คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ห้องเรียน
เช้าวันต่อมา ซึ่งจริงๆแล้วควรจะเรียกว่าคืนวันต่อมาซะมากกว่า เพราะท้องฟ้าในวันนี้เป็นสีเทาสีเมฆครึ้มดูเหมือนกับว่าฝนจะตกในไม่ช้านี้
ลมพัดแรงเหมือนจะมีพายุ
เป็นสาเหตุที่ทำให้นักเรียนต่างมาโรงเรียนช้ากว่าเดิม
บ่งบอกเป็นลางว่าจะมีเคราะห์ร้ายและมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น
เสียงระฆังดังบอกเวลาเรียนคาบแรก
“ทุกคนฟังนะ! วันนี้เรามีนักเรียนใหม่มา มีทั้งหมดห้าคน” เสียงหญิงวัยสามสิบต้นๆดังขึ้น
ท่ามกลางห้องเรียนที่ดูเหมือนจะเสียงดังแข่งกับเสียงฝนนอกหน้าต่างให้กลายเป็นห้องเรียนที่เงียบกริบในพริบตาด้วยข้อความที่น่าสนใจ
พวกเธอทั้งหมดเดินเข้ามาในห้อง
ก่อนจะนั่งโต๊ะที่อยู่ท้ายสุดของทุกแถวซึ่งถูกนำมาเพิ่ม
นักเรียนห้องนี้หากรวมพวกเธอแล้วมีทั้งหมดยี่สิบสี่คน ในห้องจัดโต๊ะเก้าอี้เป็นสามแถวและจัดแต่ละแถวเป็นโต๊ะคู่
ทั้งห้าได้นั่งโต๊ะที่อยู่ท้ายห้อง นักเรียนบางคนหันมาพวกเธออย่างสนใจ บางคนมองมาด้วยหางตา บางคนดูเฉยๆไม่แสดงสีหน้าอะไร ดีที่พวกเธอไม่ต้องแนะนำตัวต่อหน้าทุกคนเพราะแค่นี้พวกเธอก็ตื่นเต้นอยู่แล้ว เวียร์มองดูนักเรียนคร่าวๆก็พบว่าแวมไพร์ส่วนใหญ่ในห้องหน้าตาดีมาก
“หวัดดี! ฉัน‘วาเนสซ่า’” หญิงสาวที่นั่งข้างหน้าเวียร์หันมาพูด ราวกับรอเพื่อทักทายเธออยู่ก่อนแล้ว
เธอคนนั้นมีดวงตาสีน้ำตาลซ็อกโกแลตเช่นเดียวกับเส้นผมเป็นลอนทำให้ดูร่าเริงสดใส
เสื้อเครื่องแบบด้านในเป็นเสื้อแขนพองแขนสั้น ต่างจากเวียร์ที่มีเสื้อด้านในเป็นเสื้อแขนพองแขนยาว
“ฉันเวียร์” เวียร์ส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
วาเนสซ่าส่งกลับมาด้วยการยิ้มจนตาหยี จึงเห็นเขี้ยวของเธอชัดเจน
“ชื่อเธอแปลกดีนะ นี่เพื่อนฉัน‘ชานิ’” หญิงคนข้างๆวาเนสซ่าหันมามองเธอด้วย
วาเนสซ่าจึงแนะนำให้รู้จัก ชานิมีผมลอนใหญ่ มีสีน้ำตาลเข้มกว่าวาเนสซ่า แซมปลายผมเป็นสีดำ มัดผมไว้ข้างบ่า มีดวงตาสีดำสนิท และยังเป็นแวมไพร์อีกคนที่มีผิวสีคลำคล้ายมารูน
ย้อนไปเมื่อสองชั่วโมงก่อน...
