ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [TaoKacha atlove the series 23] Happy Alley: มีสุข 23

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 2 - Happy Alley ร้านใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 13 พ.ค. 57


      

      Chapter2

     

     

     

    “พี่ตี๋กลับมานานแล้วหรอ?”  เต๋าทักพี่ชายร่วมสายเลือดเมื่อเปิดประตูบ้านเข้ามาแล้วพบว่าตี๋นั่งอ่านหนังสืออยู่   ถ้าจำไม่ผิดตั้งแต่เต๋าย้ายมาอยู่ที่นี่ก็เห็นพี่ตี๋ตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสือเล่มเล็กนี้ทุกวัน

     

    “สักพักแล้ว”

     

    “ที่ร้านเป็นไงบ้างพี่”  เต๋าถามแล้วดึงชายเสื้อเชิ้ตออกจากกางเกงทำงาน  พับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นเล็กน้อยแล้วนั่งลงบนโซฟา  ‘ร้านที่เต๋ากำลังพูดถึงคือธุรกิจเล็กๆที่พี่ตี๋กำลังจะเป็นเจ้าของ

     

    “ใกล้แล้วหละ อีกสักสี่ห้าวันก็คงเสร็จ”  ร้านเล็กๆที่ติดกับร้านอาหารตามสั่งประจำซอยของลุงเทพกำลังถูกดัดแปลงให้กลายเป็นร้านชานมไข่มุก   หลังจากที่เจ้าของเก่าปล่อยเช่า ตี๋ที่กำลังสนใจธุรกิจก็เห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะ

     

     “เอ้อพี่ ...ว่าแต่ทำไมต้องร้านชานมไข่มุก?” เต๋าเลิกคิ้วถามอย่างสงสัยเมื่อรู้ว่าร้านที่พี่ชายของตนเองกำลังจะเปิดคือร้านอะไร   แต่หากคิดไปคิดมาไอเดียการเปิดร้านชานมไข่มุกก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย 

     

    “พอดีเพื่อนพี่มันขายเฟรนไชส์  มันเลยแนะนำมา พี่เห็นว่าน่าสนใจดี แล้วแถวนี้ก็ยังไม่มีคนเปิดร้านชานมไข่มุกจริงจังเลยลองดู”

     

    “ว่าแต่มีอะไรให้เต๋าช่วยก็บอกได้นะพี่  พร้อมรับใช้ครับ” 

     

    “ไม่ต้องถามครับคุณน้องเต๋า  มีแน่ๆ  ไม่ต้องใจร้อน”

     

    “ว่ามาโลดน้องเต๋ายินดีรับใช้ครับพี่ตี๋”

     

    “พี่กำลังหาพนักงานประจำร้าน  อยากได้สักสองคนแต่ตอนนี้ยังหาไม่ได้ว่ะ แล้วอาทิตย์หน้าร้านจะเปิดแล้วด้วย  ช่วงนี้ก็ยุ่งๆกับงานที่บริษัท”

     

    “เข้าใจแล้ว ไว้ผมจะถามให้นะพี่  อยากได้ประมาณไหน Full Time หรือ Part Time

     

    “ขอ Full Timeแล้วกัน อยากได้คนมาดูแลร้านได้ตลอดเลย ฝากด้วยนะไอ้น้องรัก”  เต๋าพยักหน้าแล้วยิ้มให้กับพี่ชายคนสนิท

     

    “อันที่จริง ไอเดียร้านชานมไข่มุกนี้ พี่ได้มาจากคชาว่ะ”  เต๋าที่กำลังเลื่อนมือไปจับแก้วน้ำ ก็ต้องหยุดชะงักลงแล้วหันมามองหน้าตี๋

     

    “ตอนแรกที่พี่คิดจะเช่าร้านแต่ยังไม่รู้ว่าจะเปิดอะไร  ว่าจะไปขอคำปรึกษาจากมิ้นท์แต่พอดีเจอคชานั่งกินชานมไข่มุกอยู่เลยได้ไอเดีย”

     

    “คชาชอบกินชานมไข่มุก?

     

    “ไม่รู้ว่าชอบไหม แต่ก็เห็นกินอยู่บ่อยๆ  อย่างน้อยไม่ได้ขายใคร พี่ก็ได้ขายให้คชานี่แหละ”  ตี๋หัวเราะออกมา ตบบ่าน้องชายแล้วหันไปสนใจหนังสือในมือต่อ

     

    -------------------------------------------------------------

     

    เสียงสะบัดผ้าดังสองสามทีก่อนจะตามมาด้วยเสียงกระทบกันของราวเหล็กกับไม้แขวนเสื้อ  หลังจากที่เต๋าย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ได้ไม่นาน ก็ดูเหมือนว่าจะได้รับมอบหมายภารกิจประจำตัว  อันที่จริงก่อนที่เต๋าจะเข้ามาอยู่ ทั้งตี๋และเฟรมก็ต่างใช้ชีวิตตามประสาหนุ่มโสดไม่ได้สนใจงานบ้านมากมายเท่าไหร่  เสื้อผ้ากองพะเนินไว้เต็มอาทิตย์ถึงจะได้ฤกษ์เอาไปซัก  ส่วนจานก็ล้างบ้างตามอารมณ์ของสองพี่น้อง ที่จริงการใช้ชีวิตของเต๋าก็ไม่ได้ต่างกันนัก  หากแต่เมื่อมาอยู่ด้วยกันสามคนก็ดูเหมือนจะต้องปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตเล็กน้อย  ทั้งตี๋ เต๋าแล้วเฟรม ตกลงกันว่าจะปรับปรุงตัวใหม่ จะพยายามมีระเบียบในชีวิตให้มากขึ้น  ข้อสรุปจากการทำข้อตกลงจึงเริ่มจาก การแบ่งหน้าที่ประจำบ้านให้แต่ละคน  ทำให้เต๋าได้รับมอบหมายหน้าที่ซักผ้าตากผ้า ซึ่งไม่สามารถจะปล่อยให้กองพะเนินเป็นอาทิตย์ได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว  เพราะถ้ารอให้ครบอาทิตย์ ที่ตากคงไม่พอกันพอดี

     

    แกร่ก...

