คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : The White Road Generation II : Chapter 16 "Time" Part 4
ตอนนั้นเองที่โฮการ์ด บิสมัสวิ่งออกมาจากโกลเด้นอารีน่าหมายเลขห้า และฉันไม่ได้โกหกตัวเองที่ได้กลิ่นของปัญหาก้อนใหญ่จากสีหน้าแบบนั้น
“อเล็กซ์แย่แล้วครับ!”
ได้ยินดังนั้นพวกเราทั้งหมดก็กรูไปยังที่เกิดเหตุ หัวใจฉันเต้นระส่ำ มันเหมือนถึงตัวอเล็กซ์ก่อนฉันแล้วด้วยซ้ำ ผนังโกลเด้นอารีอารีน่าหมายเลขห้าสลายไปทันทีที่เพอเพทัวเข้าใกล้ และเมื่อเราเข้าไป
ภาพที่ปรากฏก็ทำเอาหัวใจฉันหล่นตุบไปอยู่ที่ตาตุ่ม!
“จูเลีย ช่วยเขาที!”
วอร์ช่า ควีนัสวิ่งเข้ามาหาฉันอย่างเสียขวัญ ฉันวิ่งเข้าไปไปหาอเล็กซ์ที่นอนพิงผนัง และก็ได้พบกับภาพที่เหนือความคาดฝัน
ร่างกายของอเล็กซ์นั้นเป็นสีดำวูบวาบ ราวกับหลอดไฟติดๆ ดับๆ
“อีกแล้ว” เพอเพทัวดูช็อคสุดขีด เมื่อเห็นนักเรียนคนที่สองที่บาดเจ็บจากการฝึก “เป็นไปไม่ได้” เขาส่ายหน้า
“เขาเป็นอะไร?” โทนี่ถามฉันอย่างร้อนรน ทุกคนมองฉัน ฉันดูออกว่าพวกเขาต้องการคำตอบจากฉัน แต่ฉันไม่ใช่กูเกิ้ลนะ!
“ฉันไม่รู้” ฉันส่ายหน้าอย่างตื่นตระหนก มีบทเรียนของอาโฟรไดซ์อีกมากที่ฉันยังไม่รู้ และนี่เป็นหนึ่งในนั้น
“ไปตามอาโฟรไดซ์มาที!” เพอเพทัวบอกรามิเอลที่รีบบินออกไป
“เกิดอะไรขึ้น?” ฉันถามวอร์ช่าอย่างพิศวง
“เราสู้กันอยู่ดีๆ แล้วก็
ไม่รู้ซิ ฉันไม่รู้อะไรเลย เธอต้องช่วยเขานะจูเลีย” วอร์ช่าอ้อนวอนทั้งน้ำตาคลอเบ้า ดูเตลิดไปไหนต่อไหน
“ใจเย็นๆ นะ” ฉันจับมือเธออย่างคุมสติ และรวบรวมสมาธิเพื่อวินิจฉัย
“อเล็กซ์นายได้ยินฉันไหม?” ฉันกระซิบ แต่เขาไม่หัน “อเล็กซ์นายได้ยินฉันไหม?” ฉันจึงเรียกอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม
“จะ
จูเลีย” อเล็กซ์ร้องเรียกอย่างเหนื่อยล้า ริมฝีปากเขาเป็นสีขาวซีด และที่ชวนตื่นตะลึงไปกว่านั้นคือดวงตาของเขากำลังกระพริบสลับระหว่างสีขาวว่างเปล่ากับสีดำสนิด! ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต!
“รู้สึกยังไงบ้าง?” แม้จะเป็นห่วงสุดหัวใจ แต่สัญชาตญาณบอกฉันว่าเรายังไม่ควรแตะต้องผู้ป่วยที่มีอาการไม่คุ้นเคย
“ฉะ
ฉันมองไม่เห็นเลย ไม่ค่อยได้ยินอะไรด้วย” เสียงของเขาช่างแหบแห้ง “นี่ ฉะ
ฉัน เป็น อะไร?”
“เอ่อ
” ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบยังไง “นายไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเลย” นั่นคงจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
“โทนี่นายอยู่นี่หรือเปล่า?” อเล็กซ์ร้องหาเพื่อนสนิท
“อยู่ซิเพื่อน”
โทนี่เดินเข้ามานั่ง แต่ฉันกันมือเขาไว้ก่อนที่เขาจะเอื้อมไปจับอเล็กซ์
“เราไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร นายอาจจะติดเชื้อได้” ฉันกระซิบเตือน
“ถ้าฉันเป็นอะไรไปนายสัญญากับฉันซักอย่างได้ไหม?”