วันนี้เป็นวันแรกที่นักเรียนใหม่ทั้งห้าคนจะต้องเรียนกับพวกแวมไพร์
ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้วทำให้เวียร์คิดว่าเหมือนเด็กอนุบาลมาเรียนกับชั้นมัธยมเพราะพวกเธอไม่ได้เรียนรู้อะไรตั้งแต่เด็กเหมือนพวกเขา
ในหมู่บ้านของเวียร์มีแค่การศึกษาระดับล่างคือชั้นอนุบาลสองปีและประถมสี่ปี
และการศึกษาชั้นกลางเป็นชั้นที่คนส่วนใหญ่เขาเรียนจบกันคือชั้นมัธยมสามปี
เธอเข้าชั้นอนุบาลตอนห้าขวบจากนั้นจึงเริ่มเรียนชั้นประถมตอนแปดปีและมัธยมตอนสิบสามปี
ส่วนการศึกษาระดับสูงคือมัธยมปลายสามปีจะมีเฉพาะคนมีฐานะเท่านั้นที่ได้เรียน
เธอเคยสงสัยว่าทำไมทไวล่า
เซริสและมารูนถึงได้อยู่ที่โลกมนุษย์จึงลองถามพวกเขาดู
“มันเริ่มตั้งแต่ตอนที่พ่อของฉันตกหลุมรักแม่ของฉัน
เขาถูกปู่บังคับให้แต่งงานแต่เขาปฏิเสธ ทำให้ปู่โกรธมากแล้วยังไล่เขาออกจากบ้าน
เขาจึงใช้ชีวิตอยู่กับแม่ของฉันและไม่ได้กลับไปที่โลกเวทยมนตร์อีกเลย
ฉันถึงต้องเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ยังไงล่ะ” เซริสเล่า
เมื่อเธออยู่ที่โลกมนุษย์เธอก็เรียนรู้สิ่งที่มนุษย์เขาทำกันไม่ได้เรียนเรื่องของโลกเวทยมนตร์นะสิ
“แล้วเธอล่ะ?” เวียร์ถามมารูน คนที่เหลือจึงหันไปหามารูนเพราะอยากรู้เช่นกัน
“ครอบครัวฉันเหรอ? บรรพบุรุษฉันอยู่ที่โลกมนุษย์มานานแล้วล่ะตั้งแต่รุ่นก่อนยายฉันอีก
ฉันไม่รู้เหตุผลหรอกว่าทำไมพวกเขาถึงอยู่ที่โลกมนุษย์
แต่ฉันก็ใช้ชีวิตตามปกติโดยไม่ให้ใครคนไหนรู้
ยายกับแม่สอนฉันเรื่องปรุงยาและเรื่องเกี่ยวกับแม่มดมาบ้าง แต่พ่อของฉันเสียชีวิตไปนานแล้วฉันจึงไม่รู้เรื่องอะไรของแวมไพร์เลย” มารูนเล่าขณะที่ใช้มือร่างภาพที่อยู่ของบ้านเธอบนกระดาษซึ่งเปิดร้านดอกไม้และขายสมุนไพรให้ดู
และความจริงแล้วบ้านของเวียร์ไม่ได้ไกลจากบ้านของเธอ แต่ทั้งคู่ไม่เคยเจอกันมาก่อน
“ส่วนที่บ้านฉันก็ไม่มีอะไร พ่ออยากอยู่กับแม่ของฉัน
แต่แม่แค่อยากอยู่บนโลกแบบคนธรรมดาที่ไม่มีการใช้เวทยมนตร์
พ่อจึงตามใจแม่น่ะ...อันที่จริงฉันเรียนรู้เรื่องแวมไพร์จากแม่ของฉันแล้ว
ถ้าพวกเธอมีปัญหาบางที่ฉันอาจจะช่วยได้นะ” ทไวล่าบอก
เวียร์คิดว่าหากใครสักคนในกลุ่มรู้เรื่องของที่นี่บ้างจะมีประโยชน์ต่อพวกเธอมากอย่างในกรณีที่ไม่รู้ว่าแวมไพร์ทำหรือไม่ทำอะไร
เธอจะได้เลี่ยงก่อนคนอื่นจะคิดว่าแปลก
