ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [TaoKacha atlove the series 23] Happy Alley: มีสุข 23

    ลำดับตอนที่ #33 : Chapter 32 - Happy Alley เปลี่ยนแปลงเพื่อเริ่มต้น (Changeable sign)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 653
      0
      13 พ.ค. 57

    Chapter 32

     

     

     

     

    “คชาๆ พี่เต๋ามาถึงแล้วยัง”  เสียงแหลมเล็กของเพื่อนสนิทเรียกให้เด็กนักเรียนม.ปลายที่ยืนกระชับสายกระเป๋าเป้ ชะเง้อมองหาพี่ชายคนสนิทหันหน้าไปยังต้นเสียง

     

    “ยังเลย  เข้าไปก่อนก็ได้เดี๋ยวตามไป”  แพรวาและเพื่อนในกลุ่มอีกหลายคนพยักหน้ารับ  ก่อนจะเริ่มเดินตามติดกันเข้าไปในงาน

     

    เสียงซาวด์จากเครื่องดนตรีหลายชนิดเริ่มกระหึ่มสะท้อนก้องดังขึ้นไปทั่วทั้งบริเวณลานกว้าง  ทันทีเมื่อศิลปินชื่อดังขวัญใจวัยรุ่นขึ้นแสดงฝีมือ เสียงโห่ร้องด้วยความสนุกสนานก็เริ่มดังขึ้นตาม   ทำนองเสียงที่แตกต่างจากเหล่าผู้ชมคนดูประสานชัดตามเนื้อร้องของเพลงยอดนิยม 

     

    มือบางตั้งใจจะหยิบจับโทรศัพท์ในกระเป๋านักเรียนอีกครั้ง  แต่แรงจากมือคุ้นเคยก็จับเข้าที่ข้อมือเสียก่อน

     

    “ยังทันไหม?” เสียงคุ้นเคยปรากฏขึ้นพร้อมกับใบหน้าคุ้นตา  คนตัวสูงกว่าส่งยิ้มให้เด็กน้อย แม้รอยยิ้มจะดูเหนื่อยเพราะอาการหอบจากการวิ่งอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้คชาเผลอยิ้มตามออกมาได้โดยไม่รู้ตัว

     

    “ทัน!

     

    “ใครไม่ทัน  เต๋าทัน”  คนตัวเล็กหลุดหัวเราะออกมากับมุกของพี่ชายหน้าแมวที่ยืนยิ้มตาหยี เรี่ยวแรงที่หายไปเพราะความเหนื่อยจากการวิ่งได้รับการเติมเต็มให้กลับมาอีกครั้งเมื่อมองเห็นความสดใสตรงหน้า  ชั่วขณะหนึ่งที่เต๋าไม่รู้ว่าเสียงเครื่องดนตรีในงานเหล่านั้นดังมากเพียงใด หากแต่รู้ชัดว่าเสียงหัวเราะสดใสของคชานั้นดังสะท้อนก้องในความรู้สึก ส่งผ่านตามเส้นประสาทและมีผลให้หัวใจพองโตอย่างน่าประหลาด ... แค่ได้ยิ้มพร้อมกันก็ดีแล้ว :)

     

    เสียงดนตรีนำพาผู้คนมากหน้าหลายตามารวมตัวกัน  การแสดงคอนเสิร์ตหน้าศูนย์การค้าใจกลางเมือง  วงดนตรีชื่อดังของประเทศมากมายต่างรวมตัวกันมายังที่แห่งนี้ เพลงยอดนิยมกำลังเริ่มบรรเลงตามเสียงเครื่องดนตรีชุดใหญ่  เสียงกลองกำลังกระหึ่มลั่น คชาเคยได้ยินเพลงเหล่านี้อยู่บ้าง เคยฟัง เคยคลอตามบ้าง  แต่ไม่ค่อยได้สนใจมากนัก แต่ที่วันนี้ต้องสนใจก็เพราะหนึ่งในวงดนตรีที่กำลังจะขึ้นแสดงเป็นวงโปรดของเจ้าของฝ่ามืออบอุ่นที่จับมือพาตนเองวิ่งเข้ามากลางฝูงชนจนถึงหน้าเวทีกว้าง  ...

