ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dr.Pop's The White Road 1 (Re-birth)

    ลำดับตอนที่ #10 : Cahpter 3 : Message (Part2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.03K
      5
      2 ส.ค. 51

    หลังจบคาบวิชาแบทเทิล เราสี่คนก็ไปทานอาหารกลางวันโดยไร้เงาของสามกรรมการนักเรียน – “พวกเขามีประชุมด่วน อเล็กซ์บอกอย่างนั้น หลังจากที่พวกเราอิ่มกัน อเล็กซ์ก็บอกว่าได้เวลาของวิชาที่น่าเรียนที่สุด ซึ่งสาเหตุของคำว่า น่าเรียน ไม่ได้มาจากสภาพห้องเรียนและไม่ได้มาจากเนื้อหาที่เรียน

    แต่มาจากผู้ที่ถ่ายทอดวิชา ฮิลลารี่ เกรซ  

    ฉันจะพูดอะไรให้เธอฟัง

    เธอกล่าวเมื่อเรียกผมไปคุยตัวต่อตัว อาจารย์เกรซมีผมสีน้ำตาลยาวสลวย หน้าตาเธอสะอาดเนียนเด้ง ดวงตาเธอคมกริบแบบคนฉลาด เธอไม่ได้สวมชุดสูทแต่สวมเพียงเสื้อเชิ้ตรัดรูปกับกางเกงแสลค ทำให้เห็นหุ่นทะมัดทะแมง แข็งแรง เซ็กซ์ซี่ เหมือนกับมิลล่า โจโววิช ที่ไล่ยิงผีดิบในเรสซิเดนท์อีวิล ไม่น่าแปลกอะไรที่เธอจะเป็นผู้รู้ทุกอย่าง

    และไม่แปลกอะไรที่เธอจะรู้ใจชายทั้งโลก

    ของอเล็กซ์ห้านิ้ว

    เธอเริ่ม

    ของโทนี่หกนิ้วครึ่ง

    เธอพูดต่อ

    ของมาโคโมรี่ เจ็ดนิ้ว มั้ง ถ้าฉันจำไม่ผิด

    ของซามัวร์สี่นิ้วครึ่ง

    อ่าฮะ

    โฮการ์ด เก้านิ้ว

    โอ้ว

    และที่ฮือฮาที่สุด ก็เฟริสเธอเดินจากไป เหมือนจงใจให้ผมร้อนรนอยากถาม

    เท่าไหร่ครับ? และผมก็หน้าด้านถาม

    สิบสองนิ้ว

    ผมตาค้าง

    ครึ่ง เธอเลิกคิ้ว ยิ้มมุมปาก ฉันแค่จะบอกว่าขนาดไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขึ้นอยู่กับว่าเธอใช้มันได้เวิร์คแค่ไหนเธอมองผมด้วยหางตา จับมือผมขึ้นมาพาให้สัมผัสบางสิ่งที่กลมกลึง

    แท่นคริสตัลกลางห้องนั่นเอง

     

                                   กำลังประมวลผล

     

    หน้าจอสี่มิติสว่างขึ้น มีตัวหนังสือวิ่งไปมาดูสลับซับซ้อน ระหว่างที่เรารออยู่นั้น ผมไม่ได้รู้สึกไปเองว่าอาจารย์เกรซจ้องผม ใช่ เธอไม่ละสายตาไปจากผมเลย แววตาเธอเหมือนมีบางอย่างที่รอคอยการปลดปล่อยออกมา บางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกแขนขาไม่มีเรี่ยวแรง ริมฝีปากของเธอเผยอออกอย่างเซ็กซ์ซี่ ดูนั่นซิ มันเป็นสีชมพูระเรื่อสุดจะเย้ายวน ในวินาทีที่เธอกำลังเอ่ยวาจา ผมก็รู้สึกราวกับว่าริมฝีปากคู่นั้น กำลังขยับอย่างช้าๆ

    ทำไมสภาพเธอดูโทรมยังกับนรกอย่างนี้?