“ฉันอยากรู้เรื่องของเมืองออราเฟียน่ะ” ทไวไลท์เอ่ย
“ฉันพอรู้บ้าง เป็นเมืองที่มีแสงสีทองอยู่บนท้องฟ้าน่ะ
แม่เคยบอกว่ามันเป็นแสงที่สวยมาก แต่ฉันเคยเห็นในรูปคล้ายแสงออโรร่าที่ลากยาวบนท้องฟ้า แสงปราฏทั้งกลางวันและกลางคืน สัตว์ประจำเมืองคือค้างคาวสีทองเรียกว่า ‘โคลเรย์’ เมืองออราเฟียค่อนข้างใหญ่
ยังห่างไกลจากที่นี่ด้วย...ครอบครัวเธออยู่ที่นั่นเหรอ? ”
“คงอย่างงั้น พ่อแม่ฉันอยู่ที่นั้น”
“ตระกูลเธอเป็นคนสำคัญของเมืองนั้นเหรอเปล่า? ”
“ใช่” ทไวไลท์ตอบ
เธอเห็นว่าเพื่อนคนอื่นๆก็ฟังเธออยู่ด้วย
“พวกเขาเป็นอะไรล่ะ?...ไม่คิดว่าจะได้รู้จักกับคนสำคัญนะเนี่ย”
“ก็...เชื้อพระวงศ์มั้ง”
“หา?...” คนที่เหลือหันมามองเธอ
เว้นแต่เวียร์ที่รู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วตอนที่เจออาจารย์ฟานาเรียครั้งแรก
“หืม?” เธอเลิกคิ้ว
แปลกใจที่พวกเขาหันมามองคล้ายจับผิด “ฉันพูดจริง”
“ไม่ได้ล้อเล่นสินะ” ทไวล่าพูด
“งั้นเราต้องทำตัวยังไงเหรอ?” เวียร์ถามขึ้นบ้าง
“ตามปกติ...ฉันไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้หรอก ฉันกลัวจะวางตัวลำบาก”
หากคนอื่นรู้เรื่องนี้ เธอต้องกลายเป็นที่จับตามองแน่
และคงไม่ดีที่เจ้าหญิงคนนี้ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวที่นี่เลยแล้วจะปกครองผู้คนยังไง
อาจทำตระกูลเสียหน้าด้วย
ทั้งหมดแต่งเครื่องแบบของโรงเรียนซึ่งมีอยู่ในตู้เสื้อผ้าแล้ว
ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากอาจารย์ฟานาเรียเป็นคนจัดเตรียมไว้
เครื่องแบบของที่นี่มีเสื้อตัวนอกและกระโปรงสีน้ำเงินเข้ม ส่วนเสื้อตัวในมีสีขาว
เครื่องแบบไม่จำเป็นต้องมีชุดรูปแบบเหมือนกันทุกคน เช่นจำนวนกลีบกระโปรง
ความยาวของกระโปรงซึ่งส่วนใหญ่จะยาวเสมอเข่า
“ดูนี่สิ!” มารูนเรียกเพื่อนคนอื่นมาดูกล่องใบหนึ่งมันเพิ่งปรากฏตรงหน้าเธอเมื่อครู่
มารูนเปิดกล่องออกมาก็พบว่าในนั้นมีแหวนสีเงินสองวง กำไลสองวง
สร้อยหนึ่งเส้นโดยแต่ละมีจี้รูปค้างคาวเหมือนกันหมด มีกระดาษใบนึงแนบมา
“ของพวกนี้มีไว้ให้พวกเราใส่ ห้ามถอดออก โดยเฉพาะทไวไลท์กับเวียร์
มันทำให้เธอทั้งคู่มีเขี้ยวงอกออกมา...พวกเธอไม่มีเขี้ยวนิ! มันป้องกันอันตรายแก่เราได้บางส่วนและของพวกนี้ทำให้พวกเราหากันเจอในเวลาที่หากันไม่เจอ