    เสียงหมุนลูกบิดประตูจากบ้านหลังด้านข้าง เรียกให้เต๋าหันไปมองก่อนจะพบร่างเล็กของคชากำลังเดินคุยโทรศัพท์ออกมาโดยไม่ทันได้สังเกตว่าเต๋ายืนอยู่ข้างนอก

     

    “อย่าลืมของฝาก”

     

    “แบบรอบที่แล้วไม่เอานะ  ไม่เห็นอร่อยเลย”

     

    “อะไรก็ได้ ของฝากไม่จำเป็นต้องบอก”

     

    “ไอ้เบนบ้า ไม่ต้องมาล้อเลย”

     

    มือหนาหยุดชะงักจากการตากผ้าแล้วยกความสนใจทั้งหมดไปที่บทสนทนาทางโทรศัพท์ของคชากับใครอีกคน  ชื่อของบุคคลที่เขาเคยแอบนึกสงสัยก็ถูกเอ่ยขึ้น เรียกความหงุดหงิดในใจเต๋าได้ไม่น้อย อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปหยิบไม้แขวนเสื้อโลหะ  แขวนผ้าลงไปในไม้แล้วกระแทกมันแรงๆกับราวโลหะไม่ต่างกันจนเกิดเสียงดังจนทำให้คนที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่หันหน้ามา

    “พี่เต๋า..”  คชาว่าออกมาเบาๆ   พึ่งสังเกตเห็นว่าเต๋ายืนตากผ้าอยู่ตรงนั้น

     

    “เอ้อๆ งั้นแค่นี้แหละ เดินทางปลอดภัย เที่ยวให้สนุก”

     

    “บายยยยย” ล่ำลาปลายสายเสร็จ คชาก็เดินมาเกาะริมรั้วเอ่ยทักทายพี่ชายข้างบ้าน  แม้จะพึ่งย้ายมาอยู่ได้อาทิตย์กว่าๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าระดับความสัมพันธ์ระหว่างเต๋ากับคชาจะพัฒนาไปไม่น้อย  ไม่รู้ว่าเพราะเป็นเรื่องปกติของคนที่เป็นเพื่อนบ้านกันหรือเพราะความตั้งใจของใครสักคนที่อยากให้มันดำเนินมาในรูปแบบนี้

    “พี่เต๋ามายืนอยู่ตรงนี้นานยัง”

     

    ก็นานพอจะได้ยินคชาคุยโทรศัพท์กับใครบางคน  อยากตอบไปแบบนี้แต่ก็ทำได้แต่คิดในใจ

     

    “ก็สักพักแล้วหละ” บอกออกไปแบบนั้นโดยที่ไม่ได้หันไปมองอีกคนที่อยู่อีกฟากรั้วเลยสักนิด

     

    “ก็ไม่เรียก...แล้ววันนี้เวรตากผ้าหรอ” 

     

    “อาฮะ”  อยากจะตอบแล้วหันไปคุยมากกว่านี้ แต่อารมณ์ขุ่นเคืองบางอย่างมันห้ามไม่ได้จริงๆ  นี่เขาเป็นบ้าอะไรเนี่ย

     

    “ผ้าเยอะไหม ให้ไปช่วยเปล่า?”  เต๋าหันไปมองคชาแต่ลมหายใจก็ต้องสะดุดกับภาพที่เห็น คชากำลังเกาะรั้ว แขนสองข้างค้ำอยู่กับรั้วทรงเตี้ย ตากลมนั่นส่งสายตามาหาเขาแล้วกระพริบปริบๆ   รู้ตัวบ้างไหมว่าทำอะไรอยู่?

    ประโยคข้างบนนั้นเต๋าไม่ได้ถามคชาคนเดียวแต่ถามตัวเองด้วย  เพราะเมื่อรู้สึกตัวอีกทีเขาก็วางผ้าในมือแล้วเดินมาหยุดอยู่ที่กำแพงรั้วเสียแล้ว  

    “เมื่อกี้คุยกับเพื่อนหรอ?

     

    “ใช่ๆ เพื่อนจะไปเที่ยวฮ่องกงเลยทวงของฝาก”  ถึงแม้จะรู้สึกว่าตัวเองสนิทกับคชาขึ้นมาก คนตัวเล็กตรงหน้าชอบมาเล่านู้นเล่านี่ให้เขาฟังอยู่เสมอ  บทสนทนาถูกแลกเปลี่ยนผ่านสองฟากรั้วแทบจะทุกวันเหมือนเป็นกิจวัตร  แต่ถึงอย่างนั้นคชายังไม่เคยพูดถึงเพื่อนคนชื่อเบนอะไรนั่นให้เต๋าฟังสักที  เต๋าไม่ได้อยากรู้แต่ถ้าเล่าก็อยากจะฟังอยู่นะ

     

    “เพื่อนที่โรงเรียน?”  คชาพยักหน้ารับ ดวงตาคู่กลมจ้องมองใบหน้าขาวของอีกคนสลับกับผ้าในตะกร้า

     

    “พี่เต๋าไม่ตากผ้าแล้วหรอ?

