ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [TaoKacha atlove the series 23] Happy Alley: มีสุข 23

    ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 8 - Happy Alley เหมียวเหมียว

    • อัปเดตล่าสุด 13 พ.ค. 57


     

    Chapter 8

     

     

     

     

    “ไม่เตะบอลกับพี่จริงหรอ?” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามคนตัวเล็กเป็นรอบที่สามของวัน

     

    “ไม่เอา วันนี้อยากวิ่งมากกว่า” 

     

    “วิ่งคนเดียวเหงานะ”  เสียงเจ้าเล่ห์เริ่มสะกิดแซวอีกคน

     

    “จะเหงาได้ไง คนวิ่งเยอะแยะ”

     

    “วิ่งคนเดียวระวังหลงทางน้า~

     

    “ไม่เคยกลัว”  คชาตอบกลับแล้วยกมือขึ้นกอดอก  เบือนหน้าไปยังอีกฝั่งทันที

     

    “แต่พี่กลัวนะ...”  เต๋ายกแขนขึ้นกอดอกเหมือนคนตัวเล็กแล้วถอนหายใจเสียงดังจนคชาตกใจ

     

    “กลัวอะไรหละ”

     

    “กลัวเด็กหายไง”  ริมฝีปากบางเบ้ออกอย่างขัดใจ  เต๋าหลุดหัวเราะออกมาทันทีเมื่อเห็นอีกคนทำหน้าหงุดหงิด  

     

    “โอเคๆ วิ่งก็วิ่ง    งั้นถ้าวิ่งเสร็จแล้วมาหาพี่ที่สนามนะ”

     

    “โอเคเด็กชายเต๋าน้อย” คชายิ้มให้อีกคนก่อนที่มือหนาจะยื่นมาลูบหัวกลมแล้วปล่อยให้คนตัวเล็กไปวิ่ง   ตาคมมองแผ่นหลังบางที่เคลื่อนตัวออกห่างไปทีละนิดแล้วเดินไปยังสนามฟุตบอลที่อยู่ไม่ไกล

     

     

    ...

    ......

    .........

     

     

    พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า  แสงสว่างที่เคยได้รับจากพระอาทิตย์ดวงโตหายไปแล้วถูกแทนที่ด้วยแสงไฟจากหลอดนีออนสีขาวตามทางเดิน  เต๋ายกแขนขึ้นเช็ดเหงื่อที่ไหลเกาะพราวตามใบหน้าคมขาว  แล้วเดินไปบอกลาเพื่อนร่วมทีมที่กำลังเตรียมตัวแยกย้ายกลับบ้าน  เต๋าเลิกเตะบอลแล้วแต่คชายังไม่มาหาเขาตามที่นัดกันเอาไว้  สุดท้ายก็ต้องเดินตามหาอีกคนตามระเบียบสินะ

     

     

    “คชา” เต๋าร้องเรียกคนตัวเล็กทันที เมื่อมองเห็นแผ่นหลังบางคุ้นเคย  แต่ทว่าคนที่กำลังนั่งยองอยู่กับพื้นไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเสียงเรียกของเขาสักนิด  จนกระทั่งเต๋าเดินไปยืนอยู่ด้านหน้า

     

    “นั่นแมวใคร?”  คนที่ยืนอยู่ถามขึ้นทันทีเมื่อสังเกตเห็นสิ่งมีชีวิตสีขาวขนฟูในอ้อมกอดของคชา  มือบางกำลังเกาคาง ลูบไล้ขนนุ่มนิ่มนั่นด้วยความเอ็นดู

     

    “ไม่รู้เหมือนกัน  เห็นนั่งอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตั้งนานแล้ว หลงทางหรือเปล่าก็ไม่รู้ หลงทางหรือเปล่านะ เหมียว เหมียว” เต๋าพยักหน้าเออออก่อนจะนั่งลงเหมือนอีกคน  นึกเอ็นดูเสียงร้องเหมียวเหมียวที่อีกคนพูดเมื่อครู่ไม่น้อย

     

    “แต่ก็น่าจะเป็นแมวมีเจ้าของนะ ดูสิมีปลอกคอด้วย สงสัยเจ้าของคงจะไปวิ่งแล้วปล่อยแมวมาเดินเล่น”

     

    “เจ้าของใจร้ายจัง ไม่เอาเหมียวเหมียวไปด้วย ดูสิตัวเล็กนิดเดียวเดี๋ยวก็มีคนมาลักพาตัว” 

     

    “ใครเขาลักพาตัวแมวกัน” 

     

    “ก็เหมียวเหมียวน่ารัก”

     

    “งั้นเราก็ถูกลักพาตัวได้”

     

    “หือ?” คชาเงยหน้าขึ้นมองตาคมของเต๋าที่กำลังจ้องมองตัวเองอยู่พอดี

     

    “เพราะคชาก็น่ารักเหมือนกัน” ประโยคของพี่เต๋าทำให้คชาอ้าปากค้าง คิดคำพูดที่จะตอบกลับอีกคนแต่คิดไม่ออก ได้แต่ก้มหน้างุดจนคางแทบจะชิดอกจนอีกคนต้องร้องทัก

     

    “พี่ล้อเล่น  ไม่ต้องก้มหน้าเขินหนีพี่ขนาดนั้นก็ได้”  เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมามองอีกคนตาขวาง ก่อนจะใช้อุ้งมือนุ่มนิ่มของแมวตัวขาวขนปุยตะปบไปที่ไหล่ของอีกคน

     

    “อ้าว อ้าว  นี่รวมตัวกันทำร้ายร่างกายพี่หรอ”

     

    “ไม่สน  นี่ นี่ นี่ นี่”  มือเล็กยังไม่ลดละในการใช้อุ้งมือนุ่มนิ่มตะปบไปยังบ่ากว้างของอีกคน

     

    “ดึกแล้วนะ กลับบ้านกัน”  เต๋าจับเข้าที่ขาหน้าของแมวขนฟูเป็นสัญญาให้คชาเลิกเล่น  แล้วเอ่ยชวนอีกคนเมื่อก้มลงมองนาฬิกาแล้วรับรู้ว่าตอนนี้กี่โมง

     

    “แล้วแมวหละฮะ?  เด็กน้อยขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย  สองมือยังคงโอบอุ้มเจ้าแมวเหมียวตัวเล็กสีขาวไว้

     

    “เดี๋ยวเจ้าของเขาก็มาเอา ปล่อยไว้ที่เดิมนี่แหละ”

     

     

