ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The last of world

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 สู่เบื้องล่าง

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.พ. 49


    เช้าตรู่ของวันจันทร์ ที่ 1 ธันวาคม ท่ามกลางฤดูหนาวอันแสนสงบสุของดาวน์สโตน เมืองเล็กๆอันสงบสุขและห่างไกลจากความวุ่นวายของเมืองใหญ่อื่นๆ เมืองที่มีอุณหภูมิต่ำที่สุดในประเทศและสถิติสูงสุดเคยแตะถึง ติดลบสามสิบห้าดีกรีเซนติเกรด แม้ว่าตอนนี้อากาศหนาวเพียงแค่ติดลบห้าดีกรีเซนติเกรด แต่ก็พอที่จะทำให้เมืองเล็กๆแห่งนี้อยู่อย่างไม่ค่อยอบอุ่นเหมือนเมืองในทางใต้ ทุกสิ่งของที่นี่ดูขาวโพลน หิมะที่ยังตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย ต้นไม้ทุกต้นต่าง สลัดใบทิ้งเพื่อความอยู่รอด จะเหลือแค่เพียงลำต้นอันแข็งแกร่งและกิ่งที่แตกกิ่งก้านสาขาอย่างมากมายเท่านั้นที่ยังตั้งตระหง่านรับสายลมอันหนาวเหน็บที่พัดมาจากทางเหนือ สิ่งมีชีวิตเพียงไม่กี่ชนิดที่ยังคงเคลื่อนไหวและออกหากินในสภาพอากาศเช่นนี้ สัตว์ส่วนใหญ่นั้นพากันอพยพไปทางใต้ที่อากาศอบอุ่นกว่าถึงเท่าตัวเมื่อเดือนที่แล้ว  แต่ก็มีบ้างที่ยังจำศีลอยู่ในดินอ่อนนุ่มนิ่ม หรือไม่ก็ออกหากินตามปกติอันเป็นนิสัยของสัตว์บางชนิดเท่านั้นที่สามารถทนอยู่ในสภาพอากาศเช่นนี้ได้ หนึ่งในนั้นที่ยังดำรงชีวิตอย่างปกติสุขเหมือนทุกๆวันของปี ก็คือ มนุษย์

                    ประชากร300,000 คนของดาวน์สโตนยังคงดำเนินชีวิตตามปกติด้วยความสงบเหมือนดังเช่นฤดูร้อนที่ผ่านมา จะมีเปลี่ยนอยู่บ้างก็เห็นจะมีเพียงเสื้อโค๊ตและเสื้อกั๊กหนาๆที่ใส่กันเป็นแฟชั่นไปเสียแล้ว แต่ทุกๆอย่างก็ยังคงปกติ ทุกชีวิตก็ยังคงดำเนินต่อไป ตามที่ได้ถูกลิขิตมา ผู้ใหญ่หลายคนเดินกันมากมายตามทางเท้าที่นำไปสู่สำนักงานและโรงงานที่ตั้งอยู่อย่างกระจัดกระจายตามเขตชานเมือง แม่บ้านหรือผู้ชายหลายคนที่หยุดหรือหาข้ออ้างในการหยุดเพราะอากาศอันแสนหนาวเหน็บที่ทำให้พวกเขาไม่อยากที่จะลุกออกจากเตียงนอนอันแสนอ่อนนุ่ม อบอุ่นและสบาย(หรือไม่ก็ตื่นสายจนไม่อยากไปทำงาน บางทีการทำงานนั้น มาสายก็อาจจะเลวร้ายกว่าการที่ไม่ไปมากนัก) ยังคงทำงานบ้านต่างๆอยู่ในบ้าน พวกผู้หญิงทำอาหารอยู่ในครัว ส่วนผู้ชายหลายคนก็ใช้เครื่องมือต่างๆที่เก็บค้างไว้อยู่ในห้องเก็บของตั้งแต่ฤดูหนาวปีที่แล้ว มาเก็บกวาดหิมะออกไปให้พ้นจากหน้าบ้านของพวกเขา มีไม่กี่คนที่มี อารมณ์นึกสนุก ออกมาปั้นสโนว์แมน ที่ยืนเด่นอยู่หน้าบ้านของพวกเขา(พร้อมกับหมวกใบสูงและผ้าพันคอผืนยาวที่ซื้อมาจากต่างประเทศ ซึ่งพวกเขาจะถือว่าเป็นการที่จะอวดของเขาอีกทางหนึ่ง)  เด็กๆในวัยเรียนหลายๆคนต่างเร่งรีบกินอาหารเช้าอย่างเร่งรีบแล้วกระโจนออกไปบนทางเท้าแล้ววิ่งไปจนถึงป้ายรถประจำทาง ก่อนที่จะพบว่ารถโรงเรียนคันที่แล้วได้วิ่งออกไปแล้วอย่างเฉียดฉิว ทำให้ต้องใช้กำลังขาของตนเองเป็นพาหนะพาไปสู่โรงเรียนแห่งเดียวในเมืองที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมือง

                    จะมีสักกี่คนบ้างที่รู้ว่า อีกไม่นานนี้ สถานที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยเปลวเพลิง ซากปรักหักพังของอาคารสถานที่  กลิ่นคาวแห่งเลือด ซากศพที่กองสุมทุมไปทั่วเมืองและร่องรอยของน้ำตาที่เสียญาติมิตรหรือเพื่อนบ้านของตนไปที่เขาคนนั้นบังเอิญได้รอดจากมหาภัยพิบัติ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ในไม่นานนับจากนี้

