คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 4 - Happy Alley อยากจะวิ่งไหม?
Chapter 4
ช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายกลางเมืองดำเนินต่อไปโดยไม่มีท่าว่าจะสิ้นสุดลงได้ง่าย เครื่องยนต์ของยานพาหนะนับร้อยบนท้องถนนกำลังแข่งขันกันปลดปล่อยพลังงานเสียงต่าระดับ หากแต่ไม่ได้เป็นเสียงของเครื่องยนต์ที่กำลังเคลื่อนที่ ตรงกันข้ามพาหนะนับร้อยบนท้องถนนนั้นขยับได้เพียงไม่กี่ไม้บรรทัดในเวลาหนึ่งชั่วโมง ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ล้วนเป็นภาพที่คุ้นชินของประชากรเมืองหลวง
สองร่างของเพื่อนสนิทในชุดนักเรียนกำลังเดินทอดน่องเข้าสู่เส้นทางสายเดิม ‘ซอยมีสุข 23’ คชาเปิดเทอมมาได้หลายวันแล้ว ชีวิตของการเป็นนักเรียนม.ปลายปีสุดท้ายกำลังเริ่มต้นขึ้น เวลาทุกนาทีของชีวิตดูเหมือนควรใช้ให้มันมีค่านั่นคือสิ่งที่คนตัวเล็กและเพื่อนๆทุกคนตระหนักรู้ แต่นั่นก็เพียงรู้แต่หากจะทำเวลาเหล่านั้นให้มีค่าได้มากแค่ไหน นั่นเป็นสิ่งที่ต้องรอดูกันต่อไป ...
“หิวจัง แวะกินข้าวที่ร้านก่อนได้ไหม?”
“วันนี้ร้านปิด พ่อไปโรงพยาบาล”
“อ้าว..ลุงเทพเป็นอะไร?” ก็เมื่อวานคชายังเห็นลุงเทพยืนโบกตะหลิวไปมาอยู่เลย
“เปล่าๆ ไม่ได้เป็นอะไร ไปตรวจสุขภาพ นี่เราก็บังคับมาหลายครั้งแล้วนะกว่าจะยอมไปได้” แพรว่าตอบออกไป คิดถึงภาพของผู้เป็นพ่อที่พักหลังมานี่บ่นปวดนี่เจ็บนี่ไม่หยุด แต่พอบอกจะพาไปหาหมอก็ไม่ยอมที่จะไป
“พ่อ” แพรวาเดินดุ่มๆเข้าไปในตัวร้านทันทีเมื่อเห็นพ่อกำลังจัดแจงยกเก้าอี้ เช็ดโต๊ะเหมือนคนกำลังจะเปิดร้าน
“ลุงเทพหวัดดีฮะ”
“ทำไมเปิดร้านหละพ่อ ไปหาหมอมา พ่อน่าจะกลับมาพักผ่อนนะ”
“แค่นี้เอง แล้วพ่อไม่ได้เป็นอะไร ไปหาหมอนี่ก็เสียเวลาไปหลายชั่วโมงเสียรายได้ไปเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ป่านนี้ลูกค้าคิดถึงหมดแล้วไม่ได้กินกับข้าวฝีมือลุงเทพ จริงไหมคชา?”
“ฮะ” คชายิ้มน้อยๆ แอบขำในคำพูดของลุงเทพกับนิสัยขี้งกของพ่อเพื่อนสนิท คนอะไรจะเปรียบเวลาเป็นเงินได้ตลอดเวลาขนาดนี้
“ไม่เป็นอะไรได้ไง นี่พ่อทั้งความดันสูง ทั้งน้ำตาลในเลือดสูง อย่ามาหลอกแพรนะ” แพรว่าบ่นมืออีกข้างคุ้ยถุงยาของพ่อ
“ก็แค่นั้นเอง ใครๆเขาก็เป็นกัน ไอ้ความดันโลหิตสูงเนี่ย”
“พ่อ...เชื่อแพรอีกสักครั้งเถอะนะ ทำงานให้มันน้อยลงกว่านี้หน่อยสิ แพรมีพ่อแค่คนเดียว” แพรวาเดินไปยังชายหนุ่มร่างท้วมที่กำลังจัดเครื่องมือทำครัว สองมือยกขึ้นแตะแขนผู้เป็นพ่อก่อนจะเอ่ยขอร้อง
“พ่อรู้ๆ” ลุงเทพพยักหน้าตอบด้วยน้ำเสียงบางเบาเมื่อสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงของแก้วตาดวงใจคนเดียวในชีวิต ยกมือขึ้นลูบศีรษะแพรวาด้วยความอ่อนโยนจนคนมองอย่างคชาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงพ่อของตนเอง
“เป็นความดันโลหิตสูง งั้นลุงเทพก็ต้องไปออกกำลังกายนะฮะ”
“หมอก็บอกลุงอยู่เหมือนกัน” ลุงเทพกันไปมองคนตัวเล็ก คิดถึงคำพูดของหมอที่บอกให้ตนออกกำลังกายและควบคุมอาหารบางประเภท
“งั้นดีเลยพ่อ เก็บร้านไปวิ่งกัน”
“อ้าวเห้ยได้ยังไงไอ้ลูกคนนี้ ที่พ่อยกโต๊ะยกเก้าอี้นี่ก็เหมือนออกกำลังกายแล้วนะ เหนื่อยกว่าวิ่งสิบรอบแล้วแถมยังได้เงินอีกต่างหาก” เข้าโหมดซึ้งได้ไม่นาน สองพ่อลูกก็เริ่มกลับมาเถียงกันอีกครั้ง
“พ่อไม่เข้าใจ ...มันไม่เหมือนกัน” แล้วแพรวาก็ฟึดฟัดอยู่สักพัก ก่อนที่จะตัดสินใจงอนผู้เป็นพ่อแล้วเดินหันหลังเข้าตัวบ้านไป
“ลุงเทพลองไปวิ่งที่สวนของหมู่บ้านสิ คชาก็อยากไปวิ่งอยู่เหมือนกัน ช่วงนี้ไม่ได้ออกกำลังกายเลย”
“ไว้วันหลังดีกว่าคชา”
“วันหลังที่ว่าคือ วันหลัง วันหลัง วันหลัง ของวันหลังหลัง วันหลังอีกทีใช่ไหม?” คชาแซวพ่อเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงตามแบบฉบับของตนเอง
“เอ้อ นั่นแหละสักวัน” ลุงเทพหรี่ตามองคชาแล้วพึมพำออกมาเมื่อเห็นคชารู้ทัน
“งั้นคชาไปก่อนดีกว่า อย่าลืมไปง้อแพรวานะลุง” ก่อนที่ร่างเล็กจะกระชับเป้นักเรียนกลางหลังแล้วเดินออกจากร้านอาหารตามสั่งเลื่องชื่อ มุ่งมั่นว่าจะเดินกลับบ้านแต่หากเมื่อผ่านร้านชานมไข่มุกประจำซอยจึงอดไม่ได้ที่จะแวะเดินเข้าไปตากแอร์ ไม่ใช่สิแวะเข้าไปทักทาย