    เต๋าเดินไปยังจักรยานที่จอดอยู่อีกฝั่ง  มองดูคนตัวเล็กวางแมวน้อยสีขาวขนปุยลงกับพื้นก่อนจะลูบหัวมันเบาๆสองสามทีแล้วเดินมาซ้อนท้ายรถจักรยานของเขา   เต๋าแอบลอบมองเห็นแววตาละห้อยของคชาที่หันหลังกลับไปมองเจ้าแมวน้อยที่มองมายังคชาไม่ต่างกัน 

     

     

    “พี่เต๋า จอดก่อน” มือบางกระตุกที่เสื้อยืดของคนปั่นจักรยาน  เต๋าหยุดรถแล้วปล่อยให้คนที่นั่งซ้อนท้ายวิ่งกลับไปยังจุดหมายที่พึ่งจากมาได้ไม่นาน

     

    “เอาเหมียวเหมียวกลับบ้านด้วยได้ไหม?  คนตัวเล็กวิ่งดุ๊กๆกลับมายืนด้านหน้าเขา  สองมืออุ้มแมวสีขาวตัวน้อย ที่หัวกลมกำลังคลอเคลียอยู่กับอ้อมกอดอบอุ่นนั่น

     

    “หือ?” เต๋าเลิกคิ้วสงสัย มองดูเด็กน้อยตรงหน้ากอดแมวตัวสีขาวทำหน้าขอความเห็นใจจากเขา

     

    “ก็..เหมียวเหมียวอาจจะหลงกับเจ้าของก็ได้  แล้วแถวนี้หมาก็เยอะด้วย เหมียวเหมียวตัวนิดเดียวเอง เดี๋ยวเหมียวเหมียวจะโดนรังแกนะ”  ถึงจะบอกออกไปแบบนั้นแต่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าพี่เต๋าจะอนุญาตให้เอาแมวน้อยกลับบ้าน

     

    “ไว้เราค่อยติดประกาศตามหาเจ้าของก็ได้  แต่มันดึกแล้วนะ พี่เต๋าไม่สงสารเหมียวเหมียวหรอ นะนะ  ให้เหมียวเหมียวกลับบ้านด้วยคนนะ”  คชาขอร้องอีกคนด้วยน้ำเสียงออดอ้อน อีกทั้งแววตานั้นก็เศร้าสร้อยขอความเห็นใจสุดชีวิต

     

     

    ------------------------------------------------------------------

     

     

     

    ไม่รู้เหมือนกันว่าเผลอไปอนุญาตให้คชาอุ้มแมวขึ้นจักรยานตอนนั้น เพราะรู้สึกตัวอีกทีเต๋าก็ปั่นจักรยานมาถึงหน้าบ้านเลขที่ 23/3 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว   คนตัวเล็กถลาลงจากจักรยาน อุ้มกระชับแมวน้อยในอ้อมแขนแล้วเดินเข้าไปยังบ้านของตัวเอง  เต๋าได้แต่ส่ายหน้าและยิ้มให้กับท่าทางของอีกคนก่อนจะเคลื่อนจักรยานไปเก็บที่บ้านของตนเองแล้วเดินกลับมาหาคชาอีกหน

     

     

     

    “จะเลี้ยงแมวได้ยังไง บ้านเราไม่มีคนอยู่นะคชา”  เสียงคุ้นเคยของพี่มิ้นท์เป็นเสียงแรกที่เต๋าได้ยินทันทีที่ก้าวเข้าสู่ตัวบ้านเลขที่ 23/3

     

    “ไม่ได้จะเลี้ยง แต่เหมียวเหมียวหลงทาง ไว้ตามหาเจ้าของได้ก็ค่อยส่งเหมียวเหมียวคืนให้เจ้าของ”  คชากำลังใช้ความคิดหาเหตุผลร้อยพันเพื่อรักษาเจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดไว้แต่ดูยังไงพี่มิ้นท์ก็ยังคงยืนกรานไม่อนุญาต

     

    “ยังไงก็ไม่ได้  เลี้ยงสัตว์นะคชา ชีวิตอีกชีวิตนึงเลยนะ” 

     

    “ก็....ก็คชาสงสารเหมียวเหมียว  พี่มิ้นท์ให้คชาเลี้ยงเหมียวเหมียวนะ  เดี๋ยวอีกไม่กี่วันก็ตามหาเจ้าของเจอ”

     

    “จะเจอได้ยังไง อย่าคิดอะไรง่ายๆแบบนั้นสิ”

     

    “ก็ถ้าไม่เจอเราก็เลี้ยงเหมียวเหมียวไว้ไง  นะพี่มิ้นท์นะคชาอยากเลี้ยงแมว”  คชาอ้อนพี่มิ้นท์เหมือนที่ชอบทำเมื่อต้องการร้องขอ

     

    “เฮ้อ...ดื้อจริงๆนะน้องคนนี้”  มิ้นท์ทำหน้าเหนื่อยใจกับน้องชายแสนดื้อ  แต่สุดท้ายยังไงก็ต้องยอมคชาตามระเบียบ

     

    “อนุญาตแล้วใช่ไหม  เย่! ขอบคุณนะครับ”

     

    “แล้วขัดได้ไหมหละ?  แม้จะอนุญาตแต่มิ้นท์ก็อดไม่ได้ที่จะประชด

     

    “พี่มิ้นท์  อย่าพูดแบบนั้นสิ...เหมียวเหมียวออกจะน่ารัก เนาะเนาะ”  มือบางอุ้มเจ้าตัวกลมขนฟูเหนือศีระษะ แล้วหันมายิ้มให้กับร่างสูง  เต๋าได้เพียงแต่ยิ้มแล้วส่ายหน้าให้กับความดื้อของน้องชายสุดที่รักของพี่มิ้นท์   แต่ก็ต้องยอมรับว่าถึงแม้พี่มิ้นท์จะบ่นยังไงสุดท้ายก็เห็นยอมตามใจคชาทุกที

     

     

    ------------------------------------------------------------------

     

     

    “พี่เต๋าว่าให้เหมียวเหมียวชื่ออะไรดี”  คชาถามขึ้นในขณะที่กำลังเดินมาส่งเต๋าที่หน้าบ้าน  สองแขนยังคงโอบกอดเหมียวเหมียวไม่ยอมปล่อย  แม้ในช่วงมื้อเย็นที่ผ่านมายังแอบเอาเจ้าตัวเล็กขนฟูมาวางบนตักไม่ห่าง

     

    “เรียกเหมียวเหมียวก็น่ารักดีแล้วนะ”  เต๋าว่าแล้วสะกิดเบาๆที่ปลายจมูกของเจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดของคชา  นึกอยากจะเป็นแมวขึ้นมาก็วันนี้...

