ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ✷ S O N D E R ✷

    ลำดับตอนที่ #6 : ❥ w a r f a r e {รับสมัครตัวละคร}

    • อัปเดตล่าสุด 29 เม.ย. 62




    APPLICATION


    cr.

    "มีเรื่องเกิดขึ้นในโรงอาหารอีกแล้วหรอ... น่าเบื่อชะมัด งั้นฉันขอตัวไปนั่งรอในห้องชมรมดีกว่ามั้ยเนี่ย?"

    "เฮ้ ของดูท่าจะหนักเหมือนกันนะ ให้ฉันช่วยไหม?" หัวเราะ "อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ ฉันไม่คิดเงินค่าช่วยถือของอะไรอย่างนั้นหรอก ฮ่ะฮ่ะ!"

    หาว "ติววิชานี้เสร็จแล้วไปพักกินขนมกันเหอะ ตาจะปิดอยู่แล้วเนี่ย... หืม? หวังจะให้ฉันเลี้ยงด้วยหรอไอ้พวกนี้นี่!" หัวเราะไปกับทุกคนก่อนที่จะบอกเพื่อน ๆ หลังจากนั้น "... เออ เลี้ยงขนมแค่นี้เองไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวค่อยมาจ่ายฉันคืนทีหลังก็ได้น่า"

    มองอีกฝ่ายที่ไม่ชอบหน้ากันด้วยสายตาเหยียดหยาม "ขอโทษนะครับ แต่ผมไม่ไว้ใจคุณ"



    บท:: {3.} Hamelin

    ชื่อ:: แมทธิส ริคเตอร์ / Matthis Richter 

    ความหมายชื่อ:: Matthis - Gift of God (ของขวัญจากพระเจ้า); Richter - Judge (ผู้ตัดสิน)

    ชื่อเล่น:: แมท / Matt; ถ้าอยากอินดี้หรือกวนน้องจะเรียก แมทธิว / Matthew หรือ แมทตี้ / Matty ก็ได้ค่ะ

    ชั้นปี:: 2

    อายุ:: 17 ปี

    ฝั่ง:: ครีเอ {ผู้สร้าง}

    ระดับพลังเวทย์:: ค่อนข้างสูง

    ส่วนสูง/น้ำหนัก:: 178 ซม. / 64 กก.

    รูปร่างลักษณะ::
         เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งเฉียดหกฟุต กล้ามพอดี ๆ ที่แขนและขาบ่งบอกได้ถึงการเล่นกีฬาอยู่บ้างของเจ้าตัวกับผองเพื่อนร่วมชั้น ใบหน้าคมคายที่มาพร้อมกับจมูกโด่งเป็นสันและดวงตาสีเทาคล้ายเส้นผมแอชบลอนด์ของตัวเอง ถึงคิ้วเข้มและสายตาจริงจังอาจจะทำให้ดูเข้าหายากเล็กน้อยเมื่อมองเผิน ๆ แต่ถึงกระนั้นสีหน้าเรื่อย ๆ และรอยยิ้มติดปากต่างหากที่สื่อถึงความอัธยาศัยดีที่เป็นตัวตนของเขา กิริยาอิริยาบถสามารถเป็นตามฉบับผู้ดีเข้าสังคมได้เสมอยามที่อยู่ต่อหน้าอาจารย์ที่เคารพหรือคุณพ่อคุณแม่ที่บ้าน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเพื่อนที่ไว้ใจมารยาทที่ตั้งตรงก็จะขดลงตามความสบาย (ทรงผมเขาเองก็เช่นกัน ยิ่งถ้าไม่ต้องเจอบุพการีก็ยิ่งปล่อยให้มันชี้ไปชี้มาอย่างกับอะไรดี) ซึ่งจะว่าเก็บกดหน่อย ๆ ก็คงจะไม่ผิดซักทีเดียว... ทว่าสิ่งอย่างหนึ่งที่มีเสมอไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าใครก็ตามคือสายตาไม่ยอมคนและหัวที่ไม่เคยจะก้มให้คนที่เขาเห็นว่าไม่สมควร แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้เขาโดนลงโทษอยู่บ่อยครั้งไม่ว่าจะเป็นที่โรงเรียนหรือที่บ้านของตน
         ถ้าหากเลือกได้เขาก็มักจะแต่งตัวตามแฟชั่นที่เจ้าตัวมองว่า 'เท่ดี' โดยปกติผู้คนก็มักจะเห็นเขาในเสื้อยืดคอกลมสีดำ กางเกงยีนส์และเสื้อแจ็คเก็ตหนังหรือเสื้อกันหนาวมียี่ห้อเข้าชุด ส่วนในวันที่อากาศร้อนเขาก็มักจะเปลี่ยนเป็นเอาเสื้อนอกไปพันไว้ที่เอวแทน ถึงบางคนอาจจะไม่กล้าเข้าหาเขาด้วยชื่อเสียงของนามสกุล แต่วางใจได้ว่าเขาไม่ใช่คนถือตัวหรอกเพราะดูท่าทางแมทธิสเองก็เหมือนจะไม่เคยห่วงว่าตัวเองจะ 'ดูไม่หล่อ' หรืออะไรขนาดนั้นด้วยซ้ำไป โดยส่วนตัวเขามองว่าการอวดรวยเป็นอะไรที่ไร้สาระสิ้นดี เขาแค่แต่งตัวและใช้ชีวิตตามที่ตัวเองเห็นชอบว่าดีก็พอแล้ว
         ... จะว่าไปแล้ว อีกอย่างหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของแมทธิสคือนิ้วมือที่ยาวสวยและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี พวกมันไม่มีแผลเป็นเลยแม้แต่น้อยและดูจะอ่อนช้อยคล่องแคล่วกว่าของคนทั่วไปด้วยซ้ำ...

