ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [TaoKacha atlove the series 23] Happy Alley: มีสุข 23

    ลำดับตอนที่ #19 : Chapter 19 - Happy Alley บทเรียนของความรัก (pleasant strawberry cake...)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.36K
      0
      8 ก.ย. 56


    Chapter 19

     

     

    ทริปความสุขแสนสั้นสุดประทับใจจบลงพร้อมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของผู้ร่วมเดินทาง แต่ทว่าก็ไม่วายแอบได้ยินเสียงโยเยไม่อยากกลับบ้านจากคนอายุน้อยที่สุด   เพราะคชารู้...รู้ว่าเมื่อกลับถึงกรุงเทพแล้วต้องพบกับการจากลาอีกครั้ง เพราะหลังกลับจากทะเลได้ไม่กี่วัน หม่าม๊าสุดที่รักของลูกทั้งสองก็ต้องบินกลับไปทำหน้าที่ของตนต่อที่อเมริกา  วันที่ได้พบไม่ปรากฏให้เห็นคราบน้ำตาเพราะมีเพียงเสียงหัวเราะสดใสกับความดีใจ  แต่เมื่อวันที่ต้องจากกันไกลอีกครั้งน้ำตาแห่งการจากลาก็ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างห้ามไม่ได้  หากแต่.....

     

     

    ทุกคนมีหน้าที่เป็นของตัวเอง...

    จากนี้ไปก็ต้องเดินต่อและเฝ้ารอคอยวันที่จะได้หวนกลับมาพบกันอีกครั้ง...

     

     

     

    ขายาวก้าวเข้ามายังตัวห้องนอนหลังจากผ่านพ้นการทำงานมาอีกหนึ่งวัน เสียงผ่อนลมหายใจตามมาด้วยเสียงวางกระเป๋าลงบนโต๊ะทำงานดังขึ้นก่อนที่เจ้าของห้องจะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง สองมือยกขึ้นนวดคลึงขมับทั้งสองข้าง  หวังเพื่อจะได้หลับตาพิงซบกับหมอนนุ่มก่อนจะตื่นมาอีกครั้งเพื่อเริ่มลงมือสะสางภารกิจที่ค้างคาให้เสร็จ  หากยังไม่ทันได้หลุดจากความคิดของตัวเองดี เสียงวิ่งตุบๆ ของสิ่งมีชีวิตที่กำลังเคลื่อนที่มาตามทางบันไดก็ดังขึ้น  รอยยิ้มปรากฏขึ้นทันทีที่มุมปาก เหมือนความเหนื่อยล้าที่ผจญมาในวันนี้เริ่มลดลง ขายาวก้าวกลับไปยังประตูไม้สีขาวอีกครั้ง  ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาว่าใครกำลังยืนรออยู่อีกฝั่ง มือหนาเปิดประตูห้องนอนโผล่โพล่งไปยังหน้าผู้มาเยือนจนอีกฝ่ายที่กำลังตั้งท่ายกมือเคาะประตูเผลอสะดุ้ง

    “ซน!” เสียงทุ้มนุ่มแกล้งเอ็ดทักอีกฝ่ายสั้นๆ  เรียกให้คิ้วของเด็กที่เดินอุ้มแมวมาหาตนเองขมวดเข้าหันกันทันที แต่เมื่อรู้ว่าพี่เต๋าเพียงแค่แกล้ง คชาจึงไม่ได้กลัวแต่อย่างใดหนำซ้ำยังตอบกลับเสียเสียงดัง

     

    “อะไรหละ”

     

    “เด็กซน”  เต๋ายิ้มบางๆ แล้วเขยิบทางให้เด็กนักเรียนเข้ามากระโดดขึ้นเตียงนุ่มที่ประจำ  สองมือบางที่โอบอุ้มแมวน้อยขนนิ่มเริ่มปล่อยให้แมวสุดที่รักเป็นอิสระ  หากไม่ได้ไปไหนไกล หัวกลมกับขนนิ่มสีขาวซุกเข้าแถวหัวเตียงใกล้หมอนใบโตที่มีกลิ่นกายของเจ้าของห้องติดอยู่ ก่อนจะเริ่มหลับตาหนีบทสนทนาที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างรู้งานตามประสาแมวขี้เซา 

     

    “หม่าม๊าบอกว่าคุยกับพี่เต๋าแล้ว”  เสียงเล็กเริ่มเอะอะเล็กน้อย  ตากลมจ้องมองตามหลังร่างสูงที่กำลังเก็บสัมภาระที่โต๊ะทำงานไม่วางตาอย่างพยาพยามเค้นหาคำตอบ

     

    “แล้ว?  เต๋าหันมามองร่างเล็กกลางเตียง มือหนาเริ่มปลดนาฬิกาข้อมือก่อนจะเก็บมันเข้าไปในลิ้นชัก หลังจากนั้นก็เริ่มปลดเข็มขัดและดึงปลายเสื้อเชิ้ตให้ออกมาภายนอก

     

    “คุยอะไรกัน บอกหน่อยดิ”

     

    “อยากรู้หรอ” 

     

    “อยากรู้สิๆ”  นอกจากสายตาเว้าวอนแล้ว มือสองข้างยังเริ่มเขย่าแขนยาวของพี่ชายข้างบ้าน เต๋าหัวเราะน้อยๆกับท่าทางน่าเอ็นดู ลูบกลุ่มผมสีดำสองสามทีก่อนจะทิ้งตัวนอนราบลงกับเตียงนุ่มจนคนข้างกายแอบสะดุ้ง 

     

    “งั้นไม่บอก” แม้จะเหนื่อยหนักหนาแต่อารมณ์ที่อยากจะแกล้งเด็กไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ร่างสูงแสร้งปิดเปลือกตาคล้ายจะหนีการตอบคำถาม เรียกให้เจ้าของคำถามเขยิบเข้าหาแล้วเริ่มเขย่าแขนเขาอีกครั้งเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบ แต่คนมุ่งมั่นตั้งใจกวนก็ยังไม่ลดละ

     

    “บอกมา....จะบอกไม่บอก” 

     

    “ไม่บอก” 

     

    “พี่เต๋าอยากตายป่ะ?  สิ้นประโยคเต๋าก็ลืมตาขึ้นทันที ไม่ใช่เพราะว่ากลัวแต่กำลังคิดจะแกล้งเอาคืนเด็กปากเก่งต่างหาก

     

    “โหหห...นี่จะฆ่าจะแกงกันเลย  โหดร้ายกับพี่เกินไปไหมครับเด็ก”