“พี่เต้ พี่น้ำแข็งหวัดดีฮะ อ้าว..พี่เฟรมไม่ได้ไปเรียนหรอ” ร่างเล็กของคชาเอ่ยทักทายพนักงานประจำร้านทั้งสองคนทันทีเมื่อเดินเข้ามายังตัวร้าน
“วันนี้พี่เลิกบ่ายเลยเข้ามาช่วยที่ร้าน” เฟรมหันไปตอบน้องชายตัวเล็กข้างบ้าน ก่อนจะหันไปเรียงบลูเบอร์รี่ชีสเค้กในตู้แช่ ตอนนี้ที่ร้าน REFRESH ไม่ได้มีแค่ชานมไข่มุกแล้วแต่พี่ตี๋ยังไปสรรหาเบเกอรี่หลายชนิดมาวางขายเพิ่ม ทำให้กลุ่มลูกค้ามีเพิ่มมากขึ้นอีกเท่าตัว
“น้องคชากินอะไรไหม?” เป็นน้ำแข็งที่เอ่ยถามคชา น้ำแข็งเป็นหนุ่มติสท์หัวฟูเพื่อนสนิทของโปเต้ เคยทำงานที่ร้านชานมไข่มุกร้านเดิมมาด้วยกัน โปเต้เลยไปชวนให้มาดูแลร้านช่วยกัน ตอนแรกโปเต้แค่ชวนเล่นๆไม่ได้คิดว่าเพื่อนสนิทจะตอบตกลงอะไร แต่ที่ไหนได้กลับยินดีรับข้อเสนอเสียอย่างนั้น ทำให้ตอนนี้ร้านชานมไข่มุก REFRESH ได้พนักงานประจำสองคนเป็นที่เรียบร้อย
“ไม่เอา แวะมาทักเฉยๆเดี๋ยวไปแล้ว การบ้านเยอะมากๆ บ๊ายบาย..” โบกมือให้สามหนุ่มในร้าน ก่อนจะมุ่งมั่นเดินกลับบ้านอีกครั้ง
............
........
.....
...
..
.
เสียงกระดิ่งที่ประตูดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้เฟรมต้องหันหน้าไปมองอีกหน ตอนแรกนึกว่าน้องชายตัวเล็กข้างบ้านลืมอะไรไว้เสียอีก
“อ้าวพี่เต๋า นึกว่าคชา วันนี้กลับเร็วจังพี่” ร่างสูงขาวของพี่ชายเดินเข้ามาในร้าน สองมือหอบเอกสารเปเปอร์งานพะรุงพะรัง มองหาโต๊ะว่างและตัดสินใจวางข้าวของลง
“พอดีไปคุยงานกับลูกค้ามา...ว่าแต่ทำไมถึงนึกว่าพี่เป็นคชา” เต๋าขมวดคิ้วสงสัย
“ก็เมื่อกี้น้องมันพึ่งออกไปจากร้าน เลยนึกว่าลืมของไว้แล้วกลับมาเอา” เต๋ายืนนิ่งสักพัก ก่อนจะหันกลับไปยังโต๊ะกระจก รวบรวมข้าวของที่พึ่งวางลงไปยังไม่ถึงนาที
“เฟรมพี่เข้าบ้านก่อนนะ เจอกันที่บ้าน” เต๋าหันมาบอกน้องชายของตน ก่อนจะผลักบานประตูกระจกใสออกไป พยายามบังคับขาสองข้างของตัวเองไม่ให้รีบจนเกินไป
“อ้าวเห๊ย! พี่เต๋าจะรีบไปไหน”
“จะรีบไปไหนของเขาหว่า?” เฟรมบ่นออกมาด้วยความสงสัย เกาหัวงงๆกับท่าทางรีบเร่งเกินปกติของพี่ชาย
“นี่คุณเฟรมไม่รู้จริงๆหรอครับว่าคุณเต๋ารีบไปไหน?” พนักงานโปเต้ที่เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นถามน้องชายเจ้าของร้าน
“ไม่รู้ พี่เต้รู้หรอ?”
“เอ่อ..แกรู้หรอวะเต้?” น้ำแข็งก็เป็นอีกคนที่แอบลอบมองเหตุการณ์ทั้งหมด โปเต้ได้แต่หัวเราะออกมาเมื่อเห็นความอยากรู้อยากเห็นของคนรอบข้าง ก่อนจะหันไปสนใจแก้วชานมไข่มุกของลูกค้า พูดบางอย่างออกมาซึ่งทำให้ทั้งเฟรมและน้ำแข็งหันหน้ามามองกันด้วยความสงสัย
“ต้องติดตามชมตอนต่อไปครับ”
-------------------------------------------------------------
ขาสองข้างที่ในคราแรกถูกบังคับให้ไม่วิ่งพุ่งออกมาจากตัวร้าน ตอนนี้แปรเปลี่ยนราวกับถนนที่ตนเองกำลังเหยียบย่ำอยู่เป็นลู่แข่งขัน อันที่จริงเต๋าแทบอยากจะสปี๊ดออกมาจากร้านทันทีตั้งแต่ได้ยินเฟรมบอกว่าคชาพึ่งออกจากร้านไป แต่สายตาหลายคู่ในร้านบอกให้เขาต้องไม่เร่งรีบ หากแต่พอพ้นเขตร้านเท่านั้น ก็เหมือนวิญญาณนักวิ่งเหรียญทองโอลิมปิกเข้าสิง ขายาวๆก้าวฉับไม่หยุดนิ่ง ข้าวของที่แบกมาอย่างพะรุงพะรังดูเหมือนจะถูกลืมไปว่าน้ำหนักของมันไม่ใช่น้อย
และเมื่อพ้นโค้งกลางซอย ดวงตาคู่คมก็สังเกตเห็นหลังของคนที่อยากเจอหน้า เต๋าผ่อนความเร็วในการวิ่งลงจนเปลี่ยนเป็นเดินในที่สุด ปรับลมหายใจให้ปกติแล้วสาวเท้ายาวๆตามหลังคนตัวเล็กแทน เมื่อเห็นว่าอัตราการหายใจของตนเองใกล้กลับสู่สภาวะปกติจึงร้องทักอีกคน
“คชา!” คนตัวเล็กหันหลังมายังต้นเสียง ก่อนรอยยิ้มประจำตัวจะปรากฏทันทีเมื่อรู้ว่าใครคือเจ้าของเสียงเรียกนั้น เต๋าสาวเท้าให้เร็วกว่าเดิมเล็กน้อยแล้วมาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าคชา
“ทำไมวันนี้กลับเร็วจัง” คชาเอ่ยถามทันที อดประหลาดใจไม่ได้ ก็ปกติแล้วกว่าพี่เต๋าจะกลับบ้านก็หลังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า แต่นี่พึ่งจะสี่โมงกว่าๆเอง
“ออกมาคุยงานกับลูกค้าข้างนอก แล้วเสร็จไว” คชาพยักหน้ารับรู้ แล้วมองไปยังสองมือของเต๋า
“ช่วยถือนะ” อีกฝ่ายยังไม่ทันได้บอกอะไร มือเล็กนั้นก็คว้าเข้าที่ของในมือของพี่ชายข้างบ้าน แล้วเดินออกไป ทิ้งให้อีกคนยืนยิ้มกริ่มแล้วรีบเดินตามติด
“ช่วงนี้พี่เต๋ากลับดึกจัง งานเยอะหรอ?”