     

    ปลายเสื้อเชิ้ตตัวเก่งที่สวมใส่มาทำงานถูกปล่อยออกจากกางเกงสีเข้ม  มาดผู้ใหญ่วัยทำงานหายไปจนหมดสิ้น หลงเหลือไว้เพียงผู้ชายธรรมดาที่อยากสนุกสนาน อยากร้องตะโกน อยากปลดปล่อยตัวตนไปกับเพลงโปรด  คชามองตามคนตัวสูงกว่าที่กำลังจ้องมองเวที ศีรษะเริ่มขยับเคลื่อนย้ายไปตามเสียงจังหวะ ไม่ต่างจากริมฝีปากได้รูปที่ร้องคลอไปตามเพลงโปรดเช่นกัน

     

    อยากมองดูพี่เต๋ามีความสุขแบบนี้ ... ตลอดไปจังเลย

     

    “ร้อนไหม?” เต๋าหันมาถามเด็กน้อยข้างกาย ทำให้เขารู้ว่าน้องแอบลอบมองกันอยู่  รู้สึกเขินนิดๆ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองแสดงท่าทางอะไรออกไปบ้าง 

     

    “ไม่”  กลุ่มผมสีดำสะบัดไปมาทั้งรอยยิ้มให้พี่ชายตัวสูง  เป็นจังหวะเดียวกับที่แรงของผู้คนที่อยู่ด้านข้างผลักให้คชาเข้ามาใกล้เต๋ามากขึ้น

     

    แม้เรากำลังยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนนับร้อยพัน แต่ทว่าเหมือนเราสองออกมาสร้างโลกอีกใบที่ไม่มีผู้ใดยืนเบียดอยู่ข้างกายของสองเรา

     

    “เหงื่อเต็มหน้าแล้วครับ” ดวงตาคู่กลมจ้องมองแววตาของเจ้าของอ้อมแขนที่เข้ามารับไว้  และเพราะระยะที่ใกล้ชิดกันทำให้เต๋ามองเห็นเม็ดเหงื่อที่เริ่มเกาะตามหน้าผากและแก้มเนียน  คชาได้แต่มองหน้าของอีกคนที่เต็มไปด้วยเหงื่อไม่ต่างกัน  แต่กลับมาสนใจเช็ดหน้าให้คนอื่นแทน  

     

    หยุด หยุด ชีวิต หยุด กับคนนี้

    แม้ว่าใครจะดีสักแค่ไหน ...

     

     

    ริมฝีปากบางเม้มแน่นเข้าหากันเมื่อได้ยินเนื้อร้องของเพลงดัง  ไม่ต่างกับอีกคนที่เผลอมองลึกซึ้งจ้องในดวงตาคู่สดใส  คชาไม่รู้ว่าเพลงนี้มีคำว่าหยุดกี่คำ เพราะจิตใต้สำนึกหายไปตั้งแต่สัมผัสอบอุ่นจากริมฝีปากของอีกฝ่ายแตะเฉียดแก้มเนียนใสของตนเองแล้ว ....

     

    ผ่านบทเพลงไปเพลงแล้วเพลงเล่า  เนื้อร้องยังคงคลอไปตามเสียงดนตรีอย่างลงตัว จนกระทั่ง จังหวะช้าๆ ของบทเพลงยอดนิยมเพลงหนึ่งดังขึ้น  มีหลายเพลงที่เราเคยฟังในอดีต ได้เพียงฟังแล้วปล่อยผ่าน  แต่วันหนึ่งกลับทำให้เราต้องหยุดนิ่งค้าง ลมหายใจติดขัดเพราะความหมายช่างตรงกับความจริงในชีวิต  เนื้อหาของเพลงที่แสดงความหมายระยะทางระหว่างความรู้สึกของคนสองคน   ไกล  ระยะทางที่อีกไม่นานเราสองคนต้องร่วมเผชิญ   บทสรุปของระยะห่างไกลและเวลาที่แตกต่างจะเป็นเช่นไร ไม่มีใครล่วงรู้  เมื่ออีกฝ่ายแหงนหน้ามองเห็นแสงอาทิตย์แต่อีกคนมองท้องฟ้าพบเพียงแสงจันทร์ .... คงมีเพียงความทรงจำที่ผ่านมาของเราจวบจนวันนี้ที่เพียงพอจะสร้างคำสัญญาให้เรามีกันและกันในวันต่อไป  ...