     

    “ไม่เอาๆ  ไม่เอาชื่อนี้ เอาชื่ออื่นสิ  พี่เต๋าคิดให้หน่อยนะ นะ นะ”  ดวงตากลมกระพริบปริบๆขอความช่วยเหลือจากคนเป็นพี่อีกครั้ง

     

    “มะกรูด  มะนาว  มะพร้าว  ส้มโอ  ฟักแฟง  แตงโม ไชโย โห่ฮี้ว  เลือกเอาเลยครับ”  เต๋าที่กำลังแกล้งหยอกอีกคนเล่นก็ต้องปรับเข้าสู่โหมดจริงจังอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคชาเหมือนจะไม่เล่นด้วย

     

    “น้องบังเอิญไหมเพราะว่าเราเจอแมวด้วยความบังเอิญ  หรือจะชื่อบังอรดี? แหล่มจริงๆ คิดได้ไงเนี่ย”

     

    “พี่เต๋า..นี่ชื่อแมวนะ ไม่ใช่ชื่อนางเอกเอ็มวีเพลงลูกทุ่ง” 

     

    “แต่มันความหมายดีนะ น้องบังอรกับพี่คชา  ไม่เข้าหรอ”    ร่างสูงหัวเราะเสียงดัง นึกชอบความคิดของตัวเองไม่น้อย

     

    “ไม่ตลกนะ...เร็วๆ  เหมียวเหมียวอยากได้ชื่อแล้วนะ”  เต๋าใช้ความคิดขั้นสูงสุด ก็พึ่งจะรู้วันนี้ว่าคิดชื่อแมวให้ถูกใจคชามันยากกว่าคิดงานส่งพี่ไทด์ซะอีก  คิดยังไงก็คิดไม่ออกเลยลองเริ่มจากอะไรใกล้ตัวดูก่อน  ตาคมมองรอบตัวไปเรื่อยแล้วคิดถึงเมนูอาหารเมื่อตอนเย็นก่อนจะโพล่งบางอย่างที่พุ่งแวบเข้ามาในความคิด

     

    “คะน้าไง คะน้าไหม...นี่คชาแล้วนี่ก็คะน้า” 

     

    “ฮะ?!  นี่ชื่ออะไรของพี่เต๋าเนี่ย.........แต่จะว่าไปก็น่ารักดีนะ  น้องเหมียวเหมียวคะน้า ฟังแล้วรู้สึกดีกว่าบังอรตั้งเยอะ”  คนตัวเล็กที่หน้ามุ่ยในตอนแรกตอนนี้เริ่มยิ้มพอใจกับชื่อของเหมียวเหมียวที่พี่เต๋าคิดให้

     

    “แสดงว่าชื่อนี้ผ่านใช่ไหม?” 

     

    “โอเค! ผ่านนนน...  เหมียวเหมียวชอบชื่อคะน้าไหม? ต้องชอบสิเนาะเพราะพี่เต๋าอุตส่าห์ตั้งให้ ”  คชาก้มลงถามแมวน้อยในอ้อมกอดที่ดูเหมือนจะพออกพอใจกับชื่อใหม่  เรียวลิ้นของเจ้าแมวน้อยขนฟูสัมผัสผ่านแขนขาวของคนตัวเล็กอย่างต่อเนื่อง

     

    “ดีจังเลยนะ  เด็กแถวนี้มีเพื่อนใหม่เล่นซะแล้ว”  เต๋าพูดเสียงเรียบ มองดูคชาที่เอาแต่สนใจคุยกับแมว

     

    “แน่นอน”  สิ้นเสียงมือบางก็ยกเจ้าคะน้าไปยังหน้าของคนตัวสูงกว่า

     

    “ยื่นคะน้ามาทำไม?”  เต๋าขมวดคิ้วสงสัยไม่เข้าใจกับการกระทำของคนตัวเล็กตรงหน้า

     

    “ให้จุ๊บคะน้าก่อนนอนจะได้ฝันดีไงฮะ”  เต๋ายิ้มให้กับความคิดของคชา  ก่อนจะก้มตัวลงทำตามที่อีกคนบอกอย่างว่าง่าย  ริมฝีปากหนาแตะสัมผัสเบาๆที่ปากเล็กของแมวน้อยขนฟู แล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กับคนตัวเล็กตรงหน้าที่กำลังยิ้มร่ามีความสุข

     

     

    “คชา...!”  ร่างสูงที่กำลังจะเดินเข้าบ้านวิ่งออกมาเกาะที่รั้วแล้วร้องเรียกอีกคนที่กำลังจะเดินเข้าตัวบ้านเช่นกัน  คนตัวเล็กหันมามองหน้าพี่ชายข้างบ้านที่ยืนชิดรั้วอีกฝั่งแล้วขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

     

     

    “คืนนี้อย่าลืมจุ๊บคะน้าก่อนนอนนะ...จะได้ฝันดี” 

     

     

    …> w <…

     

     

     

    .....

    ........

    ...........

     

     

    หลังจากทำข้อตกลงการเลี้ยงแมวตัวแรกในชีวิตเป็นที่เรียบร้อย  คชาก็จัดการย้ายถิ่นฐานให้เหมียวเหมียวมานอนบนเตียงของตนเอง  แต่กว่าพี่มิ้นท์จะอนุญาตก็ใช้เวลาอยู่นาน  และอย่างที่รู้กันดียังไงพี่มิ้นท์ก็ต้องตามใจคชาแม้จะโดนเอ็ดโดนว่าบ้างเถอะ  แต่เพื่อให้ได้มาซึ่งตัวนิ่มๆขนฟูฟ่องของเหมียวเหมียวคะน้า  คชายอม...

     

    “พรุ่งนี้ก็ให้คะน้าอยู่นอกบ้าน  เดี๋ยวเทน้ำ เทนมไว้ให้”

     

    “ทำไมไม่ให้คะน้าอยู่ในบ้านหละฮะเดี๋ยวคะน้าจะหายนะพี่มิ้นท์”

     

    “ไม่ได้  เดี๋ยวเข้ามารื้อของ  เรายังไม่รู้ว่าคะน้านิสัยยังไง  อยู่นอกบ้านดีแล้ว  นี่พี่อนุญาตให้เอามานอนบนเตียงด้วยได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว  ห้ามต่อรองอะไรอีกเด็ดขาด”  คชาก้มหน้างุดทันทีเมื่อพี่สาวส่งสายตาดุๆมาให้

     

    “เอาเป็นว่าเข้าใจตามนี้นะ พี่ไปนอนแล้ว”  สิ้นเสียงมิ้นท์ก็เดินออกจากห้องนอนคชา  คชานั่งก้ม นั่งกอดแมวคลอเคลียกับขนสีขาวฟู่ฟ่องของแมวเหมียวตัวกลม แล้วใช้ความคิดกับตัวเองอยู่สักพัก  แววตาสดใสประสานกับดวงตาคู่กลมของแมวน้อยที่นั่งอยู่กลางเตียงมองจ้องมายังตนเอง

     

     

     

    ยังไงคชาก็จะไม่ยอมปล่อยให้คะน้าอยู่บ้านตัวเดียว  ไม่มีทาง!