“พอดีเริ่มโปรเจคท์ใหม่เลยกำลังวุ่นๆ”
“ดูเหนื่อยจัง เป็นผู้ใหญ่เหนื่อยขนาดนี้เลยหรอ ตั้งแต่เปิดเทอมพี่มิ้นท์ก็ทำงานหนักเหมือนกัน ทั้งงานสอนทั้งงานโรงเรียน กลับก็มืดทุกวัน” เต๋าหัวเราะออกมาทันที เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของอีกคน ก็ถ้าคชาจะทำหน้าตาน่าสงสัยได้น่าเอ็นดูแบบนั้น
“เป็นเด็กก็เหนื่อยครับ แต่เหนื่อยคนละแบบ ไว้โตอีกหน่อยเดี๋ยวก็รู้นะ”
“ไม่อยากเป็นผู้ใหญ่เลย” คชาก้มหน้าผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ แต่อีกฝ่ายก็สังเกตได้อยู่ดี ช่วงนี้มีหลายเรื่องให้คชาต้องคิด โดยเฉพาะเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัย แม้พี่สาวจะบอกเสมอว่ามันเป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ถ้าผ่านมันไปได้มันจะเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราโตไปอีกขั้น แต่นั่นก็ไม่สามารถลดระดับความว้าวุ่นในความคิดของคชาให้ลดน้อยลงได้
“ทำทุกวันให้เต็มที่ก็พอนะคชา” เต๋ายิ้มให้กับคนตัวเล็กด้านข้างที่หันมาพยักหน้ารับคำ สัมผัสได้ถึงแววตาแห่งความกังวลปนเปกับความกลัว เต๋ารู้ว่าวัยของคชาเป็นช่วงวัยแห่งความสับสนเพราะตนก็เคยผ่านช่วงนั้นมาก่อน เขาก็เคยรู้สึกแบบนั้นไม่ต่างกัน
สองพี่น้องข้างบ้านเดินเคียงข้างกันไปตามเส้นทางสายเดิม บทสนทนาถูกเปลี่ยนเป็นเรื่องสนุกสนานโดยพี่ชายยอดมนุษย์เงินเดือน เสียงหัวเราะสดใสที่เต๋าคิดถึงหนักหนาปรากฏขึ้นเพราะตัวเขาเองอีกครั้ง ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินมาถึงจุดมุ่งหมายหน้าบ้านแฝดสองหลัง ช่วงเวลาไม่กี่นาทีที่ได้พูดคุยกัน เป็นเหมือนความสุขที่คอยเติมเต็มชีวิตของคนสองคนโดยไม่รู้ตัว
-------------------------------------------------------------
กลับมานั่งกุมหัวกับการบ้านได้ไม่นาน คชาก็หยิบหนังสือคณิตศาสตร์แล้วเดินมาเคาะประตูบ้านอีกหลัง มุ่งมั่นมาขอความช่วยเหลือจากพี่ชายข้างบ้าน ตอนแรกคชาตั้งใจจะให้เฟรมช่วยดูให้เพราะเรียนวิศวะ แต่พอเต๋าได้ยินเท่านั้นแหละ ก็หยิบหนังเล่มหนานั้นมาเปิดดูก่อนจะบอกว่า
‘พี่จบบริหาร พี่ก็เรียนเลขมา การบ้านคชาพี่ก็สอนได้’
ตอนนี้ภาพที่เห็นจึงเป็นภาพของเต๋ากำลังเปิดสมุดการบ้าน กวาดสายตามองดูเนื้อหาอย่างตั้งใจ ดีนะเรื่องที่คชาเอามาถามไม่ได้ยากอะไร พอจะมีความรู้หลงเหลือมาบ้างไม่งั้นเต๋าคงเสียหน้า
“ตรงนี้แบบนี้นะ...” ก่อนจะเริ่มอธิบายการบ้านคณิตศาสตร์เจ้าปัญหาให้คนตัวเล็กที่นั่งอยู่ด้านข้างฟัง
“อ่อ โอเค เข้าใจแล้วๆ” ใช้เวลาไม่นานดูเหมือนคำอธิบายของคุณครูจำเป็นจะช่วยคชาให้เข้าใจการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ไม่น้อย
“เห็นไหมพี่บอกแล้วว่าพี่ก็สอนเราได้”
“ก็ยังไม่ได้บอกว่าพี่เต๋าสอนไม่ได้เลย” มือบางยื่นออกไปหาดินสอแท่งประจำในมือคนตัวสูงกว่า แล้วรวบรวมหนังสือเล่มหนามาไว้ที่อ้อมอก
“ก็เห็นตอนแรกจะไปถามเฟรมอยู่เลย”
“ก็แต่ก่อนคชาก็ถามแต่พี่เฟรมหนิ” ปากเล็กนั่นเบะออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกคนเสียงดังกว่าปกติ
“ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้มีพี่ต่อไปมีอะไรก็ถามพี่เต๋านะครับ” หากเป็นน้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ตอบกลับมา อีกทั้งคำว่า ‘ครับ’ ที่ลงเสียง ร.เรือ อย่างชัดเจน ทำให้ดวงตาคู่กลมเลื่อนไปมองใบหน้าของอีกคนอย่างเผลอตัว
“ไม่คุยด้วยแล้ว กลับบ้านดีกว่า” เป็นคนที่เริ่มจ้องหน้าอีกคนก่อน แต่กลับเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีแล้วดันตัวลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยวพี่เดินไปส่ง”
“พี่เต๋า...ไปออกกำลังกายกันไหม” คชาถามเต๋าในขณะที่กำลังเดินออกมายังหน้าบ้าน เต๋าได้แต่เพียงเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ไม่ว่างหรอ ไม่ว่างก็ไม่เป็นไร”
“เปล่าๆ ไม่ใช่แบบนั้น แค่สงสัยเฉยๆ คิดยังไงมาชวนไปออกกำลังกายหละเรา”
“ก็ไม่เห็นต้องมีเหตุผลเลย ก็แค่อยากไป” คชาหันมาตอบคำถามยืนตัวตรงมองหน้าเต๋าจริงจัง จนเต๋าหลุดขำ
“พรุ่งนี้ตอนเย็นแล้วกันนะ”
“โอเค ...อันที่จริงไม่เห็นต้องเดินมาส่งเลยบ้านอยู่แค่นี้เอง” คนตัวเล็กเดินเข้ามายังบริเวณบ้านแล้วก้มลงล็อคประตู้รั้ว
“ไม่ได้หรอก...กลัวเด็กโดนฉุด” เต๋ามองคนตัวเล็กที่กำลังยืนมองหน้าตัวเอง ท่าทางนั้นดูหาเรื่องแต่ดูยังไงก็น่ารักชะมัด
“ขอให้ผู้ใหญ่บางคนแถวนี้โดนฉุดเข้าสักวัน” เต๋าฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มขำ อันที่จริงเต๋าก็ยอมโดนฉุดนะ หากคนที่ฉุดเป็นเด็กน้อยที่ยืนอยู่ตรงข้ามเขาตอนนี้
“ไม่กลัวครับ” เต๋าตีคิ้วให้อีกคน รอยยิ้มกับท่าทางกวนโอ๊ยเหล่านั้นทำให้คชาหงุดหงิดขึ้นอีกเท่าตัว
“ไม่คุยด้วยแล้ว” คชาเผลอหลุดท่าทางเอาแต่ใจฟึดฟัดก่อนจะรีบหันหลังแล้วเดินเข้าไปในตัวบ้าน ปล่อยให้พี่ชายข้างบ้านที่นับวันยิ่งจะชอบแกล้งเขาเข้าไปทุกวันยืนหัวเราะอยู่คนเดียว ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเดี๋ยวนี้เต๋ากล้าแหย่คชามากกว่าเมื่อก่อน เพราะเมื่อไม่นานมานี้เต๋าพึ่งค้นพบว่าเวลาคชาโดนแกล้งมันน่ามองขนาดไหน
“เห๊ย! ไอ้เต๋าทำไรวะ?” เสียงของตี๋ร้องทักน้องชายทันทีเมื่อตนเองกระโดดลงมาจากมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
“อ่อ เดินมาส่งคชาพี่ ว่าแต่พึ่งปิดร้านหรอ?”