    กลายเป็นคำถามฮิตประจำวันไปซะงั้น

    ผมนอนดึก

    อาจารย์เลิกคิ้ว ท่าทางหยั่งรู้อะไรเข้าแล้ว

    แต่ผมไม่…”

    ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ อาจารย์เกรซรีบแทรก นอกจากเซ็กซ์แล้ว ผู้ชายก็คิดอะไรได้อีกไม่กี่เรื่อง

     

    แปดนิ้ว

     

     การประมวลผลสิ้นสุด ผมแข็งทื่อด้วยความตะลึง

    อาจารย์เกรซยิ้มอย่างมีเลศนัย แล้วหยิบบางอย่างส่งมาให้

    น่าพอใจ นี่ปืนโอโพล๊อคแปดนิ้วของเธอเธอบอก มันคือปืนประจำกาย ที่ผลิตจากการประเมินความสามารถต่างๆของร่างกาย และไม่มีใครเลยซักคนที่จะได้ปืนแบบเดียวกัน ขอให้เรียนรู้อย่างถูกทาง ก็อย่างที่บอกขนาดไม่สำคัญ เท่ากับว่าเธอใช้มันได้เวิร์คแค่ไหน

    จากนั้นเธอก็เดินนวยนาดมาดนางแบบจากไป ผมเดินไปหาเพื่อนๆด้วยความสงสัย  

    ทำไมของเฟริสยาวกว่าใคร?ผมถามอเล็กซ์

    พ่อให้มา

    สายตาเขาไม่ดีมั้ง? โทนี่ตอบ

    ตอนนี้เฟริสยืนอยู่ในห้องยิงปืน ซึ่งเรียงเป็นแถวยาวยี่สิบห้อง ที่อยู่ไกลๆนั้นคือหน้าจอสี่มิติที่ลอยอยู่กลางอากาศ เหมือนกับเป้ากระดาษบ้านเรา ไม่มีใครรู้ว่าเครื่องนั้นประเมินผลจากอะไร แต่เรารู้ว่ามันสร้างปืนที่ดีที่สุดให้กับเรา

    ของฉันถึงจะสั้นแต่ก็ใหญ่ อเล็กซ์บอก พลังทำลายล้างมหาศาล

    ของบางคนไม่ยาวไม่ใหญ่ โทนี่บอก แต่บรรจุกระสุนได้เพียบ

    บางคนก็กุด อเล็กซ์พูด ผมรู้สึกว่าอ้าปากหวอ โดยเฉพาะพวกสาขาอื่นที่ไม่ใช่ไฟท์เตอร์ พวกนั้นไม่มีสิทธิครอบครองปืน เราเลยเรียกว่ากุด

    สรุปง่ายๆว่ารีเมียสกุด โทนี่บอก

    ทุกคนฟังให้ดี อาจารย์เกรซยืนตะโกนอยู่บนโต๊ะสีดำ ดูคล้ายแกนนำม๊อบมันสำปะหลัง วันนี้เราจะเรียนเรื่องเป้าบิน

    เสียงพึมพำดังขึ้น หลายคนดูตกใจ

    ไม่ต้องห่วงเราจะไม่ไปเร็วขนาดนั้น วันนี้มันจะแค่ลอยขึ้นๆลงๆ แต่อาทิตย์นี้มันจะบินไปทางซ้าย บินไปทางขวา ร่อนมาข้างหน้า ร่อนมาข้างหลัง ถึงเวลานั้น ฉันอนุญาตให้กรี๊ดกันได้

    เมื่ออาจารย์เกรซบอกว่าเป้าบินแค่ขึ้นลง มันก็แค่ขึ้นลงจริงๆ แต่ขึ้นลงด้วยความเร็วสามสิบครั้งต่อนาที! ซึ่งหมายความว่าคุณต้องมีทักษะ ความแม่นยำ และสมาธิที่สูงสุดมากๆ ในรอบแรกเฟริสยังคงครองแชมป์เหมือนทุกรายการด้วยคะแนนห้าร้อย จากห้านัดกลางลำตัว หนึ่งนัดกลางหน้าผาก เมื่อถึงตาผมต้องเข้าที่ อาจารย์ฮิลลารี่ เกรซก็เดินมาให้คำแนะนำ

    กดปุ่มสีแดงตรงนี้จะมีศูนย์เล็งให้เธอ อาจารย์บอกสองมือจับมือผมไว้มั่น มันก็เหมือนกับสลิงกัน เธอเคยใช้มันใช่ไหม

    เอ่อครับ เราอยู่ใกล้กันเกินไป เธอทำให้ผมเหงื่อแตกเพราะประหม่า กลิ่นน้ำหอมจากกายเธอ  เธองดงามมาก บ้าจริง นี่ผมคิดอะไรอยู่เนี่ย!

