคำกล่าวของบิดาก่อนที่นางจะถวายตัวได้เป็นอย่างดี หนึ่ง คือต้องชิงความโปรดปราณจากพระสวามีให้ได้มากที่สุด สอง ต้องมิลืมบุญคุณสกุลเดิมที่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ สาม หากหนิงเซียนรู้ข่าวคราวภายในวังหลวงจักต้องเขียนจดหมายให้บิดา สี่ เมื่อพวกเขาร้องขอสิ่งใดนางต้องยื่นความช่วยเหลือให้ครอบครัวทุกครั้ง และห้า เสวี่ยหนิงเซียนควรกลับมาเยี่ยมสกุลเดิมทุกครั้งเท่าที่จะทำได้ ห้ามขาดช่วงแม้แต่ครั้งเดียว
นางจัดการทิ้งกระดาษราคาแพงลงบนกองไฟ เถ้าธุลีและคราบเขม่าสีดำล่องลอยตามแรงลม ข้างกายเสวี่ยหนิงเซียนนั้นว่างเปล่า มีเพียงดอกยู่จินขนาดย่อมที่เอนไหวตามแรงลม ด้านหลังคือพระตำหนักขนาดย่อมสำหรับนางสนมขั้นจิ่วผิน
หลังจากถายตัวเข้าวัง ชีวิตที่แล้วนางมิเคยปฏิบัติตามคำกล่าวของบิดาเลยสักครั้ง เพราะถือว่าตนได้ทำหน้าที่ที่บุตรควรพึงกระทำต่อผู้ให้กำเนิดแล้ว ยามนั้นนางมีอายุเพียงสิบห้าหนาว เพิ่งจะพ้นวัยปักปิ่นได้เพียงปีเดียว บิดากลับบังคับให้หนิงเซียนถวายตัวเข้าวัง โดยมิคำนึงถึงอายุขององค์จักรพรรดิและตัวนางที่ห่างกันถึงสิบเอ็ดปี เพื่ออำนาจ เพื่อบารมี บิดาถึงกับโยนเลือดเนื้อเชื้อไขเข้าดงงูพิษ จดหมายที่ส่งมาทุกเดือนล้วนมีข้อความย้ำเตือนให้นางจดจำบุญคุณสกุลเดิม ไม่เคยแม้แต่จะถามไถ่นางด้วยความเป็นห่วง
เสวี่ยหนิงเซียนชินชากับความไร้เยื่อใยของบิดามานานแล้ว เพราะอย่างนั้น ชีวิตกาลก่อนนางจึงไม่ขวนขวายความโปรดปราณจากพระสวามี ไม่เคยกลับไปเยี่ยมเยียนสกุลเดิม ไม่แม้แต่จะปฏิบัติตามคำบอกของบิดาสักข้อ หนิงเซียนใช้ชีวิตอยู่วังหลังอย่างสงบสุขมาตลอด ทั้งยังเมินเฉยต่อสกุลเดิมมาห้าปีได้ เฉกเช่นเดียวกับที่บิดาถีบไถไล่ส่งตนเมื่อครานั้น
ท้ายจดหมายที่นางเผาทิ้งเมื่อครู่นั้นเต็มไปด้วยคำก่นด่า วาจาผรุสวาทที่ผู้ดีมิควรพึงมี หาว่านางลืมบุญคุณสกุลเดิมบ้าง บ้างก็กล่าวว่านางเป็นลูกอกตัญญู
โถ..โถ…ท่านพ่อ หากข้าทำตามคำกล่าวท่าน ป่านนี้เสวี่ยหนิงเซียนคงตายตกอยู่สักแห่งภายในวังหลังนี้ไปนานแล้ว มีสตรีงดงามนับร้อยนับพัน พวกนางล้วนสามารถช่วงชิงความโปรดปราณฮ่องเต้ซ่งจินเหยียนได้ เหตุใดหนิงเซียนจักต้องเอาตัวไปแข่งกับงูพิษมากมายให้เปลืองตัวด้วยเล่า มิสู้อยู่อย่างสุขสบาย ไม่ต้องตบตีแก่งแย่งพระสวามีกับสตรีอื่น