    อุปนิสัย::
         Hand-Lender: เกือบทุกคนที่เคยคุยกับแมทธิสคนนี้คงจะให้คำตอบเป็นเสียงเดียวกันหมดเมื่อถูกถามว่าเขาเป็นคนยังไง ด้วยความเป็นคนชอบช่วยเหลือคนอื่นแบบไม่หวังผล และรอยยิ้มจริงใจน่าชมเชยบนใบหน้านี้เองที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในทางที่ดีในคนหมู่มาก (โดยส่วนใหญ่น่ะนะ... แน่นอนว่าเขาก็ยังมีกลุ่มคนที่ไม่ชอบหน้าเขาพอ ๆ กับที่เขาไม่ชอบอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน) บางคนอาจจะแปลกใจเมื่อได้ยินว่าแมทธิสไม่ใช่คนถือตัว แถมเขายังชอบเข้าหาคนอื่นจนเรียกได้ว่าเพื่อนนั้นมากมีและเต็มไปหมดอีก (แต่เวลาทำความรู้จักกับใครแล้วอีกฝ่ายดูไม่อยากสนิทกับเขา แมทธิสก็ถอยนะ การเคารพความคิดเห็นของคนอื่นดูจะเป็นสิ่งที่เขาพยายามทำอยู่ตลอด) ถ้าอยากลองจินตนาการว่าเขาเป็นคนนิสัยยังไง ลองนึกถึงเพื่อนร่วมกลุ่มทำงานในอุดมคติก็ได้ ประเภทที่ทั้งไม่เกี่ยงงาน ไม่ค่อยถือสาเวลาโดนตั้งคำถามเกี่ยวกับการตัดสินใจ และช่างสังเกตอิริยาบถและความรู้สึกของคนรอบข้างนั่นแหละ... แต่ถึงโดยปกติแมทธิสจะเป็นคนที่ชิล ๆ แค่ไหน เขาก็ไม่ถึงกับเป็นคนดีศรีประเสริฐดั่งพ่อพระอะไรหรอกนะ เพราะเขาเองก็ไม่ได้พร้อมจะให้คนอื่นอยู่ตลอดเวลาโดยที่ไม่คำนึงถึงตัวเอง และมันก็ยังมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจจนของขึ้นได้อยู่เสมอ
         Fun-Loving, But Never Senseless: ช่วงเวลาที่อยู่กับแมทธิสมักจะเป็นข่วงเวลาที่ดีเสมอ เขาเป็นเด็กหนุ่มที่รักสนุกและชอบเฮฮาไปกับผองเพื่อนที่รู้ใจ นอกจากนี้ยังแอบมีปากที่ชอบหยอกหรือกวน ๆ คนที่เขาสนิทอีกด้วย มันเป็นอะไรที่สังเกตง่ายมากเพราะหนุ่มแอชบลอนด์คนนี้มักจะมีรอยยิ้มที่กว้างจนเห็นเขี้ยวทุกครั้งที่ตัวเองมีความสุข แต่ก็อย่ากังวลไป เพราะเหนือสิ่งอื่นใดความสนุกนั้นก็ต้องอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมเสมอ เขามีหัวที่ดีในการตัดสินว่าสิ่งใดควรทำและสิ่งใดไม่ควรทำ จะบอกว่าแมทธิสแยกแยะเวลาที่ควรเล่นกับควรจริงจังเก่งก็คงจะใช่ เพราะความรับผิดชอบของเขามีมากพอจะไปเทียบกับผู้ใหญ่คนหนึ่งได้เลยล่ะ โดยอย่างยิ่งถ้ามันเกี่ยวกับสิ่งที่เขาสนใจหรือ/และอยู่ใต้เขาโดยตรงอย่างชุมนุมดนตรีคลาสสิคของเขา เป็นต้น
         A True Richter: ราวกับว่าตัวเองปฏิบัติตามความหมายของนามสกุล หนึ่งในสิ่งที่แมทธิสทำมาตลอดคือการไม่ค่อยจะฝักใฝ่อยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในเกือบทุกสถานการณ์ที่เขาเจอมา เขามักจะเป็นกลางอยู่เสมอ ๆ และไม่ชอบการตัดสินคนจากกลุ่มที่จากมาแต่เลือกที่จะตัดสินจากการกระทำส่วนบุคคลที่เขาเห็นด้วยตาแทน และเมื่อตัดสินใจได้ว่ารู้สึกอย่างไรแมทธิสก็มักจะไม่โอนเอียงความคิดเห็นแม้คนส่วนใหญ่จะว่าอย่างไรก็ตามเสียด้วยสิ เขามีความเป็นตัวของตัวเอง และมั่นคงในความคิดความเชื่อของตนอย่างสม่ำเสมอ นอกเหนือจากนี้เขายังยึดถือในหลักคำสอนที่ว่า 'ดีมาดีกลับ ถ้าร้ายมาก็ร้ายกลับ' เป็นอย่างมาก ประกอบกับความคิดของเขาบวกกับที่คุณพ่อเคยให้บทเรียนเรื่องนี้มาก่อนในอดีต 'การกระทำมันย่อมสำคัญกว่าคำพูด' นี่นะ?
         Pacifist?: ด้วยความที่ต้นทุนเป็นคนรักสงบมาแต่ไหนแต่ไร แถมยังไม่เห็นด้วยกับการต่อสู้ทำให้แมทธิสไม่ค่อยชอบการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างฝั่งผู้สร้างและผู้ทำลายไปโดยปริยาย ความขัดแย้งเป็นอะไรที่ดูเสียเวลาและทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายเอามาก ๆ เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเวลาที่เห็นแมทธิสหัวเสียเล็ก ๆ กับข่าวคราวเรื่องการตีกันระหว่างใครกับใครซักคน หรือเมื่อต้องรับมือกับคนประเภทขวางโลกที่ชอบจุดชนวนหาเรื่องคนอื่นไปทั่ว ถึงจะเป็นเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานานแค่ไหนแต่ถ้าหากคุณดันเอาตัวเองเข้าไปหาเรื่องกับคนอื่นโดยไร้เหตุผล ก็ขอให้รู้ไว้เลยว่าแมทธิสน่ะดุไม่เลือกหน้าหรอกนะถ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เผลอ ๆ ยิ่งด้วยความรักเพื่อนของเขาเองที่อาจจะทำให้เขาดุคุณหนักกว่าที่จะไปใส่ใจกับคู่กรณีของคุณอีกด้วยซ้ำ เวลาไปเจอการทะเลาะกันจัง ๆ เข้า ถ้าแมทธิสห้ามได้โดยที่ไม่ลำบากเกินไปเขาก็จะห้าม (ยิ่งถ้าปรากฏว่าเป็นด้วยเรื่องขี้ปะติ๋วนี่... //ไฟในหัวลุกพรึบ---) แต่ในบางทีตัวเขาเองก็อยากจะแอบหายตัวแล้วหนีไปไกล ๆ ในช่วงที่ไม่มีใครสังเกตแล้วรอจนกว่าทุกอย่างมันจะสงบจึงค่อยโผล่หัวมาอีกรอบ เพราะบางทีการเจออะไรแบบนี้บ่อย ๆ เข้ามันก็เหนื่อยใจเหมือนกัน
         Best Served Cold: ด้วยอุปนิสัยพอเกลียดใครแล้วเกลียดแรงอันเลื่องลือ ชนิดที่ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครนี้เองที่ทำให้เขาถูกลงโทษอยู่หลายครั้งแต่ก็ดันไม่เคยเข็ดซักที แมทธิสไม่ใช่คนที่เชื่อในโอกาสที่สองเพราะถ้าเกิดว่าคุณเคยทำพลาดอย่างการหักหลัง หรือเอาเปรียบเขาไปแล้วครั้งหนึ่ง เรื่องอะไรจะให้เขาลืมข้อผิดพลาดของคุณและให้ความไว้ใจกับคุณอีกครั้งกันละ? เขาไม่ใช่คนดีขนาดนั้นที่พร้อมจะให้อภัยใครได้ทุกเมื่อหรอก เพราะฉะนั้นทางที่ดี หากแมทธิสให้โอกาสโดยการไว้ใจคุณแล้ว อย่าทำให้เขาผิดหวัง เพราะเขาจะไม่มีวันลืมและเผลอ ๆ คุณอาจจะได้การจองเวรสนองคุณกลับไปอีกต่างหาก... และอย่าเข้าใจผิดไปว่าคนที่ไม่ชอบการต่อสู้อย่างเขาจะไม่สามารถหาทางแก้เผ็ดได้ แค่ลองเจอวาจาไม่มีหูรูดเวลาเขาเกลียดใครเข้าให้สิ เพียงแค่นั้นก็แสบสันไปถึงไหนถึงกันแล้ว นอกจากคำพูดถากถางจิกกัดแล้วเขาก็ยังมีความเจ้าเล่ห์ที่จะงัดออกมาใช้แค่ในสถานการณ์แบบนี้ด้วย เพราะความจริงใจและความเคารพนั้นมันมีไว้แค่สำหรับคนที่เขาเห็นว่าสมควรได้รับเท่านั้นแหละ...