    ไม่เป็นไรเด็กน้อย อาจารย์บอกด้วยรอยยิ้ม ครั้งแรกมักจะยากเสมอ

    จากนั้นเธอก็กระโดดกลับขึ้นโต๊ะแล้วตะโกนอย่างห้าวหาญว่า

    ยิง!”

     

    บึ้ม!!

     

    เสียงปืนดังสนั่นจนผมตกใจ! – ลูกกระสุนก้อนพลังสีขาวพุ่งออกไป!

    ดูไอ้แปดนิ้วนั่น!” อเล็กซ์ยืนขึ้นอย่างตื่นเต้น

    ของเขาแรงจริง!” โทนี่ตาลุกวาว

     แต่กระสุนไม่โดนเป้าผมยังคงยืนนิ่งด้วยหัวใจที่เต้นโครมครามจะเป็นจะตาย

    เมื่อกี้มันอะไรกันวะ!

    ยิง!”

    เมื่ออาจารย์เกรซสั่ง ผมก็ยิงอีกครั้ง ก็ยังไม่โดนเป้า ผมยิงอีก ไม่อ่ะ ไม่ใกล้เคียง ผมยิงอีก ดูนั่น เพื่อนข้างๆได้แต้มไปแล้ว ผมยิงอีกสองครั้ง หวิดๆทั้งสองครั้ง ผมเริ่มโมโห ยิงอีกครั้ง! ทุเรศกว่าครั้งแรกอีก ไอ้เวรเอ๊ย อะไรกันหนักหนา! ผมยิงอีกครั้ง โอเค ครั้งนี้เลวร้ายที่สุด

    เฮ้ เฮ้ เฮ้ เธอทำอะไร? อาจารย์ฮิลลารี่บึ่งเข้ามา ผมยั๊วะจนเกือบจะตอบว่าซักผ้ามั้ง!

    ยิงปืนมันต้องยิงด้วยใจ ยิงด้วยสมอง ไม่ใช่สักแต่ยิง ยิง ยิงแบบนี้ เธอดุ

    เอ่อผม…”

    เฮ่อ ผู้ชาย อาจารย์เกรซถอนหายใจเหนื่อยหน่าย ลองใหม่ ใจเย็นๆ โอเค๊?

    ครับ เธอตบไหล่ผมเบาๆ ขณะที่ผมรู้สึกแย่แบบว่าไม่กล้าสบตาใคร

    เอาซิ ในวันเดียวพระเจ้าจะแกล้งให้คนล้มเหลวได้สักแค่ไหน ผมพลาดมาแล้วสองวิชา ในวิชานี้ผมต้องทำได้ เอาล่ะนะ พอล คนกำลังมองนายอยู่ พวกนั้นทำแต้มได้แล้ว แปดนิ้วของนายก็เจ๋งไม่แพ้ใคร แต่โฮการ์ดเก้านิ้ว แล้วนายจะคิดถึงมันทำไม? เฟริส สิบสองนิ้ว นายต้องไม่สนใครแล้ว! แค่จับไอ้บ้าแปดนิ้วให้มั่นคง เล็งให้ตรง แล้ว

     

    บึ้ม!

     

     

     

     

    เป้าเธอสะอาดมาก!”

    จูเลียร้องเมื่อดูแผ่นกระดาษที่จำลองจากเป้าสี่มิติ

    ก็ดี ฉันชอบอะไรสะอาดๆ เจอร์รี่ยิ้มอย่างมีความหมาย

    แต่เฟริสเล่นซะพรุนเลย

    จูเลียหยิบมาเปรียบเทียบกับกระดาษแสนเพอร์เฟคของท่านชาย

    อันนี้ก็เซ็กซ์ซี่ไปอีกแบบ เจอร์รี่ส่งสายตา

    เราทั้งหมดออกจากรถไฟฟ้า และเมื่อพ้นชานชาลา ผมก็สังเกตเห็นบางสิ่ง

    พวกนั้นใคร?

    ผมชี้นิ้วไปยังยานอวกาศมากมายที่บินอยู่หน้าหอพัก ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่เดินขวักไขว่เต็มไปหมด เป็นภาพที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

    พวกผู้ปกครองน่ะ จูเลียตอบ ทุกวันศุกร์พ่อแม่บางส่วนก็จะมารับลูกกลับบ้าน

    และบางส่วนที่ไม่มีแม่ก็จะใช้ชีวิตต่ออย่างมีอิสระ อเล็กซ์บอก

    รวมทั้งพวกไม่มีพ่อด้วย โทนี่เสริม

    นาทีนั้นเองที่จู่ๆ ผมก็หยุด

    หยุดโดยปราศจากซึ่งความคิด

    หยุดโดยปราศจากซึ่งคำพูดใดๆ

    ผมเห็นพวกเพื่อนๆ ยังคงหัวเราะ พูดคุย หยอกล้อ แต่ผมไม่ได้ยินเลยว่าพวกเขาคุยอะไร

    เหมือนเสียงรอบกายจู่ๆ หายไปผมไม่ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองด้วยซ้ำ

    เป็นอะไรหรือเปล่า ?   