     

    แสงที่เธอสัมผัสเชื่อมความคิดของเราให้ถึงกัน ...

     

    ยิ่งฟังก็ยิ่งเหมือนตอกย้ำความรู้สึกส่วนลึก  มือบางบีบมือคนตัวสูงกว่าโดยไม่รู้ตัว แม้จะก้มหน้าเหมือนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างแต่ดวงตาคู่น้อยกำลังหงอยเหงา  แขนยาวโอบเข้าที่ไหล่บางทันทีก่อนจะดึงเด็กขี้แงเข้ามาซุกที่แผ่นอก  มือบางกำเสื้อของอีกคนแน่น คชาไม่ได้เป็นเด็กขี้แงแบบที่พี่เต๋าคิด  แต่พี่เต๋าต่างหากที่ชอบทำให้คชางอแง ถ้าพี่เต๋าไม่ดึงเข้ามากอด ปล่อยผ่านความรู้สึกแกล้งทำเป็นไม่เห็นกันบ้าง ก็คงไม่มีอาการอ่อนแองอแงให้ปลอบแบบนี้ 

     

    “งอแงแล้ว” เสียงนุ่มกระซิบชิดใบหู เต๋ายิ้มออกมาทั้งลูบกลุ่มผมนุ่ม  แม้ตนเองจะรู้สึกไม่ได้แตกต่างจากคนในอ้อมแขนนัก  นึกขันอยู่เหมือนกันที่พาน้องเปลี่ยนมาอยู่ในโหมดนี้  ทั้งที่ตั้งใจจะพามาสนุกแท้ๆ เชียว

     

    “ไม่ชอบเพลง” เสียงเล็กบอกอู้อี้ในขณะที่ยังคงมุดหน้าซบที่อกของพี่ชายคนสนิท

     

    “เดี๋ยวมันก็ผ่านไปนะ...”  เต๋าไม่ได้หมายถึงเพลงแต่หมายถึงทุกๆ เรื่องของเรา

     

     

    ใช่ ...   สิ่งที่เรากำลังจะได้พบเจอในระยะเวลาอันใกล้นี้... เดี๋ยวมันก็จะผ่านไปใช่ไหม ...

     

     

    -----------------------------------------------------

     

    ภายใต้ความมืดของคืนวันพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว เปล่งแสงสะท้อนลงมายังผืนน้ำสีฟ้า เสียงพูดคุยดังขึ้นบริเวณสระว่ายน้ำ  กลุ่มเพื่อนสนิทกว่าสิบคนกำลังแข่งกันพูดจนบางครั้งจับใจความไม่ได้   หลังจากการสอบครั้งสุดท้ายในช่วงชีวิตการเป็นนักเรียนม.ปลายสิ้นสุดลง  เพื่อนๆ จึงนัดแนะกันมาฉลองสอบเสร็จที่บ้านของเบน  แม้จะยังมีสนามสอบอีกหลายแห่งรอพวกเขาอยู่ แต่ในเวลานี้ขอพักและวางมันลงไว้ข้างหลังเพียงชั่วครู่คงทำให้ตัวเบาหวิวได้ไม่น้อย   

     

    “ตกลงมีใครตอบได้ยังว่ามีอะไรใหญ่กว่าจักรวาลไหม” เบนถามขึ้นในขณะที่ทุกคนกำลังนั่งเรียงข้างริมสระ แช่เท้าลงจุ่มผืนน้ำสีฟ้า

     

    “ตกวิทย์ว่ะ  พวกท็อปวิทย์ตอบดิวะ” 

     

    “ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ครับเพื่อนๆ มีเพียงการคาดเดาเท่านั้น”

     

    “แล้วกาแล็คซี่หละ?