    ลักษณะการพูด:: แมทธิสเป็นคนเสียงออกต่ำ ๆ ที่ให้ความรู้สึก boyish แบบหนุ่มวัยรุ่นพร้อมเล่นพร้อมลุยได้เป็นอย่างดี เป็นคนพูดฉะฉานมาแต่ไหนแต่ไรด้วยการสั่งสอนจากที่บ้าน นอกเหนือจากนี้ยังมีติดสบถกับตัวเองเวลาที่หัวเสียหรือเจออะไรไม่คาดหวังด้วย
         1) โดยปกติ - มักจะแทนตัวเองว่าฉันและเรียกคนอื่นด้วยชื่อ (บางทีก็นายหรือเธอ) ด้วยความอัธยาศัยดีของเจ้าตัวทำให้แมทธิสมักจะพูดคุยกับคนอื่นด้วยความเป็นกันเองและสนิทสนมอยู่เป็นนิจ กับคนที่อายุมากกว่าก็มักจะแทนตัวเองว่าผม แต่ถ้ากับคนที่มีเหตุให้เขาไม่ชอบหน้า แมทธิสก็จะใช้คำพูดออกแนวห้วน ๆ และจิกกัดหน่อย ๆ และไม่เรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อเลย
    → "เฮ้ (ชื่อเพื่อน)! เป็นไงบ้างล่ะ ได้ข่าวว่านายเพิ่งหายป่วยนี่?" เขาเข้ามาหาพร้อมกับตบไหล่เพื่อนของตนเบา ๆ "จะยังไงก็อย่าโหมตัวเองละกัน มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะ อย่างจะยืมโน้ตตอนช่วงที่นายลาหยุดไปอะไรงี้... แต่ก็คงต้องอ่านลายมือฉันให้ออกก่อนสินะ" แมทธิสพูดหยอก ๆ เขาชูนิ้วโป้งเป็นกำลังใจให้อีกฝ่ายก่อนจะทำตาโตเมื่อเห็นเวลาที่ผ่านไปบนนาฬิกาข้อมือ "อ่า ฉันต้องไปแล้วสิ งั้นเดี๋ยวเจอกันนะเพื่อน!"
    → แมทธิสขมวดคิ้วทันทีที่เห็นคนที่คุ้นตาเดินเข้ามาใกล้ เขากอดอกและมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความฉุนเฉียวที่กลบไม่มิด "... อาจารย์มีธุระอะไรหรอครับ?" ถึงถ้อยคำจะสุภาพแต่น้ำเสียงนั้นกลับหุนหันพอที่จะทำให้คนเป็นครูอ้าปากเตรียมต่อว่า แต่กระนั้นแมทธิสก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาปรามทันทีที่เสียงกริ่งเปลี่ยนคาบดังขึ้น "ผมต้องไปเรียนแล้วล่ะครับ... หรืออาจารย์อยากให้ผมเข้าเรียนสาย?" เขาพูดขึ้นมาขัดอีกครั้งเมื่ออาจารย์กำลังจะเปล่งเสียงดุ ชายหนุ่มยักคิ้วให้อีกฝ่ายที่กำลังหน้าขึ้นสีด้วยความโมโหก่อนที่เขาจะรีบเก็บข้าวของบนโต๊ะและหันหน้าเดินออกจากห้องไปอย่างไม่รีรอ ทิ้งให้อาจารย์เป็นคนเดียวที่เหลือในห้องอย่างน้อยใจเล่น ๆ โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง

         2) ดีใจ - นิ้วมือเรียวสวยที่เคาะอยู่กับโต๊ะด้วยความกังวลใจต้องหยุดลงเมื่อถึงตาตัวเองเดินไปรับใบข้อสอบกับอาจารย์ที่หน้าห้อง แต่ทว่าสีหน้าซีดหวาดกลัวก็ถูกกลบด้วยความตกใจในทันทีเมื่อเขาเห็นตัวเลขที่หัวมุมกระดาษ "เฮ้ย!" พระเจ้า...! เพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่ถนัดวิชานี้จึงตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือทบทวนอยู่เป็นอาทิตย์จนต้องลดเวลาเข้าชมรมไปด้วยซ้ำ สายตาเหลือเชื่อกวาดดูคำตอบบนกระดาษที่มีรอยเช็คถูกอยู่ทั่ว ก่อนที่จะดึงกระดาษเข้ามากอดและรีบวิ่งกลับไปหากลุ่มเพื่อนรอบโต๊ะตัวเองอย่างไม่รีรอ
         "ผ่านวะ!" รอยยิ้มบนหน้ากว้างจนแก้มปริทำให้เห็นเขี้ยวของชายหนุ่มชัดกว่าปกติ "แถมได้คะแนนดีด้วย!" เสียงโห่ร้องยินดีของผองเพื่อนทำให้เขายกแขนกอดคอเพื่อนที่อยู่ข้าง ๆ ก่อนจะพูดต่ออย่างเริงร่า "เดี๋ยววันนี้ฉันเลี้ยงน้ำเอง! โล่งอกไปที นึกว่าจะต้องเจียดเวลาซ้อมดนตรีมาสอบซ่อมแล้วซะอีก ฮ่าฮ่า!" เมื่ออาจารย์ได้แจกคะแนนเสร็จสิ้นและสั่งให้ทุกคนกลับไปนั่งที่ แมทธิสก็ยังคงมองแผ่นข้อสอบในมือพร้อมกับรอยยิ้มบางที่ทำให้ตาเขาหยีกว่าปกติ
         แมทธิสนั่งผิวปากเพลงเบา ๆ ไปเกือบตลอดเวลาที่เหลือของคาบนั้นนั้น