    ความคิดบางอย่างกำลังพาผมลอยออกไปไกลแสนไกล จนไม่รู้ว่าเมื่อกี้เป็นเสียงใคร

    พอล ?

    ฮะ แล้วผมก็รู้ว่าเป็นเสียงจูเลีย

    เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?

    นาทีนี้ทุกคนหยุดเดิน และสายตาพวกเขาจับจ้องมาที่ผม

    อ๋อ เปล่า ไม่มีอะไร ผมทำหัวเราะกลบเกลื่อน แม้จะเห็นรีเมียสที่จ้องมองด้วยสายตาหยั่งรู้

    ไปกินข้าวกันเถอะ ฉันหิวแล้ว อเล็กซ์ชวน แล้วทุกคนก็เดินตามกันไป

    เอ่อฉันขอตัวนะ

    อ้าว ทำไมล่ะ? โทนี่ถาม

    เอ่อ…”

    ผมรู้สึกได้ว่าความรู้สึกบางอย่างกำลังจะท่วมท้นออกมาอยู่รอมร่อ ความรู้สึกที่ทำให้ใจสั่น ความรู้สึกเหมือนมีอะไรจุกอยู่ที่คอหอย

    และคำตอบเดียวที่จะพาผมไปจากตรงนี้ได้ก็คือ

    ฉันขอตัวก่อนนะ

    แล้วผมก็รีบแยกตัวออกไป

     

     

     

    ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่ม

    ห้องของผมปราศจากแสงไฟ แม้แต่บนผนังก็ไม่มีวี่แววของจอภาพใดๆ

    ผมยืนอยู่ตรงระเบียง ซึ่งเบื้องล่างคืออาณาจักรกว้างใหญ่ที่คนมากมายเดินพลุกพล่าน มีแสงไฟมาจากตึกที่ถูกล้อมด้วยวงแหวนรูปร่างประหลาดสว่างไสว เหนือหอพักชายมียานอวกาศมากมายที่เพิ่งพุ่งจากไป อุโมงค์ตรงหอหญิงกำลังแสดงภาพว่าคลาสแอโรบิคกำลังจะเริ่มในอีกสิบนาที ขณะที่ตึกซึ่งห่างไปไม่มากนัก มีภาพโฆษณาฉายอยู่บนตึกว่า เอสซีเอ ลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์

    มันเป็นทิวทัศน์ที่แสนมหัศจรรย์ เกินกว่ามนุษย์คนใดจะจินตนาการถึง

    แต่เมื่อผมเปลี่ยนมุมมองไปยังฟ้าไกล ได้เห็นดวงดาวมากมาย ได้เห็นดวงจันทร์ดวงใหญ่ ได้เห็นเงาสะท้อนของมันบนผืนน้ำ และได้เห็นคลื่นที่ซัดเข้าฝั่ง

    มันก็ทำให้ผมรู้ว่าท่ามกลางความศิวิไลซ์ ยังมีบางสิ่งที่ไม่เคยจากไปไหน

    มันคือบางสิ่งที่เหมือนกับโลกเก่า

    ซึ่งผมคงไม่มีโอกาสกลับไป

     

    พ่อผมอยู่ที่ไหน?

    เสียงของเด็กชายคนหนึ่งดังขึ้น เขาสวมเสื้อสีขาวตัวโคร่ง สวมกางเกงขาสั้นสีน้ำตาล และมีเพื่อนคู่ใจเป็นตุ๊กตาพี่หมีที่ผมเรียกมันว่าเท็ดดี้

    นั่นคือผมตอนอายุเจ็ดขวบ ซึ่งเป็นเวลาที่ผมเริ่มตั้งคำถามถึงใครบางคนที่ผมไม่เคยเห็น

    และผู้ที่ผมรอคอยคำตอบจากเขา ก็คือคนที่ผมเห็นมาตลอดชีวิต

    เธอคิดว่า ถ้าเราตายไป เราจะอยู่ที่ไหน?

