ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dr.Pop's The White Road : Generation

    ลำดับตอนที่ #15 : The White Road Generation II : Chapter 16 "Time'" Part 6

    • อัปเดตล่าสุด 15 ม.ค. 52


    ผ่านการหมดสติไปหลายชั่วโมง

    ในที่สุดจอร์แดนลืมตาขึ้นอีกครั้งในห้องที่เขาคุ้นเคย

    นี่ผม…” เขาเปล่งเสียงอย่างงัวเงีย

    นายอยู่ในห้องเดิมที่นายพักฟื้นตอนทำศัลยกรรม ฟาช่าแทรกขึ้นขณะก้มอ่านนิตยสารเรื่องเลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้ติดยา 

    เปล่า ผมหมายถึง นี่ผมเป็นอะไรไป

    อ๋อ เป็นผู้ป่วยตัวหนักที่ฉันกับเชอร์ล๊อคต้องแบกนายออกมาจากเกมส์ไง ฟาช่าวางหนังสือลงบนโซฟา แล้วเดินเข้าไปหาชายหนุ่มด้วยรอยยิ้ม น้ำส้มไหม?

    เอ่อผมจะมั่นใจได้ไงว่ากินไปแล้วผมจะไม่ถูกถอดวิญญาณ จอร์แดนระแวง

    อย่าบ้าน่า ฟาช่าหัวเราะ น้ำถอดวิญญาณไม่ใช่สีนี้สักหน่อย

    พวกเขาหัวเราะ

    คุณอยู่ที่นี่ตลอดเลยเหรอ? จอร์แดนถาม

    ใช่ ทำไมล่ะ? ฟาช่าตอบพลางรินน้ำส้มใส่แก้ว

    เอ่อเปล่า จอร์แดนดันตัวขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง

    ไม่ต้องห่วง ถึงนายจะหล่อขึ้น แต่ฉันไม่จีบคนที่อายุมากกว่าฉันสิบปีหรอกฟาช่าหัวเราะแล้วส่งแก้วน้ำให้เขา

    ขอบใจ

    ทั้งคู่ส่งยิ้มให้กัน

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

    ตอนนั้นเองที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น

    เชิญค่ะ ฟาช่าตะโกนบอก เมื่อประตูเปิดออก อับดุล ราดะฮินก็เดินเข้ามา

    อ้าว คุณ

    ไม่ต้องๆ นั่งบนนั้นนั่นแหละ อับดุลปรามเมื่อเห็นว่าจอร์แดนทำท่าจะลุกขึ้นต้อนรับ น่าแปลกใจที่ซีมูเลชั่นสปีดทำให้คนหมดสติได้

    นั่นซิครับ จอร์แดนหัวเราะ สงสัยผมคงแก่เกินไป

    ช่างเถอะ คุณปลอดภัยพวกเราก็สบายใจ อับดุลบอก แล้วก็ดูเหมือนจะนึกบางอย่างออก อ้อ แล้วที่พวกคุณไปสืบเรื่องของไชล์ล่ะเป็นไงบ้าง?

    คุณหมายถึงที่เกาะวิลเลี่ยมส์เมื่อหลายวันก่อนเหรอครับ? จอร์แดนถาม อับดุลพยักหน้า

    มันทำให้เชอร์ล๊อคมีความใคร่รู้มากขึ้นไปอีก ฟาช่าตอบแทน เมื่อเห็นอับดุลทำหน้าสงสัยเธอก็เล่าต่อ เชอร์ล๊อคบอกว่าเขาเห็นห้องต้องสงสัย แต่เข้าไปไม่ทันเพราะกลัวเจ้าหน้าที่จับได้

    มีเจ้าหน้าที่ที่นั่นด้วยหรือ? อับดุลถาม

    ค่ะ คนจากสถาบัน ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ พวกเขายังวางเซนเซอร์ไว้ซะรอบป่า เราต้องใช้วิธีที่ค่อนข้างพิสดารกว่าจะเข้าไปได้ คุณคงทราบแล้วว่ามันคืออะไร?