     

    “ก็พี่เต๋าไม่ยอมบอก” คชาเบาเสียงลงเล็กน้อยเพราะรู้ตัวว่าพูดจาแรงเกินไป

     

    “แล้วหม่าม๊าบอกเด็กว่ายังไงบ้าง”

     

    “หม่าม๊าบอกแค่ว่า หม่าม๊าคุยกับพี่เต๋าเรียบร้อยแล้ว เป็นเด็กดีนะ ....แค่นี้เอง”

     

    “ก็แค่นั้นหละครับ  เป็นเด็กดี เป็นเด็กดีนะ เป็นเด็กดีนะครับเด็ก”  ปากก็ย้ำประโยคเดิมแต่ศีรษะก็เริ่มเคลื่อนย้ายมายังตักนุ่มนิ่มของคนตัวเล็ก หนำซ้ำยังฉุดข้อมือบางมากอดแนบไว้กลางอก 

     

    “แล้วหม่าม๊าบอกไหมว่าเป็นเด็กดีของใคร.....เป็นเด็กดีของหม่าม๊าหรือว่าเป็นเด็กดีของพี่เต๋า...โอ๊ย!”  ยังไม่ทันได้พูดจบดี  กำปั้นน้อยๆที่จับไว้ก็ทุบเข้าเต็มแรงที่กลางอกแกร่ง

     

    “เด็ก  มันเจ็บนะ...จะฆ่าพี่จริงๆใช่ไหม  เดี๋ยวนี้โหดร้ายกับพี่จังเลยนะ”

     

    “ก็ไม่ยอมบอกแล้วก็ชอบมากวนแบบนี้ คชาก็แค่อยากรู้แต่ถ้าจะไม่บอกก็จะไม่ถามแล้ว”

     

    “อ้าว..นี่งอนพี่?”  เต๋าอ้าปากค้างมองใบหน้าหวานหันหนีไปอีกทาง คชาไม่ใช่คนขี้งอนอะไรมากมาย ถ้าจะโกรธกันขึ้นมาจริงๆคงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น  แล้วความเงียบที่เขากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ก็เป็นคำตอบได้ดี...คชาโกรธเขาจริงๆ

     

    เต๋าลุกขึ้นนั่งมองหน้าคนตัวเล็กทันที  ใบหน้าน่ารักเรียบเฉยหลบสายตาเมินหน้าไม่มองมายังเขา ไม่มีเสียงของถ้อยคำใดหลุดออกจากปากเด็กน้อยตรงหน้า  ถามคำถามก็ไร้วี่แววตอบกลับ สุดท้ายก็ได้แต่บอกขอโทษแล้วปล่อยให้ความเงียบดำเนินต่อ

     

    “คชา....พี่ขอโทษ”

     

    “พี่เต๋าจะไม่บอกคชาจริงๆหรอ.....ทำไมต้องมีความลับ?” แต่คนโกรธยากไม่จำเป็นต้องหายยากเสมอไป 

     

    “มันไม่ใช่ความลับ ..... แค่ความในใจเล็กๆน้อยๆจากผู้ชายธรรมดาคนนึง  เด็กอยากรู้หรอ?

     

    “ถ้าผู้ชายธรรมดาคนนั้นชื่อเศรษฐพงศ์  เพียงพอ  เด็กก็อยากฟัง” น้ำเสียงแม้แผ่วเบา แต่แววตาใสซื่อจ้องมองมายังเขาอย่างจริงจัง คำพูดแม้ธรรมดาแต่ทำให้หัวใจของเขาพองฟูอย่างน่าประหลาด

     

    “เด็กดี” เต๋ายิ้มให้อีกคนบางๆ พอให้อีกฝ่ายยิ้มหวานตอบกลับ ขยับตัวน้อยๆแล้วเลื่อนลงไปหนอนหนุนตักนิ่มอีกหน  “เหนื่อยจังเลยครับ....ของีบสักแปบนะ” คชาลอบถอนหายใจน้อยๆ  พอเห็นอีกคนเริ่มอ้อนเพราะอาการเหนื่อยล้าจากการทำงานก็เริ่มไม่อยากรบเร้าหาคำตอบ  มืออีกข้างที่ยังว่างแตะสัมผัสหน้าผากขาวของอีกฝ่ายเบาๆ

     

    “เหนื่อยมากไหมฮะ?” 

     

    “พอไหวครับ  แต่ขอพักสักแปบ วันนี้ได้เรื่องมาให้คิดอีกแล้ว”  เต๋าตอบติดตลกแต่ก็ไม่วายแอบลอบถอนหายใจแล้วจับมือบางมาแนบไว้ที่กลางหน้าอกของตนอีกครั้ง

     

    “นอนหมอนไหมจะได้นิ่มๆ”  คนเหนื่อยส่ายหน้าเบาๆก่อนจะเริ่มปิดเปลือกตาลงอย่างจริงจัง  พยายามทิ้งความเหนื่อยล้าออกจากหัวให้หมด ตอนนี้ตักอุ่นๆที่กำลังนอนหนุนสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด

     

    “ต้องทำยังไงถึงจะหายเหนื่อย?” เสียงใสถามแผ่วเบาอย่างใช้ความคิด  คชาปลอบใจคนไม่เก่ง ไม่รู้วิธีการให้กำลังใจ แต่คชาแค่อยากให้คนบนตักรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง....ต้องทำยังไง?

     

    คนเหนื่อยเงียบไปสักพักก่อนจะตอบเจ้าของมือนิ่มพร้อมรอยยิ้มทั้งตาปิด

     

    “...แค่อยู่ข้างๆก็พอ” 

     

    ความนิ่มของหมอนใบประจำที่ใช้หนุนทำให้สมองที่มึนๆกับความง่วงถูกปลุกขึ้นช้าๆ   เต๋าลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อมความรู้สึกของสัมผัสบริเวณศีรษะที่แตกต่าง ความมืดเริ่มคลอบคลุมพื้นที่ในห้องสี่เหลี่ยม ตอนกลับถึงบ้านยังพอมีแสงสว่างแต่ตอนนี้ข้างนอกเริ่มมืด  สายตามองเห็นเจ้าของตักนุ่มนิ่มก่อนหน้ากำลังนอนหลับสนิทข้างกายอยู่บนหมอนใบเดียวกับเขา ใบหน้าหวานสดใสหันมายังเขาพอดิบพอดี

     

    ตาคมลอบมองสำรวจใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะ  ปลายนิ้วแตะสัมผัสที่จมูกของน้องเบาๆ  ไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนเวลานอนแต่อย่างใด แต่หลังจากนั้นไม่นานดวงตาคู่น้อยก็เริ่มเคลื่อนขยับ ใบหน้าเริ่มเคลื่อนไหวก่อนเด็กน้อยจะส่งเสียงงึมงำแล้วลืมตาขึ้น

     

    “ทดลองเป็นหมอนอยู่ดีๆ ไหงตอนนี้ทดลองมานอนเองได้ครับ หื้ม?