     

    “มาช่วยไหมหละ” เต๋ากอดอกแล้วก้มลงมองร่างเล็กตรงหน้า

     

    “สบายมาก” ก่อนที่คชาจะกระโดดข้ามกำแพงรั้วเตี้ยอีกฝั่งมาหาอีกคนอย่างชำนาญ  แล้วลงมือช่วยพี่ชายข้างบ้านทำหน้าที่ภารกิจประจำตัว

    -------------------------------------------------------------

     

    กินข้าวเย็นบ้านพี่มิ้นท์นะ

    ข้อความที่ได้รับจากเฟรมเมื่อบ่ายแอบทำให้หัวใจพองโตไม่น้อย  เต๋าแทบจะรีบเคลียร์งานให้เสร็จในตอนนั้นแล้วกลับมารอกินข้าวเย็น  ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมากินข้าวบ้านพี่มิ้นท์  ตรงกันข้ามเต๋ามีเหตุผลร้อยพันในการเดินเข้าไปในบ้านหลังนั้น

    คชาพี่เอาถ้วยมาคืน

    คชาพี่ลืมไปว่ามีอีกใบ

    พี่ว่าไอ้เฟรมล้างจานไม่ค่อยสะอาดเดี๋ยวพี่ไปล้างมาให้อีกรอบ

    หรือแม้กระทั่ง...

    คชา...วันนี้พี่ไม่มีคนกินข้าวด้วย

    บอกแล้วว่าเต๋ามีเหตุผลร้อยพัน

     

     

    แอ๊ด...

    “เต๋ามาพอดีเลย นั่งรอก่อนใกล้เสร็จแล้ว”  พี่มิ้นท์เอ่ยชวนในขณะที่ตนเองกำลังง่วนอยู่กับเมนูอาหารเย็น  เต๋านั่งลงที่โต๊ะกินข้าว  สายตามองหาร่างเล็กของใครอีกคนที่แอบคาดหวังว่าจะได้พบทันทีเมื่อเข้ามาถึงตัวบ้าน  ก่อนจะได้ยินเสียงน้องชายของตนเองมาจากทางบันได

     

    “ไว้พี่จะยืมอีกนะคชา เล่มที่แล้วสนุกมากนี่ถ้าออกเล่มใหม่ขอจองยืมคนแรก”  เฟรมกับคชากำลังเดินลงบันไดมาพร้อมกัน  มือขวาของเฟรมถือหนังสือการ์ตูนสองเล่มไว้  ถ้าเต๋าเดาไม่ผิดไอ้เฟรมมันขึ้นไปบนห้องนอนคชามาใช่ไหม?  

     

    “นี่แกไม่คิดจะซื้อเองเลยหรอเฟรม  เห็นมายืมแต่คชา” ประโยคที่ตี๋ทักทำให้เต๋าอดคิดไม่ได้ มายืมแต่คชา? หมายความว่าเฟรมมันได้ขึ้นไปบนห้องนอนคชาหลายครั้งแล้วใช่ไหม  เต๋ามองดูภาพตรงหน้าบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าจะหงุดหงิดทำไม เมื่ออีกคนก็น้องแล้วอีกคนก็....น้อง(หละมั้ง)

     

    “ไม่เป็นไรผมยืมอ่านได้  ซื้ออีกเล่มเดี๋ยวโลกร้อนเนาะคชาเนาะ”  คชายิ้มขำให้กับเฟรมก่อนที่ตากลมจะหันไปทางด้านเต๋า  ยิ้มให้เล็กๆก่อนจะเดินตรงมาที่โต๊ะกินข้าวอย่างไม่รีรอ  ดูเหมือนว่าต่อหน้าคนอื่นเต๋ากับคชาจะไม่คุยกันมากหากเทียบกับตอนที่อยู่ด้วยกันสองคน

     

    “พี่ตี๋เด็กที่ให้หาให้ได้แล้วนะ เป็นหลานของแม่บ้านที่บริษัท เดี๋ยววันพฤหัสนี้ให้น้องมันเข้ามาหานะ เต๋านัดไว้แล้ว”

     

    “เร็วดีว่ะ ขอบคุณมาก”

     

    “แล้วเรื่องของที่ร้านเรียบร้อยดีแล้วหรอตี๋”  มิ้นท์ถามขึ้นแล้วเริ่มวางอาหารลงที่โต๊ะ

     

    “ขาดอีกไม่กี่อย่าง เพราะส่วนมากทางเฟรนไชน์เขาส่งมาให้แล้ว ไว้พรุ่งนี้หลังเลิกงานว่าจะไปเดินดูของ”

     

    “แต่พรุ่งนี้พี่มีนัดกับช่างเรื่องแต่งร้านไม่ใช่หรอ”  เฟรมเตือนพี่ชาย

     

    “เอ่อว่ะ”

     

    “เดี๋ยวผมไปซื้อให้ก็ได้นะพี่  พี่ก็จดรายการมาให้ โปรเจคท์เก่าพึ่งส่งไปคงเลิกเวลาปกติ” เต๋าเสนอตัวเมื่อเห็นว่าพี่ชายของตนดูยุ่งๆ

     