                    ทันใดนั้น สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของฤดูหนาวก็เกิดขึ้น พายุหิมะ มันเริ่มตกหลังจากที่รถโรงเรียนผ่านไปได้ไม่นาน พายุหิมะทำให้อุณหภูมิของเมืองที่ต่ำอยู่แล้วยิ่งต่ำลงไปอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าเริ่มมึดมิดเหมือนมีคนเอาร่มใบใหญ่ไปบังแสงอาทิตย์ไว้อย่างฉับพลัน มืดเหมือนยามค่ำคืน คนที่กำลังเดินขวักไขว่อยู่บนทางเท้าเมื่อไม่กี่นาทีก่อน บัดนี้หลบไปตามอาคารต่างๆรวมถึงเข้าไปขอหลบพักอยู่ในบ้านของชาวเมืองคนอื่นๆด้วย เนื่องจากเมืองดาวน์ สโตนเป็นที่เลื่องชื่อลือชาด้านความมีน้ำใจและความโอบอ้อมอารีของชาวเมืองดังนั้นจึงไม่แปลกเลยถ้าคุณจะเห็นเหตุการณ์ดังนี้

                    ภายในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง พายุหิมะนำความชื้นที่เกาะตัวแข็งเป็นหิมะสีขาวแสบตากองทับถมลงบนแผ่นดินหนาถึง 1 ฟุตการสื่อสารของผู้คนในเมืองนี้หยุดชะงัก โทรทัศน์สถานีต่างๆประกาศเตือนให้ประชาชนอยู่ในบ้านก่อนที่สัญญาณจะขาดหายไปเช่นเดียวกับวิทยุและอินเตอร์เน็ตและดินถล่ม เส้นทางคมนาคมเพียงเส้นเดียวของเมืองนี้ถูกปิดตายด้วยหิมะก่อน ไม่มีทางที่ผู้คนในเมืองจะสามารถออกมาสู่ภายนอกได้เลย นอกจากเขาจะเล่นสกีผ่านหิมะหลายสิบกิโลกเมตร หรือผ่านป่าสนที่ปกคลุมอยู่โดยรอบ ซึ่งก็มีอันตรายไม่น้อยไปกว่าการเดินผ่านหิมะออกไปภายนอกเนื่องจากหลายสิบปีก่อน สงครามทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยกับระเบิดของทหาร

                    แต่แม้กับระเบิดจะมากมายสักเพียงไหนก็ยังคงมีความเคลื่อนไหวในป่าสนอันมืดมิดนั้น ชายคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่  เขาผิวดำคล้ำ และจะไม่สามารถเดินออกมาข้างนอกนี้ได้เลย ถ้าเขาไม่ใส่เสื้อกันหนาวขนสัตว์หนากว่า 4 ชั้น   เขากำลังเดินอย่างไม่สะท้านไปยังป่าที่ลึกเข้าไป

                    แต่กระนั้นสิ่งที่เขาทำอยู่ขณะนี้ก็แปลกเข้าอีกมากขึ้น เขาสอดส่ายสายตาและมือของเขาควานหาไปตามบริเวณโคนต้นไม้เตี้ยๆที่ไม่น่าสนใจนานหลายนาทีก่อนที่จะร้องอุทานออกมาด้วยความดีใจ เมื่อเขาพบสิ่งที่ค้นหา มันเป็นไม้ท่อนเล็กๆที่ไขว้กันอย่างตั้งใจ เป็นรูปตัว  A เขาไม่รอช้ารีบหาสิ่งที่บอกใบ้ต่อไปอย่างรวดเร็ว แข่งกันอุณหภูมิของอากาศที่ลดลงเรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็พบผ้าสีขาวมอๆ ที่ผู้คนมักไม่ใส่ใจเลยเมื่อพวกเขาเดินผ่าน แต่มันก็สามารถเข้ากับสิ่งแวดล้อมและพรางสายตาพวกสอดรู้สอดเห็นได้เป็นอย่างดีวางอยู่บนหิมะกองใหญ่ที่กองอยู่บริเวณซากกวางป่าที่ตายแล้ว และผ้าผืนนั้นกำลังจะถูกหิมะทับมิดในไม่ช้า

                    เขารีบยกตัวอินเทอร์เรนต์ที่ตายแล้วอย่างรวดเร็ว พร้อมกับขว้างทิ้งไปข้างทาง พร้อมกับลงมือใช้มือที่สวมถุงมือหนาที่สุดลงมือขุดหิมะบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเจอดิน เขารีบใช้แท่งไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่บริเวณนั้นขุดลงไปอีก  -- ไม่ถึง 1 เมตร เขาก็พบสิ่งที่เขาเสาะแสวงหา -- ตามที่ได้รับมอบหมายมา เขาได้รับคำสั่งให้นำของไปให้คนๆหนี่ง เป็นภารกิจมากเมื่อเจ้านายของเขากล่าวว่าบุคคลคนนั้นไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย บน โลกนี้ แต่อยู่ใต้ดิน เขาได้รับคำสั่งให้ลงมือหาสัญลักษณ์ที่ว่านี้แล้วหาทางลงไปยังอุโมงค์ลับใต้ดินให้ได้ก่อนที่ค่ำนี้จะผ่านไป