ห้ามนางลืมบุญคุณสกุลเดิมอย่างนั้นรึ เหอะ ช่างน่าขันยิ่งนัก ตั้งแต่ลืมตาดูโลก เสวี่ยหนิงเซียนมิเคยได้รับอะไรจากบิดานอกจากอาหารและที่อยู่ นางอ่านเขียนได้ด้วยตัวเอง บิดาไม่เคยส่งอาจารย์มาสอนหนังสือนางสักครั้ง กิริยามารยาททุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจากความพยายามของตัวหนิงเซียนเอง ท้ายที่สุดกลับถูกขับไสไล่ส่งเข้าดงงูพิษ เพื่อแลกกับอำนาจเล็กน้อยที่สกุลเดิมจะได้ มิใช่ว่านางทดแทนบุญคุณเหล่านั้นจนหมดสิ้นแล้วหรือ
หรือหากนางส่งข่าวคราวในวังหลวงให้บิดา พระสวามีคงมิใช่คนโง่เขลา เมื่อทราบว่าสนมของตนเป็นสายข่าวให้สกุลอื่น ชีวิตของหนิงเซียนคงกลายเป็นเงาไร้หัว สกุลเสวี่ยล่มจมทันตาเห็น ต้องโทษจนตายตกทั้งตระกูลก็ว่าได้ จดหมายของนางสนมที่ถูกส่งออกไปล้วนต้องผ่านการตรวจสอบเป็นอย่างดี ไม่เว้นแม้แต่จดหมายที่เข้าวังก็เช่นกัน ป่านนี้ฮ่องเต้ซ่งจินเหยียนคงเพ่งเล็งสกุลเสวี่ยไม่น้อย
ทุกครั้งที่บิดาส่งจดหมายมาให้นาง ล้วนเต็มไปด้วยข้อความทวงบุญคุณ บังคับให้นางยื่นความช่วยเหลือ โดยไม่คำนึงเลยว่าเสวี่ยหนิงเซียนเป็นสนมขั้นจิ่วผินก็เท่านั้น นางจะมีอำนาจอันใดช่วยเหลือสกุลเดิมได้
และสุดท้ายนางย่อมไม่ยินยอมที่จะกลับไปเยี่ยมเยียนสกุลเดิมอยู่แล้ว ยามอยู่หนิงเซียนมีสถานะไม่ต่างจากบ่าวรับใช้ พี่น้องสกุลเสวี่ยรักกันปานจะกลืนกิน ก่อนหน้านี้นางก็เพิ่งจะได้ยินมาว่าเสวี่ยหนิงฮวาตบแต่งเป็นฮูหยินเอกคุณชายเจิ้ง อดีตเป็นคู่หมั้นหมายเสวี่ยหนิงเหมย หนิงเซียนจะกลับไปเพื่อให้บรรดาพี่น้องรุมทึ้ง กดดันร้องขอเครื่องประดับที่วังหลวงประทานให้ไปทำไม
เหมือนจะจำได้ลางๆ ว่ายี่สิบปีต่อมาสกุลเสวี่ยถูกเนรเทศไปชายแดนเนื่องจากฉ้อโกงภาษีราษฎร รุ่นหลานนับเจ็ดชั่วโคตรไม่สามารถเป็นขุนนางได้ ทั้งยังถูกห้ามไม่ให้เข้าเมืองหลวง นับว่าเป็นข้อพิพาทของชาวเมืองเกือบปีได้ จากสกุลเสนาบดีกรมยุติธรรมขั้นสอง กลายเป็นนักโทษใช้แรงงาน ชาวเมืองล้วนกล่าวว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสกุลเสวี่ยนั้นเกิดจากสวรรค์เล่นตลก ทว่าเสวี่ยหนิงเซียนกลับคิดต่าง กรรมที่บิดากระทำต่อนางและผู้อื่นได้วนกลับมาทำร้ายตัวเขาเองต่างหาก
นางไม่อยากข้องเกี่ยวกับคนบ้านเดิม เมื่อกาลก่อนนางนึกคิดเช่นนั้นมาเสมอ ทว่ายามนี้หนิงเซียนคิดต่างจากเดิมแล้ว