     

    “...ก็...ง่วงเหมือนกัน”  ดวงตาปรือปรอยกับน้ำเสียงงัวเงียของเจ้าตัวทำให้คนมองยิ้มตามและเผลอยกมือขึ้นขยี้กลุ่มผมนุ่มอย่างไม่รู้ตัว

     

    “เด็กน้อยเอ๋ย”

     

    “พี่เต๋าเครียดเรื่องอะไรหรออยากเล่าให้ฟังไหม”

     

    “เรื่องที่ทำงานนิดหน่อย   เอาไว้ไปเคลียร์ก่อนเดี๋ยวมาเล่าให้ฟังนะ”

     

    “ไม่เครียดนะๆ”  คชาบอกอีกฝ่ายพลางใช้ปลายนิ้วจิ้มไปยังหน้าผากขาว ทำเหมือนที่อีกคนมักทำให้ตนเวลาคิดมาก   เต๋าหัวเราะน้อยๆ หลับตาพริ้มอมยิ้มกับสัมผัสนิ่มๆกลางหน้าผาก นึกขันอยู่ในใจที่ก่อนหน้านี่ยังเหมือนคนไร้เรี่ยวแรงใกล้จะตาย ตอนนี้กลับมานอนยิ้มหยอกกับเด็กดื้ออยู่กลางเตียง

     

    “ไม่ทันแล้ว”  

     

    “งั้นก็เครียดให้น้อยลงนะ นะ”

     

    “ครับผม”

     

    “ดีมาก”  เสียงใสหัวเราะขึ้นด้วยความถูกใจ  ก่อนจะเงียบลงและเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มหวานสดใสเพราะความอบอุ่นจากมือซ้ายของอีกคน  พึ่งรู้ว่าการได้มองหน้ากันและกันภายใต้ความมืดแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน


    .....ความมืดที่ทำให้เรามองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายลางๆ

    ความมืดที่ทำให้เรามองเห็นเพียงประกายตาสดใสของใครอีกคน ....


     

    “คะน้าคงหิวแล้ว”  คชาเริ่มหัวเราะคิกคักเมื่อแมวน้อยแสนรักเดินต้วมเตี้ยมมาเลียที่หลังมือของร่างสูงก่อนตะนั่งเอนลงพิงซบมือหนาข้างนั้น

     

    “ลุกได้แล้วครับ  ดึกแล้วนะ กินข้าวกัน”

     

    “พี่เต๋าลุกก่อนดิ”

     

    “งั้นลุกพร้อมกัน? โอเคไหม นับ 1 2 3 แล้วลุกนะ”  คชาพยักหน้ารับ  แต่พอเต๋าเริ่มนับจนถึงสามก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครลุกขึ้น หนำซ้ำเด็กน้อยยังแกล้งหลับตาปี๋แน่น  เสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมกันอีกครั้งก่อนที่เต๋าจะลุกขึ้นมาก่อนแล้วดึงให้คชาลุกขึ้นมานั่งตาม   ทั้งเต๋าและคชาย้ายมานั่งข้างเตียงด้วยกันทั้งคู่โดยที่ยังจับมือกันและกันเอาไว้  อาการมึนงัวเงียทำให้คชาซวนซบลงไหล่กว้างของเต๋าอีกครั้ง  เจ้าของไหล่ยิ้มมุมปากเล็กๆ ก่อนจะใช้มืออีกข้างที่เหลือลูบหัวน้องอีกหน

     

     

    เวลาอยู่ด้วยกันทำไมมีความสุขแบบนี้นะ ...

     

     

    “พี่เต๋าก ...ก .....กิน ข้าว....โอ่ะโอ” เสียงบานประตูที่เปิดออกโดยไม่ได้รับการอนุญาตจากเจ้าของห้อง ทำให้ศีรษะกลมสะดุ้งออกจากไหล่หนา   แม้ความมืดจะคลุมทั่วห้องแต่เมื่อบานประตูเปิดออกก็ทำให้แสงสว่างผ่านเขามา  เฟรมมองเห็นพี่ชายตัวเองกำลังนั่งจับมือหงุงหงิงกับน้องชายข้างบ้านแล้วก็ได้แต่ยิ้มล้อๆ   เหมือนจะเห็นน้องคชาพยายามดึงมือให้หลุดพ้นจากการกอบกุมของพี่ชายเขา  แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเท่าไหร่....พี่เต๋านี่ร้ายจริงๆ

     

    “เอ้อ กำลังจะลงไป”  น้ำเสียงขัดใจอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งเฟรมได้ยินแบบนั้นยิ่งอยากจะแซว

     

     “หรือจะไม่กินหว่า...หน้าตาดูอิ่มอกอิ่มใจแล้ว” 

     

    “ไอ้น้องเฟรมครับ...”

     

    “จะคุยกันเปิดไฟก็ได้นะพี่เต๋า ...อ่อลืมไป  ความรักมันทำให้โลกนี้สว่างไสวสินะ”    ไม่วายแซวให้คนตัวเล็กเขินอายทิ้งทายก่อนเดินหัวเราะออกจากห้องไป   

     

     

    --------------------------------------------------------------------------------

     

     

    ผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ไปมากลางศูนย์การค้าชื่อดังกลางเมือง และยิ่งเบียดเสียดมากกว่าเดิมเมื่อวันนี้มีงานเปิดตัวสินค้าแบรนด์ดังโดยนักแสดงดาวรุ่งที่กำลังมีชื่อเสียง และหนึ่งในแฟนคลับของคุณดาราคนนั้นคือเพื่อนสนิทของคชาเอง  คชาโดนแพรวาลากออกมาจากห้องเรียนทันทีที่สัญญาณบอกเลิกโรงเรียนดังขึ้น   แต่พอถึงที่หมายคชาก็ขอไม่เข้าไปในบริเวณงาน  เพราะแค่รอบๆห้างคนยังเดินจนแทบจะชนไหล่ ถ้าต้องเข้าไปเบียดฝูงชนเพื่อรอดูหน้าคุณนักแสดงคนนั้นคงได้ขาดอาการหายใจตาย  ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคนอะไรจะดังได้ขนาดนี้