                    สิ่งทำเขาพบนั้นมีรูปร่างทันสมัย เป็นเหล็กกล้ารูปวงกลมหน้าตัดกว้างประมาณ 3 ฟุตที่ถูกขัดจนมันวาวขนาดหนาราว 6 ฟุตและมีสลักอยู่ทั้งหมด 5 อันเป็นสลักที่เปิดออกอย่างง่ายดายด้วยมนุษย์ -- เขารีบเปิดสลักออกอย่างรวดเร็ว ท่อนเหล็กมหึมานั้นส่งเสียงฟู่และส่งควันประหลาดออกมาจากตัวมันอย่างน่ากลัว แต่แล้วสิ่งที่เขาเห็นกลับไม่ใช่บันได้หรือพาหนะใดๆที่สามารถจะพาเขาลงไปด้านล่างได้ แต่กลับเป็นแผ่นโลหะอีกแผ่นหนึ่ง ที่มีแผ่นคีย์บอร์ดที่มีปุ่มคล้ายคอมพิวเตอร์ ทั้งหมด 10 ปุ่มเป็นตัวเลข 0-9

                    เขารีบล้วงเข้าไปในอกเสื้อด้านในอย่างรวดเร็ว พร้อมกับนำกระดาษใบเล็กๆที่ยับยู่ยี่ ออกมา มันเขียนเป็นเลขรหัสจำนวนสิบสามหลัก พร้อมกับบด้านล่างของกระดาษที่เขียนเอาไว้ว่า หลังจากที่ใช้เสร็จ ให้เผามันทิ้งทันที เขาไม่สนใจด้านล่างของกระดาษ แต่รีบกดรหัสลงบนแป้นพิมพ์เล็กๆนั้นอย่างรวดเร็วด้วยมืออันสั่นเทา

                    เขากดรหัสผิดถึง 2 ครั้ง เขารู้ดีว่าโอกาสของเขามีเพียงสามครั้ง ดังนั้นครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย เพราะปากอุโมงค์นี้จะปิดล็อคตัวเองไปจากรหัสของเขา และเขาจะต้องเดินไปที่ปากอุโมงค์ต่อไปห่างออกไปหลายกิโลเมตร ซึ่งเขาก็คงจะแข็งตายเสียก่อนที่จะเดินไปถึงปากอุโมงค์นั้น

                    เขาจิ้มรหัสทุกรหัสด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด และเมื่อรหัสเลขตัวที่ 13 ได้ถูกกดลงไปบนแป้น แผ่นเหล็กหนากว่า สามนิ้ว ก็แยกออกเป็นสองส่วน เผยให้เห็นบันไดที่ใช้สำหรับไต่ลงไปสู่พื้นอุโมงค์เบื้องล่าง

                    เขาทอดตัวลงไปในปากอุโมงค์อย่างรวดเร็ว ก่อนที่ปากอุโมงค์จะปิดตัวเองในสามสิบวินาที แต่แล้วเขาก็จำได้ว่า เขาจะต้องทำลายกระดาษแผ่นนั้นเสียก่อน เขาหยิบไฟแช็กออกมาจากเสื้อคลุมอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรนั้น ลมหนาวที่พัดมาอย่างเยือกเย็นก็พัดมันไปไกล เขารู้ดีว่า ไม่อาจจะเก็บมันได้ทันก่อนที่ปากอุโมงค์จะปิด เขาเลือกชีวิตของตนเองดีกว่าที่จะทำลายแผ่นกระดาษไร้ค่าแผ่นนั้น เขาจึงรีบสอดตัวเขาไปในปากอุโมงค์ทันเวลาที่มันกำลังจะปิดพอดี

    เขาไต่ลงไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อนนัก ไม่นานนักเขาก็ไม่สามารถทนไต่อยู่ท่ามกลางความมืดมิดอย่างนี้อีกต่อไป เขาคว้าไฟฉายออกจากกระเป๋าเสื้อคลุมด้านข้าง และใช้แบตเตอรี่ไฟฉายที่มีเหลืออย่างน้อยนิด ส่องดูว่า ในอุโมงค์แห่งนี้จะมีสวิตซ์ไฟอยู่ที่ใดหรือไม่

    ในที่สุด เขาก็พบมันอยู่ต่ำลงไปไม่มากนัก เขาไต่ลงไปเปิดมันทันที ทันใดนั้น อุโมงค์นี้ก็สว่างไปทั่วบริเวณ จากแสงของหลอดฟลูออเรสเซนต์หลายสิบหลอดที่เรียงรายอยู่ด้านตรงข้ามของบันได้ที่เขาปีนอยู่ เขาปิดไฟฉายอย่างรวดเร็วเพื่อสงวนแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ให้ใช้ได้นานที่สุด

                    เขาไต่ลงไปลึกเรื่อยๆ พร้อมกับมองลงไปด้านล่าง เขาไม่รู้ว่าบันได้นี้จะยาวกี่เมตร ไปสิ้นสุดที่ไหน แต่เขารู้ว่า สักแห่งของอุโมงค์แห่งนี้จะต้องมีคนอาศัยอยู่