     

     

     

    ร่างเล็กนอนตะแคงกับเตียงนุ่ม หันหน้าไปยังแมวเหมียวขนฟูที่ตั้งท่าเตรียมจะนอนแล้วเช่นกัน  เรียวลิ้นเล็กสากเลียเข้าที่อุ้งเท้าของมันก่อนที่ตาแป๋วๆนั่นจะจ้องมองมายังคชา

     

    ว่าแต่...เกือบลืมไปแล้วว่าต้องจุ๊บเหมียวเหมียวคะน้าก่อนนอน

    ริมฝีปากบางก้มลงสัมผัสกับปากเล็กของสิ่งมีชีวิตสีขาวตรงหน้า  แตะผ่านเบาๆก่อนจะผละออกมา อมยิ้มเล็กๆเมื่อคิดถึงคนที่บอกให้ตัวเองจุ๊บเจ้าคะน้าก่อนนอน...

     

     

    “ฝันดีนะฮะ”

     

    >w<

     

     

    คืนนี้คงมีคนนอนหลับฝันดีพร้อมกัน ...

     

     

    ------------------------------------------------------------------

     

     

    หลังจากพี่สาวออกจากบ้านไปแล้ว  คชาก็ตัดสินใจยัดแมวน้อยคะน้าลงในกระเป๋าเป้นักเรียนแล้วสะพายมาโรงเรียนด้วยกัน  โดยไม่ลืมที่จะพกอาหารแมวกับนมใส่กระเป๋ามาด้วย  แรกเริ่มเหมือนจะไปได้ด้วยดี  เพราะเจ้าคะน้าดูจะเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย  ไม่ส่งเสียงเอะอะรบกวนอะไรในระหว่างที่คชาเรียน  พอพักเที่ยงคชาก็เปิดเป้ส่งข้าวส่งนมให้เจ้าตัวขาวขนฟู  อีกทั้งเพื่อนๆในห้องยังกรูมาทักทายเจ้าแมวน้อย หยอกล้อเล่นกันสนุกสนาน  จวบจนมาถึงวิชากับอาจารย์สุดโหดประจำโรงเรียน  ที่สุดท้ายดูเหมือนแมวน้อยเริ่มจะทนความอึดอัดคับแคบในกระเป๋าเป้ไม่ไหวจนต้องส่งเสียงร้องออกมา 

     

    “คะน้า  ชู่วววว”  คนตัวเล็กก้มลงไปยังกระเป๋าเป้ที่วางอยู่บนพื้นแล้วกระซิบกระซาบกับแมวน้อย

     

     

    เมี๊ยว  เมี้ยว  เมี้ยว~

     

    “นนทนันท์!

     

    “ครับ..”  น้ำเสียงเย็นๆของอาจารย์เรียกให้คชาสะดุ้งลุกขึ้นยืนตัวตรงทันที

     

    “เสียงอะไร”

     

    “เสียง...เสียง..” เสียงเล็กตอบอย่างตะกุกตะกัก

     

    “มาจากกระเป๋าใช่ไหม? เปิดกระเป๋าเดี๋ยวนี้”  มือบางหยิบเป้ประจำตัวขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้วเลื่อนซิปกระเป๋าออก  ปรากฏให้เห็นร่างของแมวน้อยสีขาวขนปุยที่พยายามตะเกียกตะกายปีนป่ายออกมา โดยที่ยังไม่ยอมหยุดส่งเสียงร้อง

     

    “รู้ใช่ไหมว่าโรงเรียนไม่อนุญาตให้เอาสัตว์มาเลี้ยงในห้องเรียน”  อาจารย์ประจำวิชาส่งสายตาดุเสียจนคชาสะดุ้งอีกครั้ง 

     

    “ทราบครับ”

     

    “แล้วเอามาทำไม”

     

    “คือที่บ้านไม่มีคนดูแลครับ”  สายตาดุๆจ้องมองมายังคชาอีกครั้ง

     

    “ทำยังไงก็ได้ให้แมวเธอเลิกส่งเสียง  แล้วเลิกเรียนไปพบครูที่ห้อง”  

     

    “ครับ...” คชาพยักหน้ารับ  มองไปยังตากลมของแมวน้อยที่โผล่พ้นมาจากกระเป๋าเป้แล้วถอนหายใจออกมา

     

    “บอกให้เงียบๆใช่ไหมคะน้า...ซวยเลย”

     

     

    ------------------------------------------------------------------

     

     

     

    “นี่เอาแมวไปโรงเรียนหรอ?” เต๋าว่าเสียงดังทันทีเมื่อฟังคำบอกเล่าจากปากเด็กน้อยที่กำลังนั่งก้มหน้าลูบคอแมวอยู่บนโซฟา

     

    “พี่เต๋าอย่าพูดดังสิ  เดี๋ยวพี่มิ้นท์ก็ได้ยินหรอก อยากเห็นคชาโดนดุหรือไง”  คนตัวเล็กตอบ มือบางยังคงลูบไล้ไปตามขนนุ่มฟูของแมวน้อย

     

    “ไม่ต้องกลัวพี่มิ้นท์เลย  เพราะพี่นี่แหละจะเป็นคนดุคชาเอง”

     

    “อ้าว  แล้วจะมาดุคชาทำไมหละ”  คชาเงยหน้ามองอีกคนแล้วเถียงเสียงแข็ง  จะมาขอคำปรึกษาแท้ๆ แต่อีกคนดันมาดุเขาซะอย่างนั้น

     

    “แล้วใครเขาบอกให้พกแมวไปเรียนหนังสือด้วย”  เต๋าเหมือนจะรู้สึกตัวว่าเผลอใช้เสียงดังไปในคราแรกก็ปรับเสียงให้เบาลง  แต่อีกคนกลับยังคงรู้สึกว่าตัวเองโดนดุอยู่ดี

     

    “โดนคุณครูดุแล้วยังมาโดนพี่เต๋าดุอีก  รู้งี้ไม่บอกดีกว่า”  คชามุ่ยหน้าแล้วก้มลงโอบแมวน้อยในอ้อมแขน

     

    “ถ้าไม่บอกแล้วพี่รู้เองจะจับตี”

     