     

    “ไว้เสร็จงานแล้วเราโทรหานะคชา  แต่ถ้าฟินมากเดี๋ยวไลน์มาบอกแทน อ๊ายย...ไปแล้วนะ อยากเจอพี่บอยไม่ไหวแล้ว”  แพรวาบอกเสียงแหลมแล้วรีบวิ่งฝ่าฝูงชนเข้าไปในบริเวณงาน  ทิ้งให้คนตัวเล็กยืนเก้อๆกังๆ  มองผู้คนเดินไปมาให้ปวดหัวเล่น

     

    “คนจะเยอะไปไหนเนี่ย”  คนตัวเล็กบ่นลอยๆ  พยามยามชะเง้อคอมองไปยังเวทีจัดงานแต่ก็ไม่เห็นเพราะผู้คนมากมายเหลือเกิน  ไม่นานแรงสั่นสะเทือนจากโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ปรากฏขึ้น   มองดูหน้าจอแล้วก็ต้องใจเต้นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใครโทรมา

     

    “คับ?” 

     

    “อยู่ไหนครับเด็ก?

     

    “อยู่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพมหานคร”

     

    “อ่อหรอ......” เต๋าหัวเราะกับคำตอบของอีกคน  ยังคงแอบลอบมองแผ่นหลังคุ้นเคยที่กำลังชะเง้อมองเหมือนแอบดูอะไรสักอย่างไม่วางตา ก่อนเต๋าจะคิดเล่นมุกตอบกลับไป หวังให้คชาหันมาสนใจการสนทนากับเขาบ้าง และก็เป็นเช่นนั้น พอพูดปุ๊บ..เจ้าตัวเล็กก็หยุดนิ่งทันที  

     

    “นึกว่ากลางใจพี่ซะอีก”

     

    “ว่าไงนะฮะ?

     

    “เปล่า ..ไม่มีอะไร ไม่ได้ยินก็ดีแล้ว”  ร่างสูงหัวเราะให้กับคำพูดของตัวเอง เขาแค่อยากทดลองเล่นมุกเสี่ยวๆบ้าง แต่รู้สึกว่าจะเสี่ยวไปก็ดีแล้วที่น้องไม่ได้ยิน

     

    “แล้วผู้ใหญ่ไม่ทำงานหรอ”  คชาถามออกไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าคนปลายสายกำลังเดินย่องมาทางด้านหลัง

     

    “จ๊ะเอ๋!” คชาสะดุ้งโหยงเพราะได้เสียงทุ้มนุ่มชัดเจนข้างใบหู   แล้วหันควับไปยังเจ้าของเสียงทันที  ปลายนิ้วโป้งกดวางสายแล้วหย่อนโทรศัพท์ลงไปยังกระเป๋ากางเกงนักเรียนตามเดิม แล้วมองอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มกวนให้

     

    “พี่เต๋าอยู่แค่นี้แล้วจะโทรมาทำไม” เต๋ายิ้มแมวตาปิดให้แทนคำตอบ  การกระทำบางอย่างไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลเสมอไป...จริงไหม?

     

    “โดนเพื่อนทิ้งหรอครับเด็ก”  ทำให้คชารู้ว่าพี่เต๋าแอบมองดูตนเองมาได้สักพักแล้ว

     

    “เปล่านะ...คนเยอะไม่อยากเข้าไป แค่มาเป็นเพื่อนแพรวาเฉยๆ”

     

    “อยากเข้าไปดูหรอ  ไปดูไหมเดี๋ยวพี่เข้าไปเป็นเพื่อน”  เต๋าถามขึ้นเมื่อเห็นคชาพยายามมองไปยังบริเวณงานอีกครั้ง

     

    “ก็อยากเห็นอยู่นะแต่คนเยอะจัง ไม่อยากเบียดไม่เอาดีกว่า ให้คนที่เขาอยากดูจริงๆเข้าไปดูเถอะ”

     

    “งั้นไปหาอะไรกินกันไหม”  เด็กน้อยฉีกยิ้มกว้างทันทีเมื่อพี่ชายคนสนิทเอ่ยชวนเรื่องของกิน

     

    “กิน กิน กิน กิน กิน  .....แต่ต้องโทรบอกพี่มิ้นท์ก่อน”

     

    “โอเคครับ”

     

     

     

    ยังไม่ได้เดินไปร้านอาหารทันที เนื่องด้วยเด็กดื้อบอกว่าต้องแวะซื้ออุปกรณ์เครื่องเขียนอะไรสักอย่างก่อน  ตอนนี้เต๋าจึงมายืนรอเด็กน้อยจ่ายเงินอยู่แถวหน้าร้าน ยืนเท่ห์ล้วงกระเป๋ากางเกงทอดสายตามองไปมาสักพักเพื่อฆ่าเวลา  ก่อนสายตาจะไปสะดุดกับใครคนหนึ่ง  ใครคนนั้น ใครสักคนที่กำลังมองมายังเขาเช่นกัน...

     

    “เต๋า?  เป็นอีกฝ่ายที่เอ่ยทักทายเขาก่อน แล้วเดินเข้ามาหา

     

    “เนม”

     

    “ไม่นึกว่าจะได้เจอ เป็นไงบ้างสบายดีไหม”

     

    “ไม่นึกเหมือนกัน..สบายดีๆ” เต๋าตอบตะกุกตะกัก ต่างฝ่ายดูต่างยังไม่เชื่อสายตาตนเอง ดูอึ้งและงงพอกัน 

     

    “พี่เต๋า”  เสียงคุ้นหูเอ่ยเรียกแล้วเดินมายืนข้างร่างสูง  คชาแอบมองเห็นพี่เต๋าคุยกับพี่ผู้หญิงคนนี้สักพัก ใช้เวลาคิดอยู่ช่วงนึงก่อนจะเดินเข้ามาหาอีกคน

     

    “เรียบร้อยแล้วหรอ?”  คชาพยักหน้าตอบ แล้วมองไปยังผู้หญิงตรงหน้า มองไกลๆก็ว่าดูดีแล้ว ยิ่งมองใกล้ๆยิ่งชัดเจนเข้าไปใหญ่  แค่รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ดูดี ดูสมบูรณ์แบบตั้งแต่ระยะไกล เผลอมองนานๆแล้วใจก็แอบเต้นแรงได้ไม่ยาก  ...สวยจัง