    อับดุบพยักหน้า แล้วพวกคุณจะเอายังไงต่อไป

    ฟาช่าถอนหายใจ ฉันบอกแล้วว่าจะไม่เสี่ยงให้เขาใช้วิธีนั้นอีก เธอบอก และตอนนี้เชอร์ล๊อคก็ใกล้สอบ เขาคงเลิกบ้าไปพักใหญ่

    มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกแล้วกัน พวกเรายินดี อับดุลยิ้มอย่างอบอุ่น

    แล้วผลการใช้ไวรัสนั่นเป็นไงบ้างครับ จอร์แดนถาม

    ลืมอะไรไปหรือเปล่าว่านายเพิ่งหายป่วย ฟาช่าถลึงตา คุณอับดุลคะ หวังว่าจะมีประกาศนียบัตรสุดยอดความถึกให้เขา

    ผมมีเรื่องที่สำคัญกว่าตัวเองน่า จอร์แดนดูจริงจัง ว่าไงครับ มันได้ผลหรือเปล่า?

    ถ้าวัดจากระดับการทำลายในเกมส์จำลองใช้มันได้ผลมาก อับดุลตอบ แต่เราก็ยังไม่รู้ว่าฤทธิ์ของมันจะสามารถแพร่กระจายไประดับไหน บางทีมันอาจจะติดต่อถึงกันได้

    แต่ผมก็ยังไม่เป็นไรเลยนี่ครับ

    นั่นเพราะคุณมีพลังไง

    เออ จริงด้วย จอร์แดนเพิ่งนึกได้

    หากเราไปใช้ในสถานการณ์จริง มันอาจจะแพร่จากฝ่ายศัตรูมาถึงพวกเรา ซึ่งตอนนี้อาจเกิดผลร้ายมากกว่าผลดี แต่ยังไงซะ หน่วยรบก็พอใจกับมัน

    ถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็ดีใจ จอร์แดนยิ้มอย่างมีความสุข

    งั้นวันนี้คุณกลับบ้านได้แล้วล่ะนะ งานที่เหลือไว้ทำต่อวันอื่น พูดจบอับดุลก็ลุกขึ้น

    เดี๋ยวครับ แต่จอร์แดนหยุดเขาไว้

    มีอะไรหรือ?

    เอ่อ นักสู้ดาบยาวคนนั้นเข้ามาในเซิร์ฟเวอร์ของหน่วยรบได้ยังไงครับ?

    นักสู้ดาบยาวอ่อ ไอ้จอมกวนนั่น

    ใช่ครับผม

    เขาไปเยี่ยมทุกเซิร์ฟเวอร์นั่นแหละ อับดุลตอบ หมอนี่ดังมาก แต่ก็เหมือนพวกโชว์ออฟทั่วไป อยากจะอวดผลงานอะไรทำนองนั้น เสียดายเราจับมันไม่ได้ ไม่งั้นจะเอามาประจานซะให้เข็ด แต่ไม่ต้องห่วง คราวนี้เราจะดูแลไม่ให้เขามารบกวนคุณอีก

     แต่ผมอยากเจอเขา

    นายต้องได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองแน่ๆ ฟาช่าส่ายหน้า

    ทำไมล่ะ? อับดุลถาม

    เขามีบางอย่างที่พิเศษ สายตาของจอร์แดนมองตรงไปยังผนังว่างเปล่า ราวกับจะย้อนความทรงจำไปในอดีต บางอย่างที่พิเศษมากๆ เสียด้วย