    เออร์เน็ตถามกลับ

    ผมไม่รู้

    ลองเดาดูน่า เขาคะยั้นคะยอ

    สวรรค์มั้ง

    ความเชื่อปรัมปรา

    นรก

    ยิ่งเข้าไปใหญ่

    เออร์เน็ตหัวเราะแล้วลูบหัวผม เราทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันบนชายหาด ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างไม่ต่างจากที่ผมเห็นตอนนี้ เออร์เน็ตสวมเชิ้ตสีเหลืองกับกางเกงขาสั้นสีขาว เขาตกแต่งใบหน้าอย่างเป็นระเบียบด้วยหนวดเครา ประมาณอายุคร่าวๆน่าจะซักสามสิบ    

    ไปอยู่บนนั้นไง เออร์เน็ตชี้นิ้วขึ้นฟ้า แววตาช่างเปี่ยมไปด้วยความสุข คนเราทุกคนตายไปแล้วจะกลายเป็นดวงดาวอยู่บนนั้น ไม่ว่าฉันหรือเธอ หรือพ่อของเธอก็เช่นกัน

    งั้นก็แสดงว่าพ่อผมตายไปแล้ว

    ผมหน้าจ๋อยแต่ไม่ได้ร้องไห้ เพราะมันเป็นความจริงที่โตมาพร้อมกับผม

    ใช่ เออร์เน็ตโอบไหล่ผมอย่างแผ่วเบา แล้วเขยิบเข้ามาใกล้

    เราเงียบกับไปอีกพักใหญ่ จนกระทั่งผมถามบางอย่าง

    ผมเรียกคุณว่าพ่อได้ไหม?

    ไม่ได้นะ เธอจะเรียกฉันว่าพ่อไม่ได้เป็นอันขาด เออร์เน็ตตอบทันควัน พลางส่ายหน้าแสดงการปฏิเสธอย่างรุนแรง

    แต่คุณเลี้ยงดูผม ทำอาหารให้ผมกิน พาผมไปส่งที่โรงเรียน และเล่านิทานให้ผมฟังแบบที่พ่อคนอื่นเขาทำกัน

    อืม ..มันก็จริงเออร์เน็ตทำท่านึก

    ถ้าอย่างนั้น ทำไมผมเรียกคุณว่าพ่อไม่ได้ล่ะ สายตาของพอลตัวน้อยช่างเปี่ยมไปด้วยความไม่เข้าใจ เออร์เน็ตยังไม่พูดอะไร เขาทำได้แค่จ้องมองดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์คู่นั้น

                    เพราะพ่อของเธอเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าฉันมากนัก เออร์เน็ตกอดผมไว้แนบอก แล้วยิ้มให้กับท้องฟ้า มีเขาเท่านั้นที่เธอสามารถเรียกว่าพ่อได้

    ผมรู้สึกว้าเหว่ใจจนไม่รู้จะพูดอะไรออกไป ผมยังเด็กเกินกว่าจะคิดอะไรเกินตัว

    แม้จะแก้ไขข้อสงสัยหนึ่งไปได้ แต่ผมก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่คาใจ

    แล้วทำไมคนที่ตายไปแล้วถึงต้องกลายเป็นดวงดาวล่ะครับ?

    ใช่ มันฟังไม่เข้าท่าซะเลย

    เพื่อเฝ้ามองคนที่ยังอยู่บนโลกนี้ เขาหันกลับมายิ้มให้ผม เพื่อเป็นแสงสว่าง นำทางให้คนซึ่งหมดหนทาง

    เออร์เน็ตหัวเราะ เขาช่างดูเป็นคนที่มีความสุขตลอดเวลา

    แม้จะไม่ได้ร่ำรวย แต่เออร์เน็ตก็ไม่เคยปล่อยให้ผมอดอยาก

    แม้ต้องทำงานหนัก แต่เออร์เน็ตก็ไม่เคยให้ผมรออยู่ที่โรงเรียนดึกๆเหมือนพ่อคนอื่น

    แม้จะเหนื่อยแทบตาย แต่เออร์เน็ตก็มีแรงพอจะพาผมเที่ยวทุกวันหยุดได้

    ไม่มีคืนไหนที่เขาไม่เล่านิทานให้ผมฟัง

    เหมือนกับที่ไม่มีคืนไหนที่เขาไม่บอกผมว่า กู๊ดไนท์

    ถึงผมจะเรียกเขาว่าพ่อไม่ได้ แต่ใจผม ก็เรียกเขาด้วยคำๆนั้นมานานแล้ว  

    จำคำฉันไว้นะพอล ฉันจะอยู่กับเธอไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน เราสองคนสบตากัน