“เอ้อๆ พึ่งปิด ว่าแต่คชามาทำอะไรที่บ้าน?”
“มาขอให้สอนการบ้าน”
“อ่อ ไอ้เฟรมสินะ”
“เปล่าพี่ เต๋านี่แหละ”
“มิน่า..เอ้อเต๋า...หน้าแกเหมือนคนกำลังมีความรักนะ ลองขึ้นไปส่องกระจกดู” ตี๋กระซิบที่ข้างหูน้องชายตัวสูงตบบ่าเต๋าสองสามทีแล้วเดินเข้าบ้านไป
-------------------------------------------------------------
สวนสาธารณะขนาดเล็ก หากมีผู้คนไม่น้อยแวะเวียนเข้ามาใช้เยี่ยมชมพักผ่อนหย่อนใจ ต้นไม้ใหญ่ที่รายล้อมบริเวณกว้างของสวนหย่อมเอาไว้ พื้นที่ไม่มากหากถูกจัดสรรแบ่งพื้นที่ลงตัวไม่น้อย การได้เห็นสีเขียวสดใสของพืชพรรณถือเป็นความสุขเล็กๆของประชากรเมืองหลวงนั่นคือสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้
“ไหวป่ะเนี่ยเรา ชวนพี่มาเองนะ” ร่างสูงขาวในชุดสบายๆ กางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดสีดำสนิทกำลังซอยเท้าวิ่งหันหลังแซวน้องชายตัวเล็กข้างบ้าน ที่สวมใส่ชุดไม่ต่างกัน หากจะดูแตกต่างบ้างคงเป็นรองเท้าผ้าใบสีเขียวสดใสของเจ้าตัว ที่ยิ่งมองยิ่งสงสัยอยากถามเหลือเกินว่าใครเป็นคนเลือกให้
“อย่ามามั่ว...แค่นี้ไหวเหอะ แล้วพี่เต๋าคิดว่าวิ่งหันหลังแล้วเท่ห์มากไหม?”
“หึ แล้วเท่ห์ไหมหละ?” คชาส่ายหน้ารัวเสียจนเต๋าหลุดหัวเราะออกมา ก่อนที่มือหนาสองข้างจะเอื้อมไปจับที่หัวไหล่บาง ทำให้คนตัวเล็กต้องหยุดวิ่งไปโดยปริยาย
“จะหยุดทำไม ถ้าเหนื่อยก็หยุดไปคนเดียวเลยนะ คนอื่นเขายังไม่เหนื่อยไม่ต้องมากวนเลย” คนตัวเล็กยืนกอดอก สายตาส่งผ่านไปยังอีกคนบอกว่ากำลังหงุดหงิดที่โดนก่อกวน แต่ก็ต้องยืนอึ้งเมื่อพี่ชายตัวสูงข้างบ้านก้มตัวลงไปนั่งชันเข่าข้างเดียวอยู่ตรงหน้า มือหนาเลื่อนไปสัมผัสที่เชือกรองเท้าสีเขียวที่ไม่ได้อยู่ในลักษณะที่ควรจะเป็น เต๋าก้มหน้าก้มตาผูกเชือกรองเท้าผ้าใบของคนเล็กอย่างตั้งอกตั้งใจ ดวงตาคู่กลมเบิกโพลงก้มลงมองอีกคน พี่เต๋ากำลังทำให้คชานึกถึงฉากในละคร ที่พระเอกก้มลงไปผูกเชือกรองเท้าให้นางเอก ว่าแต่ใครเป็นพระเอก ใครเป็นนางเอก? บ้าไปแล้วแน่ๆ…
“ไม่เหนื่อย แต่กลัวใครบางคนแถวนี้สะดุดเชือกรองเท้าตัวเองล้มหน้าคว่ำไปซะก่อน” ใช้เวลาไม่นานเต๋าก็จัดการกับเชือกรองเท้าสีเขียวเรียบร้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมามองอีกคนที่ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง
“...คชา...” เต๋าที่เห็นคชายืนนิ่งไป จึงยกมือขึ้นโบกสลับไปมาหน้าคนตัวเล็ก ก่อนที่คชาจะรู้สึกตัว ใช้มือสองข้างผลักไปยังเต๋าด้วยแรงอันน้อยนิดที่เรียกกลับคืนมาได้ แล้วรีบวิ่งไปข้างหน้าทิ้งให้อีกคนยืนยิ้มกริ่มมองแผ่นหลังของตน
ให้สาบานเลยก็ได้ตั้งแต่เกิดมา 23 ปี เต๋า เศรษฐพงศ์ เพียงพอ
ยังไม่เคยก้มลงผูกเชือกรองเท้าให้ใคร…
“อย่าวิ่งเร็วนักสิ” เต๋าที่วิ่งมาเทียบเคียงคชาเอ่ยแซวคนตัวเล็กที่พึ่งผลักเขาแล้ววิ่งสปีดหนีมา
“แก่แล้วหละสิ วิ่งแค่นี้ก็ไม่ทันเด็ก”
“แก่ตรงไหน ห้าปีเอง ทำมาพูดไป” คชาหันหน้าขวับทันทีที่ได้ยินสิ่งที่เต๋าพูด อ้าปากค้างเหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็พูดไม่ออก
“พี่ชาชา” เสียงเล็กตะโกนร้องเรียกชื่อของคชา ทำให้ทั้งคชาและเต๋าหันไปมองยังต้นเสียง
“น้อยหน่า” ทันทีที่เห็นว่าเจ้าของเสียงคือใคร ร่างเล็กก็ถลาออกจากลู่ ตรงดิ่งไปยังกลุ่มเด็กน้อยสี่ห้าคนที่กำลังยืนล้อมวงโยนลูกบอลให้กันสลับไปมา
“พี่ชาชามาวิ่งหรอ”
“อื้อ แล้วเรามากับใคร แม่ไม่มาหรอ?”