     

    “กาแล็คซี่มันเล็กกว่าจักรวาล”

     

    “อ้าว  กาแล็คซี่มันไม่ใช่โทรศัพท์หรอวะ?”  เสียหัวเราะดังขึ้นตามๆ กันกับมุกบ้านๆ จากเพื่อนในกลุ่ม  ก่อนจะปิดท้ายด้วยเสียงหัวเราะดังๆ เรียกความสนใจจากทุกคนในกลุ่มให้หันไปมองเด็กหนุ่มลูกครึ่งตัวสูงที่นั่งอยู่หัวแถว

     

    “อ่า... กาแล็คซี่ กาแล็คซี่  ฮ่า ฮ่า ฮ่า”   สายตาเกือบสิบคู่ขมวดคิ้วมองไปยังคริสที่ยังคงหัวเราะ ทั้งๆ ที่คนอื่นเงียบลงแล้ว

     

    “คริส  เข้าใจหรอ?  คชาที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถามขึ้นแทนทุกคน  เพราะบทสนทนาที่คุยกันเมื่อครูเป็นภาษาไทยล้วนๆ

     

    No!”  เท่านั้นเสียงหัวเราะก็ประสานครืนขึ้นพร้อมกัน  แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เด็กต่างชาติคนนี้เสียฟอร์มหรืออย่างไร

    ...

    ....

    “นี่พวกเราเรียนจบกันแล้วจริงๆ หรอวะ”  หนึ่งในเพื่อนสนิทพูดขึ้นมา  มีผลทำให้เสียงหัวเราะฮาครืนเมื่อครู่เบาลงจนเงียบหายไปในที่สุด  แท้จริงแล้วเราทุกคนต่างอยากเอ่ยคำนี้ออกมาแต่เลือกที่จะกลบเกลื่อนลบเลือนมันด้วยเสียงหัวเราะ  แต่อย่างไรท้ายที่สุดก็ต้องยอมรับความจริง

     

    “เรายังไม่มีที่เรียนเลยว่ะแก”  แพรวาพูดขึ้นแล้วใช้เท้าเตะผืนน้ำให้กระจาย

     

    “ก็แกเลือกเองนี่หว่า ติดแล้วก็ไม่เอา ไม่งั้นก็ได้เป็นเพื่อนร่วมคณะกันแล้วนะแพร” 

     

    “ใช่สิ  ไอ้เบนวิศวะ  ก็ฉันไม่อยากเรียนวิศวะนี่นา  อยากเรียนบัญชี”  เพื่อนๆ มองตามแพรวาและเบนที่กัดกันไม่หยุด  ยิ้มเล็กๆให้กับภาพเหล่านั้น  ภาพที่เคยเห็นจนชินตาแบบนี้  สักวันก็ต้องเลือนหายไป

     

    “คชา... จะไปเมกาจริงๆ ใช่ไหม”  แพรวาถามขึ้นเสียงหงอยหลังจากเถียงกับเบนจบ

     

    “อื้อ”  เสียงเล็กตอบรับในลำคอ  เพียงแค่ได้ยินคำถามหัวใจก็เต้นเร็วขึ้นกว่าปกติ รอยยิ้มเมื่อครู่เลือนหายกลายเป็นใบหน้าเรียบนิ่ง  อะไรหลายๆ อย่างทำให้คนตัวเล็กอยากจะทิ้งอนาคตไว้เบื้องหลัง  แค่ช่วงสั้นๆ ...สั้นๆ ก็ยังดี  

     