     

    “คนนี้น้อง ..... คชานี่เพื่อนพี่ชื่อเนม” เต๋าเริ่มแนะนำให้แต่ละฝ่ายรู้จักกันทันทีเมื่อมองเห็นแววตาเต็มไปด้วยคำถามของหญิงสาวตรงหน้า  คชายกมือไหว้คนอายุมากกว่า ซึ่งอีกฝ่ายก็ยกมือรับไหว้ไม่ต่างกัน

     

    “น้อง?”  เนมขมวดคิ้วงงเล็กน้อย  จำได้ว่าเต๋ามีน้องแต่ไม่ใช่คนนี้แน่ ไม่ใช่ชื่อนี้และก็ไม่ได้หน้าตาน่ารักแบบนี้แน่

     

    “บ้านอยู่ข้างกัน”

     

    “อ้าวนี่มีบ้านแล้วหรอ ไม่ได้อยู่คอนโดแล้วหรอหรือยังไง...นี่เราไม่ได้เจอกันนานขนาดนั้นเลยหรอ... ไม่ได้แล้ว  เต๋าว่างไหม? กินข้าวกันตอนนี้เลย อยากคุยด้วย”

     

    “เห๊ย!  รีบหรอ?” เต๋าหลุดหัวเราะกับประโยคยืดยาวน้ำเสียงตกใจของเนม  จริงอย่างที่เนมบอก ไม่ได้เจอกันนานแล้ว...ว่าแต่นานมากแค่ไหนแล้วนะ คงจะตั้งแต่วันสอบครั้งสุดท้ายของชีวิตนักศึกษาหละมั้ง

     

    “เนมจริงจังและซีเรียสนะเต๋า ถ้าไม่คุยตอนนี้ก็ไม่รู้จะได้เจอกันอีกไหม ...น้องคชา ทานข้าวเย็นกันนะคะ”

     

    “คชายังไงก็ได้แล้วแต่พี่เต๋าครับ”

     

    “งั้นไปร้านโปรดเต๋าไหม  ที่เคยมาด้วยกันตอนนั้น ที่อยู่ชั้น5

     

    “เอาสิ”  เต๋าคิดสักพักก่อนจะตอบตกลง

     

    “น้องคชาโอเคใช่ไหมคะ”

     

    “ยังไงก็ได้ฮะ”  คชาตอบพร้อมรอยยิ้มแม้ตอนนี้ในใจจะมีคำถามวิ่งวนอยู่มากมาย สิ่งที่ได้ยินพี่เนมพูดเรื่องร้านที่เคยมากินด้วยกันกับพี่เต๋า ก็ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าสองคนนี้คงสนิทกันมาก่อน แล้วดูท่าคงสนิทกันมากด้วยสิ...

     

    “งั้นไปขึ้นลิฟต์กัน  วันนี้คนเยอะเพราะคนบางคน”  เนมทิ้งทายแปลกๆ ให้เต๋างงเล่นเล็กน้อยก่อนจะเดินนำทั้งเต๋าและคชาไปที่ลิฟต์  ตาคมมองมายังเด็กน้อยข้างกายก่อนจะเอื้อมโอบไหล่บางและเดินไปยังที่หมายพร้อมกัน

     

     

     

     

    ทันทีที่ถึงร้านอาหาร หญิงสาวก็เดินนำไปยังโต๊ะที่ติดริมกระจกใสบานโตที่สามารถมองเห็นกรุงเทพมหานครได้หลายองศา   เนมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเต๋าก็ยื่นเมนูให้น้องชายข้างบ้านของร่างสูงพร้อมส่งยิ้มให้

    “ที่นี่มีของอร่อยเยอะแยะเลย  น้องคชาลองเลือกดูนะ”

     

    “เต๋าสั่งแบบเดิมไหมหรือว่าชอบกินอย่างอื่นแล้ว ยังชอบกินคาลามารีอยู่หรือเปล่า?

     

    “ไม่ได้ชอบแล้ว ตอนนี้ชอบอย่างอื่นแล้ว”

     

    “ใจง่ายเนาะ”

     

    “ไม่ได้ใจง่าย แค่เห็นในสิ่งที่ใช่”   เต๋าหัวเราะน้อยๆกับสิ่งที่ตนเองพูดแล้วเหลือบมองเด็กน้อยที่กำลังก้มหน้าอ่านเมนู...  ไม่รู้ว่าจะเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อบ้างไหม...คนนั่งข้างๆเขาเนี่ย

     

    “ว่าแต่เนมมาทำอะไรที่นี่”

     

    “ธุระนิดหน่อย”  เนมบอกแอบอมยิ้มเหมือนมีเรื่องอะไรสักอย่าง แต่เต๋าก็ไม่ได้รบเร้าถามอะไร  หลังจากนั้นบทสนทนาก็ดำเนินขึ้นเริ่มจากเรื่องที่เต๋าทำงานที่ไหน  และเนมกำลังทำอะไรอยู่บ้างตอนนี้  รวมไปถึงเหตุผลที่พี่เต๋าย้ายมาอยู่กับพี่ตี๋ซึ่งคชาก็พึ่งจะรู้วันนี้เองว่าเป็นเพราะอะไร  คชาแอบได้ยินทั้งสองพูดคุยถึงเรื่องเพื่อนสมัยมหาลัยกัน   วันรับปริญญาที่พี่เนมไม่ได้มาเพราะต้องไปเรียนต่อ และอีกหลายเรื่องที่คชาไม่เข้าใจ...

     

    หากถามว่าบรรยากาศตอนนี้เป็นยังไง  สำหรับเนมและเต๋าแล้วคงเหมือนเพื่อนเก่าไม่ได้เจอกันนานได้พบกันอีกครั้ง ทั้งเสียงหัวเราะและรอยยิ้มปรากฏขึ้นไม่ยาก  แม้ส่วนมากเต๋าจะฟังมากกว่าพูด  แต่ก็ดูมีความสุขดีทั้งคนพูดและคนฟัง 

    แต่สำหรับคชา...เหมือนบรรยากาศตอนนี้ไม่ใช่ที่ของตัวเอง  บทสนทนา เรื่องราวที่ได้ยินทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจฟังทำให้รู้ว่าตนเองนั้นไม่สามารถนำตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของอีกสองคนได้  เด็กน้อยจึงได้แต่นั่งเงียบๆ อยากจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดแต่ก็กลัวเสียมารยาท  จึงได้แต่ทำแสร้งลอบมองออกไปยังนอกตัวร้านผ่านกระจกใสบานใหญ่  วิวของเมืองหลวงด้านนอกที่มีแต่ความวุ่นวาย หากแต่คงไม่เท่าความรู้สึกในใจตอนนี้