“มากับเพื่อน น้อยหน่าโตแล้วแม่ไม่ต้องมาด้วยแล้ว แล้วคนนั้นใครหรอพี่ชาชา” เด็กน้อยเอียงคอมองร่างสูงของเต๋าที่ยืนอยู่ด้านหลังคชาอย่างสงสัย
“นี่พี่เต๋า น้องพี่ตี๋” เต๋าส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้เด็กน้อยตัวเล็กตากลมผมยาวน่ารักตรงหน้า ก่อนที่คนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างหน้าจะโดนมือเด็กน้อยกวักให้ก้มลงไปหาแล้วกระซิบถามบางอย่าง
“แฟนพี่ชาชาหรอ” เสียงเล็กกระซิบถามเบาที่สุดในชีวิต มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าคนตัวสูงไม่ได้ยินแน่นอน
“บ้าหรอ แก่แดดใหญ่แล้วนะเรา” คชาเอ็ดก่อนจะผละออกจากเด็กน้อยน้อยหน่า ส่วนอีกคนก็ได้แต่ยืนมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“สวัสดีค่ะพี่เต๋าเต๋า หนูชื่อน้อยหน่านะคะ” เด็กน้อยยกมือขึ้นไหว้แล้วย่อเขาลงด้วยท่าทางไร้เดียงสาสมวัย
“หวัดดีครับน้อยหน่า ว่าแต่เมื่อกี้เรียกพี่ว่าอะไรนะ?”
“พี่เต๋าเต๋าไงคะ ก็นี่พี่ชาชา พี่ชาชาก็ต้องคู่กับพี่เต๋าเต๋า”
“น้อยหน่า!” คชาเอ็ดเด็กน้อยเสียดังลั่น ช่างแตกต่างกับอีกคนที่ยืนหัวเราะเสียงดังอยู่ด้านหลัง ทำให้คชาต้องหันหลังมองตาขวาง
“พี่เต๋าเต๋ามาเล่นบอลกับพวกเราไหมคะ” เด็กน้อยเอ่ยชวนแล้วยื่นลูกบอลสีสดใสมาให้คนตัวสูง เต๋ายื่นมือไปรับลูกบอลก่อนจะหันหน้ามามองอีกคน แล้วเดินไปล้อมวงกับเด็กๆ
“พี่ชาชาก็ไปยืนฝั่งนั้นสิ” เด็กน้อยน้อยหน่าใช้มือเล็กสองข้างดันคนตัวเล็กให้ไปยืนล้อมวงฝั่งตรงข้ามกับเต๋า
ลูกบอลสีสดใสถูกโยนสลับสับเปลี่ยน เด็กผู้ชายที่อยู่ในตำแหน่งลิงวิ่งไล่หาบุคคลที่สัมผัสบอล เหนื่อยหอบไม่ใช่น้อยหากแต่ก็ยังไม่ได้สัมผัสลูกบอลสีสดใสนั่น เสียงหัวเราะคิกคักของคนตัวเล็กที่ตอนแรกเหมือนจะไม่สนใจเกมลิงชิงบอลทำให้เต๋าอดอมยิ้มตามไม่ได้ คชายังเด็ก ยิ่งได้รู้จักกันมากขึ้น มันยิ่งตอกย้ำให้เต๋าไม่ควรรีบร้อนผลีผลามทำอะไรเกินเลย
ลูกบอลกลมสีสดใสตกอยู่ในมือคนตัวเล็กอีกครั้ง ดวงตากลมมองไปยังลิงน้อยที่กำลังจะวิ่งมาแย่ง ก่อนจะเบนสายตามายังพี่ชายข้างบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ยิ้มหวานให้ก่อนจะแลบลิ้นออกมาเสียน่ารักแล้วรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีขว้างลูกบอลไปยังเต๋า มือหนารับลูกบอลอย่างแม่นยำทำหน้าเจ็บจุกเล็กน้อยพอให้อีกฝ่ายได้สะใจ ถามว่าแล้วเจ็บจริงไหมก็ต้องบอกเลยว่าไม่สักนิด แต่รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะแกล้งกันเลยต้องแสร้งทำให้อีกคนพึงพอใจสักหน่อยเท่านั้นเอง
“โอ๊ย” ร่างเล็กที่มัวแต่สนใจลูกบอลสีสดใสจนพลาดท่าสะดุดขาตัวเอง จนล้มไปนั่งกับพื้นเสียงดังตุ๊บ ข้อเท้าสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดหน่วงๆที่กำลังก่อตัว
“คชา!” เต๋ารีบปรี่เข้าไปหาคนตัวเล็กที่ลงไปนั่งกับพื้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงร้อง
“เจ็บมากไหม แพลงหรือเปล่าเนี่ย” มือหนาเลื่อนไปสัมผัสที่ข้อเท้าเล็ก คนตัวเล็กได้แต่ส่ายหน้าก็เขาไม่ได้รู้สึกว่ามันเจ็บอะไรมากมายจริงๆ แต่พอดันตัวลุกขึ้นก็ต้องลงมานั่งจุมปุ๊กอีกครั้ง คนตัวเล็กทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ก็เมื่อกี้ที่ลองลุกขึ้นยืนความเจ็บปวดก็แล่นไปทั่วข้อเท้า
“พี่ว่าเท้าเราแพลงแล้วหละ ลุกอีกครั้งไหวไหม?” คชาส่ายหน้าอีกครั้งก่อนที่เต๋าจะค่อยๆใช้สองมือพยุงร่างเล็กๆนั้นขึ้นมาด้วยตัวเอง มือหนายกแขนของคชามาพาดที่บ่ากว้าง ก่อนที่มืออีกข้างจะเลื่อนไปโอบเอวเล็กเอาไว้
“พี่ชาชาไหวไหม?” เด็กหญิงตัวเล็กที่นั่งลุ้นอาการของคชาถามขึ้น
“ไหว แต่พี่คงเล่นกับเราต่อไม่ได้แล้ว” คชามองหน้าเด็กน้อยด้วยความเศร้า ก็เมื่อกี้เขากำลังสนุกอยู่เลยนี่นา นานๆจะได้เล่นอะไรแบบนี้
“ไม่เป็นไร พี่เต๋าเต๋ารีบพาพี่ชาชากลับบ้านเถอะค่ะ”
“ครับ อีกสักพักน้อยหน่ากับเพื่อนก็กลับกันได้แล้วนะนี่ก็เริ่มมืดแล้ว” เด็กน้อยพยักหน้ารับแล้ววิ่งกลับไปหากลุ่มเพื่อนของตน