    “ไว้พวกเราไปส่งคชากันนะ”  คชายิ้มให้กับเพื่อนๆ ทุกคน  ...ทุกคนยิ้มแต่ในความรู้สึกอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น

     

    “แต่ก่อนเคยแต่ส่งกันขึ้นรถเมล์  ตอนนี้ต้องส่งเพื่อนไปนั่งเครื่องแล้วหรอวะเนี่ย”  เบนพูดขึ้นแล้วเหม่อมองไปยังผืนน้ำสีฟ้าที่ไม่เคยนิ่งสงบเบื้องหน้า  ไม่ต่างกับอีกหลายชีวิตที่ต่างก็กำลังมีคำถามและสิ่งที่อยากพูดมากมาย  มันกระทบความรู้สึกจนไม่อยากมองหน้ากันและกัน

     

    “คิดถึงเวลาเราแข่งกันวิ่งขึ้นรถเมล์”  คชาเอ่ยขึ้นหลังจากนั้น  ตามมาด้วยเพื่อนๆ ...

     

    “เราขึ้นรถเมล์พร้อมกัน แต่ปลายทางเราคนละที่”

     

    “แต่ระหว่างทางที่เราอยู่ด้วยกันอาจจะสำคัญกว่าปลายทางที่เราลงก็ได้นะ”

     

    “ใช่ ...มันสำคัญกว่า  สำคัญกว่ามากๆ เลยหละ”

     

    “ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันบนรถเมล์นะเว้ย”  เบนพูดขึ้นแล้วหันมามองหน้าเพื่อนทุกๆ คน  ก่อนที่แขนของทุกคนจะยกพาดไหล่ ของเพื่อนคนข้างๆ ไว้

     

    “นี่พวกเรากำลังยืนอยู่บนทางแยกกันแล้วใช่ไหม” เพื่อนผู้หญิงในกลุ่มพูดขึ้น ...  ทางแยกชีวิตที่ต่างคนต่างเดินไปตามทิศทางของตนเอง  เส้นทางใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่ เพื่อนใหม่ โดยไม่รู้ว่าเส้นทางนี้มันจะยาวไปจบลงที่ไหนและเมื่อไหร่

     

    “อนาคตแม้เราจะไม่รู้ แต่พวกเราก็ต้องไป”

     

    “เราจะเหมือนเดิมใช่ไหม?

     

    “นั่นสิ  เราจะเหมือนเดิมใช่ไหม...”  ไม่มีใครตอบคำถาม  ไม่มีใครรู้อนาคต   เมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป เราอาจจะเดินผ่านกันและกัน ปรายตามองเหมือนคุ้นหน้า แต่แล้วก็เดินเลยผ่านเพราะไม่มีใครเริ่มบทสนทนาขึ้นก่อนก็เป็นได้  

     

    ดวงตาหลายคู่แหงนหน้ามองท้องฟ้าสีดำที่มีแสงดาวระยิบระยับทอแสงแข่งขันกัน  เราทุกคนคงไม่ต่างจากดวงดาวบนท้องฟ้าเหล่านั้น  เราเป็นเพียงจุดเล็กๆ บนท้องฟ้ากว้าง มีวันที่ส่องแสงให้ผู้คนได้มองเห็น มีวันที่ถูกบดบังจากก้อนเมฆ  แต่ในความเป็นจริงแล้วดวงดาวยังคงส่องแสงทุกดวง เพียงแต่เราไม่สามารถมองเห็นความสว่างของมันได้จากทุกจุดที่เรายืนอยู่ 

     

    ...

    ...