    “งั้นเดี๋ยวให้คชาไปเป็นเพื่อนเต๋าก็ได้  คชาพรุ่งนี้ไม่ได้ไปไหนใช่ไหม?  มิ้นท์เสนอความคิดแล้วหันไปถามน้องชายที่กำลังก้มหน้าก้มตาตักข้าวใส่จาน

     

    “ไม่ฮะ”

     

     “งั้นตอนเย็นไปช่วยพี่เต๋าเขาซื้อของด้วยแล้วกัน”  คชาพยักหน้ารับแล้วหันไปสนใจกับทัพพีข้าวในมือต่อ

    -------------------------------------------------------------

    “พรุ่งนี้พี่คงถึงบ้านสักหกโมง  คชารออยู่ที่บ้านแล้วกันเดี๋ยวค่อยเรียกแท็กซี่ไปซื้อของด้วยกัน”  เต๋าบอกกับคชาที่เดินเคียงข้างตนเองมา  หลังจากที่กินข้าวเย็นเสร็จสามหนุ่มก็ขอตัวกลับ  และเป็นเรื่องปกติที่คชาจะต้องเดินออกมาส่งและปิดประตูรั้วหน้าบ้าน

     

    “ให้คชาไปรอที่ห้างเลยก็ได้นะ”

     

    “ก็อยากเหมือนกัน แต่ของพี่เยอะนี่สิ อยากเอาของมาเก็บที่บ้านก่อน”

     

    “อ่อ โอเคฮะ  งั้นเดี๋ยวรอที่บ้านนะ”  คชาบอกเต๋าแล้วก้มลงปิดประตูและล็อคกุญแจรั้ว

     

    “พรุ่งนี้เจอกันนะ...ฝันดีครับ”  เต๋าบอกฝันดีอีกคนในขณะที่ตนเองยืนอยู่หน้าบ้าน  ก่อนที่คชาจะยิ้มให้แล้วตอบกลับไม่ต่างกัน

     

    “ฝันดีฮะ”

    -------------------------------------------------------------

     

    วันนี้คงเป็นวันที่เขามองนาฬิกาบ่อยที่สุดในรอบปี  เย็นนี้เขามีนัดไปซื้อของกับคชาสองคน  ที่จริงมันก็คงปกติถ้าเต๋าไม่เติมคำว่าสองคนเข้าไปเพราะคิดทีไรก็แอบหลุดยิ้มออกมาทุกที   แต่เหมือนคำว่าสองคนจะถูกดีดปลิวออกไปเมื่อท้ายที่สุดก็ไม่ได้ออกมาสองคนอย่างที่เต๋าคิดไว้  เมื่อเฟรมกลับมาจากมหาวิทยาลัยก่อนเวลาจึงตามติดมาด้วยอีกคน 

    “ส่วนมากเป็นพวกภาชนะมากกว่า  แล้วก็มีพวกอุปกรณ์ทำความสะอาด”  เต๋าพึมพำออกมาในขณะที่สองมือใหญ่ใช้บังคับรถเข็น 

     

    “เดี๋ยวผมมานะพี่ ปวดฉี่ไปเข้าห้องน้ำก่อน ซื้อไปก่อนเดี๋ยวโทรหา”  เต๋าพยักหน้าให้น้องชายก่อนจะผลักหัวเฟรมที่รีบวิ่งออกไป

     

    “พี่ยังไม่เคยมาเดินห้างนี้เลย  คชารู้ไหมว่าโซนไหนเป็นโซนไหน” เต๋าหยุดเดินปล่อยมือสองข้างออกจากรถเข็นแล้วก้มลงดูรายการของบนแผ่นกระดาษอีกครั้ง 

     

    “ขอดูหน่อยว่ามีอะไรบ้าง”  ร่างเล็กหยุดยืนข้างเต๋า  ปลายเท้าเขย่งขึ้นเพื่อให้มองเห็นแผ่นกระดาษที่อยู่ในมือของอีกคนได้ถนัด  จึงทำให้หัวกลมๆของคชาขึ้นมาอยู่ในระดับจมูกของเต๋าพอดี   ปลายจมูกของคนตัวสูงกว่าจึงสัมผัสกลุ่มผมดำอย่างไม่ทันตั้งตัว กลิ่มหอมอ่อนๆของแชมพูที่คชาใช้ อีกทั้งกลุ่มผมที่สัมผัสเบาบางที่ริมฝีปากได้รูป ทำให้เต๋าถึงกับลืมหายใจ

     

    “งั้นไปซื้อพวกแก้วก่อนดีกว่า แล้วค่อยไปซื้อไม้ถู” คชาพูดในขณะที่ตนยังคงก้มมองแผ่นกระดาษในมือหนา  ก่อนจะหันหน้าขึ้นมามองเต๋า และพบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองตัวเองอยู่  ทุกสิ่งหยุดเคลื่อนไหวชั่วขณะเมื่อสองสายตาแววตาสบประสาน  ดวงตาคู่กลมกับแววตาสดใสของของคชากำลังทำให้เต๋าลืมความเป็นตัวเอง  ท้ายที่สุดเป็นคชาที่รู้สึกตัวก่อนและเบนสายตาไปอีกทาง

     

    “ไม่ต้องรอพี่เฟรมใช่ไหม งั้นไปทางนี้นะ”  เต๋าส่ายหัวสองสามทีเพื่อเรียกสติกลับมา  มือหนาเลื่อนไปจับรถเข็นอีกครั้งแล้วออกแรงดันไปให้ทันอีกคน ที่เดินนำล่วงหน้าไปแล้ว  โดยที่ไม่รู้เลยว่าคนตัวเล็กที่เป็นฝ่ายเบนสายตาไปก่อน กำลังยกมือขึ้นมาจับแก้ม แล้วบ่นพึมพำกับตัวเอง