    “แล้วจะมาตีคชาทำไม  เดี๋ยวบอกคะน้ากัดเลย” คนตัวเล็กว่าแล้วยกแมวขนปุยสีขาวขึ้นบังหน้าเต๋าได้แต่ส่ายหน้ากับนิสัยของเด็กดื้อ

     

    “ทีหลังจะทำอะไรก็ปรึกษาพี่ก่อน  นี่อย่าบอกนะว่าครูจับได้ว่าเอาแมวไปเรียนหนังสือด้วย” 

     

    “ใช่  โดนหักคะแนนด้วย” คชาตอบแต่สายตายังคงสนใจอยู่ที่แมวน้อย

     

    “มันน่าจับตีจริงๆนะเรา”  เต๋าดุคนตัวเล็กอีกครั้ง แล้วหยิกเบาๆที่แก้มใส  แม้ไม่ได้รุนแรงแต่ก็ทำให้อีกคนร้องขึ้นมาได้

     

    “โอ๊ย..เจ็บนะ” ที่จริงเต๋าก็ไม่ได้โกรธอะไรคชา ก็แค่เป็นห่วง แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้หาทางแกล้งเด็กดื้อ  คิดได้ดังนั้นก็แกล้งหันหน้าหนีไปอีกฝั่งแสร้งทำเป็นไม่สนใจอีกคน  คชาที่สังเกตได้ถึงความเงียบจึงคิดว่าพี่เต๋าคงจะโกรธเข้าให้เลยขยับเข้าไปหา

     

    “พี่เต๋า  พี่เต๋า...คชาขอโทษ ต่อไปจะไม่ทำแล้ว” เสียงเล็กเอ่ยขอโทษ อีกทั้งยังมีอุ้งเท้าของแมวคะน้าลูบอยู่ที่บ่าของเขา

     

    “จริงๆนะฮะ ไม่ทำแล้วจริงๆ คะน้าสาบาน เอ๊ย! คชาสาบาน” คชาว่าแล้วยกขาหน้าขนฟูขึ้นสาบาน

     

    “ก็ไม่ได้โกรธอะไร”  คชายิ้มแย้มออกมาทันทีเมื่อรู้ว่าอีกคนหายโกรธตนเองแล้ว แต่ก็ยังไม่หยุดใช้อุ้งเท้าของคะน้าลูบที่ต้นแขนของเต๋าแม้ว่าอีกคนจะหันหน้ามาทางตนเองแล้วก็ตาม  หนำซ้ำยังหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดีเสียจนอีกคนเผลอยิ้มตาม

     

    “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้คะน้าก็ต้องอยู่บ้าน เข้าใจไหมเด็กดื้อ”

     

    “ไม่ได้นะ!... คะน้าตัวนิดเดียวเอง จะให้อยู่คนเดียวได้ยังไง ” คนตัวเล็กเสียงแข็งในตอนแรกแต่ก็เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงปกติทันทีเมื่อเห็นแววตาของพี่เต๋า

     

    “แล้วจะทำยังไง?”  เต๋าถามคชาอีกครั้ง  แต่เด็กน้อยก็ได้แต่ก้มหน้าเงียบ

     

    “ก็เพราะไม่รู้ว่าต้องทำยังไง  เลยถามพี่เต๋าไง พี่เต๋าช่วยคิดหน่อยนะ คชาไม่อยากให้คะน้าอยู่บ้านตัวเดียวจริงๆนะ”

     

    “งั้นเอาไปฝากไว้ที่ร้านก่อนไหม   ถ้าจะเลี้ยงก็ต้องให้คะน้าอยู่นอกบ้าน จะไปฝากคนนู้นคนนี้ไว้ทุกวันไม่ได้หรอกนะ”  คชารู้สึกเหมือนโดนดุอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดที่เหมือนจะสร้างภาระให้คนรอบข้าง

     

    “ก็ได้...” คชาก้มหน้าตอบรับข้อตกลงของเต๋าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

     

    “อีกอย่าง  พี่ติดป้ายประกาศหาเจ้าของคะน้าแล้วนะ”

     

    “หาทำไม?”  คชาถามออกไปโดยลืมคิดไปว่าแมวที่ตนเองกำลังกอดอยู่มีเจ้าของ

     

    “อย่าลืมสิ  ว่าแมวที่เราอุ้มอยู่มันมีเจ้าของ  ตอนนี้เจ้าของคะน้าอาจจะกำลังตามหามันอยู่ก็ได้”  เต๋าว่าแล้วยกมือหนาลูบขนนุ่มนิ่มของเจ้าคะน้าเบาๆ   ตรงกันข้ามกับอีกคนที่ทำหน้าหงอยเหมือนลูกแมวโดนทิ้งเมื่อจินตนาการว่าสักวันคะน้าต้องกลับไปอยู่กับเจ้าของเดิม ยิ่งทำให้เจ้าตัวยิ่งกอดแมวน้อยแน่นขึ้น

     

     

    ------------------------------------------------------------------

     

     

    บรรยากาศวุ่นวายของเวลาหลังเลิกงานในเย็นวันศุกร์เป็นสิ่งที่ไม่ต้องคิดและจิตนาการอะไรมากมาย  เพราะภาพเดิมๆของมันปรากฏให้เห็นซ้ำไปมาไม่ต่างจากเดิม  ร่างเล็กวิ่งถลาผลักประตูบานกระจกใสเรียกให้เสียงโมบายที่ห้อยอยู่หน้าร้านทำงาน  จนเกือบจะลืมไปว่าตัวเองเดินมากับใครอีกคน

     

     

    “พี่เต้~ คะน้าอยู่ไหนครับ”  คชาถามถึงแมวน้อยทันทีเมื่อเดินเข้ามาในร้านชานมไข่มุกประจำซอยมีสุข 23

     

    “อยู่หลังร้านครับคุณน้องคชา”

     

    “อ่อ ขอบคุณครับ...พี่เต้ขอชานมสตรอเบอร์รี่แก้วนึงนะฮะ”  น้ำเสียงสดใสเอ่ยสั่งชานมไข่มุกรสโปรดก่อนที่จะเดินเร็วไปยังหลังร้าน  ตามมาด้วยร่างสูงขาวของเต๋าที่เปิดประตูร้านเดินตามเข้ามา

     

    “คชาไปไหนแล้วเต้”  เต๋าถามเด็กประจำร้านที่กำลังลงมือทำชานมรสโปรดของคนที่พึ่งวิ่งไปหลังร้านเมื่อครู่

     

    “เดินไปหาคะน้าที่หลังร้านแล้วครับคุณเต๋า”  เต๋าพยักหน้ารับรู้แล้วบอกขอบคุณโปเต้ที่อุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามาเปิดร้านเพื่อที่จะให้เขาเอาแมวมาฝาก

     