” มารูนบอกเมื่ออ่านข้อความในกระดาษจบ
ทั้งหมดเลือกหยิบไปคนละชิ้น
“แล้วแวมไพร์มีผิวขาวซีดทุกคนไหม?” มารูนถามทไวล่าเพราะเธอเป็นคนผิวคลำ
แต่ถ้าหากแวมไพร์มีผิวขาวซีดเธอยังพออ้างได้ว่ามีผิวเหมือนแม่ซี่งเป็นแม่มด
“ไม่ ยุคนี้มีผิวหลายสี บางคนเป็นลูกครึ่งแม่มดแบบเธอ
ไม่ก็ลูกครึ่งอย่างอื่นทำให้มีผิวสีที่หลากหลายขึ้น
เชื่อสายสืบทอดกันมาจนมีแวมไพร์หลายคนสีผิวอื่น...แต่เรื่องไม่มีเขี้ยวน่าสงสัยจัง”
“แล้วเธอใช้ชีวิตบนโลกได้ยังไงโดยไม่มีใครเห็นเขี้ยว?” เวียร์ถาม
“ก็เราสามารถซ่อนเขี้ยวได้นะ...ใช่ไหม?” คำสุดท้ายทไวล่าจะหันไปหาเซริสเพื่อยืนยันว่าแวมไพร์ซ่อนเขี้ยวได้ทุกคน
“ใช่” เซริสตอบก่อนแสดงให้เห็น
เวียร์มองเห็นเขี้ยวของเซริส มันค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างเป็นฟันเหมือนมนุษย์
แล้วงอกออกมาเหมือนแวมไพร์เช่นเดิม
ในเมื่อยังเหลือเวลาอีกมากก่อนจะถึงเวลาเข้าเรียนและเพราะพวกเธอตื่นเช้า
เวียร์จึงหาหนังสือในห้องกลางหรือห้องรวมมาอ่าน
จากหนังสือเล่มหนึ่งที่หาจากชั้นหนังสือในห้องกลางทำให้เธอรู้ว่า
บนโลกนี้มีสิ่งมีชีวิตหลากหลายสายพันธุ์ สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆสามกลุ่ม
กลุ่มแรกคือจำพวกอมนุษย์ที่ถนัดอยู่ในความมืดหรือชอบตอนกลางคืนมากกว่าตอนกลางวัน
เช่น มนุษย์หมาป่า แม่มด มมมี่ หรือแวมไพร์
กลุ่มถัดมาคือพวกที่ถนัดการใช้ชีวิตในตอนกลางวันมากกว่ากลางคืน เช่น พวกเอลฟ์
นางเงือก นางฟ้า แม่มดเป็นต้น ซึ่งพิเศษหน่อยตรงที่แม่มดเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถอยู่กลุ่มไหนก็ได้แถมยังเป็นเผ่าพันธุ์ที่ชำนาญเรื่องการปรุงยา
จึงเป็นที่ต้องการสำหรับการปรุงยารักษาโรค
กลุ่มสุดท้ายคือพวกมนุษย์หรือผู้คนธรรมดาที่ไม่มีเวทยมนตร์หรือความสามารถในการจำแลงกาย
พวกเขาเหล่านี้ต่างจากมนุษย์ในโลกของเธอตรงที่ไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์แต่อยู่ในโลกเวทยมนตร์
พวกเขาถูกเรียกว่า พวก'นอร์ม่า'
ส่วนสิ่งที่ไม่ได้จัดเป็นพวกอมนุษย์
นอร์ม่าหรือกลุ่มอื่นใดคือพวกปีศาจหรือสัตว์ประหลาดที่ไม่ได้มีลักษณะคล้ายมนุษย์และไม่ได้จัดอยู่ในจำพวกสัตว์
หากเปรียบโลกนี้กับโลกของเธอแล้ว
โลกนี้ถูกแบ่งเป็นสองส่วนคล้ายซีกโลกตะวันตกและซีกโลกตะวันออกโดยมีพวกนอร์ม่าคั้นตรงกลางระหว่างสองส่วน