“ไหวไหมเรา”
“เจ็บขา...” คชาตอบเสียงแผ่ว แล้วก้มลงมองข้อเท้าของตัวเอง เต๋าปล่อยมือหนาของตนเองที่โอบประครองคชาไว้ วูบหนึ่งที่คชาตกใจเพราะเหมือนจะยั้งตัวเองไม่อยู่หากก็ต้องประหลาดใจมากกว่าเมื่อเต๋าลงไปนั่งหันหลังให้ตนเอง
“รู้แล้วครับว่าเจ็บ”
“พี่ต..เต๋าทำอะไร” คชาถามตะกุกตะกัก ตกใจกับท่าทีของพี่เต๋าไม่น้อย แต่ก็พอจะเดาออกว่าอีกคนตั้งใจทำอะไร
“ให้เราขึ้นหลังไง เจ็บขาแบบนี้คิดว่าพี่จะปล่อยให้เราเดินกลับบ้านหรอ” เต๋าหันหน้ามาตอบคนตัวเล็กที่ยังคงอึ้งกับท่าทางของตนเองอยู่ไม่น้อย สมองของคชากำลังประมวลผล ยืนเหม่อมองแผ่นหลังของพี่เต๋าสักพักก่อนที่ขาจะกะเผลกไปหา มือเล็กสัมผัสที่แผ่นหลังของคนตัวสูงก่อนจะค่อยๆย่อตัวลงไปสัมผัสที่แผ่นหลังอีกคน
-------------------------------------------------------------
โชคยังดีที่ระยะทางจากสวนสาธารณะประจำหมู่บ้านสู่บ้านแฝดสองหลังไม่ได้ไกลมาก ร่างสูงขาวของเต๋ากำลังแบกเด็กน้อยแสนซนบนหลังเดินเนิบนาบเชื่องช้า ไม่ใช่ว่าเหนื่อยหรือหนักอะไร(มากมาย) แต่ที่ไม่อยากเดินไวกว่านี้เพราะอยากยืดเวลาออกไปให้นานมากกว่า
“พี่เต๋าหนักไหม” เสียงใสเอ่ยถามขึ้น สองมือเล็กนั้นจับบ่ากว้างแน่น
“ถ้าบอกว่าไม่หนักแสดงว่าพี่โกหกใช่ไหม?” เต๋าหลุดขำออกมาเล็กน้อย จนคนตัวเล็กด้านหลังอดมุ่ยหน้าไม่ได้
“งั้นปล่อยเลย”
“เอาจริง?”
“จริง ปล่อยเลยจะลงเดินเอง” น้ำเสียงที่บ่งบอกว่าคนพูดกำลังน้อยใจ ทำให้เต๋าหัวเราะออกมา ก่อนจะพูดบางประโยคออกมาแล้วทำให้การเต้นของหัวใจคนตัวเล็กทำงานมากกว่าปกติ
“อยู่บนนั้นนะดีแล้ว นี่เกิดมาพี่ยังไม่เคยให้ใครขี่หลังเลยนะ” ก็ไม่รู้ว่าประโยคนี้ของพี่เต๋ามีอะไร แต่ใจมันเต้นแรงขึ้นมาเอง
“ทำอย่างกับคชาเคยไปขี่หลังใครงั้นแหละ”
“อ่า..งั้นก็แสดงว่าเราเป็นคนแรกของกันและกัน”
ป๊าบ!
ฝ่ามือเล็กกระทบกับหลังของเต๋าทันทีเมื่อพูดจบ คำพูดของพี่เต๋าก่อนหน้านี้ฟังยังไงๆคชาก็รู้สึกว่ามันสองแง่สามง่ามพิกล หากผิดกับอีกคนที่แอบยิ้มให้กับตัวเองตั้งแต่ที่ฝ่ามือเล็กนั้นตีเข้าที่หลัง ภูมิใจเล็กน้อยกับระดับความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น
“พี่เต๋าพูดอะไร”
“อ้าว พี่พูดผิดตรงไหน ก็คชาเป็นคนแรกที่ขี่หลังพี่ แล้วพี่ก็เป็นคนแรกที่ให้คชาขี่หลัง เราต่างก็เป็นคนแรกของกันและกัน หรือมันพูดแบบอื่นได้” ร่างเล็กที่อยู่บนหลังคนตัวสูงกว่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เมื่อยิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนว่าพี่เต๋าจะย้ำประโยคเดิมอีกครั้ง ในใจอยากจะเอาสองมือที่พาดอยู่ตรงไหล่หนาไปบีบคออีกคนให้รู้แล้วรู้รอด คอไม่ได้แต่ก็ใช่ว่าที่อื่นจะทำไม่ได้นี่นา
“นี่แหนะ!” มือเล็กสองข้างเลื่อนไปจับแก้มขาวของอีกคนแล้วออกแรงบีบจนอีกคนร้องออกมา
“โอ๊ย คชา คชา เจ็บ เจ็บ” เต๋าร้องออกมา ยอมรับว่าครั้งนี้เจ็บจริงไม่ได้แอ็คติ้งเหมือนที่เคยหลอกอีกคนบ่อยๆ อยากจะเอามือไปหยุดการกระทำของมือเล็กตรงแก้มแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะแขนสองข้างยังคงแบกรับน้ำหนักของคนตัวเล็กไว้อยู่
“หมั่นไส้” คชาจิปากก่อนจะปล่อยมือออกจากแก้มของอีกคน แล้วย้ายมาวางที่บ่ากว้างตำแหน่งเดิม
“หมั่นไส้พี่ทำไมเนี่ย”
“ก็พี่เต๋าชอบพูดอะไรก็ไม่รู้”
“นี่ไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้ว่าพี่พูดอะไร” คำพูดธรรมดาถูกถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงจริงจัง ทั่วทั้งบริเวณซอยที่มีแต่เพียงคชากับเต๋านั้นดูเงียบขึ้นอย่างน่าประหลาดเมื่อคนตัวสูงพูดประโยคนั้นจบลง
“คชา...” เต๋าเอ่ยเรียกคนบนหลังแผ่วเบา เมื่อเห็นว่าอีกคนเงียบไปนาน คนตัวเล็กยังคงอึ้งกับคำถามของเต๋าไม่น้อย
“นอกจากวิ่งแล้วเล่นอย่างอื่นอีกไหม?” เต๋ารีบเปลี่ยนบทสนทนาเมื่อรู้สึกว่าบางครั้งเขาอาจจะรีบมากเกินไป ทั้งๆที่ตั้งกฎกับตัวเองเอาไว้แล้วว่าจะไม่รีบร้อน คชายังเด็ก คชายังเด็ก ท่องไว้เต๋า ท่องไว้..