    บ้าชะมัด

    -------------------------------------------------------------

     

    “พี่ตี๋ขอโทษจริงๆนะพี่”  ย้อนกลับไปเมื่อวานที่เต๋าได้นัดว่าที่พนักงานร้านชานมไข่มุกให้เข้ามาสัมภาษณ์  แต่ก็ต้องวุ่นวายกันอีกครั้งเมื่อรายนั้นโทรมาบอกว่าได้งานที่อื่นเสียแล้ว  ปัญหาอยู่ที่อีกสองวันร้านจะเปิดแต่ยังหาคนเฝ้าร้านไม่ได้นี่สิ   ความหวังเดียวที่มีอยู่ตอนนี้ก็คือใบปลิวที่ฝากไว้ตามที่ต่างๆ กับการโพสท์ข้อความรับสมัครพนักงานผ่านอินเทอร์เน็ต

     

    “ไม่เป็นไรๆ ยังไงร้านก็เปิดวันอาทิตย์ สลับกันดูไปก่อน เดี๋ยวคงมีคนมาสมัครบ้างแหละ”  ตี๋พูดเหมือนอยากให้อีกฝ่ายสบายใจ  แต่ใครๆก็รู้ว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะการที่ตี๋ต้องนัดว่าที่พนักงานมาคุยไม่ใช่แค่เพียงเรื่องข้อตกลงในการจ้างงานแต่ก่อนที่จะทำงานได้ก็ต้องสอนงานให้เสียก่อน  เพราะคงมีไม่กี่คนที่จะทำชานมไข่มุกได้โดยไม่ต้องสอนอะไร  แต่ถ้าหากมีจริงๆนั่นก็แสดงว่าเขาโชคดีไม่น้อย

     

    “แล้วมีใครติดต่อมาบ้างไหมพี่” เฟรมถามพี่ชาย  ตี๋ส่ายหัวก่อนจะเดินไปที่เคาท์เตอร์  ในใจกำลังขบคิดถึงถึงการแก้ปัญหา  เต๋าก็ใช่ว่าจะอยู่เป็นสุข  ดวงตาคู่คมมองทะลุกระจกใจออกไปนอกตัวร้าน สองมือล้วงเข้าที่กระเป๋ากางเกงยีนส์ด้านหลัง ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา  ก่อนจะสังเกตเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินตรงมายังประตูกระจกใสของร้านแล้วผลักมันเข้ามา

     

    “สวัสดีครับ นี่ใช่ร้าน Refresh ไหมครับ  พอดีผมตามใบสมัครนี่มา จะมาสมัครเป็นพนักงานครับ”  สามหนุ่มหันหน้ามองกันอย่างไม่ได้นัดหมายก่อนที่ตี๋จะรีบเรียกว่าที่พนักงานให้นั่งลงแล้วจัดการสัมภาษณ์  ภาพที่เห็นตอนนี้จึงเป็นภาพของพี่น้องสามคนนั่งเก้าอี้คนละตัวล้อมว่าที่พนักงานไว้

     

    “ชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ ทำงานอะไรมาก่อน”  ข้อมูลเบื้องต้นถูกถามโดยตี๋  ทำให้ชายหนุ่มว่าที่พนักงานรู้สึกประหม่าเล็กน้อย บวกกับสภาพของเขาที่โดนรุมอยู่ตอนนี้ด้วยแล้ว  อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นขยับกรอบแว่นและเกาหัวด้วยความงุนงง

     

    “คือชื่อ โปเต้ครับ แต่เรียกสั้นๆว่าเต้ก็ได้ อายุ 22 ก่อนหน้านี้เคยทำอยู่ร้านชานมไข่มุกมาก่อน นี่เป็นหลักฐานการสมัครงานของผม” 

     

    “เห๊ย! จริงดิ  แสดงว่าทำเป็นอยู่แล้ว? ตี๋ร้องออกมาเสียงดังจนว่าที่พนักงานสะดุ้งเล็กน้อย  ส่วนเต๋ารับซองเอกสารที่ว่าที่พนักงานโปเต้ยื่นมาให้ก่อนจะค่อยๆไล่อ่านทีละแผ่น

     

    “ค  ครับ” 

     

    สามหนุ่มสุมหัวด้วยกันอีกครั้ง สามสายตาก้มลงอ่านเอกสารของว่าที่พนักงานก่อนจะกระซิบกระซาบปรึกษาให้ได้ยินกันสามคน

    “แต่ถ้ายังไม่สะดวกผมกลับก่อนก็ได้นะครับ”  โปเต้ที่มีสีหน้าเป็นกังวลเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นสามพี่น้องพูดคุยปรึกษากันอย่างเอาจริงเอาจัง

     

    “ไม่ต้อง!!”  สามเสียงประสานขึ้นพร้อมกัน

     

    “พี่ตกลงรับเราเข้าทำงาน”  ตี๋บอกแล้วลุกขึ้นเดินมาหยุดที่หน้าของโปเต้

     

    “ห๊ะ! จริงหรือครับพี่”  โปเต้กระพริบตาสองสามทีก่อนจะยกมือขยับกรอบแว่นอีกครั้ง

     

    “จริง  แต่เริ่มงานพรุ่งนี้เลยได้ไหมวะ”  ตี๋เดินมาจับไหล่ว่าที่พนักงานประจำร้าน

     