     

    เสียงเคาะประตูห้องนอนดังขึ้นสองครั้งก่อนคนกระทำจะเปิดเข้ามาโดยไม่รอคำอนุญาต  เต๋าหันไปมองยังประตู  กระชับกรอบแว่นสีดำที่พึ่งได้ฤกษ์ไปตัดมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเพราะสายตาสั้นขึ้น  แล้วหันหน้ากลับมาให้ความสนใจกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ดังเดิมเมื่อรู้ว่าคนที่เดินเข้ามาคือใคร  ต่างจากแมวน้อยสีขาวที่พอเห็นเจ้านายเดินเข้ามาก็วิ่งพุ่งเข้าไปเกาะที่ขาทันที   

     

    “กลับมายังไงครับ”  เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามในขณะที่ตนเองยังคงให้ความสนใจกับงานตรงหน้า  นิ้วยาวยังคงกดแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็ว 

     

    “พี่ที่บ้านเบนมาส่ง” เพราะน้ำเสียงที่ดูแผ่วเบาเกินปกติ ทำให้เต๋าต้องละจากทุกสิ่งเบื้องหน้า นิ้วยาวที่เคลื่อนไหวกับแป้นพิมพ์หยุดชะงัก แล้วหันมายังเด็กน้อย  มองผ่านเลนส์แว่นเห็นร่างเล็กคุ้นเคยยืนก้มหน้า ที่หลังยังมีเป้ใบประจำที่บอกให้เขารู้ว่าน้องยังไม่ได้เข้าบ้านตนเองเลย  เต๋าลุกขึ้นช้าๆ แล้วเดินเข้าไปหาคชา  มือหนาจับเข้าที่ไหล่บางของคนตัวเล็ก

     

    “เป็นอะไรครับ”  คำตอบที่ได้คือการส่ายศีรษะไปมาทั้งยังก้มหน้า  “เด็กดีเป็นอะไร” 

     

    “ไม่อยากไปแล้ว” เสียงเบาสั่นเครือเล็กน้อย  ตอบคำถามอีกคนทั้งที่ยังก้มหน้า   “คิดถึงเพื่อน...”  คชาเงยหน้าขึ้นหลังจากนั้น  ทำให้คนตัวสูงกว่ามองเห็นหยดน้ำที่เริ่มไหลออกจากดวงตา มือที่เคยจับที่ไหล่บางย้ายมาทำหน้าที่เกลี่ยน้ำตาทันทีอย่างรู้หน้าที่

     

    “คิดถึงเพื่อน...”  คชายังคงพูดประโยคเดิม  จนกระทั่งเต๋าโอบตัวเล็กเข้ามากอดเอาไว้  ปลายคางของเด็กน้อยวางที่ไหล่ของคนเป็นพี่ สองมือกอดตอบร่างสูง เสียงสะอึกสะอื้นเหมือนคนพยายามกลั้นน้ำตาดังขึ้น  ความเปียกชุ่มจากหยาดน้ำใสสัมผัสที่เสื้อเชิ้ตตัวเก่งของเต๋า  เพียงเท่านั้นก็มากพอที่จะเป็นคำตอบว่าเด็กน้อยในอ้อมกอดกำลังกลัวกับการเปลี่ยนแปลงมากเพียงใด

     

    “ร้องสะ..”  เสียงทุ้มนุ่มกระซิบข้างใบหูพร้อมกับฝ่ามือคู่อบอุ่นที่คอยกอดปลอบลูบหลังและกลุ่มผมนิ่ม  ยิ่งคชาเข้ามากอด ยิ่งคชาร้องไห้ ยิ่งคชาบอกว่าไม่อยากไป ...ยิ่งเหมือนตอกย้ำให้เขาได้รู้ว่าอีกไม่นานตัวเล็กในอ้อมกอดจะจากไปไกลมากเพียงไหน 

     

    ไม่มีคำปลอบโยนใดๆ หลังจากนั้น  เต๋ายังไม่อยากพูดอะไรตอนนี้  แค่เพียงคำพูดปลอบประโลมดีๆ ว่า  ไม่เป็นไรเขายังไม่สามารถพูดออกไปได้ ... จึงมีเพียงอ้อมกอดและสัมผัสที่มอบให้ หวังให้น้องรู้ว่าเขายังคงอยู่ข้างๆ   ความรู้สึกของเขาและเพื่อนๆ ของคชาคงไม่ต่างกันมากนัก

     

     

     

    เพราะเขาเองก็ไม่อยากให้คนตรงหน้าจากไปไหนเช่นกัน ....