“เคยเล่น..เล่นบาส” คชาที่พึ่งเรียกสติตัวเองกลับคืนมาตอบพี่ชายข้างบ้านออกไป
“งั้นวันหลังไปเล่นบาสกันบ้างดีกว่า”
“แต่คชาเล่นไม่เก่งนะ”
“ออกกำลังกายนะครับ ไม่ใช่คัดทีมชาติ ไม่ต้องเล่นเก่งก็ได้มั้ง” คชาหลุดขำเล็กน้อย ก่อนที่ความเงียบจะเข้ามาปกคลุมทั่วทั้งบริเวณกว้างอีกครั้ง
“ที่จริงพี่เต๋าไม่ใช่คนแรกที่คชาขี่หลังหรอกนะ” เป็นคชาที่เอ่ยออกมาท่ามกลางความเงียบที่ก่อตัวขึ้น
“ตอนเด็กๆพ่อชอบพาคชามาวิ่งที่สวน” น้ำเสียงสดใสแผ่วเบาจนสัมผัสได้
“แต่พอโตขึ้นมาหน่อยพ่อก็ไม่ว่างเลยไม่ค่อยได้มา...พอคชาวิ่งล้มพ่อก็จะให้คชาขี่หลังแบบนี้” เต๋าฟังคำบอกเล่าเรื่องราววัยเด็กผ่านน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างตั้งใจ นี่ถ้าหากตีความไม่ผิดที่คชาชวนเขาออกมาวิ่งคงจะเป็นเพราะว่าคิดถึงพ่อสินะ
“งั้นต่อไปถ้าคชาอยากมาวิ่งอีกก็บอกพี่นะ อยากไปไหนก็บอกพี่นะ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยออกมา ประโยคธรรมดาไม่มีคำสัญญาแต่ดูเหมือนคนพูดจะจริงใจเกินร้อย
“ฮะ” เด็กน้อยตัวโข่งบนหลังตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนที่ใบหน้าจะเลื่อนไปซบยังแผ่นหลังหนาของพี่ชายข้างบ้าน หลับตาลงช้าๆก่อนที่ภาพของผู้เป็นพ่อจะเข้ามาในห้วงความคิด เต๋าอมยิ้มเมื่อรับรู้ถึงสัมผัสอบอุ่นไร้เดียงสาจากอีกคน ที่ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจดูเหมือนจะวิ่งเร็วกว่าปกติไม่น้อย
“แต่ถ้าล้มอีกพี่ไม่ให้ขึ้นหลังแล้วนะ” ทันทีที่ได้ยินใบหน้าหวานผงกขึ้นมาจากแผ่นหลังหนา ตั้งท่าจะงอนอีกคนทันที
“แต่พี่จะอุ้มกลับแทนแล้วกัน ขึ้นหลังบ่อยๆไม่ไหวแน่ๆ ต้องแบ่งมาด้านหน้าบ้างจะได้บาลานซ์กัน...โอ๊ย!” ฝ่ามือเล็กพิฆาตทำงานทันทีเมื่อเต๋าพูดจบ สองมือยกออกมาจากบ่ากว้างแล้วรัวทุบไปที่หลังของเต๋าโดยไม่ฟังเสียงร้องครวญ
“คชา เจ็บ เจ็บ พอแล้ว โอ๊ย โอ๊ย!” เสียงร้องเจ็บปวดจากการถูกทุบตีดังขึ้นอย่างต่อเนื่องท่ามกลางความเงียบและความมืดมิดที่มีเพียงแสงไฟจากหลอดนีออนสีขาวตามทาง
-------------------------------------------------------------
“คชาเป็นอะไร ไปซนอะไรที่ไหนมาอีกหละ” มิ้นท์ร้องถามทันทีเมื่อหันไปเห็นน้องชายตัวแสบของตัวเองอยู่บนหลังของเต๋า
“ซนนิดหน่อยนะครับพี่มิ้นท์ขาเลยแพลง”
“เรานี่นะ” มิ้นท์ได้แต่ส่ายหน้ามองไปยังข้อเท้าเล็กนั่นด้วยความเป็นห่วงไม่น้อย
“งั้นพี่วานเต๋าแบกคชาขึ้นไปบนห้องด้วยนะ ...อาบน้ำก่อนแล้วค่อยลงมากินข้าวนะคชา โอเคไหม” เด็กน้อยนิ่งเงียบ พยักหน้าลงเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าตนเองทำให้พี่สาวสุดที่รักต้องเป็นห่วงอีกครั้ง
เต๋าที่แบกร่างของคชาไว้ที่หลังค่อยๆก้าวเดินอีกครั้งไปยังชั้นสองของบ้าน ใจเต้นตึกตักไม่น้อยเมื่อนึกถึงว่าเป้าหมายที่เขากำลังจะไปนั้นคือที่ไหน มือเล็กเอื้อมไปเปิดประตูห้องของตนอย่างรู้งาน ก่อนที่ปลายเท้าของเต๋าจะสัมผัสลงบนพื้นที่ห้องนอนของคนที่อยู่บนหลัง นี่เป็นก้าวแรกที่ได้เข้ามาในห้องนอนของคชา
แสงไฟสว่างปรากฏทันทีเมื่อคนที่อยู่บนหลังเอื้อมมือไปเปิด เต๋ามองเห็นเตียงกว้างที่คลุมด้วยผ้าปูที่นอนสีเขียวลายการ์ตูนตัวโปรดของเจ้าตัว เดินช้าๆแล้ววางคนตัวเล็กที่อยู่บนหลังให้นั่งลงกับเตียงนุ่ม ตาคมสำรวจห้องนอนของอีกคนอย่างถือวิสาสะ ก่อนจะโดนสะกิดเรียก
“พี่เต๋า เมื่อยหรอ?” เต๋าหันหน้ามายังร่างเล็กที่นั่งห้อยขาอยู่ที่เตียง นึกแปลกใจว่าเขาแสดงออกตอนไหนว่าเมื่อย
“ก็เมื่อกี้เห็นเอามือไปนวดไหล่” เต๋าร้องอ๋อในใจ สงสัยสำรวจห้องนอนคชาจนเพลินเลยลืมไปว่าตัวเองคงยกมือขึ้นมานวดไหล่โดยไม่รู้ตัว
“นิดหน่อย ไปอาบน้ำเถอะเราจะได้ลงไปกินข้าว เดินไปห้องน้ำไหวใช่ไหม?” เต๋าเริ่มมองหาตำแหน่งของผ้าเช็ดตัว ก่อนจะเห็นมันพาดอยู่ที่ราวหน้าห้องน้ำ เดินไปหยิบ
“ไหวฮะ” คชาตอบอย่างมั่นใจ แล้วสัมผัสได้ถึงความนุ่มของผ้าเช็ดตัวที่อีกคนเอามาพาดไว้ที่คอ มือหนายกขึ้นลูบศีรษะแล้วยิ้มให้คชา คนตัวเล็กเงยหน้ามองพี่ชายข้างบ้าน แววตาสดใสกับรอยยิ้มน่ารักนั่นกำลังสื่อความหมายให้เต๋าเข้าใจว่ามันคือคำว่า “ขอบคุณ”