    นายหมายถึงชุดตกเทรนด์ หรือว่าดาบที่ยาวเป็นไม้เสียบพระจันทร์นั่นล่ะ? ฟาช่าประชด

    ผมไม่รู้เหมือนกัน จอร์แดนยิ้ม แต่ผมมั่นใจว่าเขาพิเศษ ลางสังหรณ์บอกผมอย่างนั้น

    ฟาช่ากับอับดุลมองหน้ากันอย่างหาคำตอบ และในที่สุดอับดุลก็บอกว่า

    ได้

    จริงเหรอครับ เครื่องหน้าของจอร์แดนยกขึ้นอย่างดีใจ

    แต่ผมคงทำได้อย่างดีก็แค่หนทางที่จะเข้าใกล้เขามากที่สุด อับดุลบอก เพราะแม้แต่ระบบสแกนของหน่วยรบก็ยังไม่สามารถหาที่มาของเขาได้เลย

    ไม่เป็นไรครับผม แค่นี้ก็ดีแล้ว

    ฟาช่ากับอับดุลหันหน้ามองกันอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างไม่เข้าใจความนัยของชายหนุ่มที่เพิ่งฟื้น กระนั้นอับดุลก็มั่นใจว่าจอร์แดนได้ค้นพบบางอย่าง

     

    บางอย่างที่อาจจะเป็นคำตอบของอะไรอีกหลายอย่างก็เป็นได้

     

     

     

     

    เวลาพาหลายสิ่งหลายอย่างให้ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา บางอย่างสามารถถูกเวลาชะล้างให้เลือนไป

    แต่เราก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่า เวลาไม่สามารถลบเลือนบางสิ่งได้

    บางสิ่ง ซึ่งอาจเป็นฝันร้ายที่ติดตรึงอยู่ในใจ

    จูเลียประคองวอร์ช่าลงนั่งร่วมวงอาหารอย่างทะนุถนอม แต่เมื่อมองเห็นเก้าอี้ของอเล็กซ์ที่ว่างเปล่า ความเศร้าก็กลับมาเยือนแววตาของเด็กสาวอีกครั้ง และสิ่งที่จูเลียทำก็คือบีบมือเธอไว้ เพื่อบอกให้เธอรู้ว่าไม่มีใครโทษเธอ

    เขายังไม่กลับมา วอร์ช่าสูดหายใจเข้าอย่างลึกที่สุด

    แต่เดี๋ยวเขาจะกลับมา จูเลียปลอบด้วยรอยยิ้ม

    หมอนั่นช้าเสมอ โทนี่เลิกคิ้ว และจูเลียสังเกตเห็นว่าดวงตาคู่นั้นสั่นคลอน แต่ยังไงมันก็ต้องกลับมา เพราะวันนี้มีของโปรดของมัน

    ว่าแล้วโทนี่ก็ใช้ส้อมจิ้มมีทบอลใส่ปาก

    อืม อร่อย โทนี่ยิ้ม แต่ตาเขาเริ่มแดงแล้ว

    โทนี่…” โฮการ์ดสะกิดเพื่อนเบาๆ

    เพียงเท่านั้นน้ำใสๆ ก็ไหลออกมาจากตาเขา

    โทนี่…” วอร์ช่าครางชื่อเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างแผ่วเบา โทนี่รีบใช้นิ้วปาดน้ำตาราวกับมั่นใจว่าจะไม่มีใครเห็นความอ่อนแอจากเขา

    ฉันกับมันต้องมีเรื่องเคลียร์กันอีกยาว โทนี่หัวเราะ แล้วเคี้ยวต่อ มันต้องกลับมามันต้องมา แล้วเขาก็หั่นชิ้นเนื้อใส่ปากอีกครั้งทั้งหน้าแดงก่ำ

    เพียงแค่นั้นทั้งโต๊ะก็เงียบสนิท

    ราวกับทุกชีวิตถูกสาดด้วยความหดหู่โดยพร้อมเพรียง

     