    “ไม่มีปัญหาครับพี่  ขอบคุณมากนะครับขอบคุณมาก”  พนักงานประจำร้านคนใหม่เอ่ยขอบคุณ ก่อนจะยกมือไหว้ตี๋เป็นการใหญ่   สามหนุ่มยกยิ้มขึ้นพร้อมกันในรอบหลายชั่วโมงของวัน  เดินมาทักทายพนักงานโปเต้ก่อนจะเริ่มทำความรู้จักพูดคุย

     

    -------------------------------------------------------------

     

    ท้องฟ้ายามค่ำคืนในกรุงเทพมหานคร ไม่ปรากฏแสงของดวงดาว มีเพียงแสงจากดวงจันทร์เท่านั้นที่ยังคงทอแสงนวลผ่องเปล่งประกาย  เสียงบทสนทนาพูดคุยข้ามฟากรั้วของคนสองคน ที่ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของทั้งเต๋าและคชาปรากฏขึ้น  

    “ได้พนักงานแล้วหรอ ดีจัง” 

     

    “ใช่ โชคดีมากที่พนักงานคนนั้นเคยทำงานร้านชานมไข่มุกมาก่อน คงไม่ต้องฝึกอะไรกันมาก เผลอๆพี่ตี๋คงต้องฝึกจากพนักงานด้วยซ้ำไป” 

     

    “ดีแล้วๆ เมื่อวานบ้านพี่เต๋าเหมือนดงอะไรสักอย่าง  แต่ละคนทำหน้าเหมือนโลกจะแตกวันนี้พรุ่งนี้”

     

    “จริงหรอ”  แต่เต๋าก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกนะว่าตนเองแอบเครียดไม่น้อย

     

    “จริงสิ เมื่อวานพี่เต๋าเงียบจะตาย คิ้วสองข้างก็แทบจะชนกันแล้วด้วย คชาเห็นแล้วไม่กล้าเข้าไปคุยด้วยเลย” เต๋านึกตลกไม่น้อย อยากรู้เหมือนกันว่าเมื่อวานนี้เขาทำหน้าแบบไหนทำไมคชาถึงแอบกลัวได้

     

    “พี่น่ากลัวขนาดนั้นเลย?

     

    “ใช่ๆ  หน้าเหมือนผีดิบ”  ดวงตากลมโตตอบอย่างใสซื่อ

     

    “หือ ว่าไงนะ...ผีดิบเลยหรอ” เกือบจะเชื่ออยู่แล้วเชียวว่าตัวเองทำหน้าเหมือนผีดิบถ้าคนตัวเล็กไม่หลุดหัวเราะออกมา  นี่เขาโดนคชาหลอกด่าใช่ไหม?

     

    “ตัวแสบ”  ก่อนจะอดไม่ได้ที่จะยกมือไปยังรั้วอีกฝั่ง แล้วขยี้ศีรษะกลมนั้นอย่างหมั่นเขี้ยว  แต่ก็ใช่ว่าคนที่โดนแกล้งจะต่อต้าน ตรงกันข้ามเสียงใสนั้นยังคงหัวเราะคิกคักเมื่อรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นผู้ชนะที่ได้แกล้งพี่ชายข้างบ้าน

     

    “งั้นพรุ่งนี้เดี๋ยวเข้าไปช่วยที่ร้านนะ”

     

    “ไม่ต้องไปติวแล้วหรอ”

     

    “ไม่ต้องแล้วฮะ หมดคอร์สแล้ว” คชาตอบ อมยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อนึกถึงความสุขช่วงปิดเทอมที่โหยหา และการที่ไม่ต้องเดินเข้าไปในโรงเรียนกวดวิชาถือเป็นหนึ่งในนั้น

     

    “ดีใจด้วยนะ แล้วทีนี้จะมีเรื่องอะไรมาเล่าให้พี่ฟังไหมเนี่ย”  เต๋าแซวเพราะส่วนใหญ่เรื่องที่คชาเอามาเล่าให้เขาฟังจะเกี่ยวกับการไปกวดวิชา

     

    “มีสิๆ ถึงไม่ได้ออกไปข้างนอกแต่เดี๋ยวคชาก็จะขุดเรื่องมาเล่าให้พี่เต๋าฟังเหมือนเดิม”  ก่อนหน้านี้พี่ตี๋เคยบอกเขาเอาไว้ว่า คชาจะเป็นคนเงียบๆถ้าอยู่กับคนแปลกหน้า  แต่สำหรับเต๋าตอนนี้คงข้ามผ่านสถานะพวกนั้นมามากพอตัว   ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นคนสนิทของคชาหรือเปล่า แต่การที่ไม่ได้เป็นคนแปลกหน้า แล้วได้ฟังเจ้าตัวเล่าเรื่องราวต่างๆ คุยนู้นคุยนี้   ถึงตอนนี้อยากให้พี่เต๋าคนนี้เป็นอะไร พี่เต๋าคนนี้ก็ขอยอม

     

    “ขุดเก่งจริงนะ เป็นจอบหรือไงเรา”

     

    “เปล่าสักหน่อย ไม่เห็นต้องเป็นจอบก็ขุดเก่งได้เหอะ” เสียงหัวเราะสดใส พูดคุยหยอกล้อยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง  ท่ามกลางความมืดมิดของท้องฟ้าที่ไร้แสงดาว  แต่หากคืนนี้ใครบางคนกำลังคิดว่าตนเองนั้นกำลังจ้องมองดวงดาวที่คงจะหล่นลงมาจากที่ไหนสักที่บนท้องฟ้ากว้าง  ดวงดาวที่เปล่งประกายไปด้วยความสดใส...ดวงดาวที่กำลังหัวเราะอยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้