     

    “เราไม่ได้มาร้านนี้นานมากเลยเต๋า  อันที่จริงตั้งแต่มากับเต๋าครั้งนั้นเราก็ไม่ได้มาอีกเลย”

     

    “ร้านนี้เต๋าก็ไม่เคยพาใครมา  เคยมาแต่กับเนม” เต๋าบอกออกไปตรงๆ ที่ไม่ได้มาร้านนี้อีกเพราะราคาค่อนข้างแพง  แต่หารู้ไม่ว่าคำตอบตรงๆของตัวเองจะทำให้สมองน้อยๆของคนข้างกายคิดไปไกล... ที่สำหรับคนสำคัญสินะ

     

    “แหนะ  แสดงว่ามีคนอื่นแล้วจริงๆด้วย”  เต๋ายกยิ้มเล็กน้อยหากไม่ได้ตอบอะไร  ต่างจากเด็กน้อยข้างกายที่ยิ่งได้ฟังสองคนคุยกันยิ่งรู้สึกขุ่นมัว

     

    “แปบนะ  ขอไปคุยโทรศัพท์ก่อน”  เหมือนกำลังจะล้วงถึงเรื่องส่วนตัวของเต๋า แต่เสียงโทรศัพท์ของก็ดังขึ้นเสียก่อน  หลังจากเห็นเนมเดินออกไปเต๋าก็หันมาถามคนตัวเล็กที่นั่งก้มหน้า จิ้มๆ เขี่ยๆ อาหารในจาน

     

    “อร่อยไหม? เด็กเอาอะไรเพิ่มไหม?

     

    “ไม่เอาแล้ว  แค่นี้ก็ไม่รู้ว่าจะกินหมดไหม”  คชาตอบไม่มองหน้าอีกฝ่าย แล้วจัดการจิ้มเนื้อปลาเข้าปาก  คนที่ปกติไม่เคยจะปฏิเสธเรื่องสั่งอาหารวันนี้กลับบอกว่าตัวเองจะทานไม่หมด

     

    “เค้กไหม?

     

    “ไม่เคยกินของร้านนี้”

     

    “ก็ลองดู  พี่เคยชิม...ตอนนั้นเนมสั่ง...”  แต่ยังไม่ทันได้พูดจบดี คนตัวเล็กก็ตอบกลับมาจนเต๋าอ้าปากค้าง

     

    “ไม่อยากกินของร้านนี้” 

     

    “......”

     

    “คือ คชาหมายความว่าอยากกินของร้านเดิมมากกว่า แล้วตอนนี้ก็อิ่มมากๆแล้วด้วย”  เหมือนรู้ว่าน้ำเสียงกับประโยคที่พูดออกไปก่อนหน้านี้ทำให้อีกคนตกใจ  คชาจึงรีบขยายความกลบเกลื่อน

     

    “งั้นแวะซื้อก่อนกลับแล้วกัน  ถ้ายังไม่กินวันนี้ก็เก็บไว้ในตู้เย็นก่อนก็ได้”  คชาพยักหน้าตอบรับ แสร้งทำเป็นตั้งใจทานอาหารเพื่อจะได้ไม่มองอีกคน  เพราะถ้ามองตอนนี้พี่เต๋าคงต้องรู้แน่ว่ากำลังรู้สึกไม่ดีอยู่

     

    ........

    .....

    ...

    ..

     

     

    “เดี๋ยวเนมไปส่งที่บ้าน  วันหลังจะได้ไปหา  ตั้งแต่กลับมาก็ยังไม่ค่อยได้เจอเพื่อนเลย”  หญิงสาวแนะหลังจากเห็นว่าทุกคนจัดการกับมื้อเย็นตรงหน้าเรียบร้อยดีแล้ว  มื้ออาหารราคาแพงเกินปกติวันนี้เนมเสนอขอเป็นคนเลี้ยงเพราะบอกว่าตนเป็นคนชักชวน  แต่เต๋าก็ยืนยันว่าอยากจะจ่ายเอง ท้ายที่สุดก็ต้องหารสองออกกันคนละครึ่ง  ทิ้งให้เด็กน้อยนั่งมองสองฝ่ายเถียงกันเรื่องค่ามื้ออาหารมองตามตาละห้อย

     

    คชาขอตัวไปเข้าห้องน้ำและนัดแนะผู้ใหญ่สองคนให้ไปเจอกันที่ร้านเค้กเจ้าประจำ   พอกลับมาอีกครั้งก็เห็นทั้งพี่เต๋าและพี่เนมกำลังก้มเลือกเค้กสีสวยหลากรสผ่านตู้กระจกใส ตู้เค้กตู้ประจำที่ปกติคชาจะยืนข้างพี่เต๋าเพื่อช่วยกันเลือกเค้ก เถียงกันไปมาแทบทุกครั้งเพราะสุดท้ายเด็กน้อยก็เลือกเค้กรสโปรดรสเดิม....  ขาสองข้างที่กำลังจะเดินเข้าไปหาจึงหยุดชะงักและแอบมองจนทั้งสองคนช่วยกันเลือกเค้กและจ่ายเงินเสร็จ

    ทำไมเวลามองเขาอยู่กับคนอื่น ยิ้มกับคนอื่น หัวเราะกับคนอื่น...ถึงรู้สึกโหวงเหวงแบบนี้

     

     “น้องคชาคะ   พี่เลือกให้...ตอนแรกเดาว่าชอบเค้กวานิลลาแต่เต๋าบอกว่าน้องคชาชอบสตรอเบอร์รี่มากกว่า แต่พี่จัดให้ทั้งสองชิ้นเลย ฝากกินด้วยนะ”

     

    “อ่า~ ....ขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆ”  คชารู้สึกเกรงใจไม่น้อยตอนยื่นมือไปรับถุงกระดาษ แอบเห็นว่าคนจ่ายเงินเป็นพี่เนม  ค่าอาหารที่ไม่ได้จ่ายเอง รวมไปถึงถุงเค้กในถือตอนนี้ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กมากๆ ...

     

    “เด็กคุยกับแพรวาแล้วใช่ไหม จะได้กลับเลย”  คชาพยักหน้าบอกคนที่เดินมายืนอยู่ข้างๆ   ก่อนที่ข้อมือบางจะถูกมือหนาจับไว้แล้วเลื่อนมากุมมือแทน  คชาตั้งท่ากำลังจะโวยวายแต่อีกฝ่ายก็ทำเป็นไม่สนใจแกล้งหันหน้าไปคุยกับเพื่อนตัวเองต่อ ...  