“งั้นลองลุกขึ้นนะ” เต๋าเลื่อนมือออกจากกลุ่มผมนุ่ม ปล่อยให้คชาขยับดันตัวลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง คนตัวเล็กเริ่มขยับขาขวาก่อนจะตามมาด้วยขาซ้าย แต่เหมือนขาเจ้ากรรมดันทรยศ คชาแทบจะล้มลงทันทีเมื่อก้าวเดิน โชคยังดีที่มีสองแขนของอีกคนมารับไว้ทัน
“นั่นไง” เต๋ามองไปยังคชาที่ตอนนี้อยู่ในอ้อมแขนของตน คนตัวเล็กได้แต่ก้มหน้างุดแล้วปล่อยให้เต๋าพยุงตัวเองเข้าไปยังห้องน้ำ
คชาใช้เวลาไม่นานในการจัดการตัวเองในห้องน้ำ แม้ขาจะเจ็บอยู่ไม่น้อยแต่เหงื่อที่ได้รับมาจากการออกกำลังกายที่มีมากกว่า ทำให้ต้องอดทนยืนสระผมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้คชาอยู่ในชุดนอนเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นเรียบร้อยแล้ว ร่างเล็กนั่งห้อยขาเช็ดผมอยู่ที่ข้างเตียง รอใครบางคนที่ก่อนจะออกจากห้องไปบอกเอาไว้ว่าเดี๋ยวจะขึ้นมาใหม่ คชาเลยต้องนั่งรอเท่า ก็พี่มิ้นท์บอกว่าเป็นเด็กดีต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ พี่เต๋าเป็นผู้ใหญ่คชาเป็นเด็กคชาเลยต้องเชื่อฟังพี่เต๋า
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นตามมาด้วยบานประตูที่เปิดออก เต๋าเดินเข้ามาในห้องนอนพร้อมกับหลอดยาสีขาวในมือ ชูมันให้เด็กน้อยตรงหน้าดูก่อนจะนั่งลงข้างเตียงตรงหน้าคนตัวเล็ก
“พี่เต๋าไม่ต้อง เดี๋ยวคชาทำเอง” คชาร้องบอกทันทีเมื่อเห็นเต๋านั่งลงกับพื้น มือเล็กปล่อยผ้าขนหนูในมือเพื่อไปแย่งหลอดยาจากอีกคน แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อเต๋าเอาหลอดยาไปซ่อนไว้ที่หลัง
“เดี๋ยวพี่ทำให้ เราเช็ดผมให้แห้งเถอะ” เต๋าบอกแล้วเริ่มลงมือบีบยาออกจากหลอด มือหนาเลื่อนไปหาข้อเท้าด้านซ้ายของคนตัวเล็ก บรรจงบีบเนื้อครีมสีขาวออกจากหลอดแล้วจัดการนวดอย่างเบามือ
“ยังเจ็บอยู่ไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ตาคมยังคงจดจ้องตั้งใจนวดข้อเท้าเล็ก
“ก็นิดนึง รู้สึกปวดๆมากกว่าฮะ” ตาคู่กลมก้มมองเต๋าไม่วางตา ความอบอุ่นที่ถ่ายทอดผ่านปลายนิ้วทำให้การหายใจของคชาติดขัดแปลกๆ
“เรียบร้อย...พรุ่งนี้น่าจะพอเดินได้ถ้าไม่ไปซนที่ไหนอีก”
“ไม่ได้ซนสักหน่อย แค่พลาดนิดเดียวเอง” เต๋ายกยิ้มให้กับเด็กน้อยตรงหน้าก่อนจะหันหลังให้อีกครั้ง หากแต่คชาไม่ได้ปีนไปเกาะบนหลังของเต๋าอย่างที่ควรจะเป็น สองมือเล็กสัมผัสที่ไหล่สองข้างของอีกคน แล้วเริ่มออกแรงนวดไปทั่วบริเวณลาดไหล่
“พี่เต๋านวดให้คชาแล้ว คชาจะนวดให้พี่เต๋าบ้าง” คำพูดกับการกระทำไร้เดียงสาของคชาทำให้เต๋ายิ้มให้กับตัวเอง ยอมรับว่าวันนี้เหนื่อยไม่น้อย แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้นึกอยากขอให้เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เต๋าปล่อยให้คนตัวเล็กนวดไหล่สักพัก มือหนาก็ยกไปสัมผัสทาบทับมือเล็กตรงไหล่
“พี่ไม่เป็นอะไรแล้ว เดี๋ยวพี่มิ้นท์จะรอกินข้าวนะ” เด็กน้อยพยักหน้ารับแล้วเลื่อนมือเล็กออกมาจากสัมผัสของเต๋า ก่อนจะค่อยๆเคลื่อนตัวไปเกาะที่แผ่นหลังหนาของพี่ชายข้างบ้านอีกครั้ง
“พี่เต๋า...ขอบคุณนะฮะ” คชาเอ่ยขอบคุณในขณะที่มือเล็กกำลังเอื้อมไปปิดไฟ น้ำเสียงแผ่วเบาที่กระซิบข้างหูทำให้เต๋ายืนชะงัก แสงไฟดับวูบลงพร้อมกับรอยยิ้มของร่างสูงปรากฏ ก่อนที่เต๋าจะนำพาอีกคนลงมายังโต๊ะกินข้าว
มื้อนี้เป็นอีกมื้อที่เต๋าฝากท้องไว้กับเพื่อนบ้านแสนน่ารัก อาหารเย็นมื้ออร่อยถูกจัดการให้หมดเกลี้ยงด้วยฝีมือของสมาชิกบนโต๊ะอาหารทั้งห้าคน จัดการทำความสะอาดโต๊ะกินข้าวแล้วนั่งคุยกันพักใหญ่ก่อนที่สามพี่น้องจะขอตัวกลับบ้านของตัวเอง แต่คนที่กลับหลังสุดก็หนีไม่พ้นเต๋า เพราะต้องแบกคนตัวเล็กขึ้นไปส่งบนห้องนอนอีกครั้งก่อนจะกลับบ้านของตนเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เต๋าได้บอกฝันดีน้องชายข้างบ้านถึงข้างเตียง รู้สึกแปลกๆ เขินตัวเองอยู่ไม่น้อย วันนี้เป็นวันที่คำว่า ‘ครั้งแรก’ ถูกบรรจุขึ้นในชีวิตมากที่สุด
แสงไฟทั่วทั้งบริเวณห้องนอนสีขาวดับมืดลงไปแล้ว ลงเหลือไว้แต่เพียงความสว่างเล็กน้อยจากสมาร์ทโฟนที่กำลังเปิดใช้งานแอพพลิเคชั่นชื่อดังอยู่
ครืด...
พรุ่งนี้จะเดินไหวไหมนะ? :)
ไม่รู้เหมือนกัน T^T
ไม่ไหวเดี๋ยวขึ้นไปรับถึงเตียง
งั้นจะนวดตอบแทนแล้วกันนะฮะ ^^
-------------------------------------------------------------
ยังไม่รักกันสาบานได้ สาบาน...
ความคิดเห็น