         3) เขินอาย - เสียงหวีดวิวหยอกล้อจากคนรอบข้างทำให้เขาต้องตีหน้านิ่งในขณะที่มือก็ใช้ยันหัวคนที่พยายามชะโงกเข้ามาใกล้ แต่ถึงกระนั้นสุดท้ายก็ขึ้นเรื่อแดงที่ปลายหูอย่างช่วยไม่ได้ แมทธิสชูนิ้วกลางให้เพื่อนตัวเองไปอย่างเน้น ๆ ก่อนที่จะหยิบซองจดหมายที่จ่าหน้าชื่อถึงตัวเขาพร้อมกับรูปหัวใจเล็ก ๆ พับเก็บเข้ากระเป๋ากางเกงไป ให้ตายเถอะ "รำคาญว่ะ ขยับออกไปหน่อยไอ้พวกนี้นี่..." เขาพูดกระปอดกระแปด พวงแก้มแดงยิ่งขึ้นสีเข้าไปใหญ่เมื่อถูกเพื่อนรบเร้าให้อ่านดูว่าใครไปคนนำจดหมายนี้มาสอดไว้ในหนังสือของเขา แต่ทุกคนก็ล้วนถูกหนุ่มผมบลอนด์เทาไล่ออกไปจากห้องเสียหมดเมื่อเสียงคะนองเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ "... ออกไปได้แล้วน่า! เสียงดังรบกวนคนอื่นเขา เดี๋ยวก็เกิดเรื่องหรอก" เขากระซิบส่วนท้ายของประโยคราวกับเป็นคำขู่ เหล่าเพื่อนที่เข้าใจดีถึงเรื่องที่แมทธิสไม่ชอบความขัดแย้งจึงยอมสลายโต๋กันไปเองในที่สุด เหลือเพียงแต่เขาที่ปล่อยให้ตัวเองนั่งเก้าอี้ไปพร้อมกับหน้าที่แดงอย่างสุดขีด สีหน้าออกฉุนเฉียวเมื่อครู่สลายหายกลายเป็นความเขินอายพร้อมกับมือที่ดึงซองจดหมายออกมาอย่างสั่นระรัว เขากลืนน้ำลายฝืดลงคอ "ใครเป็นคนเขียนเนี่ย... โอ๊ย เขินโว้ย...!" จบลงที่เขาเองก็ไม่กล้าเปิดดู แมทธิสฟุบหน้าลงกับแขนตัวเองที่วางพับกับโต๊ะพร้อมกับกัดฟันระบายความรู้สึกให้เบาที่สุดที่ตัวเองทำได้

         4) เสียใจ - "อะไรวะเนี่ย..." ถึงปากจะพร่ำบอกว่าไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจอะไรเลยแค่ไหน แต่ตัวเขาเองก็รู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันผ่านไปแล้วและเขาก็จะไม่มีวันได้กลับไปแก้ไขมันอีก แมทธิสยกมือขึ้นมาดึงผมตัวเองในขณะที่ขาก็เริ่มอ่อนแรงลงจนไม่อยากจะยืนต่ออีก เขาปาดน้ำตาตัวเองอย่างลวก ๆ ก่อนที่จะรวมแรงฮึดสุดท้ายเพื่อวิ่งไปหาที่ที่เขาจะสามารถอยู่โดยลำพังได้
         "... อะไรก-กันเนี่ย ฮึก ทำไมเรื่องแบบนี้มันถึงเกิดขึ้นได้ ม-ไม่ เราทำอะไรผิดไป ฮะ-ฮึก..." ความผิดหวังบนใบหน้าของหลาย ๆ คนที่เขารักยังคงติดตาอยู่แม้จะพยายามขยี้ให้มันหายไปแรงแค่ไหนก็ตาม ในห้องว่างที่มีเขาอยู่เพียงคนเดียวก้องไปด้วยเสียงสะอื้นของชายหนุ่มที่เหลือเพียงแต่คำก่นด่าตัวเองที่ไม่สามารถทำให้อะไร ๆ มันออกมาดีกว่านี้ได้...
         "ไร้ประโยชน์สิ้นดี ม-แมทธิส นี่นายทำบ้าอะไรของนายอยู่วะเนี่ย...! ฮึก" แล้วเขาจะยังมีหน้าเรียกตัวเองว่าริคเตอร์ มีหน้ากลับไปหาทุกคนที่บ้านอีกหรอ?

         5) โมโห - เงียบ... มันเงียบจนทั้งห้องสัมผัสได้ถึงความมาคุที่เพิ่มขึ้นในบรรยากาศ สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ชายหนุ่มที่มักจะมีรอยยิ้มอ่อนแต้มที่มุมปากอยู่เสมอ แต่ในชั่วโมงนี้สีหน้าของเขากลับบึ้งตึงไปด้วยความโมโหจัดราวกับพายุฝนที่พร้อมจะกวาดทำลายทุกสิ่งที่ท้าทายมัน คิ้วเข้มขมวดเข้าด้วยกันในขณะที่มือของเขาก็จับในกระดาษในมือแน่นจนมันยับยู่ยี่ไปหมด แต่ใครจะไปรู้ว่าดวงตาสีสวยน่ามองที่เป็นปกติของแมทธิสมันจะเปลี่ยนไปจนน่ากลัวขนาดนี้ได้?
         "ที่จริงเป็นคนแบบนี้?" น้ำเสียงที่เคยน่าฟังกลายเป็นประโยคห้วนที่ทำให้หลาย ๆ คนในห้องสะดุ้ง แต่แมทธิสก็ไม่ละสายตาไปจากคนที่ยังอยู่ตรงหน้า คนที่เขาจะไม่มีวันเรียกว่าเพื่อนอีกต่อไป "นี่วางแผนมานานแล้วหรือยัง? ที่ตั้งใจตีสนิทฉันเพื่อมาหวังผลอะไรโง่ ๆ แบบนี้น่ะ?" แรงที่เขาใช้วางกระดาษบนพื้นโต๊ะก่อเสียงดังจนคนที่นั่งฟังคำต่อว่าอย่างเถียงไม่ได้ผวามากกว่าเดิม
         "ไม่เคยมีใครบอกหรอว่าทำนิสัยสกปรกแบบนี้แล้วจะเป็นยังไง? หรือคิดว่าตัวเองเก่งพอที่จะไม่มีวันถูกจับได้?" เขาหัวเราะเหอะออกมา ราวกับเป็นสัญญาณสื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า 'คุณถอยออกจากจากข้อผิดพลาดนี้ไม่ได้แล้วล่ะ'
         "... แต่เสียใจด้วยนะ พอดีฉันจับได้ว่ะ"
         น่าเสียดายที่ยังมีบางคนไม่รู้... แต่พายุฝนพอมาแล้วมันไม่ยอมสงบลงง่าย ๆ หรอก