“อย่าบ้าน่าอเล็กซ์ ทำสำออยไปได้” โทนี่หัวเราะแห้งๆ
“นายต้องเอามีทบอลไปเคารพศพฉันทุกวัน”
“เอ่อ
” โทนี่อ้าปากค้าง
เขาอึ้งไปนานพอสมควร
“เอาซอสอะไร?” โทนี่ถาม
“ซอสมะเขือเทศ กับพริกไทย” อเล็กซ์พร่ำเพ้อ
“ฉันจะเสิร์ฟมันพร้อมเฟรชฟราย” โทนี่เสริม
“ยังๆ มีเรื่องสำคัญอีกเรื่อง” อเล็กซ์ร้องคราง
“ฮึ?”
อเล็กซ์กลืนน้ำลาย ตากระพริบช้าๆ เหมือนคนใกล้ตายที่กำลังจะสั่งเสียเรื่องที่สำคัญที่สุดออกมา “นายจะต้องไม่ฉี่รดที่นอนอีก”
คำพูดนั่นทำให้หัวใจพวกเราหยุดเต้น
โอเค ฉันมั่นใจว่าอเล็กซ์คงตาบอดแล้วจริงๆ เขาถึงไม่เห็นว่านอกจากเหล่าเพื่อนสนิทแล้ว ในห้องยังประกอบด้วยเพอเพทัว, เชอร์คาน, นักเรียนที่เชอร์คานเรียกมาเผื่อมีเรื่องฉุกเฉินอีกห้าคน และมีพวกสอดรู้สอดเห็นอีกสิบคน รวมแล้วมีพยานรู้เห็นกว่ายี่สิบคน - และมีแนวโน้มว่าเรื่องนี้จะมีคนรู้อีกเป็นร้อยเป็นพันคน - เพราะมีครึ่งคนครึ่งลิงจอมเมาท์อยู่ในนี้ด้วย
“ฉันจะเก็บความลับนี้ไว้กับฉันจนวันตาย ไม่ต้องห่วงจะไม่มีใครรู้” อเล็กซ์อ้าปากผงาบๆ
“อเล็กซ์
” ตอนนั้นเองที่โทนี่เบ้หน้าน้ำตาคลอเบ้า ยากที่จะตีความว่าเขาเศร้า เสียใจ หรือว่าแค้นจนหาทางระบายไม่ได้
“ทุกคนหลบไป” เสียงของอาจารย์อาโฟรไดซ์ราวกับเสียงระฆังสวรรค์ เพียงแค่เธอปรากฏกายเท่านั้น ฉันก็รู้สึกเหมือนได้เห็นแสงแห่งความหวัง
“อเล็กซ์ ได้ยินฉันไหม?”
“อะ
อาจารย์” แม้จะใกล้ตาย แต่อเล็กซ์ก็ยังหวังจะถลาเข้าไปกอดสาวงามในทุกวิถีทาง
“โอ้ อเล็กซ์นายต้องพัก” โทนี่เพื่อนที่แสนดีจึงรีบถอดรองเท้า แล้วยันหน้าเขาให้กลับไปพิงผนังดังเดิม “โถ่ น่าสงสาร” โทนี่ทำหน้าละห้อย
ผ่านการวินิจฉัยไม่นาน อาจารย์ก็เปล่งเสียงออกมาว่า “ตายจริง!!” และฉันไม่เห็นวี่แววของข่าวดีจากท่าทางแบบเลย
“มีอะไรเหรอคะ?” ฉันรู้สึกหัวใจเต้นข้ามจังหวะ
“เขาลืมรูดซิป”
เป็นอีกครั้งที่ห้องเราเงียบกริบ
“โอ้ อเล็กซ์นายใส่กางเกงในลายมิกกี้เมาส์!” โทนี่ร้องเสียงดังทั้งที่ยังรักษาอาการเศร้าสลด “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น” เขาเบ้หน้าหนีอย่างปวดร้าว แต่กลับชี้นิ้วให้คนอื่นชะโงกหน้ามอง
“โอ้ว
.” นั่นคือเสียงพึมพำของกลุ่มคน
“มันเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์หรือเปล่า?” เชอร์คานตั้งคำถาม
“เกิดอะ
อะไรขึ้น?” อเล็กซ์พยายมเงี่ยหูฟัง
“เปล่า อเล็กซ์ ทุกคนเป็นห่วงนาย” โทนี่บีบเสียงหดหู่ ฉันแทบจะเห็นห้วงความคิดอันเริงรื่นของเขาประมาณล้านอัน
“พิษจากช่องว่างระหว่างมิติ” อาโฟรไดซ์เอ่ย
“มันคืออะไรคะ?” ฉันงง
“ฉันเองก็ต้องถามคนที่มากกว่านี้” อาโฟรไดซ์ตอบ
“ไม่เป็นไรมั้งครับ อาการเขาดูไม่แย่เท่าไหร่” โทนี่ยิ้ม
“อั่ก!”