    “ขอบใจมากนะที่วันนี้ดูคะน้าให้” 

     

    “ครับ ไม่เป็นไร”

     

    “พี่น้ำแข็งเอาอะไรให้คะน้ากินฮะ?  เสียงคุ้นเคยเรียกให้เต๋าหันไปยังประตูหลังร้าน  คชากำลังเดินอุ้มเจ้าแมวสีขาวออกมา  หันหน้ามายิ้มหวานให้เขาแล้วหันไปคุยกับน้ำแข็งที่กำลังเดินออกมาจากหลังร้าน

     

    “ก็อาหารแมวกับนมที่น้องคชาฝากไว้นั่นแหละ” คชาพยักหน้ารับแล้วก้มลงคุยกับแมวน้อยในอ้อมแขน

     

    “คะน้า...วันนี้กินข้าวอร่อยไหม”  เสียงหวานใสเอ่ยถามแมวน้อยที่กำลังคลอเคลียซุกใบหน้าเข้าหาอ้อมกอดของเขา  คนตัวเล็กเดินมานั่งลงบนโซฟาเดี่ยวข้างเฟรมที่กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนบางอย่างอยู่

     

    “เต้  ขออะไรเย็นๆมากินสักแก้วซิ  ประชุมงานตั้งแต่เช้ายิงยาวจนเย็น เหนื่อย”  ตี๋ที่พึ่งเดินเข้ามาในร้านร้องบอกทันทีเมื่อเห็นหน้าโปเต้

     

    “เลือกสักอย่างไหมพี่  เดี๋ยวรวยนะ”  เต๋าที่ยืนพิงอยู่เคาท์เตอร์ทักแซวพี่ชาย

     

    “ให้มันรวยจริงก่อนเถอะ  ว่าแต่นี่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเลยหรอ?” ตี๋ว่าแล้วเดินมานั่งโซฟาเดี่ยวอีกตัวตรงข้ามคชา

     

    “ไม่พร้อมฮะ พี่มิ้นท์ไม่อยู่”  คชาเงยหน้าจากแมวคะน้าในอ้อมแขนเป็นเวลาเดียวกับที่ตนรู้สึกถึงสัมผัสอ่อนยวบที่พนักวางแขนของโซฟาที่ตัวเองนั่งอยู่  ร่างสูงขาวของเต๋าสิ่งยิ้มให้คนตัวเล็กที่มองมายังตนเอง  แล้ววางแก้วชานมสตรอเบอร์รี่รสโปรดของคชาไว้บนโต๊ะเล็กตรงหน้า

     

    “คนนั้นพี่ตี๋เขาไม่เรียกพร้อมหน้าพร้อมตา  คนนั้นเขาเรียกพร้อมใจนะคชา  ฮี๊ววววว” น้ำแข็งที่ยืนเรียงแก้วน้ำร้องแซวเจ้านายของตน

     

    “ไอ้แข็ง  วอนโดนเตะนะมึง  ไปทำงาน”  ตี๋ว่าลูกน้องเพราะดันทำตัวเป็นรู้ทันว่าตัวเองคิดอะไร

     

    “เฟรมทำอะไรของแก  เงียบเชียว?  ตี๋ที่พึ่งโดนแซวหาเรื่องเบี่ยงประเด็นไปยังน้องชายของตนที่กำลังหมกมุ่นทุ่มเทอยู่กับกองกระดาษบนโต๊ะ

     

    “ปั่นงานพี่”  ตี๋พยักหน้าเออออรับ  ตั้งใจจะหันไปคุยกับเต๋าแต่ก็ต้องหยุดความคิดเมื่อเห็นภาพตรงหน้า  ภาพของคชาที่ยกแมวน้อยขนฟูนิ่มให้สัมผัสคลอเคลียกับใบหน้าคมขาวของเต๋า  ขนฟูของเจ้าคะน้าดูจะทำให้เต๋าอารมณ์ดีไม่น้อยเพราะสังเกตได้จากอาการยิ้มตาปิดอีกทั้งใบหน้าคมขาวก็เลื่อนคลอเคลียขนนุ่มของเจ้าสิ่งมีชีวิตขนฟู   ไม่ต่างกับคนจับลูกแมวที่กำลังหัวเราะคิกคักชอบอกชอบใจใหญ่   ตี๋เริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศมันจะสีชมพูแปลกๆ

     

    “ไอ้เต้เว้ย...ทำไมชานมแก้วนี้มันหวานแบบนี้วะ  นี่แกทำผิดสูตรหรือเปล่า”  ตี๋เอ่ยแทรกขัดจังหวะ 

     

    “ไม่นะครับ  สูตรเดิมครับ....อ่อ แต่วันนี้อาจจะหวานขึ้นกว่าปกติอย่างที่คุณตี๋ว่าจริงๆด้วยครับ”  โปเต้ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรตอบด้วยความตกใจ  แต่ก็ต้องร้องอ๋อให้ถึงบางอ้อทันทีเมื่อตีความได้ว่าเจ้านายของตนหมายถึงอะไร

     

    “หวานหรอพี่  ไหนขอชิมหน่อยดิ”  ร่างสูงที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรยกแก้วชานมไข่มุกของคชาขึ้นมาทดสอบรสชาติ  ทำหน้าประหลาดใจเมื่อไม่ได้รู้สึกถึงความหวานที่มากกว่าปกติของชานมไข่มุกอย่างที่ตี๋บอก

     

    “พี่เต๋าๆ  ชิมด้วยดิ”  คนตัวเล็กสะกิดคนเป็นพี่ขอชิมชานมของตนบ้าง  แต่เต๋าไม่ได้วางแก้วในมือคชากลับยื่นแก้วนั้นให้หลอดสัมผัสพอดีกับริมฝีปากบางที่อ้ารอรับ  คชาดูดชิมรสชาติหอมหวานของชานมไข่มุกรสโปรดไปสิ่งยิ้มให้อีกคนไปโดยที่ไม่ได้สังเกตสิ่งมีชีวิตที่เหลือรอบข้างที่กำลังมองมายังตนเองเลยสักนิด

     

    “อื้อหือ...มันจะหวานมากไปแล้วหละ”  เป็นตี๋ที่เอ่ยออกมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้สิ่งมีชีวิตสองคนตรงหน้าหยุดการกระทำแต่อย่างใด

     

    “ไม่เห็นหวานเลยพี่ตี๋ ก็ปกติดี”  เต๋าวางแก้วชานมของคชาลงบนโต๊ะตัวเดิมแล้วบอกพี่ชายของตน

     

    “ใช่ฮะ ไม่เห็นหวานเลย ก็ปกติ”  คนตัวเล็กพยักหน้าเออออเห็นด้วยไม่ต่างกับเต๋า

     