         Bonus) ต่อหน้าคนในครอบครัว - ต่อหน้าคุณพ่อคุณแม่แมทธิสจะพูดน้อยกว่าปกติและสุภาพอย่างมากจนผิดที่หลายคนคุ้นเคยไปเลยทีเดียว คงจะมีแต่พี่สาวต่างแม่ที่เขาคุยอย่างสนิทสนมด้วยสมที่เป็น 'ครอบครัว' กัน
    → "ครับ" แมทธิสก้มหัวเป็นว่ารับฟังคำพูดของอีกฝ่ายที่หัวโต๊ะ เมื่อเงยขึ้นมาดวงตาสีเทาของเขาก็สบเข้ากับดวงตาสีเดียวกันของผู้เป็นบิดา มันเหมือนกันจนหลาย ๆ คนก็เคยบอกว่าเขาน่ะเหมือนกับคนตรงหน้าในสมัยก่อนไม่มีผิดเพี้ยน เอ่อ... ถึงตัวเขาเองจะมองเป็นอย่างนั้นไม่ค่อยออกก็ตามเถอะ "เข้าใจแล้วครับ งั้นผม... ขอตัวก่อนนะ" เขาหลุบตาไปมองที่พื้น จะอย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องน่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่เคยมีโอกาสได้สนิทกับบุคคลที่ได้ชื่อว่าคุณพ่อเลยจริง ๆ
     "เฮ้เทส" เจ้าของชื่อฮัมตอบในขณะที่มือก็ยังไม่หยุดขยับ ตาของเธอยังคงจ้องไปที่หัวปากกาที่กำลังเขียนอยู่แม้น้องชายตัวดีจะเดินเข้ามาอยู่ในห้องแล้ว แมทธิสลดหนังสือในมือลงเมื่อเทสซ่าไม่ตอบขานอย่างปกติ ก่อนที่เขาจะตั้งคำถามขึ้นมาเมื่อเห็นสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังตั้งหน้าตั้งตาเขียนอยู่
         "ทำอะไรอยู่น่ะ หืม งานอีกแล้วหรอ?" น้ำเสียงของเด็กหนุ่มแอบแฝงไปด้วยความผิดหวังเล็ก ๆ "อะไรกัน... ทั้งที่นาน ๆ ทีจะได้เจอกันแท้ ๆ" เขาถอนหายใจกับตัวเอง
         ถึงจะพูดอย่างนั้นออกไป แต่ในนาทีต่อมาแมทธิสก็ลากเก้าอี้อีกตัวเข้าไปนั่งกับพี่สาวของตัวเอง หนังสือที่เขาไปเจอเข้าได้ถูกวางลงและปากกาอีกด้ามหนึ่งก็ถูกหยิบขึ้นมาแทน สีหน้าอมผิดหวังถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มกว้างที่เข้ากับตัวเขาได้เป็นอย่างดี ทำเอาสาวเจ้าเงยหน้าขึ้นมาเลิ่กคิ้วให้กับชายหนุ่มเป็นเชิงสงสัย "งั้นก็ให้ผมช่วยทำแล้วกันนะ จะได้เสร็จไว ๆ" ตัวพี่สาวเมื่อได้ยินดังนั้นจึงเผลอใจไม่ได้ดึงตัวน้องชายเข้ามายีหัวให้หายหมั่นเขี้ยวก่อนที่จะตอบตกลง
         จึงเป็นชั่วโมงที่เต็มไปด้วยบทสนทนาเรียบง่ายระหว่างสองพี่น้องและเสียงหัวเราะเมื่อใดก็ตามที่แมทธิสเล่นมุกหรือคำพูดกวน ๆ อะไรออกมา