นางเป็นเพียงนางสนมขั้นจิ่วผิน พระสวามีไม่โปรดปราณ แม้ชีวิตจะสงบสุขดังที่นางปราถนา แต่ก็เป็นความสุขเพียงชั่วคราว ตั้งแต่ที่เสวี่ยหนิงเซียนมีโอรสสวรรค์อยู่ในครรภ์ ความสงบของนางก็ได้หายไปแล้ว
“หรงเอ๋อร์ เซียงเอ๋อร์ ชาตินี้แม่จะปกป้องเจ้า เพราะอย่างนั้นอย่าทำให้แม่เหนื่อยนักเลย” นางกล่าวเสียงเบาพลางเคลื่อนแรงมือลูบท้องของตน สัปดาห์ที่ผ่านมานางมักจะเวียนหัวบ่อยครั้ง หนักเข้าก็อาเจียนจนไม่เป็นอันจะกิน หนิงเซียนต้องลำบากแสร้งทำเป็นสบายดีต่อหน้านางกำนัลที่รับใช้ตน ทว่าภายในกลับปั่นป่วนเป็นอย่างมาก หากโอรสทั้งสองเป็นเด็กดีว่าง่ายกว่านี้ นางอาจปิดเรื่องครรภ์ตนเองได้แนบเนียนขึ้น
ณ ตอนนี้ครรภ์ของนางยังไม่เป็นที่เตะตา เพราะมีอายุเพียงสามเดือนเท่านั้น อีกหกเดือนต่อจากนี้เสวี่ยหนิงเซียนต้องหาร่มเงาปกป้องลูกน้อยรวมถึงตน มิควรอยู่เฉยดังกาลก่อนได้อีกต่อไป
ร่มเงาที่ดีที่สุด คืออำนาจและเงินตรา
ข่าวคราวที่พระสนมจะกลับมาเยี่ยมเยียนสกุลเดิมทำเอาจวนเสนาบดีเสวี่ยคึกคักไม่น้อย โดยเฉพาะเสวี่ยหยุนเชิง พี่ชายแท้ๆ ของหนิงเซียน ห้าปีที่ผ่านมาเสวี่ยหยุนเชิงนำเบี้ยหวัดที่มารดามอบให้ไปเล่นการพนันจนเป็นหนี้สิน เพราะไม่อยากให้บิดารู้ความเบาปัญญาของตน ที่ผ่านมาคุณชายใหญ่สกุลเสวี่ยจึงแอบอ้างชื่อของน้องสาวแท้ๆ นางเป็นถึงพระสนมขององค์จักรพรรดิซ่งจินเหยียน ต่อให้หยุนเชิงจะกู้เงินเท่าไหร่ ตนก็มีปัญญาจ่ายคืนทบต้นทบดอก ทว่าท้ายที่สุดเสวี่ยหยุนเชิงกลับต้องมานั่งคิดตก ผ่านไปห้าปีน้องสาวแท้ๆ ไม่เคยติดต่อหรือกลับมาเยี่ยมเยียนสกุลเดิมสักครั้ง หนี้สินที่มีอยู่ค่อยๆ เพิ่มพูน หลายเดือนที่ผ่านมาคุณชายใหญ่จึงไม่ได้ออกจากจวน ด้วยความกลัวว่าตนจะถูกเจ้าหนี้รังควานและอาจเป็นขี้ปากของชาวเมืองเข้า
แต่สวรรค์ยังให้โอกาสเขา เสวี่ยหนิงเซียนจะกลับมาเยี่ยมเยียนสกุลเดิมแล้ว เช่นนี้เขาก็สามารถขอเบี้ยหวัดและเครื่องประดับหลวงที่นางมีมาขายต่อ ชดใช้หนี้สินทั้งหมดได้
หัวหน้าสกุลเสวี่ยอย่างเสวี่ยหรงซวน แม้จะเป็นถึงเสนาบดีกรมยุติธรรมขั้นสอง มีคลังสมบัติมากมาย เบี้ยหวัดที่ได้รับในแต่ละเดือนก็หลายเท่าตัวกว่าขุนนางชั้นล่าง ถึงกระนั้นความเป็นอยู่ของคุณชายใหญ่มิได้ดีสมฐานะเอาเสียเลย