    -------------------------------------------------------------

    ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงพิธีเปิดร้านก็เสร็จสิ้นลง   ตี๋ เต๋าและเฟรมเดินไปส่งพระอาจารย์ ที่นิมนต์มาจากวัดเพื่อมาเจิมร้านชานมไข่มุกของตนและรดน้ำมนต์เพื่อความเป็นศิริมงคล  แล้วกราบลาพระอาจารย์ก่อนที่รถกระบะจะเคลื่อนที่ออกไป  ตี๋หันกลับมามองร้านชานมไข่มุก ‘REFRESH’   ร้านชานมไข่มุกที่เป็นกิจการแรกในชีวิตของเขาอย่างภาคภูมิใจ  หลังจากที่เฝ้าลงทุน ลงแรง ลงกาย ลงใจไป  วันนี้ร้านในฝันของเขาก็สำเร็จเป็นรูปเป็นร่างเสียที    ผู้คนในซอยรวมไปถึงเพื่อนสนิทเริ่มเดินทางมาร่วมแสดงความยินดี บางคนหอบหิ้วกล่องของขวัญรวมไปถึงช่อดอกไม้มามอบให้  จนทำให้พื้นที่ของร้านที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากเล็กลงไปถนัดตา  เต๋าเดินไปกอดไหล่พี่ชายที่ยิ้มกริ่มก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในตัวร้านพร้อมกันสามคน

    “ยินดีด้วยนะไอ้ตี๋ขอให้กิจการรุ่งเรือง”

     

    “ขอบคุณมากครับเฮีย ฝากด้วยแล้วกันเฮียร้านใกล้เรือนเคียง”  ตี๋ยื่นมือไปรับกล่องพระจากเฮียเทพ เอ่ยขอบคุณแล้วพูดคุยกันสักพัก

     

    “หายเหนื่อยแล้วหละสิตี๋  ดีใจด้วยนะ ขอให้กิจการรุ่งเรือง”  ตี๋ยื่นมือไปรับกล่องของขวัญในมือเพื่อนบ้านแสนดี  พูดได้เต็มปากเลยว่ามิ้นท์ได้ช่วยเหลือเขาในเรื่องการเปิดร้านนี้ไว้มาก

     

    “ขอบคุณมากนะมิ้นท์ ขอบคุณจริงๆ”  มิ้นท์ส่งยิ้มให้เพื่อนบ้านตัวโต รอยยิ้มที่มีความหมายให้ตี๋ตีความเอง รอยยิ้มที่บอกว่า ไม่เป็นไร’ 

     

    “ตี๋มีร้าน มีบ้าน  ตอนนี้เหมือนจะขาดคนรู้ใจ ถ้าคนแถวนี้บอกว่าพร้อมก็จะขอจีบอีกครั้งนะ”  จนแล้วจนรอดตี๋ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซวเพื่อนบ้านคนสวย

     

    “แหม  รอไปเถอะย่ะ”

     

    “แหนะๆ  พี่ตี๋จีบพี่สาวคชาหรอ”  เป็นเสียงใสของคชาดังขึ้น เมื่อแอบมองพี่สาวของตัวเองกับพี่ชายตัวโตข้างบ้านอยู่พักใหญ่แล้วเดินมาเกาะแขนพี่สาวของตนอย่างหวงแหน

     

    “อยากจีบแต่พี่เราไม่ให้พี่จีบนี่สิ”  ตี๋บอกแล้วส่งยิ้มให้คชาก่อนที่จะขอตัวไปหาเพื่อน

     

    “หวงพี่เหมือนกันนะเรา”  เต๋าที่เห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นถามขึ้น

     

    “ก็พี่เค้านี่นา” แล้วหัวกลมของคชาก็ก้มลงพิงที่ไหล่ของพี่สาว

     

    “มีน้องขี้หวงแบบนี้พี่มิ้นท์จะมีแฟนไหมครับ?

     

    “ถ้าให้มีก็มีได้  แต่ถ้าต้องเลือกระหว่างแฟนกับน้องชายตัวแสบ พี่คงต้องเลือกน้องชายตัวแสบคนนี้”  เต๋ายิ้มให้กับความน่ารักของสองพี่น้อง  ไม่แปลกหรอกที่จะเลือกคชา ถึงแม้พี่มิ้นท์จะพร่ำบ่นเสมอว่าน้องชายคนนี้เอาแต่ใจและดื้อแค่ไหน  แต่ความน่ารักสดใสที่มีอยู่ในตัวคชายังคงเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ดี

     

    “คชากินชานมไข่มุกแล้วยัง”  คชาส่ายหน้าดวงตากลมมองตามพี่สาวที่เดินไปทักคนในซอย

     

    “ไปที่เคาท์เตอร์กัน” เต๋าเอ่ยชวนคชา  มือหนายื่นไปสัมผัสข้อแขนบางของอีกคนก่อนจะจูงให้เดินไปที่เคาท์เตอร์ด้วยกัน

     

    “คชาสั่งสิ  พี่ให้กินฟรี” ตี๋บอกน้องชายตัวเล็กข้างบ้านที่ถือเป็นอีกหนึ่งหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำร้านของเขา

     

    “ได้ไงฮะ ของซื้อของขาย” 

     