    “แหม..พร้อมใจ สมัครสมานสามัคคี  ก็ถ้าหวานกว่านี้พี่คงสำลักน้ำตาลตาย”

     

    “คุณเต๋าครับ  ใจเย็นๆ ค่อยๆเป็นค่อยๆไปนะครับ”  โปเต้ที่ยืนชงชานมไข่มุกให้ลูกค้าเอ่ยบอกเต๋า  จนเจ้าตัวเริ่มรู้สึกว่าถูกผู้เป็นพี่กับเด็กที่ร้านแซว  ต่างจากคชาที่ยังคงทำหน้างงสงสัยมองสลับไปมาระหว่างหน้าของพี่ตี๋กับพี่เต๋า  ก่อนที่เสียงเฟรมจะดังแทรกขึ้นมาทำให้คชาละความสนใจจากพี่ชายข้างบ้านทั้งสองคน

     

    “เสร็จแล้วโว้ย!!”  เฟรมปล่อยมือจากปากกาแท่งโปรด  ปิดหนังสือเสียงดังแล้วดันตัวลุกขึ้นยืน

     

    “เอ้อ   ดีใจด้วย”  ตี๋บอกแต่สายตายังคงเขม่นมองน้องชายอีกคน

     

    “พี่เต้  พี่แข็ง  มีอะไรให้ช่วยไหม”  เฟรมถามขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกค้าเริ่มเดินเข้ามาในร้าน

     

    “ไม่มีครับคุณเฟรม  นั่งพักเถอะครับเห็นนั่งทำงานมาตั้งนาน”   โปเต้ตอบสุภาพตามนิสัย

     

    “ไม่เป็นไร  อยากยืดเส้นยืดสายนั่งก้มตั้งนานเริ่มจะเมื่อยหลัง”

     

    “ให้คะน้านวดให้ไหมพี่เฟรม”  คชาบอกแล้วอุ้มแมวตัวน้อยยื่นไปยังหน้าเฟรม

     

    “คะน้าของคชาเก็บไว้นวดให้พี่เต๋าดีกว่านะพี่ว่า”  เฟรมทิ้งท้ายก่อนจะเดินไปหาโปเต้ที่เคาท์เตอร์  ปล่อยให้คชาหันหน้าส่งเครื่องหมายคำถามไปให้พี่เต๋าเป็นรอบที่สิบของวัน

     

    “พี่เต๋าเมื่อยหรอ?  แล้วคนตัวเล็กก็เชื่อเฟรมสนิทเลยว่าพี่เต๋ากำลังเมื่อย  เต๋าได้แต่อมยิ้มเล็กๆแต่ก็ไม่ลืมที่จะส่งสายตาไปหาน้องชายร่วมสายเลือดของตนเองที่เข้าทีมแซวเขาเรียบร้อย

     

    “เปล่า”

     

    “ก็พี่เฟรมบอกให้เอาคะน้านวดให้พี่เต๋า”

     

    “เฟรมมันล้อเล่น  อย่าสนใจมันมากสิ” 

     

    “อ้าว..ก็นึกว่าเมื่อยจริงๆ”  ริมฝีปากบางยื่นออกมาด้วยความเคยชินแล้วหันมาเกาคางแมวที่อยู่บนตักตามเดิม

     

    “แล้วเจ้าของติดต่อมาบ้างไหม?”  ตี๋ถามออกไปโดยลืมคิดถึงอะไรบางอย่าง

     

    “ยังไม่มีเลยพี่  แต่คิดว่าคงอีกไม่นาน”  คำพูดของเต๋าทำให้คชาก้มหน้า อารมณ์เริงร่าเมื่อสักครู่แปรเปลี่ยนทันทีจนเต๋าสังเกตได้

     

    “อ้าว..ดราม่าเลย  ไอ้เต๋าปลอบด่วน  พี่ไปดูบัญชีก่อน”  ตี๋ทิ้งท้ายแล้วลุกเดินไปยังเคาท์เตอร์ร้านอีกคน  ปล่อยให้เต๋าเรียกทำหน้าที่เรียกอารมณ์กับรอยยิ้มสดใสของคชากลับมา

     

    “พี่น่ารักครับ”  เสียงทุ้มนุ่มสะกิดเรียกร่างเล็กที่นั่งก้มหน้าให้เงยมามองเขา

     

    “พี่เต๋ายิ้มใหม่ซิ”  ทันทีที่เงยหน้ามองคนที่นั่งอยู่บนพนักโซฟา  คชาก็ได้เห็นรอยยิ้มของพี่เต๋าที่ส่งมายังตนเอง ก่อนจะคิดอะไรบางอย่างได้จึงขอให้อีกคนทำเช่นนั้นอีกครั้ง

     

    “พี่เต๋าหน้าเหมือนคะน้าเลย...ดูสิ”  คนตัวเล็กว่าแล้วยกเจ้าแมวตัวขาวเทียบกับใบหน้าของร่างสูง  เหมือนอารมณ์หมองๆเมื่อครู่ของคนตัวเล็กจะจางไปบ้าง

     

    “เหมือนจริงหรอ?  เต๋าควรจะภูมิใจใช่ไหมที่คชาบอกว่าเขาหน้าเหมือนแมวที่เจ้าตัวทั้งกอดทั้งลูบอยู่ทั้งวี่ทั้งวันนั่น

     

    “เหมือนจริงๆนะ แต่เหมือนตอนคะน้ายิ้มเอ๋อ”  น้ำเสียงสดใสว่าแล้วหัวเราะคิกคักสะใจใหญ่  รอยยิ้มที่เคยปรากฏอยู่บนใบหน้าคมหายไปฉับพลัน

     

    “หึหึ....จะชมว่าพี่น่ารักก็บอกมาตรงๆก็ได้ ไม่เห็นต้องเอาคะน้ามาอ้าง”

     

    “มั่วแล้ว   ไปดีกว่าเนาะคะน้าเนาะ ไปนอนตากแอร์ที่บ้านเรากันดีกว่า”  คชาสวนกลับเต๋าแล้วหันหน้าก้มลงกระซิบกระซาบกับแมวน้อย

     

    “ชา...แล้วพี่หละ?  แม้จะกระซิบแต่คนเป็นพี่ก็ได้ยินทุกคำพูด 

     

    “ฮะ?  คนตัวเล็กรู้สึกใจเต้นเกินกว่าปกติทันทีเมื่อได้ยินเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเรียกชื่อของตัวเองแบบนั้น 

     