     

     

    -----------------------------------------------------

     

    สีชมพูของดอกชมพูพันธุ์ทิพย์บานสะพรั่งตามทางยาวของสองข้างถนน  แรงลมที่เคลื่อนผ่านส่งผลให้ดอกไม้สีหวานร่วงโรย   วันนี้เป็นวันรับผลสอบครั้งสุดท้ายในช่วงชีวิตนักเรียนมัธยม   และเป็นครั้งแรกที่คชาไม่ได้ตื่นเต้นกับผลการเรียน  สมุดพกเล่มเล็กกับหลักฐานเอกสารที่คนตัวเล็กทำเรื่องขอจากทางโรงเรียนเพื่อทำเอกสารการเดินทางถูกเก็บใส่ไว้ในซองพลาสติก วางทิ้งลงบนโต๊ะม้าหินอ่อนร่วมชั่วโมง ตาคู่กลมมองสนใจดอกไม้ด้านบน    ดอกชมพูพันธุ์ทิพย์สีหวานที่แม้จะบานรวมกันเป็นช่อ แต่ท้ายที่สุดแต่ละดอกมีอันจะต้องร่วงโรยแยกออกไปตามทิศทางของตนเอง ไม่ต่างจากชีวิตของคชาและผองเพื่อนในตอนนี้  ที่เมื่อเวลามาถึงเราต่างก็ต้องแยกออกไปตามเส้นทางของตนเอง

     

    คชานั่งมองบรรยากาศรอบข้าง  ที่ตอนนี้แทบจะไม่มีใครหลงเหลืออยู่แล้ว  ทุกตารางวาที่สายตามองเห็น  ทุกมุมที่สายตามองผ่านต่างก็มีภาพความทรงจำฉายซ้อนขึ้นมาทุกครั้ง เสียงคำพูดหยอกล้อกันตามทาง  เสียงคำปลอบโยนกันและกันในหวังที่ผิดหวัง  เสียงเหล่านั้นมันดังในความคิดพร้อมภาพประกอบ  และสิ่งเหล่านั้นคืออดีต ...  จากวันนี้ต้องเรียนรู้และเติบโตต่อไปเพื่อวันข้างหน้า โดยมีชิ้นส่วนของความทรงจำในอดีตคอยหล่อเลี้ยงและปลอบประโลมสิ่งที่จะพบเจอในเส้นทางสายใหม่ ... 

     

    “เด็ก...”  เสียงคุ้นเคยเรียกให้คนที่กำลังตกในห้วงความคิดของตัวเองสะดุ้ง  พี่เต๋าเดินเข้ามานั่งยังม้าหินอ่อนฝั่งตรงข้าม พร้อมกับขยี้ศีรษะเบาๆ   “รอนานไหม?”   คชาส่ายหน้าเป็นคำตอบแล้วลุกขึ้นพร้อมกันเพื่อกลับบ้าน 

     

    “พี่เต๋า .... โรงเรียนคชามีที่หนึ่งสวยมากๆ  อยากดูไหม”  เสียงเล็กเอ่ยขึ้นในขณะที่เดินเคียงข้างกันออกมา  หากแต่เต๋ายังไม่ได้ตอบอะไร  มือบางก็ดึงเขาให้ไปยังสถานที่ดังกล่าวเสียแล้ว... เต๋ามองมือของเด็กน้อยที่จับมือของเขา  สีหน้าและแววตาของคชาอ่านออกง่าย เต๋ารู้ว่าตอนนี้คนตรงหน้าเพียงต้องการยืดช่วงเวลากับสถานที่แห่งนี้ให้นานออกไปเท่านั้น 

     

    สีชมพูสวยร่วงหล่นตัดสลับกับพื้นหญ้าสีเขียวตามทางเดิน  ปลายเท้าเล็กเดินมายังริมสระใหญ่ที่ผืนน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้างเพราะดอกไม้สีหวานของต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ต้นใหญ่ที่สุดในโรงเรียนผลัดกันร่วงหล่นกระทบ 