    “งั้นเดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”  เป็นคนที่ยืนอยู่ด้านหลังที่โพล่งขึ้นมา  ทำให้ดวงตากลมหันกลับไปยังร่างสูง  ยิ้มให้เล็กน้อยก่อนที่จะหันไปหาพนักงานประจำร้าน

     

    “งั้นคชาเอาชานมสตรอร์เบอรี่ใส่ไข่มุกแก้วนึง   มีคนจ่ายให้แล้วงั้นขอไข่มุกเยอะๆนะฮะ” 

     

    “งั้นพี่เอาชานมเผือกนะเต้”   พนักงานโปเต้สิ่งยิ้มพยักหน้ารับ  แล้วลงมือทำชานมสตรอร์เบอร์รี่ของคชาทันที

     

    “วันนี้พี่เต๋าไม่ได้ลืมเอากระเป๋าตังค์มาใช่ไหม?”  คชายิ้มล้อเลียน เมื่อนึกถึงวันที่เต๋าบอกว่าจะเลี้ยงข้าวตนเองที่ร้านลุงเทพ แต่ดันลืมเอากระเป๋าเงินมาด้วย

     

    “นี่กะจะล้อพี่ยันลูกบวชเลยใช่ไหม?

     

    “ไม่ถึงขนาดนั้นสักหน่อย เอาแค่ถึงแต่งงานพอ” คชายังคงหัวเราะต่อเนื่อง  พูดคุยกันไม่นานชานมสองแก้วที่สั่งไปก็ถูกยื่นส่งมาให้ลูกค้าประจำในอนาคตทั้งสองคน  ก่อนที่เต๋าจะชวนคชาไปนั่งโต๊ะว่างที่อยู่ติดมุมของร้าน

     

    “คชาชอบกินชานมสตรอร์เบอรี่หรอ?

     

    “ฮะ”  ริมฝีปากบางก้มลงสัมผัสหลอดที่เสียบอยู่กลางแก้ว ก่อนจะค่อยๆดูดชานมไข่มุกรสโปรดอย่างเอร็ดอร่อย 

     

    “แล้วทำไมถึงชอบสตรอร์เบอรรี่หละ”

     

    “ก็มันอร่อยหนิ”

     

    “แค่นั้นหรอ” คชาพยักหน้า

     

    “แล้วทำไมพี่เต๋าถึงชอบชานมเผือกหละ”

     

    “ก็มันอร่อย”

     

    “เห็นไหม..ก็เหมือนกันแหละ ก็มันอร่อย ไม่เห็นต้องมีเหตุผลอื่นเลย”

    แล้วบทสนทนาทั้งหมดก็หยุดลงเพียงเท่านั้น  เหลือไว้แต่เพียงคนตัวเล็กที่ก้มลงดูดชานมไข่มุกในมืออย่างตั้งอกตั้งใจ  กับดวงตาคู่คมของใครอีกคนที่จับจ้องอากัปกิริยาของคชาอย่างตั้งใจไม่ต่างกัน 

    คงจะจริงอย่างที่คชาบอก บางอย่างก็ไม่จำเป็นที่ต้องมีเหตุผลอื่นเลย ที่กินก็เพราะว่าอร่อย...ที่ชอบก็เพราะว่าใช่ ที่ใช่ก็เพราะว่าน่ารักแบบนี้  ไม่เห็นต้องมีเหตุผลอื่นเลยจริงๆ

     

    “เด็กน้อยจริงๆเลยนะ เลอะปากแล้วครับ”  นิ้วโปงเลื่อนไปสัมผัสมุมปากบางของคนตัวเล็ก  เกลี่ยมันเบาๆ  ก่อนที่ดวงตาคู่กลมของคชาจะมองมาที่เต๋าอย่างงงๆ  แอบตกใจกับสัมผัสนั้นอยู่ไม่น้อย  สัมผัสบางเบาที่ทำให้หัวใจดวงน้อยของคชาเต้นเร็วกว่าเดิมหลายเท่าตัว

     

    เต๋ายังคงจ้องมองคชาอย่างเอ็นดู  ก้มลงดูดชานมไข่มุกในแก้วของตัวเองบ้าง หลุดยิ้มออกมาบ้างเมื่อเห็นคชาตั้งใจดูดกินไข่มุกเม็ดสีดำที่ดูเหมือนจะไม่เข้าข้างคนตัวเล็กเท่าไหร่นัก  เมื่อเจ้าไข่มุกเม็ดกลมไม่เดินทางขึ้นมาตามหลอดยาว  จนทำให้คชาต้องเปลี่ยนทิศทางหลอดดูดอยู่หลายครั้ง  สายตาของเต๋ายังคงไม่ละออกจากใบหน้าของคนมุ่งมั่นตรงหน้า  โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีสิ่งมีชีวิตอีกสองคนกำลังชวนกันจ้องมองสังเกตการกระทำของตัวเองด้วยความสนอกสนใจ 

    -------------------------------------------------------------

     





    มันอาจจะดูเร็วๆไป ตัดไปตัดมา -/\- เข้าใจเราไหมหนอ?
    ฝากฟิคเสด็จพี่นนทนันท์ด้วยนะคะ  ไม่รู้เคยอ่านกันไหม มันไม่มีสาระและตรรกะอะไร (แล้วจะแต่งทำไม?) เอ่อนั่นแหละ
    ลองดูๆ  
    http://sadejpeeandhischaya.exteen.com/

    ปล. โหวตสู้ๆเน้ออ... ^__^ 

        

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×