เสวี่ยหรงซวนรังเกียจฮูหยินเอกของตนเอง เดิมทีแล้วสมัยหนุ่มสาวนางเป็นคู่หมั้นของสหาย แต่ด้วยความริษยาบุรุษที่ดีกว่าตน เสวี่ยหรงซวนจึงแย่งคู่หมั้นของสหายมาเป็นภรรยา ทั้งๆ ที่ตนก็มีสตรีในดวงใจอยู่แล้ว ด้วยฐานะของสตรีที่ตนแก่งแย่งมานั้นเป็นถึงบุตรีของอัครมหาเสนาบดีขั้นหนึ่ง เสวี่ยหรงซวนจึงต้องจำใจยกให้นางเป็นฮูหยินเอกอย่างเลี่ยงไม่ได้ ส่วนสตรีที่ตนหลงรักก็ได้ตบแต่งเข้าเป็นฮูหยินรอง
ด้วยความเชื่อที่ว่า ฮูหยินเอกของตนนั้นไม่บริสุทธิ์ นางอาจเกินเลยกับอดีตคู่หมั้นไปแล้ว ที่ผ่านมาเสนาบดีเสวี่ยจึงรังเกียจฮูหยินเอกของตนยิ่งกว่าบ่าวไพร่ ที่ร่วมเตียงกับนางก็เพราะตนถูกสกุลเดิมของฮูหยินเอกกดดัน และด้วยประการนี้บุตรที่กำเนิดจากครรภ์มู่เฟิ่งเซียนจึงมิใช่บุตรที่เสวี่ยหรงซวนเอาใจใส่และทุ่มเท
คุณชายใหญ่สกุลเสวี่ยเป็นบุตรชายคนโตที่กำเนิดจากฮูหยินเอก เสวี่ยหนิงเซียนเองก็เช่นกัน
ที่ผ่านมาสองพี่น้องจึงถูกเลี้ยงดูอย่างปล่อยปละละเลย หนิงเซียนดีกว่าพี่ชายตรงที่นางมีความหมั่นเพียร พี่ชายจิตใจอ่อนแอกว่านาง จึงอดทนต่อความไม่เท่าเทียมของบิดาไม่ไหว ยามนี้คุณชายใหญ่จึงกลายเป็นเศษสวะของสกุลเสวี่ยไปเสียแล้ว งานการไม่แตะต้องแม้จะมีอายุยี่สิบห้าหนาวก็ตาม มีอนุอุ่นเตียงมากมายนับไม่ถ้วน ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่แม้แต่จะรับผิดชอบการกระทำของตนเอง
ข้างกายพระสนมขั้นจิ่วผินมีขันทีน้อยหนึ่งคนปรนนิบัติอยู่ข้างกาย รถม้าที่นางนั่งอยู่เป็นรถม้าหลวง ข้างหลังมีอีกหนึ่งคันสำหรับนางกำนัลรับใช้ทั้งสี่คน
สนมขั้นจิ่วผินจะมีนางกำนัลประจำกายสี่คน และขันทีน้อยอีกหนึ่งคน หากตำแหน่งสูงกว่านี้บ่าวรับใช้ก็จะมากขึ้นตามฐานะ
“พระสนม แต่งกายเช่นนี้กระหม่อมอาจถูกติเตียนว่าไม่ดูแลพระสนมให้ดีเข้าได้นะพะยะค่ะ” ขันทีน้อยกล่าวอย่างกลัวเกรง ที่ผ่านมาพระสนมเสวี่ยมักจะแต่งกายด้วยอาภรณ์ราคาถูก เครื่องประดับบนกายมีเพียงปิ่นไม้ชิ้นเดียว แต่ด้วยนางมักจะเก็บตัวอยู่ในตำหนัก ขันทีน้อยจึงมิได้เคร่งครัดเท่าใดนัก ยามขึ้นรถม้ามาด้วยจึงเห็นว่าพระสนมสวมอาภรณ์สีซีด แม้จะเป็นผ้าหลวงก็ยังดูไม่เหมาะสมฐานะอยู่ดี บนเรือนผมดำขลับมีเพียงปิ่นหยกหนึ่งชิ้นที่เป็นเครื่องประดับ หากกงกงสักคนเข้ามาเห็น ขันทีน้อยผู้นี้อาจถูกโบยหนักก็เป็นได้
“หากข้าแต่งกายสมฐานะ ยามกลับวังหลังข้าคงไม่เหลือเครื่องประดับสักชิ้น” เสวี่ยหนิงเซียงพึมพัมเสียงเบา ขันทีน้อยได้ยินดังนั้นจึงก้มหน้าก้มตาต่อไป