และทันใดนั้นอเล็กซ์ก็กระอักของเหลวสีดำออกมา
“โอ้ พระเจ้า!” พวกเรากรีดร้อง และทุกคนก็ยืนมุงก็ตีวงออกห่าง
“อเล็กซ์ นายเป็นอะไรไป!” โทนี่ถลาเข้าไปประคองเข้าไว้อย่างไม่ห่วงความปลอดภัย
“ฉะ
ฉันไม่รู้ อั่ก!” อเล็กซ์สำลอกของเหลวน่ากลัวนั่นออกมาอีกครั้ง
ไม่ใช่แค่นั้น มันยังไหลออกมาจากตาของเขาด้วย!!
“ช่วยเขาที ใครก็ได้ช่วยเขาด้วย!” โทนี่ตะโกนร้องอย่างเสียขวัญ ขณะที่ฉันถูกความตื่นตระหนกจู่โจมจนทำอะไรไม่ถูก โทนี่ก็เริ่มเบ้หน้าเหมือนจะร้องไห้ อเล็กซ์ยังคงสำลอกของเหลวสีดำน่ากลัวออกมาไม่ขาดสาย!
“ฉันต้องรีบพาเขาไปรักษา”
เมื่อพูดดังนั้นอาโฟรไดซ์ก็กางสองมือตรงหน้าอเล็กซ์และร่ายคาถา
เทเลพาธี!
แสงสีเหลืองนวลสว่างออกมา แล้วเพียงพริบตาร่างทั้งสองก็หายไป
แต่สายตาของฉันยังไม่ละไปไหน
ฉันยังคงมองผนังตรงนั้น
ที่ๆ ภาพของอเล็กซ์ยังคงติดตรึงอยู่ในความรู้สึกของฉัน
หอคอยน้ำค้างแห่งออโรล่า คือหนึ่งในสถานที่อันเป็นนิยามแห่งความสว่าง
แต่ในนาทีนี้นิยามนั้นกำลังเปลี่ยนไป ไม่ใช่เพราะเมฆฝน หรือเพราะอำนาจร้ายใดๆ แต่เพราะปริศนาลึกลับอันยิ่งใหญ่ ที่ยังไม่มีใครหาคำตอบได้
“เฮ่อ
”
เสียงถอนหายใจของเมดาโบรัน บอกให้มาลาไจน์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ รู้ว่าความผิดหวังได้มาเยือนอีกครั้ง
“นี่คงนอกเหนือความสามารถของข้าแล้วจริงๆ” เทพหนุ่มบอก
“อย่าเพิ่งสิ้นหวังท่านเทพ ข้าเชื่อว่าโชคชะตาจะไม่ใจร้ายกับเรา
”
มาลาไจน์ฝืนยิ้ม
“นานเท่าไหร่แล้วล่ะท่านพ่อมด
” เมดาโบรันพูดแทรกอย่างราบเรียบ “นานเท่าไหร่แล้วที่ข้ากับท่านต้องจมปรักอยู่บนนี้ เฝ้าคอยให้ภาพๆ นั้นปรากฏบนบ่อน้ำ เฝ้ารอจะได้เห็นร่องรอยบางอย่างแม้จะเลือนลาง นานเท่าไหร่แล้วที่ท่านพร่ำย้ำข้าถึงความหวัง มันนานซะจนข้าชักจะเริ่มไม่เสื่อมศรัทธากับคำๆ นั้น”
“ได้โปรดตั้งสติท่านเมดาโบรัน” มาลาไจน์รีบเดินเข้าไปหาเทพหนุ่มอย่างร้อนรน - ความกังวลในดวงตาคู่นั้นช่างเอ่อล้นกว่าครั้งใดที่เขาเคยเห็น “ท่านเป็นความหวังของสามโลก ท่านจะอ่อนแอไม่ได้”
เมดาโบรันพริ้มตาหลับ ถอนหายใจ แล้วหันกลับไปส่งยิ้มให้มาลาไจน์
“ตราบใดที่ยังไม่ถึงเส้นตาย ความหวังจะอยู่ต่อไป” เขาเอ่ย
“ชะตาของสามโลกจะไม่จบลงแบบนี้ ข้าเชื่อเช่นนั้น” แม้ดวงตาของมาลาไจน์จะบอดสนิด แต่มันก็สะท้อนความชื่นชมให้เทพหนุ่มได้รู้สึก
วาบ
ตอนนั้นเองที่แสงสว่างสีเหลืองปรากฏตรงหน้าทั้งสอง และเมื่อมันหายไป ความสงสัยก็เข้ามาแทนที่ความท้อใจ
“อเล็กซ์?” มาลาไจน์ขมวดคิ้ว
“เกิดอะไรขึ้น?” เมดาโบรันรีบตรงเข้าไปหาผู้มาเยือน
“เขาโดนพิษจากช่องว่างระหว่างมิติค่ะ” อาโฟรไดซ์ใช้เวทมนตร์ยกร่างเด็กหนุ่มที่หลับไหลขึ้นวางบนโต๊ะ เมดาโบรันแม้จะมีท่าทีเคร่งขรึม แต่แววตาก็ฉายชัดซึ่งความฉงน คทาของเขาเรืองแสงสีเงินสว่าง เมดาโบรันยกมันแล้วส่องอาบร่างอเล็กซ์ “เป็นไปไม่ได้!”