    และเราต่างยิ้มให้กัน

    บางครั้งเธออาจจะไม่เห็นฉันอยู่ใกล้ๆ แต่บนทางเดินอันแสนไกล เธอจะมีฉันเสมอ หากว่าเธอสับสน หมดหนทาง ให้นึกถึงฉัน ฉันจะนำทางเธอเอง

    ไออุ่นจากอ้อมกอดของเขาถ่ายทอดมาถึงผมนี่แหละ พลังที่หล่อเลี้ยงให้ผมยังคงหายใจ

    จำไว้ว่า เธอไม่เคยอยู่คนเดียว

     

    เมื่อเสียงกับรอยยิ้มของเออร์เน็ตหายไป คลื่นแห่งความจริงก็ซัดกระหน่ำให้ผมทรุดลงกับพื้นด้วยความอาลัย หัวใจของผมถูกซ้ำเติมด้วยความปวดร้าว ถูกทิ่มแทงด้วยความเงียบเหงา และพาให้น้ำตาแห่งความเศร้ารินไหล

    คนที่ผมรักที่สุดในโลกจากไปแล้ว ผมไม่มีวันเห็นเขาอยู่ในสายตา ไม่มีวันได้ยินเสียงของเขา ไม่มีวันได้รับไออุ่นจากอ้อมกอดของเขา

    แล้วผมมาทำอะไรอยู่ที่นี่? ทำไมผมยังทำตัวเริงรื่นได้อย่างนี้? นี่ผมยังมีหัวใจอยู่หรือเปล่า? ผมยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า!? เออร์เน็ตอยู่ที่นั่น เขาตายอยู่บนโลกใบนั้น ตายอย่างน่าอนาถ ตายอย่างไม่มีใครเหลียวแล แม้แต่คนที่เขาฟูมฟักเลี้ยงดูอุ้มชูมากับมือก็ยังไม่แยแส! – ผมไม่ได้มีโอกาสเห็นเขาเป็นครั้งสุดท้ายเลยด้วยซ้ำ? ไม่ได้อยู่ฝังศพเขา! ไม่ได้วางดอกไม้ให้เขา ไม่ได้อ่านบทกลอนสรรเสริญเขา

    แล้วใครจะทำให้เขา?

    เขาไม่มีใคร

    เขาไม่มีใครนอกจากผม!

    ไม่มีใครนอกจากผมคนนี้ ที่ทิ้งเขาอย่างไม่ใยดี!

    คนที่มันได้ชื่อว่าเป็นลูกทรพี!

    พระเจ้า ได้โปรด ผมไม่ต้องการโลกใหม่ใบนี้อีกต่อไปแล้ว! ผมไม่ต้องการอะไรที่ทำให้ชีวิตผมมีความสุขอีกต่อไปแล้ว ได้โปรดส่งผมกลับไปยังที่ๆผมจากมา แม้มันจะเป็นโลกที่เงียบเหงา อ้างว้าง และโหดร้าย แต่มันก็เป็นโลกที่ความเต็มไปด้วยความทรงจำระหว่างผมกับคนที่ผมเรียกเขาในใจว่าพ่อ! เป็นโลกที่ผมเติบโต เป็นโลกที่สอนให้ผมรู้จักความรักอันยิ่งใหญ่

    เป็นโลกที่ทำให้ผมรู้ว่ายังมีใครคนหนึ่งที่ไม่เคยทอดทิ้งผม

    พอซะที ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว!

    ปล่อยผมกลับไป

    ให้ผมกลับไป!

    ได้ยินไหม ให้ผมกลับไป!

     

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

     

    เสียงเคาะประตูดังขึ้น แต่ผมยังคงสะอื้นและซบหน้ากับหัวเข่า

    พอล

    ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงรีเมียส เขายังคงเคาะประตูอีกครั้ง แล้วพูดว่า

    พอล เปิดประตูให้ฉันหน่อย

    ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน รีเมียสต้องรู้แน่ว่าผมอยู่ในห้องนี้ แล้วถ้าผมไม่เปิด เขาก็คงหาวิธีเข้ามาได้อยู่ดี

    พอล

    แป๊บนึง…” ผมตอบด้วยเสียงขึ้นจมูก ยกมือปาดน้ำตา รู้สึกว่าเสียงสะอื้นยังจุกคอหอย ในที่สุดผมก็มายืนอยู่หน้าประตูห้อง ผมหายใจเข้าลึกๆ กดปุ่มบนผนัง รีบเดินเข้าห้องน้ำแล้วปิดประตู

    เป็นอะไรหรือเปล่า ?