    ประวัติความเป็นมา::
         แมทธิส เด็กหนุ่มแต้มด้วยรอยยิ้มที่ชอบแนะนำตัวด้วยเพียงแค่ชื่อจริง... เขาเกิดมาในบ้านของคุณพ่อผู้เป็นนักการเมืองมีสกุลและคุณแม่ที่เป็นภรรยาสาวคนที่สองหลังการหย่าร้าง ถึงสถาบันครอบครัวจะมีทุกอย่างดีพร้อมแค่ไหน ไม่ว่าจะฐานะเงินทอง การศึกษา และต่าง ๆ นานาที่เป็นต้นทุนในการใช้ชีวิต แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ขาดไปอย่างช่วยไม่ได้ก็คือการได้ใช้เวลาด้วยกันพร้อมหน้าฉันญาติของครอบครัวริคเตอร์ ในวัยเด็กแมทธิสเติบโตมากับแม่เลี้ยงและเหล่าพ่อบ้านที่คอยเล่นกับเขาและต่างช่วยกันเติมเต็มช่วงเวลาในบ้านที่คุณพ่อคุณแม่ติดธุระเกี่ยวกับงานอยู่บ่อยครั้ง และนอกเหนือไปจากนี้เขาก็อาศัยการอยู่เล่นกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนหรือขะมักเขม้นซ้อมดนตรีที่เขารักเพื่อคลายความเหงาในวันที่ตัวเองไม่อยากรบกวนคนที่บ้าน นับเป็นโชคดีและด้วยความพยายามของทุกคนนี้เองที่ถึงแม้สถานการณ์ที่บ้านอาจจะทำให้เขาพร่องเรื่องความสนิทสนมกับบุพการีอยู่บ้าง แต่แมทธิส ริคเตอร์ก็โตมาเป็นเด็กหนุ่มอัธยาศัยดีคนหนึ่งที่เลือกที่จะไม่คิดแค้นอะไรมากกับคุณพ่อคุณแม่ด้วยความเข้าใจเรื่องการงานที่หนักหนาของพวกท่าน และเรียนรู้ที่จะให้คุณค่ากับสิ่งที่เขาได้และมีอยู่แล้วแทน แค่ความรักความอบอุ่นจากผองเพื่อนและคนที่เขาไว้ใจ และเสียงคลาสสิคของเครื่องดนตรีเป่าลมไม้แมทธิสก็พอใจแล้ว... ถึงแม้จะเป็นด้วยเหตุนี้เองนี้แหละที่ทำให้ชายหนุ่มดูอึดอัดใจเล็ก ๆ เวลามีคนซักถามถึงเรื่องความสัมพันธ์กับที่บ้าน (นาน ๆ ทีที่จะได้อยู่กับคุณพ่อ คุณพ่อก็มักจะเอาเวลานั้นสอนเรื่องสำคัญอย่างมารยาท การรู้กาลเทศะ การวางตัว และอื่น ๆ เสียซะส่วนใหญ่ไปอีก)
         ทว่า จะพูดว่าเขาไม่สนิทกับสมาชิกครอบครัวคนไหนเลยก็คงจะผิดไป เพราะโชคเข้าข้างว่าเมื่อตอนเขาอายุยังน้อย ภรรยาคนแรกของคุณพ่อที่มาแวะที่บ้านด้วยเรื่องเอกสารการแบ่งทรัพย์สินหลังหย่าได้พาเด็กสาวคนหนึ่งที่โตกว่าเขาแต่กลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดมาด้วย ซึ่งเธอคนนั้นก็คือเทสซ่า พี่สาวต่างแม่ที่ไม่เคยมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม แถมยังเข้าหาเขาด้วยความอัธยาศัยดีประเภทที่เผิน ๆ ดูแล้วเหมือนนิสัยของตัวเขาไม่มีผิด และด้วยเหตุนี้เองทำให้ทั้งสองคนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยในที่สุด... เป็นภาพน่าเอ็นดูที่ทำให้เหล่าพ่อบ้านแม่บ้านของครอบครัวริคเตอร์ รวมไปถึงคุณพ่อคุณแม่ที่แอบดูอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ (?) ต่างยิ้มยินดีกันเลยทีเดียว (คุณพ่อของแมทธิสกับคุณแม่ของเทสซ่าเลิกรากันแบบเต็มใจทั้งสองฝ่ายค่ะ ซึ่งเทสซ่าก็เป็นผู้หญิงที่สตรองเหมือนคุณแม่ของเธอนี่แหละถึงกระนั้นเพราะเทสซ่าและแม่ของเธออาศัยอยู่ในเมืองที่ไกลออกไปจึงทำให้เธอมาเยี่ยมเขาได้ไม่บ่อยหนัก เมื่อคิดไปคิดมาแล้วเธอจึงตัดสินใจซื้อหนูตะเภาขนฟูฟ่องหน้าตาน่ารักตัวหนึ่งเป็นของขวัญให้กับแมทธิสในวัย 11 ปีนั่นเอง
         จะว่าไปแล้ว 'ปัญหาเกี่ยวกับครอบครัว' ที่แมทธิสดูจะไม่ชอบใจมากที่สุด ดูท่าแล้วจะเป็นเรื่องนามสกุลของเขาเสียมากกว่าด้วยซ้ำ อาจจะฟังดูน่าตลกแต่มันก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับเด็กหนุ่มตาน้ำข้าวคนนี้ โดยเฉพาะในบางครั้งที่ผู้คนคาดหวังอะไรบางอย่างมากกว่ากับคนอื่นทันทีที่ได้ยินชื่อเต็มของเขา... จะให้แมทธิสโทษกลุ่มคนพวกนั้นก็ดูไม่ใช่ที แต่ให้ตายเถอะ...! บางทีก็ไม่ต้องคาดหวังมากว่าเขาจะเก่งเวทย์กว่าคนอื่น, เป็นเด็กกร่างนิสัยเสีย, มีเส้นใหญ่กับxxx หรืออะไรทำนองนี้ได้ไหม?!


    cr.


    ชอบ::
     น้องหนูตะเภาของเขาที่ชื่อว่า เชรี  / Cherie (ซึ่งแปลว่า Darling / ที่รักนั่นเองงงง) - กลายเป็นคนมุ้งมิ้ง (?) หวีดและถนุถนอมน้องมาก หวงแบบสุด ๆ แต่ไม่วายแอบชอบอวดถึงความน่ารักของสุดที่รักของเขาให้คนอื่นฟัง ["นี่ไง ๆ เชรีของผม เธอคอยอยู่เคียงข้างผมตลอดมาเลยนะเนี่ย! น่ารักใช่ไหมละ แถมยังขนนุ่มมากอีกด้วยนะ~"]
    → ดนตรีคลาสสิค - เขาชอบมันมาตั้งแต่ก่อนคุณแม่จ้างครูมาสอนตั้งแต่ยังเด็กเสียอีก เสียงดนตรีคือสิ่งที่คอยช่วยเขาผ่อนคลายหรือคลายความรู้สึกไม่ดีในใจมาเสมอ ในปัจจุบันอย่างเวลาทำการบ้านหรืออยู่ตัวคนเดียวในห้องนอนแมทธิสมักจะเปิดดนตรีคลาสสิคคลอ ๆ ให้ตัวเองอารมณ์ดี และบางทีเขาก็ชอบผิวปากตามทำนองไปด้วยความเคยชิน
    → เวลาพี่สาวมาเยี่ยม - คงจะไม่มีใครที่เข้าใจสถานการณ์ของเขาได้ดีเท่าเธออีกแล้วล่ะ การได้พูดคุยถามสารทุกข์สุขดิบกับเธอเทำให้เขาสบายใจได้อยู่เสมอ ในแต่ละครั้งมันเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ทำให้แมทธิสคิดไปว่าบางทีครอบครัวของเขาก็เป็นครอบครัวที่มีความสุขเหมือนใคร ๆ เขาได้เหมือนกัน

    ไม่ชอบ::
    → การอยู่คนเดียว - เป็นมาตั้งแต่เด็กด้วยครอบครัวที่เจ้าตัวมี มักจะพยายามเกาะกลุ่มอยู่กับเพื่อนเสมอ ๆ ถ้าอยู่ตัวคนเดียวในห้องจะชอบเปิดเพลงหรือหยิบเครื่องดนตรีตัวเองมาซ้อมให้มันไม่เงียบ เป็นการแก้เคล็ดเพื่อจะได้ไม่รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว
    → ความขัดแย้งระหว่างฝั่งผู้สร้างและผู้ทำลาย - เพราะโดยนิสัยก็ไม่ชอบการทะเลาะวิวาทอยู่แล้ว