คำพูดนั้นทำให้มาลาไจน์ชักสังหรณ์ใจไม่ดี
“อะไรหรือท่าน?”
“นี่ไม่ใช่พิษจากช่องว่างระหว่างมิติธรรมดา” เมดาโบรันบอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “มันเป็นส่วนประกอบของดาร์คเอเนอร์จี้”
“ดาร์คเอเนอร์จี้ ?” มาลาไจน์กับอาโฟรไดซ์ร้องพร้อมกันอย่างไม่คาดฝัน
“เป็นพลังมืดจากอวกาศที่ร้ายกาจ
ว่าแต่ เขาโดนเล่นงานด้วยพลังนี้ได้ยังไง?”
“เห็นว่าฝึกในโกลเด้นอารีน่ากับวอร์ช่า” อาโฟรไดซ์ตอบ
“วอร์ช่า?...” มาลาไจน์ครุ่นคิด “เด็กคนนั้นสามารถสร้างแบล๊คโฮลได้”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกัน?” อาโฟรไดซ์ดูร้อนรน พ่อมดเฒ่าเหลือบมองเธอที มองเมดาโบรันที ก่อนจะตอบว่า
“สิ่งที่เราทำกับพวกเขา อาจส่งผลต่อวิวัฒนาการของพลัง
” มาลาไจน์ช่างดูหวาดหวั่น “พลังของวอร์ช่าคงเติบโตไปอีกขั้น”
“แต่ท่านรักษาเขาได้” อาโฟรไดซ์หันไปมองเมดาโบรันอย่างมีความหวัง “ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องช่องว่างระหว่างมิติ”
“นี่อยู่นอกเหนือความรู้ของข้า” เมดาโบรันส่ายหน้า “ศาสตร์ของเทพไม่ได้ว่าด้วยเรื่องศาสตร์ต้องห้ามอย่างดาร์คเอเนอร์จี้ ข้าไม่มีความรู้เรื่องนี้
.”
เกิดนาทีอันแสนกระอักกระอ่วน เมื่อทุกคนล้วนถูกความกลัวครอบงำ
“ดาร์คเอเนอร์จี้เป็นหนึ่งในศาสตร์มืดต้องห้าม ผลของมันไม่ถึงตาย แต่ถ้าไม่มีความรู้เรื่องการรักษา เขาก็จะต้องทรมานกับพิษของมันตลอดไป
.” มาลาไจน์เอ่ยคำอย่างใช้ความคิด “ดังนั้นถ้าจะมีใครที่สามารถรู้เรื่องพวกนี้ได้ก็ต้องเป็น
”
“เขา!”
จู่ๆ เมดาโบรันกับมาลาไจน์เปล่งเสียงพร้อมกัน
“มีเขาเท่านั้นที่จะรักษาอเล็กซ์ได้” เมดาโบรันตาลุกวาวแบบเด็กเห็นอมยิ้ม
“ต้องรีบพาเขาไปก่อนจะไม่ทันการ” มาลาไจน์เสนอ
“ใช่ๆ เราต้องรีบ” อาโฟไดซ์พยักหน้าเห็นด้วย “รีบไปไหนเหรอคะ?”
นั่นซิ
“ไปหามิตรที่เราคุ้นเคย” แววตาของมาลาไจน์ส่องประกายความหวัง“คนที่ครั้งหนึ่งก็เคยช่วยพวกเราไว้แล้ว”
“แต่สิ่งที่เขาทำกับเราเมื่อล่าสุดล่ะ” น้ำเสียงของเมดาโบรันดูกังวล “ท่านคิดว่าเราจะยังไว้ใจเขาได้อยู่หรือเปล่า?”
อาโฟรไดซ์มองซ้ายทีขวาที เธอยังไม่รู้อยู่ดีว่าทั้งคู่หมายถึงใคร
“ข้ามั่นใจว่าเขามีเหตุผลบางอย่าง” มาลาไจน์ตอบอย่างเคร่งขรึม “และลางสังหรณ์บอกข้าว่าเขาจะยินดีช่วยเหลือเด็กคนนี้”
แม้ท่าทางของพ่อมดเฒ่าจะดูมั่นอกมั่นใจ
กระนั้นคำตอบก็ยังไม่ทำให้อาโฟรไดซ์หายแคลงใจได้อยู่ดี
ความคิดเห็น