    เอ่อ ไม่ๆ ฉันแบบว่า หลับน่ะ ผมเปิดน้ำแรงๆควักมันใส่หน้า มองกระจกดูซ้ายขวา ตายังแดงอยู่

    ทานอะไรหรือยัง? รีเมียสถาม ผมรู้ได้เลยว่าเขายังอยู่หน้าประตู

    ทานแล้วๆ ไม่ต้องเป็นห่วง

    ผมพยายามถ่วงเวลาอยู่ในนี้ให้นานที่สุด บางทีเขาอาจจะเซ็งแล้วจากไปเอง แต่พระเจ้า ความเศร้าของผมยังไม่หาย ในที่สุดผมก็เผลอสะอื้นออกมา

    พอล?

    และมันคงไม่อาจรอดหูรีเมียสไปได้

    ผมกัดฟันฝืนยิ้ม แต่ยิ่งทำ น้ำตาก็ยิ่งไหล

    นายโอเคไหม? รีเมียสเคาะเรียก

    ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไร เสียงของผมไม่แนบเนียนเอาซะเลย นายกลับไปเถอะ เดี๋ยวฉันคงเข้านอนแล้วล่ะผมเดินไปเปิดน้ำจากฝักบัว เปิดไดร์เป่าผม เปิดทุกอย่างที่มันจะกลบเสียงผมได้ ผมยังไม่พร้อมเจอใคร ผมอายเกินกว่าจะให้ใครเห็นความอ่อนแอแบบนี้ ผมหายใจเข้าออกช้าๆ ใช่ อย่างนั้น ดีแล้ว นายทำได้ดีมาก โอเค ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ ไม่มีอะไรต้องร้อง นายเป็นลูกผู้ชาย เรื่องแค่นี้มันไม่ทำให้ตาย ใช่ นายทำได้ดีมาก ทำได้ดีทีเดียว

    ในที่สุดผมก็พ่นลมหายใจออกแรงๆหนึ่งครั้ง

    และทุกอย่างก็กลับสู่ภาวะปกติ

    ผ่านไปครู่ใหญ่ เหมือนผมจะไม่ได้ยินเสียงรีเมียสอีกต่อไป

    รีเมียส?

    ผมลองเรียกเขาจากในห้องน้ำ แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ

    ผมเรียกอีกครั้ง ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ผมเปิดประตูห้องน้ำ ยื่นหน้าออกไป ไฟในห้องยังคงดับสนิท แต่ไม่มีวี่แววของรีเมียส เขาคงไปแล้วแน่ๆ คิดได้ดังนั้นผมจึงถอนหายใจอีกครั้ง เดินกลับเข้าไปในห้อง

    ฉับพลันห้องก็สว่าง ผมหยุดชะงัก รีเมียสนั่งอยู่บนเตียง

    เราจ้องกันครู่หนึ่ง ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

    โอ้ ใช่ นายได้ยินหรือเปล่าว่าผีในห้องเช่ากำลังจะกลับมาฉายรอบที่เก้าน่ะ ผมทำขำ เดินไปกดหน้าจอทีวีบนผนัง

    แต่รีเมียสกดปิด

    เอาน้ำไหม ? ผมขมวดคิ้ว พยายามหลบสายตาเมื่อเดินเข้าไปในห้องครัว

    แต่เมื่อผมเปิดประตูตู้เย็น จู่ๆมันก็ปิดเอง

    ไอ้บ้านั่นใช้พลังจิตอีกแล้ว!

    เฮ้ นายเป็นอะไร? ผมเริ่มหัวเสีย รีเมียสลุกขึ้นและเดินเข้ามาหาอย่างเงียบขรึม

    นาทีนี้เขาอยู่ห่างจากผมแค่คืบ แววตาหวาดระแวงของผม กับแววตาเกินจะคาดเดาของเขาประสานกัน บังเกิดนาทีอันเงียบงัน เรายืนนิ่งอยู่อย่างนั้น จนเมื่อผมถูกรีเมียสคว้าไป!

    เฮ้ย นายจะทำอะไร?