    บางสิ่ง ซึ่งอาจเป็นคำถามที่ยังไม่สามารถหาคำตอบ

    เมดาโบรันยืนอยู่เดียวดายบนหอคอยน้ำค้างอันว่างเปล่า

    เมื่อไม่มีเงาของมาลาไจน์ ความหวาดระแวง ความกลัว และความสิ้นหวังก็กลับมาทำร้ายเขาอีกครั้ง - เทพหนุ่มหลับตาพลางถอนหายใจอย่างอ่อนล้า แล้วลืมตามองบ่อน้ำเบื้องหน้า

    ด้วยความหวังว่าจะได้เห็นภาพที่เขาเฝ้าคอยสะท้อนกลับมา

     

    บางสิ่ง ซึ่งอาจเป็นหนทางที่ยังต้องหาทางออก

    นี่เป็นชื่อของคนที่คุณสามารถติดต่อ

     อับดุลส่งข้อความเสียงมาบนนาฬิกา พร้อมกับข้อมูลที่จอร์แดนต้องการ

    ความดีใจทำให้ชายหนุ่มยิ้มออกมา

    โดยไม่รู้ว่าฟาช่าเฝ้าสังเกตทุกอย่างอยู่ห่างๆ

     

     และบางสิ่งซึ่งอาจเป็นความทรงจำที่จะติดตามเราไปตลอดกาล

    แองเจิลยืนกอดอกลอยอยู่เหนือโลกมนุษย์ - ที่ซึ่งความทรงจำอันมีค่าต่างๆ ได้เริ่มต้น 

     

    สิ่งที่เราต้องทำ คือเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับสิ่งนั้น เราต้องแยกให้ออกว่าอะไรที่เราควรจะลบมันไปจากใจ หรืออะไรที่ควรเก็บไว้เป็นความทรงจำ

    เจอร์รี่ยืนเดียวดายอยู่บนหอคอยกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ สีของใบไม้ยังคงเป็นสีม่วงอ่อนดังเช่นที่เธอเคยเห็นเมื่อครั้งก่อน เด็กสาวพริ้มตาหลับเพื่อสูดกลิ่นหอมของอากาศอย่างสุขใจ และรำลึกว่าครั้งหนึ่งเธอเคยอยู่ที่นี่กับใคร

    ว้าว นั่นคือคำพูดแรกที่หลุดออกจากปากมอนโรเมื่อเธอจูบเขา

    ก็เธออยากน่ารักเอง และนั่นก็เป็นคำพูดที่เธอพูด เมื่อเห็นแววตาไร้เดียงสาของเขา

    นานๆ ฉันจะได้เจอผู้ชายที่เห็นความสำคัญของฉันมาก่อน ผู้ชายที่ยอมเสียสละ และรู้ไหมฉันคิดอะไร

    เพียงนึกถึงประโยคที่เคยเอื้อนเอ่ย น้ำตาของเจอร์รี่ก็รินไหล

    ฉันรักเธอ

    นั่นคือความในใจที่เจอร์รี่เพิ่งบอกออกไป

    มันคือความจริงจากใจทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต และตลอดไป

    เธอรู้สึกว่าหัวใจสั่นหวั่นไหวอย่างไม่อาจต้านทาน แต่แทนที่จะล้มลงอย่างคนที่สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง เจอร์รี่กลับยิ้มให้กับแสงดาวราวกับจะถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดให้ใครบางคนได้รู้  

    เธอปฏิญาณกับตัวเองแล้วว่า เขาจะไม่มีวันได้เห็นน้ำตาแห่งความอาลัย เพราะเธอต้องการให้เขารู้ว่าเธอสุขใจแค่ไหนที่เคยได้รักใครแบบเขา - แม้ตอนนี้เธอจะอยู่ยืนที่เดิมอย่างเดียวดาย โดยไม่มีเขาให้เห็นแม้เงา

    แต่ความจริงก็คือ เธอไม่เคยไปจากเขาและเช่นกันเขาไม่เคยไปจากเธอ

     