                    ไม่นานนัก เขาก็ไต่ลงมาถึงพื้นของอุโมงค์ เป็นพื้นหินที่ให้บรรยากาศแบบเก่าๆ และน่าวังเวงยิ่งนัก กำแพงของอุโมงค์มีตะไคร่ ขึ้นเกาะเต็มไปหมด น้ำไหลลงมาที่รูหนึ่งทำให้ตะไคร่สีเขียวขึ้นในบริเวณนั้นเต็มไปหมด  พื้นบริเวณหนึ่งของอุโมงค์พังลงไปเป็นเหวขนาดใหญ่ ซึ่งเกิดจากแผ่นดินยุบตัว ที่เกิดขึ้นบ่อยมากจนเป็นเรื่องธรรมดาในแถบนี้

                    เขาเลี่ยงเดินอย่างระมัดระวัง ไม่ให้เดินตกลงไปในเหวนั้น เขาเดินตรงไปเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าอุโมงค์แห่งนี้จะไม่มีที่สิ้นสุด อากาศในอุโมงค์อบอ้าวและร้อนมาก และในที่สุดเขาก็พบทางแยกหนึ่ง เขาตัดสินใจเดินไปทางซ้าย แต่ไม่นานนักเขาก็ต้องกลับมาทางเก่า เพราะอุโมงค์แยกนั้น ถล่มลงมาหมดแล้ว

                    เขาเดินไปใหม่ในแยกขวา และแล้วเขาก็เดินผ่านไปยังประตูแห่งหนึ่ง เป็นประตูเหล็กขนาดใหญ่ ตรงกลางเป็นตัวอักษรรูปตัวเอส มี คอม-

    พิวเตอร์ ที่ติดตั้งไว้อย่างชัดเจนข้างๆประตู เขาเดินเข้าไปใกล้ๆประตู ทันใดนั้น ลูกกรงเหล็กขนาดใหญ่ก็ปิดลงมาด้านหลังเขา เขาไม่รู้สึกตกใจเพราะคาดเรื่องเช่นนี้ไว้แล้ว ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากลำโพงข้างๆคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น

    "กรุณาบอกชื่อและจุดประสงค์ของท่าน"

    "ลอฟ อคาเชีย ผมนำบางอย่างมามอบให้ เอลคิโพ"

    "สวัสดีค่ะ มิสเตอร์ลอฟ อคาเชีย กรุณารับบัตรของท่าน"

    ทันใดนั้นก็มีบัตร หล่นลงมาทางช่องด้านล่างคอมพิวเตอร์

    "บัตรนี้จะทำให้คุณเข้าไปทำธุระ ในห้องแลปได้ยี่สิบสี่ชั่วโมง หากคุณออกมาหลังจากนั้น เราจะถือว่าคุณเป็นผู้บุกรุกและดำเนินการขั้นเด็ดขาดทันที"

    "ครับ เรื่องนั้นผมเข้าใจดี"

    "โปรดยืนนิ่งๆ ระบบจะแสกนหาอาวุธของท่าน" แสงสีแดงถูกฉายมาที่ตัวเขา เริ่มตั้งแต่หัวลงมา แต่เพียงแค่มันลงมาถึงเอวเท่านั้นมันก็ส่งเสียงปี๊ดดังลั่น

    "มิสเตอร์ลอฟ ระบบแสกนพบมีดหั่นขนมปังอยู่ในตำแหน่ง 86 เซนติเมตรจากศีรษะของคุณ หากคุณจะเข้าไปในแลป กรุณาปลดมันออกแล้วใส่ไว้ในช่องด้านข้างคอมพิวเตอร์ด้วยค่ะ"

    "ครับๆ ผมขอโทษ" เขารีบหยิบมีดนั้นออกมาทันที เพราะคิดว่าเขาไม่อาจเสียเวลาไปมากกว่านี้อีกแล้ว

    "ขอบคุณค่ะ โปรดยืนนิ่งๆ ระบบจะแสกนอีกครั้ง" อีกครั้ง ที่แสงสีแดงฉายมาที่ตัวเขา แต่คราวนี้ไม่มีเสียงใดเกิดขึ้น แล้วประตูเหล็กใหญ่ก็แยกออกจากกันอย่างช้าๆ เปิดให้เห็นแสงสว่างที่เขาไม่เห็นมากมายขนาดนี้ตั้งแต่เข้าอุโมงค์มา

    "เชิญ มิสเตอร์ลอฟสู่แลปวอลฟา ชองรัฐบาล กรุณาทิ้งหมากฝรั่งและอาหารทั้งหมด เสียก่อนที่จะเข้าไปข้างใน ห้องอาหารอยู่ที่ชั้นสองซ้ายมือ ห้องพยาบาลอยู่ที่ชั้นนี้เลี้ยวไปทางขวาแล้วเดินตรงไปจนสุด ส่วนห้อง --- "

                    เขาไม่สนใจที่คอมพิวเตอร์พูดอีกต่อไป เขารีบเดินตรงเข้าไปภายในทันที เขาเห็นคนมากมายเต็มไปหมด ทุกคนใส่ชุดสีขาวสะอาด ด้านหลังมีรูปตัวเอส เช่นเดียวกับประตูทางเข้า แต่ดูเหมือนว่าทุกคน จะไม่สนใจกับการมาถึงของเขาเลย ทุกคนง่วนอยู่กับการเขย่าหลอดทดลองให้เข้ากัน จดบันทึกข้อมูลลงบนแผ่นกระดาษ หรือไม่ก็คีย์ข้อมูลลงคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่มากมายเต็มไปหมดทั้งห้อง