    ผมพยายามสลัด แต่รีเมียสยังดึงผมเดินต่อไป

    ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ

    ผมดิ้นรน ขัดขืนท่าทางเหมือนผู้หญิงที่จะโดนข่มขืน รีเมียสกดปุ่มรหัสปลดล๊อคบนผนังอย่างชำนาญ นั่นซิเนอะ ประตูห้องเปิดออก

    !!

    แต่สิ่งที่อยู่ข้างนอกไม่ใช่ทางเดิน

    มันเป็นเป็นพื้นที่ว่างสีดำประหลาดดูราวกับแบล๊คโฮล! คลื่นพลังสีฟ้าไหลเป็นเกลียวเหมือนน้ำวนรอบศูนย์กลาง สิ่งนั้นกำลังส่งแรงลมพัดกรรโชกออกมาอย่างบ้าคลั่ง ผมหยีตารู้สึกว่าผมบนศีรษะปลิวสะบัดและได้ยินเสียงพึ่บพั่บของเสื้อผ้า มือของผมไร้ซึ่งอาการขัดขืนอีกต่อไป นาทีนี้หัวใจผมเต้นโครมครามเมื่อต้องประจัญหน้ากับสิ่งที่น่าพิศวงและน่ากลัวกว่าสิ่งไหน ผมยกมือขึ้นป้องตาเพ่งมองเข้าไป และเห็นว่ามีเงาของคนสองคนเข้ามาใกล้!

    นึกว่าเขาจะไม่ยอมเปิดซะแล้ว อเล็กซ์แหกปากแข่งกับเสียงลม

    นึกว่าเราจะตายซะแล้ว โทนี่เสริม

    ใช่ จะมีซักกี่คนที่ชอบปรากฏตัวแบบแพ็คคู่บ่อยๆ นอกจากชิปมั้งค์

    นี่มันอะไร เราอยู่ที่ไหน? ผมตะเบ็งเสียงถาม

    อย่าปล่อยมือฉันแล้วกัน รีเมียสพูด แล้วหันไปส่งสัญญาณกับสองชิปมั้งค์ พร้อมนะ

    พวกเขาพยักหน้า นาทีต่อมาเราทั้งสี่ก็จับมือกัน แววตารีเมียสช่างมุ่งมั่นเมื่อเขามองไปข้างหน้า วินาทีต่อมาทุกคนก็ออกวิ่ง และเมื่อเข้าใกล้ ผมก็รู้สึกได้ว่าสิ่งนั้นกำลังดูดผมเข้าไป!

    ม่ายยยยยยยยยยยยยย

    ผมแหกปากลากเสียงยาวสุดปอด รู้สึกแสบตาจนพร่าเลือนไปหมด

    แต่เพียงวินาทีต่อมา ภาพทุกอย่างก็ชัดเจน เสียงร้องของผมกลายเป็นเสียงอู้อี้เมื่อปากถูกประกบด้วยมือโทนี่

    นายจะบ้าหรือไง!” อเล็กซ์กระซิบดุ

    นายบ้าแน่ๆ โทนี่บอก

    โอเค ตอนนี้ไม่มีร่องรอยของไอ้แบล๊คโฮลประหลาดนั่นแล้ว

    ไม่มีร่องรอยของลมคลั่ง ไม่มีคลื่นพลังสีฟ้า

    อันที่จริงไม่มีภาพของห้องพักเลยด้วยซ้ำ

    ??

    ผมยืนอยู่บนพื้นที่ไม่ใช่พื้นห้องสีขาวแต่เป็นพื้นหญ้ารอบกายรายล้อมด้วยอาคารเก่าๆ กองขยะเน่าๆ เสาไฟติดๆดับๆ

    และดูนั่น คุณตัว!...มีคุณตัวอยู่บนบาทวิถีเต็มไปหมด

    ไม่จริง ไม่มีทาง ไม่มีที่ไหนที่จะมีคุณตัวเพ่นพ่านอย่างอิสระและโพสท่ารอรถเมล์ได้เก๋เท่านี้

    นอกจากว่าที่นี่จะเป็นเมืองคอร์เคล

    ใช่ มันคือเมืองคอร์เคล!





    วันพรุ่งนี้ ความลับบางอย่างจะถูกเปิดเผย
    บทสรุป ที่อาจทำให้คุณเสียน้ำตา


    The White Road : Rebirth 
    Chapter 3
    Final Part


    ปล. วันนี้มีเกมส์ให้เล่น 15 คะแนน!!!

    click to comment
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×