    กุญแจสำคัญก็คือ

    คุณต้องมั่นใจว่าสิ่งที่ลบออกไปนั้นจะไม่ย้อนกลับมาทำร้าย

     

    สายลมพัดผ่านไปพร้อมกับความรู้สึกอบอุ่นที่สัมผัสลงกลางหัวใจ เจอร์รี่หรี่ตาด้วยความสงสัย เธอใช้มือเสยเรือนผมที่ปลิวไสว ก่อนจะหันหลังกลับไป

    แล้วเธอก็ได้พบกับภาพของมอนโรที่ยิ้มกลับมาให้

    มอนโรที่ยังดูหล่อเหลาเหมือนเดิม

    มอนโรที่ยังอยู่ในชุดผ้าคลุมชุดเดิม

    และเป็นมอนโรที่มีรอยยิ้มเปี่ยมด้วยความรักคนเดิม

    ….

    เจอร์รี่ไม่ได้แสดงอาการตกใจที่เห็นเขาเธอไม่ได้มีท่าทางว่ากลัวเขา แต่กลับส่งยิ้มทักทายเขา ด้วยแววตาที่เปล่งประกายแห่งความยินดี

    เจอร์รี่…”

    เพียงได้ยินเขาเรียกชื่อ หยดน้ำใสๆ ก็ไหลลงมาข้างแก้ม

    มอนโร…”

    แล้วเจอร์รี่ก็วิ่งเข้าไปหาเขา ราวกับเขาเป็นสิ่งเดียวที่เธอเห็น

    แววตาที่มอนโรมองมาช่างว่างเปล่าราวกับไม่ใช่ดวงตาของคน ใจลึกๆ ของเจอร์รี่รู้ดีว่าเขาเป็นอะไร  แต่เธอก็ไม่อาจห้ามใจให้อยู่ห่างเขาได้ เจอร์รี่วิ่งต่อไป ทันใดนั้นสายลมเย็นยะเยือกก็โหมกระหน่ำ ราวกับกำแพงแห่งโชคชะตาที่ตั้งใจลงมาขวางเธอไว้ แต่เจอร์รี่ยังมุ่งมั่นที่จะก้าวไป - เธอไม่แม้แต่จะกระพริบตา อาจเป็นเพราะเธอกลัวว่าชายที่อยู่ตรงหน้าจะหายไปเหมือนภาพมายา

     เจอร์รี่

    มอนโรร้องเรียกเธออีกครั้ง

    และเพียงอึดใจนับจากนั้น เจอร์รี่ก็โผเข้ากอดเขา

     

    ที่สำคัญ คุณต้องไม่พยายามลบสิ่งนั้น

    หากความจริงคือมันยังไม่สูญสลายไปกับกาลเวลา

     

                    เจอร์รี่…” มอนโรกระซิบเสียงแผ่วเมื่อถูกเด็กสาวสวมกอด รอนานไหม?

                    เจอร์รี่พยายามข่มเสียงร้องไห้ ก่อนจะตอบออกไป

                    ไม่เลย ไม่นานเลย เธอเงยหน้ามองดวงตาที่ว่างเปล่าของเขา และนั่นยิ่งทำให้น้ำตาใสๆ ยิ่งรินไหลเป็นทวี ไม่นานเลยจริงๆ

                    เจอร์รี่ซุกใบหน้าเข้ากับอกของเด็กหนุ่มที่ขมวดคิ้วตั้งคำถาม

                    มันคือค่ำคืนอันงดงาม ซึ่งร่างของทั้งสองทอแสงอร่ามแห่งความรัก ท่ามกลางประจักษ์พยานบนฟากฟ้า ทั้งดวงจันทร์ ดารา และมหาสมุทร

                    รวมทั้งสายตาคู่หนึ่งที่เปี่ยมด้วยความสุขอย่างถึงที่สุด

                   

    สายตาคู่น้อยของมัสตาฟาน ที่นั่งอยู่บนหลังลาวาน่าเบลซนั่นเอง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×