พระสนมกล่าวเช่นนี้ หมายความว่าสกุลเสวี่ยอดอยากมากแค้นหรืออย่างไร หากหนิงเซียนได้ยินความคิดนั้น ก็คงจะตอบปฏิเสธทันที คนที่อดอยากมากที่สุดในสกุลนาง ก็มีแต่พี่ใหญ่เท่านั้นแล
แต่เดิมเสวี่ยหนิงเซียนเป็นบุตรีที่ไร้ปากเสียง เมื่อรถม้าเดินทางมาถึงหน้าจวนเสนาบดีเสวี่ย กลับไร้วี่แววว่าจะมีคนในครอบครัวหรือบ่าวรับใช้มารับ หนิงเซียนนิ่งเงียบ ใบหน้าของนางเรียบเฉย ขันทีน้อยช่วยประครองให้พระสนมก้าวลงจากรถม้า ส่วนตนก็ยื่นหีบของสำหรับมอบบ้านเดิมให้นางกำนัลดูแล ภายในมิได้มีเครื่องประดับราคาแพงนัก และเสวี่ยหนิงเซียนก็ทราบดีว่าบิดามิได้ต้องการสมบัติใด สกุลเดิมของนางร่ำรวยอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง สิ่งเดียวที่บิดาต้องการมากที่สุดคืออำนาจในราชสักนัก แม้จะเป็นเสนาบดีกรมยุติธรรมขั้นสองแล้วอย่างไร ยังมีอัครมหาเสนาบดีขั้นหนึ่งที่เหนือกว่าตน
“…” ขันทีน้อยเม้มปากด้วยความไม่พอใจ พระสนมกลับบ้านเดิม แม้แต่บ่าวรับใช้ยังไม่ออกมาต้อนรับ การกระทำเช่นนี้มิต่างอะไรจากการตบพระพักตร์ฮ่องเต้เลยสักนิด
เสวี่ยหนิงเซียนมิได้ติดใจเอาความ เพราะนางรู้สันดานเสวี่ยหรงซวนเป็นอย่างดี ห้าปีที่ผ่านมาคงโกรธเคืองบุตรสาวเช่นนางไม่น้อย หนิงเซียนไม่เคยเขียนจดหมายตอบกลับ ไม่เคยเยี่ยมเยียนบ้านเดิม การกระทำเมื่อห้าปีที่ผ่านมาของนางเหมือนเป็นการตอบกลับบิดาว่าสกุลเสวี่ยไม่เกี่ยวข้องอันใดกับตน เสวี่ยหรงซวนไม่พอใจย่อมมิใช่เรื่องแปลกเลยแม้แต่น้อย
หึ บิดาสารเลว คนเช่นเจ้าเคยมอบอะไรให้สมฐานะบิดาบังเกิดเกล้าด้วยเล่า ยังจะมีหน้ามาเรียกร้องและโกรธเคืองข้าอีกหรือ
“พวกเจ้ารีบตามข้ามา” นางเอ่ยเสียงนิ่ง ควบคุมลมหายใจและใบหน้ากลับมาเรียบเฉย ที่ผ่านมาหนิงเซียนเก็บอารมณ์ได้ดีเยี่ยมมาตลอด แต่ด้วยผลข้างเคียงจากครรภ์ อารมณ์ของนางจึงแปรปรวนไม่น้อย
พระสนมเสวี่ยหนิงเซียนจดจ้องดอกมู่ตานอันคุ้นเคย นางก้าวขาไปด้านหน้าด้วยทางท่าเหมาะสมตามบรรดาศักดิ์พระสนม กลิ่นไอลมอุ่นร้อนปะทะตนเล็กน้อย ยามนี้เป็นฤดูร้อนอากาศด้านนอกจึงอบอ้าว คาดว่าคนแซ่เสวี่ยทั้งหลายคงกำลังรอนางอยู่ในห้องโถงหลัก มีบ่าวรับใช้คอยพัดวีลมบรรเทาความร้อน แตกต่างกับนางที่ต้องตากแดด ไร้ครอบครัว ไร้บ่าวออกมาต้อนรับ
นางรอคอยวันที่สกุลเสวี่ยจะต้องทดแทนบุญคุณตนไม่ไหวแล้ว
ติดตามตอนต่อไป
ความคิดเห็น