    เกลียด::
    → คนสองหน้า หรือการถูกเอาเปรียบ - ด้วยเหตุผลที่บ้านเขามีฐานะและพอมีชื่ออยู่บ้างทำให้มีคนพยายามเข้าหาเขาด้วยจุดประสงค์อื่นในหัวอยู่เป็นระยะ ๆ แน่นอนว่าเป็นใครเจอแบบนี้เข้าก็ต้องเกลียด แล้วถ้ายิ่งเคยเจอถี่ ๆ คิดว่าเขาจะรู้สึกยังไงละ? ... เมื่อเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้เข้า Reaction แรกคือใบหน้าที่ค่อย ๆ เปลี่ยนจากรอยยิ้มอ่อนกลายเป็นนิ่วหน้าพอเริ่มรู้ตัวว่าโดนหลอกเข้าให้แล้ว คิ้วเข้มขมวดเข้าด้วยกัน ฟันที่เริ่มกัดแน่นจนแทบได้ยินเสียงกรอด ๆ และหัวที่เอียงน้อย ๆ ให้สายตาคมได้จ้องมองอีกฝ่ายราวกับจะฆ่าแกง เป็นสีหน้าที่เรียกได้ว่าโกรธ โกรธชนิดที่ทำให้ทั้งห้องสัมผัสได้ถึงบรรยากาศรอบตัวที่เปลี่ยนไปของเจ้าตัว สไตล์คำพูดที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทั้งที่ปกติก็มักจะเป็นสบาย ๆ ไม่ค่อยถือสาอะไรใครมากแท้ ๆ แต่ทุกครั้งที่เจอคนเอาเปรียบกลับกลายเป็นคนใช้ถ้อยคำแสบเสียดและต้องให้เวลาอยู่ตัวคนเดียวซักพักใหญ่ ๆ ถึงจะค่อยหายอารมณ์ร้อน และอย่าลืมไป แมทธิสจะไม่มีทางลืมสิ่งที่คุณเคยทำกับเขาหรอกนะ ยิ่งเฉพาะเรื่องแบบนี้
    → การใช้ความรุนแรง - เวลาเจอคนที่ชอบใช้ความรุนแรงอยู่เป็นประจำแมทธิสจะพยายามถอยห่างอย่างช่วยไม่ได้ ถึงเขาจะไม่ชอบการทะเลาะเบาะแว้งที่ไร้สมเหตุสมผลแค่ไหนสิ่งที่เขาเกลียดยิ่งกว่า ก็คงจะต้องเป็นการพยายามใช้กำลังในการแก้ไขความขัดแย้ง การต่อสู้ดูเป็นอะไรที่ไม่น่าภิรมย์เอาเสียเลย แถมยังดูไร้สาระและไร้ความจำเป็นในหลาย ๆ ครั้งที่เขาเคยต้องประสบมาก่อนอีก แน่นอนว่าสำหรับหนุ่มวัยรุ่นอายุ 17 การใจร้อนจนของขึ้นก็ต้องมีกันบ้าง แต่ให้ตายสิ การต่อสู้มันไม่เห็นดูจะช่วยอะไรเลยไม่ใช่หรอไง?

    กลัว::
    → แมทธิสมี Trypanophobia หรือก็คือโรคกลัวเข็มนั่นเองค่ะ - เลี่ยงการเข้าใกล้ของแหลม ๆ อย่างเข็มฉีดยาโดยสิ้นเชิง จะตัวซีดและมือไม้สั่นคล้ายกับจะเป็นลม (ถ้าเจอหนัก ๆ เข้าจริงก็มีสิทธิ์หงายเงิบไปเลย วงวารนะ--)
    → ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับนิ้วมือของเขา ชีวิตนี้ขอแค่สามารถที่จะเล่นดนตรีที่เขารักต่อไปได้เรื่อย ๆ ก็พอแล้ว - เลี่ยงทำอะไรที่เสี่ยงมีผลรุนแรงต่อการใช้มือของเขาอยู่ตลอด
    → มีความกลัวลึก ๆ เกี่ยวการทำให้ครอบครัวตัวเองผิดหวังหรือเสียชื่อ - พยายามทำคะแนนให้ได้ดี ๆ ในทุกคาบเพื่อให้ 'สมกับนามสกุลที่เขาได้มา' อย่างที่เคยมีผู้ใหญ่หลายคนบอกกับเขา

    แพ้:: -

    งานอดิเรก::
    → ซ้อมดนตรี (เรียนมาตั้งแต่เด็กและมีความสุขเวลาเล่นมาก)
    → พูดคุยกับกลุ่มเพื่อนที่สนิท บางทีก็ไปเล่นกีฬากับพวกมันบ้าง
    → อ่านหนังสือที่มีคิดว่าน่าสนใจหรือมีคนแนะนำให้เขาอ่าน ซึ่งด้วยเหตุนี้ประเภทหนังสือที่เขารู้จักมันเลยสะเปะสะปะไม่มีหัวข้อที่แน่นอนซักที แต่ก็เพราะแบบนี้มันถึงมีประโยคที่ว่า "อ๋อ... เหมือนฉันเคยอ่านเรื่องนี้มาอยู่ผ่าน ๆ ตานะ" ออกจากปากแมทธิสให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง

    ชมรมที่สังกัด:: ประธานของชมรมดนตรีคลาสสิค

    ความสามารถพิเศษ::
    → รู้ข้อมูลเกี่ยวกับดนตรีประเภทคลาสสิคเยอะเป็นพิเศษ และเล่นได้ดีโดยเฉพาะเครื่องเป่าลมไม้อย่าง ขลุ่ย เป็นต้น (เครื่องดนตรีคลาสสิคที่ไม่ใช่เครื่องเป่าลมไม้แมทธิสเล่นแบบพอจะโชว์ถูไถได้ค่ะ แต่ถ้าจะให้เริ่มเล่นเพลงยาก ๆ ก็ไปไม่รอดหรอก ฮาา)
    → พูดจาฉะฉานและนับได้ว่ามีความเป็นผู้นำ เนื่องมาจากที่ถูกคุณพ่ออบรมมา (บ้างก็ว่าเป็นกรรมพันธุ์) และความมั่นใจในตัวเองที่มีอยู่พอตัว

    อาวุธ:: -

    เพิ่มเติม:: 
    → แมทธิสชอบเซ็นชื่อตัวเองแค่ว่า 'M.R.' ซึ่งก็คือ initials ของเขานั่นเองค่ะ มันอาจจะเกี่ยวกับที่เขาไม่ค่อยชอบเวลาคนแสดงออกเปลี่ยนไปหลังเห็นนามสกุลของเขา
    → ไม่ใช่คนเรื่องมากเรื่องการกินซักเท่าไหร่
    → พวกผู้ใหญ่ที่เขาเคยเจอในงานสังสรรค์ต่าง ๆ หรือที่เป็นญาติกันเองมักจะบอกว่าเขาเหมือนตัวคุณพ่อในสมัยหนุ่ม ๆ มาก ถึงตัวแมทธิสเองจะพยายามคิดตามให้ตายยังไงก็มองไม่ออกซักกะทีว่ามันเป็นความจริงหรอ...
    → จริง ๆ คุณพ่อคุณแม่ของแมทธิสก็รักลูกชายตัวดีคนนี้มากนะคะ ถึงจะไม่ค่อยมีเวลาให้เลยแต่ทั้งสองคนก็พยายามหาวิธีแสดงความรักในรูปแบบอื่นอยู่เสมอ อย่างคุณพ่อที่คอยสอนอบรมทักษะที่จำเป็นในการที่จะโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีทุกครั้งที่เจอหน้ากัน และคุณแม่ที่ก็จ้างครูสอนดนตรีคลาสสิคให้ตั้งแต่เขายังเด็กเพราะอยากเห็นลูกชายมีความสุขกับสิ่งที่เขาสนใจมาตลอดด้วย
    → พี่สาวต่างแม่ของแมทธิสชื่อ เทสซ่า แจนส์เซ่น / Tessa Janssen (นามสกุลของแม่เธอ) ปัจจุบันอายุ 25 และทำงานแล้วค่ะ (ไม่ได้อาศัยในเมืองหลัก) แมทธิสจะชอบเรียกเธอด้วยชื่อเล่นว่า 'เทส' ความสัมพันธ์เป็นแนวพี่น้องหยอกกันไปกวนกันมา แต่เปิดใจคุยกันได้เสมอและรักกันดี

    cr.