    “ไม่ชวนพี่กลับบ้านบ้างหรอ  พอเจอคะน้าก็จะทิ้งพี่เลยใช่ไหม”  คนตัวเล็กยิ้มขำ ส่ายหน้าพัลวัน  เต๋าแสร้งทำสีหน้าเหมือนคนจะร้องไห้  ทำให้คชาหัวเราะขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

     

    “หว่า...เด็กชายเต๋าน้อยงอนซะแล้ว  อย่าร้องไห้นะโอ๋ โอ๋    แมวตัวโตงอนแล้วต้องให้แมวตัวเล็กง้อ”

     

    “พี่ว่าแมวตัวโตอยากให้เจ้าของแมวตัวเล็กง้อมากกว่านะคชา”  แม้ว่าตี๋จะเดินออกไปยังเคาท์เตอร์แล้ว  แต่สายตาก็ยังคงแอบมองเหตุการณ์ระหว่างเต๋าและคชาอยู่ตลอด  ท้ายที่สุดก็อดหมั่นไส้น้องชายตัวเองที่ทำหน้างอนเหมือนเด็กไม่ได้  เลยแซวไปอีกสักทีสองที

     

    “พี่ตี๋...อะไรๆ”   เต๋าที่ได้ยินว่าตี๋แซวอีกครั้งจึงรีบสวนกลับ  เพราะกลัวเจ้าของแมวตัวเล็กจะตื่นซะก่อน  คชาได้แต่หัวเราะ..บอกแล้วว่าคชาเข้าใจ แต่การที่เข้าใจไม่จำเป็นว่าต้องพูดออกไปเสมอ

     

    “ไปดีกว่า....ขอบคุณที่ช่วยดูคะน้าให้นะครับพี่ๆ” 

     

    “กลับก่อนนะ  เฟรมกับพี่ตี๋เจอกันที่บ้านนะ”  เต๋าและคชาบอกลาทุกคนในร้านก่อนจะเดินออกมาจากร้านพร้อมกัน

     

     

    “ผมว่าคุณเต๋าเริ่มเยอะแล้วนะครับคุณตี๋”  เป็นโปเต้ที่เอ่ยขึ้นมา  เมื่อเห็นเจ้านายของตนยังคงมองผ่านบานกระจกใสไปยังน้องชายร่วมสายเลือดกับน้องชายข้างบ้านที่เดินเคียงข้างหยอกล้อกันตามทางเดิน

     

    “ก็ว่างั้น  เริ่มจะเยอะเข้าไปทุกวัน” 

     

    “คุณตี๋ว่าคุณเต๋าจะSuccessไหมครับ?

     

    “ไม่รู้มัน  แต่ตอนนี้เห็นแล้วหมั่นไส้”  ตี๋ว่าแต่สายตายังคงมองเหตุการณ์ผ่านบานกระใสเช่นเคย  ส่วนลูกน้องโปเต้ก็ทำได้เพียงแต่ยิ้มและส่ายศีรษะเมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของคนเป็นเจ้านาย

     

     

    ------------------------------------------------------------------

     

     

    “พี่เต๋ารู้ไหมคะน้าน่ารักมากๆเลยนะ  เมื่อเช้ามาปลุกคชาด้วย”  คชาเอ่ยขึ้นระหว่างทางที่ทั้งสองคนกับอีกหนึ่งตัวกำลังกลับบ้าน

     

    “ปลุกยังไง?

     

    “ก็เมื่อคืนคชาเอาคะน้ามานอนบนเตียง  พอตอนเช้าคะน้าก็เข้ามาเลียหน้า ปลุกคชาให้ตื่น น่ารักมากๆ”  เด็กน้อยว่าด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีเกินปกติ  เต๋าเริ่มชักจะอิจฉาแมวขึ้นมาจริงๆ  ไหนๆก็ไหนๆแล้วขอแกล้งเด็กสักนิดเถอะ

     

    “เลียตรงไหนของหน้า” เต๋าเดินไปหยุดด้านหน้าของคชาเอาไว้แล้วถามคำถาม

     

    “ก็ตรงแก้มแล้วก็หน้าผากด้วย”  นิ้วเรียวจิ้มเข้าที่แก้มใสของตนเอง  ในขณะที่อีกมือก็ยังคงโอบอุ้มแมวน้อยตัวกลมไว้

     

    “ตรงนี้หรอ...”  มือหนายกขึ้นสัมผัสแก้มใสของคนตรงหน้า ลูบบางเบาด้วยความชินมือ  คชาสะดุ้งเล็กน้อยแต่ไม่ได้ห้ามอะไร  ก็รู้ว่าอีกคนชอบจับแก้ม แต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำใจให้ชินกับมันได้สักที

     

    “ทำไม?  คชาเอ่ยถามร่างสูงเสียงเบาหวิว  ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองจะพูดประโยคนั้นออกไปทำไม  เพราะเมื่อพูดไปก็เหมือนจะไม่ได้สื่อความหมายอะไร

     

     

    “...อิจฉาแมว...”  เต๋าโน้มตัวลงกระซิบบางเบาข้างใบหูของเด็กดื้อตรงหน้า  คชายืนนิ่งไปสักพักไม่ต่างกับเต๋าที่ยังคงยืนค้างท่าเดิม  ก่อนจะผละออกมาแล้วแย่งแมวน้อยตากลมในอ้อมแขนของคชามาอุ้มไว้เสียเอง   ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแล้วก้มหน้าลงมองพื้น  เรียกให้มือหน้าข้างที่ไม่ได้อุ้มแมวน้อยยกขึ้นลูบกลุ่มผมสีดำด้วยความเอ็นดู

     

     

    สายลมพัดเอื่อยพัดผ่านร่างของคนสองคน บรรยากาศรอบข้างที่เหมือนถูกหยุดเวลาไว้ก่อตัวขึ้น  ความรู้สึกเหมือนร่างกายเบาหวิวกับเสียงหัวใจที่กำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่รู้ว่าเสียงไหนเป็นของใคร  ของแมวตัวโตที่กำลังยืนยิ้มหรือของเจ้าของแมวตัวเล็กที่กำลังยืนก้มหน้า  หรือหัวใจเรากำลังเต้นพร้อมกัน...

     

     

     

    บรรยากาศเริ่มจะสีชมพูแล้วสินะ...

     

     

     

    ------------------------------------------------------------------

     

     

    บอกตรง...TT^TT
    มันทิ้งไปนาน...เกินไป  พยายามไม่ปล่อยให้มันนานแต่มันก็นาน
    งงตรงไหนไหม  ถ้างงบอกได้นะคะ จะกลับไปแก้ ตอนนี้แค่อยากให้มีแมวในฟิคคิดแค่นั้นจริงๆ
    555  ตรงไหนพิมพ์ผิดบอกได้

     

    @CHICKIMILK

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×