     

    หลังจากที่เข้ามายังตัวลิฟต์  ผู้คนก็เริ่มทยอยเบียดกันมากขึ้น แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นลิฟต์เกิดอาการกระตุกค้าง  สั่นไหวจนทำให้คนในลิฟต์ซวนเซตามแรงกระตุก  รวมไปถึงทำให้ร่างทั้งร่างของเนมทรงตัวไม่อยู่เอนมายังทางเต๋าที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างเพื่อนตัวเองและคนตัวเล็กที่อยู่ชิดติดกำแพงลิฟต์  ด้วยความตกใจเต๋าจึงใช้สองแขนช่วยประครองหญิงสาวเอาไว้ เพื่อไม่ให้อีกคนล้มลงไป  และปล่อยให้เนมกลับไปยืนอีกครั้งเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นปกติดี  แล้วรีบหันมาถามเด็กน้อยข้างตัวก่อนจะสำรวจไปทั่วร่างกาย

     

    “เป็นอะไรไหม?

     

    “ม ...ม...ไม่ ไม่”  ยอมรับว่าตกใจจากการที่ลิฟต์กระตุก  แต่พึ่งรู้ว่าหัวใจของตัวเองกระตุกได้เหมือนลิฟต์ตอนเห็นภาพที่พี่เต๋าเสมือนว่ากอดพี่เนมเอาไว้ คชากำลังรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกของตัวเอง  กำลังพยายามควบคุมความคิดไม่ให้เตลิดไปไกล ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องมาคิดอะไรบ้าบอไปเองอยู่คนเดียว  คนตัวเล็กยืนก้มหน้านิ่งสักพักก่อนที่ใจจะชื้นขึ้นมาหน่อยเมื่อมือหนาของใครอีกคนกุมมือของตนเองเอาไว้คล้ายจะปลอบ  คชาเงยหน้าขึ้นก็พบว่าอีกฝ่ายส่งยิ้มแสนอบอุ่นมาให้ ก่อนเต๋าจะก้มลงกระซิบข้างใบหูและยิ่งแนบชิดขึ้นเมื่อมีคนเข้ามาในลิฟต์มากขึ้น

     

    “ไม่ต้องกลัวนะเด็กน้อย”

     

    ตลอดระยะทางระหว่างลิฟต์ถึงลานจอดรถ  เต๋าก็ยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากคชาหนำซ้ำยังกุมไว้แน่นกว่าเดิม เพราะกลัวว่าคชาจะยังคงตกใจกับเหตุการณ์ในลิฟต์อยู่  

     

    “ยังใช้รถคันเดิมหรอ?

     

    “แน่นอน...อยากลงไปนั่งตำแหน่งเดิมไหมหละ?”  เนมถามพร้อมกับยื่นกุญแจรถให้เต๋า  ทำให้มือหนาที่กุมมือเรียวเอาไว้ปล่อยออกไปรับกุญแจจากเพื่อน  คชาแอบตกใจที่จู่ๆอีกคนก็ปล่อยมือจากตนเอง  แอบก้มหน้ากัดริมฝีปาก คิดเป็นตุเป็นตะอยู่คนเดียว ไม่ได้สนว่าพี่เต๋าเดินไปยังรถฝั่งคนขับเรียบร้อยแล้ว

     

    เบาะด้านหลังของรถยุโรปยี่ห้อดังถูกจับจองโดยคนตัวเล็กอย่างไม่ต้องสงสัย   พอเข้าไปนั่งในตัวรถเด็กน้อยก็เอาแต่กอดกระเป๋าเป้นิ่งไม่พูดไม่จา  เสียงสนทนาระหว่างเต๋ากับเนมยังคงดังขึ้นประปราย  คชาได้ยินคร่าวๆว่าพี่เนมพูดถึงเรื่องเรียนต่อที่แคนาดา กับธุรกิจของที่บ้านหรืออะไรสักอย่างให้พี่เต๋าฟัง  หลังจากนั้นเด็กน้อยก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมส์พยายามไม่สนใจกับบทสนทนาของผู้ใหญ่ทั้งสอง  บทสนทนาที่ตนเองไม่มีส่วนร่วมและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ...

     

    “มีไม่กี่คู่หรอกนะ ที่เลิกกันแล้วแต่ยังเป็นเพื่อนกันได้อยู่  บางทีเนมก็แอบคิดนะว่าเราไม่ควรเป็นแฟนกันตั้งแต่แรก”  จู่ๆเนมก็พูดขึ้นมาระหว่างที่กำลังคุยกันเรื่องคอนโดที่หญิงสาวตั้งใจจะซื้อ  คงเป็นเพราะเต๋าดูเหมือนจะเป็นคนที่ปรึกษาได้ทุกเรื่องหละมั้ง ...แต่สำหรับเต๋าประโยคที่เนมเอ่ยขึ้นนั้นมีคำว่า แฟน    ตาคมแอบมองผ่านกระจกหลังไปยังคชาทันที  มองเห็นอีกคนนอนหลับตากอดกระเป๋าไปเรียบร้อยแล้วก็ใจชื้นขึ้นมานิดๆ   ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอะไรแต่ถ้าเด็กได้ยินคงต้องอธิบายยาวแน่ๆ และก่อนจะอธิบายก็กลัวว่าคชาจะแอบคิดมากไปเสียก่อน  แต่ถึงอย่างนั้นถ้าคชาอยากรู้จริงๆก็ต้องเล่าซึ่งเต๋าก็เต็มใจอยู่แล้ว

     

    “เคยคิดว่าการเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนหลังจากเลิกกับเต๋าคงเป็นเรื่องยาก  แต่พอเจออะไรที่ใช่ไม่เห็นเป็นแบบนั้นเลย  รู้งี้ไม่คบเต๋าดีกว่า ชิ”

     

    “อ้าวเห้ย...สะงั้น”  เต๋าหลุดหัวเราะน้อยๆ ที่จู่ๆอดีตคนรักก็เริ่มพูดเพ้อ แล้วเริ่มหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าซอยมีสุข 23  แอบอ่านออกว่าเนมคงกำลังพบรักครั้งใหม่ จึงแอบมองไปยัง รักครั้งใหม่ ของตนเองที่กำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่หลังรถบ้าง

     

    “ถ้าเจอคนที่ใช่มันไม่ยากที่จะเริ่มใหม่หรอกเนม...ไม่ยากเลยสักนิด”

     

    “ไม่น่าคบแกเลยเต๋า”

     

    “โหหห.... ไอ้ติ๊งต๊อง” 

     

    “ไอ้เต๋าเล่นหัวหรอ?”  ต่างฝ่ายต่างเอ่ยถึงฉายาที่เคยใช้เรียกอีกคนบ่อยๆสมัยคบกัน   ก่อนมือหนาจะยกขึ้นผลักหัวของหญิงสาวเบาๆเป็นการแกล้ง   เป็นขณะเดียวกันที่ดวงตากลมของเด็กน้อยฝั่งเบาะหลังลืมตาขึ้นพอดี 

     

    มือข้างที่เคยใช้ลูบหัวเขาบ่อยๆ  ฝ่ามืออบอุ่นคู่นั้น ...