    ______________________________________________________________________________
    R O L E P L A Y

    ไม่ทราบว่าคุณรู้สึกอย่างไรที่ได้เข้ามาในรั้วโรงเรียน แปง เด ปีส คะ?
    :: สายตาคมมองคู่สนทนาก่อนที่จะกะพริบตาปริบ ๆ รอยยิ้มอ่อนที่แสดงถึงความอัธยาศัยดีก็ยังอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มผมสีแอชบลอนด์เสมอ "ก็ดีใจแหละครับ ยิ่งเพราะผมถูกเชิญเข้ามาเรียนด้วย มันทำให้ตัวเองดูมีอะไรพิเศษชะมัด" เขาหัวเราะให้กับคำพูดตัวเองหน่อย ๆ "นอกเหนือไปจากนี้ โรงเรียนแปง เด ปีสก็ยังเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงเรื่องการเล่าเรียนอีกด้วย อืม... เพราะฉะนั้น ผมจะให้คำตอบว่าผมรู้สึกยินดีที่ได้เข้ามาเรียนที่นี้ละกันครับ"

    มีความเห็นอย่างไรกับฝั่งตรงกันข้ามกับตนเองคะ?
    :: "ก็เพื่อนร่วมโรงเรียนด้วยกัน...?" ชายหนุ่มเอียงหัวงงตอบเหมือนทิ้งท้ายให้เป็นคำถาม ก่อนที่เขาจะยืดตัวให้ตั้งตรงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะหมายถึงอะไรเสียมากกว่า "อ๋อ... ก็ไม่รู้สิ ผมก็ไม่ได้คิดดีคิดร้ายอะไรพวกเดสท์นะ ผมแค่ไม่ชอบพวกที่... ชอบมาหาเรื่องคนอื่นแบบไร้เหตุผลน่ะ แต่นิสัยแบบนั้นจะให้เป็นคนจากฝั่งไหนผมก็ไม่ชอบทั้งนั้นแหละ" เขายักไหล่พร้อมกับคิ้วเข้มที่ขมวดเข้ากันน้อย ๆ

    ไม่ทราบว่าคุณได้คาดหวังอะไรจากการเข้ามาศึกษาหรือเข้ามาสอนในโรงเรียนแห่งนี้รึเปล่าคะ?
    :: "คาดหวัง..." เขาทวนคำถามในหัวอีกครั้ง "ผมคาดหวังว่าจะได้พัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น ได้เรียนเกี่ยวกับเวทย์ที่ผมสนใจ... และก็หวังจะได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ ๆ ครับ" ดูเหมือนจะมีความฉงนเล็กน้อยในดวงตาสีน้ำข้าวคู่นั้น แต่สุดท้ายเขาก็ตอบไปตามที่เขาคิดจริง ๆ หวังว่าคงไม่มีอะไรความหมายนัยอะไรซ่อนเร้นในคำถามหรอกนะ

    คำถามสุดท้ายแล้วนะคะ คุณคิดว่าตนเองเป็นคนอย่างไรคะ?
    :: "คิดว่าตัวเองเป็นเด็กวัยรุ่นธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ชอบดนตรีคลาสสิคครับ ส่วนเพื่อน ๆ ของผมมักจะบอกว่าผมเป็นคนกล้าแสดงออกนะ" มือที่วางนาบบนหน้าตักอย่างเรียบร้อยถูกยกไปเกาหลังคอตัวเองในความลังเล... หรือเพราะว่าแอบเขิน ๆ ที่ต้องตอบคำถามแบบนี้กันนะ?

    ______________________________________________________________________________
    P A R E N T   M E E T I N G

    สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ทางนี้ชื่อเครสค่ะ ขอทราบชื่อคุณผู้ปกครองหน่อยนะคะ
    :: สวัสดีค่า ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ แล้วก็เรียกเราว่าเซ็นได้นะ

    เรื่องนี้ค่อนข้างดาร์กแต่ก็มีโรแมนซ์บ้างเล็กน้อย ไม่ทราบว่าคุณผู้ปกครองโอเคกับพวก LGBT+ มั๊ยคะ? ถ้าน้องที่ส่งมาไม่มีคู่หรือไม่ได้เป็นนอร์มอลจะพอรับได้มั๊ยคะ?
    :: โอเค 1000% เลยค่ะ 2019 แล้วเราว่าเรื่อง LGBT+ เป็นเรื่องปกติมาก ๆ จะขอสนับสนุนอีกต่างหากนะคะ (ฮา)

    ข้อนี้อาจมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องโรแมนซ์เล็กๆน้อยๆในเรื่องอยู่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณผู้ปกครองอยากให้น้องมีคู่หรือโสดคะ?
    :: เราว่าเอาตามที่เนื้อเรื่องอำนวยดีกว่านะคะ ถ้าเกิดมีแล้วดีกว่า เราก็โอ หรือถ้าโสดแล้วเนื้อเรื่องไปได้สวยกว่าเราก็ว่าดีค่ะ เอาตามที่คุณเครสว่าดีเลยย

    ถ้าลูกคุณติดเข้าไปในเรื่องก็มีโอกาสที่จะตายหรือเสียชีวิตอยู่นะ โอเคกับแบบนั้นรึเปล่าคะ? (แต่ถ้ารับไม่ได้ก็คงต้องรับให้ได้อยู่แล้วน่ะนะ //เหงื่อตก)
    :: โอ้ ;-; อาจจะใจหายหน่อยแต่ก็โอเคค่ะ รับได้ เพราะเรื่องถ้าจะให้ดาร์คคงไม่สนุกถ้าไม่มีคนตาย---
    //จะว่าไป ถ้าน้องไม่ติดบทนี้ เอาไปเป็นตัวปลากรอบได้นะคะ





    My mind would rule my heart,
    I didn't pay attention to the light in the dark.


    It left me torn apart,
    but now I see your tears are an o m e n .




                
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×