                    เขาเดินผ่านทุกคนไปโดยไม่มีใครที่แม้แต่จะหันมามอง มีครั้งหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์หน้าเหมือนหมาบลูด็อกซ์คนหนึ่ง เดินเฉียดใกล้เขาอย่างเกือบจะชนอยู่แล้วหากเขาจะไม่สามารถเบี่ยงตัวหลบได้ทัน แล้วนักวิทยาศาสตร์คนนั้นก็เพียงแค่ ก้มเก็บดินสอที่ตกลงแล้วก็เดินกลับทางเดิมไปทางเดิมโดยไม่สนใจในตัวเขาแม้แต่น้อย

                    เขาสังเกตห้องแลปนี้จนทั่ว เพื่อหวังเพียงว่าจะมีสักคนหันมามองเขาและให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับคนที่ ชื่อเอลคิโพบ้าง ให้ตายสิ ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลยด้วยซ้ำ แล้วเขาจะหาเอลคิโพเจอในสถานที่ ที่มีคนพลุกพล่านอย่างนี้ได้อย่างไรกัน

                    ห้องแลปนี้กว้างขวางมาก ปูพื้นด้วยกระเบื้องอย่างดี ดูแล้วเงาวับ แม้ว่าแลปนี้จะอยู่ใต้ดิน แต่ก็สว่างไสวกว่าบนพื้นดินกับแสงอาทิตย์เสียอีก ทุกๆระยะ1เมตรจะมีหลอดฟลูออเรสเซนต์ติดบนผนัง และเมื่อแสงนั้นกระทบกับกระเบื้องด้านล่างแล้ว ก็ดูสว่างจ้าเลยทีเดียว  และถึงแม้ว่าแลปนี้จะอยู่ใต้ดิน แต่ก็ทำบรรยากาศให้ดูเหมือนบนดินมากโดย หน้าต่างหลอกๆนั้น ความจริงแล้วคงจะเป็นจอแอลซีดีขนาดใหญ่คอยฉายภาพธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา

                    แต่ละด้านของห้องจะมีกระถางต้นไม้ขนาดใหญ่ แม้ว่าจะไม่ใช่ต้นไม้จริงแต่ก็ทำให้คลายความรู้สึกว่าอยู่ใต้ดินได้ดีทีเดียว ผนังของห้องหลายๆจุด กลายเป็นทางเดินที่แยกไปมิรู้กี่สาย นอกจากนี้ก็ยังมีลิฟต์หลายขนาดอีกหลายตัวคอยนำไปยังชั้นต่างๆที่คงจะขุดลึกลงไปมากภายใต้ผืนดินนี้

                    เขาเดินไปดูที่หน้าลิฟต์เพื่อหวังที่จะพบแผนที่ของแลปนี้บ้าง ซึ่งเขาก็ต้องผิดหวัง เพราะไม่มีแผนที่เลยสักแผ่นเดียวจะติดไว้ เขาคิดว่า แลปแห่งนี้ช่างไร้มาตรฐานเสียจริงๆ หากเกิดไฟไหม้ขึ้นมาทุกคนก็คงจะแตกหนีอลหม่านทีเดียว

                    แต่ที่หน้าลิฟต์ แม้จะผิดหวังในสิ่งหนึ่ง แต่เขาก็ได้พบอีกสิ่งหนึ่ง ยามรักษาความปลอดภัยนั่นเอง ที่อาจจะเป็นคนเดียวในห้องแลปที่พลุกพล่านแห่งนี้ ที่มองมาที่เขาอย่างแปลกใจ และคงจะเห็นบ้างว่า เขามีตัวตนอยู่ในโลกแห่งนี้

                    ยามคนนั้นใส่แว่นดำกรอบใหญ่อย่างประหลาด ยืนสูบบุหรี่อย่างสบายใจเฉิบ พลางพิงผนังและเป่าควันออกอย่างผ่อนคลาย แต่นั่นคือก่อนที่จะได้พบเขา เมื่อเขาปรากฏขึ้นในสายตา ยามผู้นั้นก็ทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้น เหยียบและเดินตรงมาหาเขาทันที

                    แต่ก่อนที่จะได้เดินมาถึงที่ๆเขายืนอยู่ ก็มีเรื่องที่ประหลาดใจเกิดขึ้น นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งใส่แว่นดำกรอบใหญ่เช่นเดียวกับยาวคนนั้น(เขาเริ่มจะสงสัยแล้วสิ ว่าแว่นนั่น อาจจะมีอะไรพิเศษก็ได้" คราวนี้หน้าตาดีกว่าคนก่อนที่เกือบเดินชนเขานิดหน่อย แต่คนนี้กลับหน้าบึ้งอยู่ตลอดเวลา และครั้งนี้ก็ดูหน้าบึ้งตึงมากยิ่งขึ้นอีก เมื่อเดินมาหายามผู้เคราะห์ร้ายผู้นั้น

    " ผมบอกคุณกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้สูบบุหรี่ที่นี่ เฮอะ แล้วคุณยังจะทำอีก ผมจำไม่ได้หรอกนะ ว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว แต่ผมขอไล่คุณออก"

    ยามคนนั้น หน้าถอดสีในทันที และกล่าวอย่างอ้อนวอน

    " เอ่อ ผมขอโทษครับ ให้โอกาสผมอีกสักครั้งเถิดครับ ผมจะไม่ทำอีกแล้วนะครับ "