     

    “เด็กตื่นแล้วหรอ  จะถึงพอดีเลย พี่นึกว่าจะต้องแบกหมูน้อยขึ้นบ้านสะแล้ว”  ฝ่ามือคู่สวยของหญิงสาวตีเข้าที่ไหล่หนาทันทีที่เต๋าพูดจบ  เนมแอบเอ็ดเต๋าแล้วหันไปถามเด็กน้อยหน้าง่วงหลังรถ

     

    “เต๋า ทำไมไปแกล้งน้องแบบนั้น ..... น้องคชา  เต๋าชอบแกล้งแบบนี้หรอ อย่าไปยอมนะ”

     

    “ใช่คับ  พี่เต๋าชอบแกล้ง”

     

    “นั่น..เด็กฟ้องหรอ?  เดี๋ยวกลับบ้านไปโดนแน่ๆ”  เต๋าและเนมหัวเราะขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายเหลือก็แต่เพียงคชาที่พยายามแค่นหัวเราะเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาทั้งที่จิตใจตอนนี้กลับตรงข้าม

     

    พอรถคันหรูเคลื่อนตัวจอดสนิทถึงบริเวณบ้านเลขที่ 23/2  คชาก็เอ่ยบอกลาขอบคุณเจ้าของรถก่อนจะเปิดประตูรถออกไปก่อน  เหลือเพียงเต๋าและเนมที่ยังนั่งอยู่ในตัวรถ  ตากลมแอบลอบมองอีกสองคนที่ยังคงคุยกันทั้งรอยยิ้มผ่านฟิล์มกระจกสีทึบแล้วก็ต้องรีบหันหน้าหนี  เด็กน้อยยืนกอดกระเป๋าหน้าหงอยยืนนิ่งมองประตูรั้วยังไม่มีอารมณ์เปิดมันออกทันที  ก่อนที่ถุงกระดาษสีสวยจะปรากฏตรงหน้า

     

    “ลืมอะไรหรือเปล่า”  สงสัยมัวแต่คิดบ้าบอมากไปจนไม่ได้ยินเสียงรถของพี่เนมที่เคลื่อนที่ออกไปแล้ว  คชาหันมาหาอีกฝ่ายก่อนจะเงยหน้าสบตากับอีกคน  แววตาหงอยๆของน้องทำให้เต๋าถึงกับหุบยิ้มทันที และถามคนตัวเล็กเสียงจริงจังทันที

     

    “เป็นอะไรหรือเปล่า?

     

    “เปล่า...ง่วงนอน”

     

    “วันนี้ดูเงียบๆนะ”

     

    “...ก็พี่เต๋าอยู่กับเพื่อน”  เสียงใสตอบบางเบา  เต๋ายกยิ้มขึ้นมาน้อยๆ ก่อนจะดึงร่างเล็กเข้ามากอดให้คางของเด็กน้อยวางพอดีที่ไหล่  ก่อนจะก้มกระซิบบอกถ้อยคำคุ้นเคยข้างใบหู

     

    “ฝันดีครับ” 

    .......

    .....

    ...

    .

     

    “พี่เต๋า!” เสียงเรียกจากอีกฝ่ายทำให้มือหนาที่กำลังจะเปิดประตูรั้วหยุดชะงัก

     

    ...........?...........

     

    “คชาไม่ชอบเค้กวานิลลา”  เสียงใสโพล่งบอกเจ้าของขายาวที่กำลังก้าวกลับเข้ามาหาตนเอง  เต๋ายิ้มออกมาอีกครั้งเหมือนจะเข้าใจที่คนตัวเล็กต้องการจะสื่อ  แววตามุ่งมั่นทอดมองแววตาสดใสไร้เดียงสาอีกหนก่อนจะถ่ายทอดความรู้สึกออกไปเป็นคำพูด ...คำพูดที่มีเพียงเราเท่านั้นที่เข้าใจ

     

    “พี่ก็ไม่ชอบเหมือนกัน....”  รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวานใสทันทีที่ได้ยิน  พร้อมแรงบีบเบาๆที่ปลายจมูกรั้นที่ทำให้เจ้าตัวเสหน้าหลบแทบไม่ทัน  ก่อนประโยคสุดท้ายสำหรับค่ำคืนนี้จะช่วยย้ำความรู้สึกให้หัวใจพองโตมากกว่าเดิม 

     

     
     

    “เค้กสตรอเบอร์รี่อร่อยที่สุดแล้วครับ” 

     

     

     

     

     

     

    บทเรียนของความรัก...ต้องเรียนรู้ไปพร้อมกัน

     

     

     

    --------------------------------------------------------------------------------

     

     

    ลงแล้วววว...ใครคิดถึง ใครถามถึงก็กลับมาอ่านกันได้แล้วนะคะ 5555 

    คิดถึงคนอ่านมากๆเลยต้องลงฟิคเพื่อแลกรอยยิ้ม : )  แลกกันค่ะเห็นคนอ่านรู้สึกดี อ่านแล้วยิ้มเราก็ยิ้มตาม
    ขอโทษที่ไม่สามารถพาเด็กเที่ยวต่อได้ ลองวานแผนการแต่งไว้คร่าวๆหลังจากไม่เคยวางแผนเลยจึงทำให้มันต้องออกมาในรูปแบบนี้... แต่ได้ไปเที่ยวอีกแน่ๆ รับรอง
    :D

     

    ป.ล. เข้าใจเค้กสตรอเบอร์รี่กันใช่ไหมคะ?  

     **แก้คำผิดเล็กน้อย

    @CHICKIMILK    #มีสุข23 

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×