     

    “สวยไหม?”  คชาหันกลับมายิ้มให้คนด้านหลัง  “คชาชอบดอกชมพูพันธุ์ทิพย์  สีมันสวยมากๆ  ตั้งแต่เรียนที่นี่มา คชามานั่งเล่นใต้ต้นนี้ทุกปีเลย ทุกปีคชาจะรอให้ดอกพวกนี้บาน ...”  เสียงใสบอกอย่างร่าเริงก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงเศร้าในประโยคถัดมา   “แต่ทำไมคชาไม่เคยสังเกตเลยว่าทุกครั้งที่ดอกพวกนี้บาน  จะมีใครบางคนต้องจากที่แห่งนี้”

     

    “สีสวยๆ ที่เคยเห็นในวันนั้น  ทำไมวันนี้มันเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของการจากลา”

     

    “ไม่ใช่หรอกนะ ... มันเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นมากกว่า”  เต๋าบอกเด็กน้อยที่ยืนหันหลังให้เขาตรงหน้า  แค่เพียงช่วงเอื้อมมือที่ห่างกันในตอนนี้ แต่กลับมีความรู้สึกบางอย่างทำให้เต๋ายังไม่อยากจะเดินไปยืนเคียงข้างน้อง   

     

    “ใช่จริงๆ ด้วย   เป็นการเริ่มต้นที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง  .... อย่างอื่นเปลี่ยนแปลง แต่บางอย่างจะไม่เปลี่ยนไปหรอกใช่ไหมฮะ?”   คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบเอ่ยขึ้นแผ่วเบาและถูกพัดไปกับสายลม   ดวงตาคู่กลมเหม่อมองดอกไม้ที่ร่วงโรยราลงตกกระทบผืนน้ำด้านหน้า  สายลมอ่อนยิ่งช่วยเพิ่มจำนวนของดอกเหล่านี้ให้ร่วงหล่นเพิ่มมากขึ้น  ความทรงจำและความรู้สึกกำลังถูกมองทะลุผ่านกลีบดอกไม้เหล่านั้น  อดีตที่สนุกสนานความทรงจำกับเพื่อนๆ  อนาคตในสถานที่ไกลแสนไกลที่ไม่อยากจินตนาการถึง  และปัจจุบันที่มีผู้ที่เป็นเจ้าของจังหวะหัวใจแสนอบอุ่นยืนอยู่ข้างหลัง  ...  

     

    ไม่ต่างจากคนเบื้องหลังที่มองจ้องแผ่นหลังบางแสนรัก  ทุกคำพูดของคชาไหลวนอยู่ในความคิดไปพร้อมกับความรู้สึกของเขา  ช่วงเวลาคอยเปลี่ยนแปลงความคิดและมุมมองของเราเสมอ  สิ่งที่เคยมองว่าสวยงามในอดีตแต่ในวันหนึ่งกลับทำให้เรารู้สึกเศร้าอย่างน่าใจหาย  แผ่นหลังบางที่เคยเข้าสัมผัสทุกครั้งเมื่อได้เห็น  ตอนนี้กลับอยากแค่เพียงมองให้ตัวเองได้ยอมรับสักทีว่าอีกไม่นานเราสองคนจะห่างกันไกลมากเพียงใด ....  เราต่างก็ตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง

     

     

     

     

     

     

    โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าน้ำตาของเราสองคนกำลังไหลลงมาพร้อมกัน ....

     

     

    -----------------------------------------------------

     

     

    ตอนนี้แต่งไปสามเดือน
    เหมือนมีอะไรหลายอย่างที่อยากจะบอก แต่ไม่รู้จะบอกยังไง
    แต่ก็จะพยายามเอามาลง ให้เร็วๆ 

    ฝาก #มีสุข23 ด้วยนะคะ

     

    @CHICKIMILK 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×