    " ไม่ได้หรอก มิสเตอร์เดอเซ่ ผมเตือนคุณหลายครั้งแล้ว แล้วนี่เป็นเรื่องใหญ่มากเสียด้วย ถ้าเกิดก้นบุหรี่ของคุณยังไม่ดับนะคุณเดอเซ่ คุณรู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น" นักวิทยาศาสตร์คนนั้นหยุดสักครู่แล้วก็ชี้มือไปทั่วบริเวณ เขาหยุดชะงักสักแปปหนึ่งเมื่อพบเขา แต่แล้วก็พูดต่อ

    " ทั่วทั้งแลปนี้ก็จะหายไปจากประวัติศาสตร์โลกตลอดกาลน่ะสิ มิสเตอร์เดอเซ่ คุณคงไม่อยากรู้หรอกว่า สารที่เก็บไว้มันอันตรายแค่ไหน" พลางชี้มือไปด้านหลังเขา เขามองตามไปแต่ก็เห็นเพียงความว่างเปล่า กับหน้าต่างจอแอลซีดีอีกจอหนึ่ง เขาชักจะเริ่มงงมากขึ้นเรื่อยๆเสียแล้ว

    " เอาล่ะ เรื่องพิจารณาไล่คุณออกเดี๋ยวคุณต้องไปอ้อนวอน ผอ.เองแล้วกัน เรามาพูดถึงแขกคนนี้กันดีกว่า มิสเตอร์เดอเซ่ คุณต้อนรับเขาดีแค่ไหน" พูดพลางกับชี้มือมาที่เขา

    "เอ่อ ผมเพิ่งจะเจอเขาเมื่อครู่เองครับ"

    " แล้วคุณปล่อยให้เขาหลงอยู่ในห้องนี้ เนี่ยนะ ขณะที่คุณมายืนสูบบุหรี่ อยู่ที่หน้าลิฟต์เนี่ย แขกอาจจะเดินหลงไปที่ไหนก็ได้ แล้วที่นี่มันก็อันตรายมากๆด้วย ผมว่าคราวนี้คุณมีโอกาสถูกไล่ออก เก้าสิบเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว"

    คราวนี้ หน้าของยามซีดลงมากกว่าเดิมอีก แล้วพูดเสียงสั่น

    "คุณ ช่วยผมหน่อยเถิดครับ ถ้าผมไม่มีงานทำ ผมต้องอดตายแน่เลย ยิ่งตอนนี้ฤดูหนาวเสียด้วย"

    "เอาล่ะๆ ตอนนี้คุณไม่ต้องพุดอะไรแล้ว ผมจะคุยกับแขก คุณกลับไปทำหน้าที่ของคุณก่อน มิสเตอร์เดอเซ่ ที่ประตูหน้านะ ไม่ใช่มุมนี้  ดีล่ะ ตอนนี้ ผมขอต้อนรับคุณเข้าสู่แลปของเราครับ เอ่อมิสเตอร์ - - -  "

    " ผม ลอฟ อคาเชีย ครับ ผมมาหามิสเตอร์เอลคิโพครับ" ดูเหมือนว่านักวิทยาศาสตร์คนนั้นจะชะงัก จนลืมทำหน้าบึ้งไปครู่หนึ่ง แต่เพียงเวลาไม่นาน หน้าของเขาคนนั้น ก็บึ้งตึงเกือบจะเท่าเดิม

    "เอาล่ะ ครับ มิสเตอร์ลอฟ ผมเชื่อว่าคุณคงจะไม่ได้บุกรุก แล้วก็มีประสงค์ร้ายต่อพวกเราใช่ไหมครับ"

    " เอ่อ ใช่ครับ แน่นอน"

    " ดีครับ งั้นคุณรับแว่นนี้ไป ส่วนผม คุณเรียกผมได้ว่า มอสตี้ เอาล่ะครับ นี่ครับแว่นของคุณ" มอสตี้ พูดพลางส่งแว่นดำกรอบใหญ่เช่นเดียวกับของมอสตี้และยามเคราะห์ร้ายผู้นั้นที่หยิบออกมาจากเสื้อคลุมสีขาวสะอาด เขารีบสวมมันเข้าไปอย่างรวดเร็ว และภาพที่เขาเห็นก็ทำให้เขาตกใจจนถึงกับสะดุดขาตัวเองล้มเลยทีเดียว

                    ห้องแลปที่เขาเห็น จากที่เคยสว่างไสวไปด้วยหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์นับร้อยดวง กลับกลายเป็นห้องที่เรียบๆ เป็นอุโมงค์ที่เหมือนกับที่เขาเคยผ่านมาก่อนที่จะถึงประตูใหญ่ ผนังห้องจากที่เคยเป็นจอแอลซีดีขนาดใหญ่ กลับกลายเป็นหลอดนีออนที่ส่องแสงสีส้มนวลออกมา ไม่เกินสิบหลอด ตลอดความยาวของผนัง และด้านหลังของเขา จากที่เป็นผนังโล่ง กลับกลายเป็นลังไม้ กองโตมหึมาที่วางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ หลายพันกล่อง ลิพต์ที่เคยดูทันสมัยและสวยงาม กลับกลายเป็นลิพต์ลูกกรงเหล็กที่ดูเรียบง่าย และดูเก่ากว่าที่จะเคยคาดคิด

    " เอาล่ะครับ มิสเตอร์ลอฟ ทีนี้คุณก็ได้เห็นสภาพห้องที่แท้จริงของที่นี่แล้ว ความจริงภาพที่คุณเคยเห็นนั้น เป็นภาพลวงตาที่เกิดจากแสงโฟตอนชนิดใหม่ที่แลปของเราคิดค้นได้สำเร็จ ฉายไปแล้วให้ภาพสามมิติที่เสมือนจริงมาก เพียงแต่เมื่อคุณจะสัมผัสสิ่งของที่อยู่ในภาพแล้ว คุณก็จะสัมผัสได้แต่ไอร้อนเท่านั้น สิ่งที่เราทำอย่างนี้ ก็เพื่อเพียงว่าให้ผู้บุกรุกเข้าใจผิดเท่านั้นและคุณก็จำเอาไว้อย่างหนึ่งเถอะในแลปแห่งนี้ จงอย่าเชื่อในสิ่งที่คุณเห็น "

    " แล้วคุณไม่คิดว่าผู้บุกรุกจริงๆ เขาจะมีแว่นนั่นกันบ้างเหรอ"

    " นอกจากแสงโฟตอนจะสามารถผลิตได้ที่นี่ที่เดียวแล้ว แว่นที่เปลี่ยนการเห็นยังต้องเข้ารหัสพิเศษแล้วก็ไม่น่าเป็นไปได้ว่าผู้บุกรุกจะบังเอิญและโชคดีล้ำสมัยมากเท่าเรามากขนาดนั้น"

    " แล้วคุณไม่กลัวคนใน แอบนำแว่นไปบ้างหรือครับ"

    " คนของเรา ก่อนจะเข้ามาทำงานที่นี่ต้องศึกษาความประพฤติและประวัติด้านบนนั้นเป็นปี แล้วก็มีระบบคอยดูแลพวกเขาอย่างดีอีกหลายอย่าง ไม่มีทางที่พวกเขาจะหลุดรอดไปได้โดยการทรยศ"

    " แล้วถ้าเขาหนีได้จริงๆล่ะ"

    " เอาล่ะ แน่นอนมิสเตอร์ลอฟ คุณคงไม่คิดว่าแลปของเรา ที่เป็นความลับสุดยอดของรัฐบาลจะมีการป้องกันภัยเพียงเท่านี้หรอกนะ เดี๋ยวคุณคงจะได้เห็นเอง ว่าจะมีการรักษาความปลอดภัยอีกมากมาย"

    " ครับ ผมก็ลืมคิดเรื่องนั้นไป"

    " ดีครับ ทีนี้ก็ถึงเวลา ก่อนที่คุณจะไปยังที่อื่นๆของแลปนี้ ผมหวังว่าคนที่บอกคุณให้รู้ถึงแลปและรหัสผ่านเข้าแลปแห่งนี้ คงจะให้ชุดตัวเลขอีกชุดหนึ่งด้วย ซึ่งเป็นตัวเลขสิบสามหลักเช่นกัน มันใช้ยืนยัน ว่าคุณไม่ใช่ผู้บุกรุกจริง" เขาพูดพลางเดินไปด้านข้าง " เอาล่ะ มิสเตอร์ลอฟบอกรหัสเลขสิบสามหลักมาได้เลยครับ จำไว้อย่างหนึ่งว่า คุณไม่มีโอกาสบอกเป็นครั้งที่สอง ถ้าคุณบอกผิด หรือไม่มีรหัส เตรียมใจไว้ได้ ว่าคุณจะต้องเข้าไปในคุกมืดของรัฐบาลและถูกลบความจำทันที รวมถึงถูกเนรเทศออกไปนอกประเทศนานถึง สามปี เอาล่ะ ตอนนีคุณพร้อมหรือยัง มิสเตอร์ลอฟ"

    " พร้อมแล้วครับ" เขาพูดพลางหยิบกระดาษอีกแผ่นหนึ่ง ที่เจ้านายของเขากำชับนักหนาให้เก็บไว้ให้ดีที่สุด เขารีบควานหาในกระเป๋าเสื้อด้านซ้าย แต่ว่างเปล่า เขาใจหายตกไปที่ตาตุ่มทันที แต่เมื่อเขาควานหาอย่างเร่งรีบในด้านขวา เขาก็ใจชื้นเมื่อพบว่ามันยังพับอยู่อย่างเรียบร้อยเมื่อนำออกมาและมีสะเก็ดน้ำแข็งติดเล็กน้อย

    " รหัสคืออะไร มิสเตอร์ลอฟ กรุณารีบบอกด้วย ผมไม่มีเวลามากนัก" มอสตี้พูดพลางกับเปิดสลักบางอย่างที่อยู่ในผนัง เห็นเป็นแป้นพิมพ์เช่นเดียวกับประตูกลเหล็กด้านบน

    " 0 9 6 8 8 0 3 5 8 2 1 7 4  9 " เมื่อมอสตี้กดรหัสครบสมบูรณ์ ก็เกิดเสียงปิ๊ปดังไปทั่วบริเวณ พร้อมกับเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของเขา

    " เอาล่ะ มิสเตอร์ลอฟ ทีนี้ คุณก็จะได้สิทธิในการชมและทำธุระ ในแลปแห่งนี้แล้ว แต่หากว่าคุณเกิดเป็นผู้บุกรุกที่แนบเนียนจริงๆแล้วล่ะก็ จำไว้เถอะว่าคุณจะไม่มีทางออกไปจากแลปนี้ได้อย่างแน่นอน"

    "ครับ ผมไม่มีทางเป็นผู้บุกรุกแน่นอน มอสตี้"

    " ดีครับ ทีนี้ เราก็จะลงลิฟต์ไปชั้นที่ 2 จะเป็นห้องแลปจริงๆของเรา จากที่นั่น เราจะเดินไปที่อีกปีกหนึ่ง แล้วลงลิฟต์อีกตัวไปยังสำนักงานของเรา ท่านเอลคิโพ ผอ.แห่งแลปแห่งนี้ วอลฟา ยินดีต้อนรับคุณเสมอ"

    " ขอบคุณครับ"

    " แล้วคุณมีธุระอะไรกับ ท่านผอ.หรือ มิสเตอร์ลอฟ"

    " ผมก็ไม่ทราบครับ รู้แต่ว่ามีพัสดุหนึ่งที่เจ้านายของผมสั่งให้นำมามอบให้ถึงมือ คุณเอลคิโพให้ได้"

    " อืม งั้นเราลงลิฟต์ไปกันได้เลยครับ มิสเตอร์ลอฟ" เขาพูดพลางกดปุ่มข้างๆประตูลิฟต์ สักพักเดียว เสียงโครกครากของลิฟต์สมัยก่อน ก็ดังขึ้น แล้วมอสตี้ก็เปิดประตูลิฟต์ออก เขาก้าวเข้าไปข้างในอย่างไม่มั่นในใจในความปลอดภัยของลิฟต์ตัวนี้มากนัก แล้วมอสตี้ก็ก้าวตามมาและปิดประตูลิฟต์

                    ลิฟต์ส่งเสียงดังโครกครากและเลื่อนลงอย่างรวดเร็ว ลิฟต์ลงเป็นระยะทางที่ค่อนข้างมากจนเขาไม่คิดว่า ลิฟต์ที่เพิ่งเรียกมานั้นจะเคลื่อนขึ้นมาได้เร็วขนาดนี้ เขานึกถึงคำของเอลคิโพขึ้นมาได้ "อย่าเชื่อในสิ่งที่คุณเห็น" แล้วลิฟต์ก็ลงมาจนสุดถึงชั้นสอง เขารู้สึกหายใจติดขัดเล็กน้อย

                    พวกเขาเดินออกจากลิฟต์ ภายนอกก็เป็นทางเดินเช่นเดียวกับที่เขาเคยเดินผ่านมาก่อนที่จะเข้าประตูใหญ่ เพียงแต่สว่างกว่าเล็กน้อยจากแสงของหลอดนีออนสีส้มนวลเท่านั้น พวกเขาเดินตรงไปเรื่อยๆและเขาก็เริ่มรู้สึกหายใจติดขัดมากขึ้นเช่นกันและที่มอสตี้ไม่รู้สึกบ้างนั้นเห็นจะเป็นเพราะชำนาญเสถานที่นี้มาหลายปีแล้วนั่นเอง ตามผนัง เขาเห็นกล้องวงจรปิดติดตั้งเป็นระยะๆ เป็นการจับตามองที่น่ารำคาญจริงๆ เขาคิด และในที่สุด เขาก็มาถึงสุดทาง เป็นประตูใหญ่เช่นเดียวกันกับประตูแรกที่เขาพบ แต่คราวนี้ไม่มีคอมพิวเตอร์

                    มอสตี้ เดินเข้าไปที่ประตู เปิดสลักออก แล้วก็เผยให้เห็นที่แสกนม่านตาเล็กๆ ซ่อนให้เห็นในที่ๆลับตายิ่งนัก ถ้าคนไม่รู้จักคงจะมองเห็นได้ไม่ง่าย มอสตี้นำตาของเขาไปเข้ากับเครื่องแสกน เมื่อเครื่องส่งเสียงปิ๊ปแล้ว ก็ปรากฏ แผงคีย์บอร์ด คราวนี้เป็นคีย์บอร์ดที่มีทั้งตัวอักษรและตัวเลข พร้อมกับจอมอร์นิเตอร์แอลซีดีขนาดเล็ก ที่เคลื่อนขึ้นมาจากประตูอย่างรวดเร็ว  โดยมีเวลานับถอยหลังอยู่บนจอแอลซีดี นับที่ 25 วินาที

                    มอสตี้คีย์พาสเวิร์ดของเขาลงไปบนคีย์บอร์ดอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาไม่ถึง10วินาที แม้รหัสจะยาวถึง 20 ตัวก็ตาม แล้วก็เกิดแป้นอีกอันหนึ่ง ดันขึ้นมาจากประตูเช่นกัน เขารีบกดนิ้วหัวแม่มือลงไปบนแป้นนั้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเสียงปิ๊ป ปิ๊ป ค่อนข้างยาว

    " ยินดีต้อนรับ มิสเตอร์มอสตี้ เอเดอร์วา"

                    ทันใดนั้นประตูเหล็กใหญ่ก็แยกออกเป็นสองส่วน เผยให้เห็นแลปของจริงที่อยู่ด้านหลังประตูเหล็กนี้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×