มีการแบ่งเป็นทวีปต่างๆ และในแต่ละทวีปก็แบ่งออกเป็นเมือง
แต่ละเมืองก็มีการปกครองและกษัตริย์ของตนเอง
สมัยก่อนแวมไพร์เคยออกล่าเหยื่อซึ่งก็คือพวกนอร์ม่าเพื่อดูดดื่มเลือด
แต่ภายหลังก็มีการคุ้มครองพวกนอร์ม่าให้เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่สำคัญในโลกเวทยมนตร์
ทำให้เลือดกลายเป็นของหายาก
มีเฉพาะในงานสำคัญใหญ่ๆที่นานๆจะจัดขึ้นในวังโดยนำเลือดมาจากชาวนอร์ม่าที่ทำความผิดชนิดโทษฐานร้ายแรงหรือขั้นประหาร
เมื่อแวมไพร์ไม่ได้ออกล่าอย่างเคยก็ดื่มเลือดที่สามารถดื่มได้ตามปกติคือเลือดจากพวกสัตว์ต่างๆ
มีแวมไพร์บางตนที่หันมาดื่มน้ำมะเขือเทศหรือไม่ก็กินอาหารพวกพืชผักจนเป็นกิจวัตร
ซึ่งอย่างหลังมีเพียงจำนวนน้อยเท่านั้น
“เอานี่! ฉันให้” เสียงวาเนสซ่าทำให้เวียร์ตื่นจากภวังค์
“ขอบคุณวาเนสซ่า...ลูกสน?” วาเนสซ่ามอบลูกสนป่าลูกหนึ่ง มีริบบิ้นสีขาวลายเกล็ดหิมะสีแดงผูกติดไว้
“ก็ใกล้หน้าหนาวแล้วนี่หน่า”
“ทุกคน!วันนี้ครูมีธุระ คาบของครูมีสองคาบใช่ไหม ท้ายคาบส่งงานนะ...อย่าลืมคู่ไหนไม่ส่งหักสิบคะแนนวิชานี้ หัวข้อตามกระดานนี้ ครูต้องไปแล้ว” อาจารย์ฟานาเรียพูดจบก็หายตัวไปแบบเดียวกับตอนที่ใช้เวทยมนตร์พาทไวไลท์และเวียร์ไปที่ห้องพักเมื่อวานนี้ และก็เป็นแบบเดียวกับที่ชายขับรถม้าหายไปด้วย ...ชายคนนั้นหายไปไหนนะ เวียร์เผลอเหมอลอยไปได้ไม่นาน
“ท่าทางจะรีบจริงๆ”
เสียงใครคนนึงพูดขึ้น แม้เสียงนั้นจะไม่ได้ดังแต่อาจารย์ฟานาเรียเพิ่งจะออกไปจึงยังไม่มีใครพูดอะไรและเวียร์ก็ได้ยินเพราะจริงๆแล้วเขานั่งข้างเธอ!ชิดริมหน้าต่างและก่อนหน้านี้เขาไม่ได้พูดอะไร
เธอจึงเพิ่งหันไปมองเขา
“คงจะไปประชุมมั้ง
เหมือนทุกทีน่ะแหละ” วาเนสซ่าที่ยังคงนั่งหันข้างเอาแขนวางบนพนักเก้าอี้บอก
ชายคนข้างๆมีผมสีบลอนด์ออกไปทางสีทอง
ตาสีฟ้ามองออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะมองมาทางเธอ
“ผม‘ดาร์ก’ ยินดีที่ได้รู้จัก” เขาพูด
“ยินดีที่ได้รู้จัก
ฉันเวียร์” เขายิ้มออกมาเล็กน้อย ซึ่งน้อยมาก หากแต่นัยตาของเขาบอกเช่นนั้น
“ถ้าไม่ว่าอะไรทำงานด้วยกันไหม? ผมไม่มีคู่ทำรายงานอยู่”
เครื่องแบบนักเรียนชายไม่เหมือนนักเรียนหญิงตรงที่มีรูปแบบเหมือนกันหมดทุกคน
ที่คอเสื้อมีพูกติดไว้ต่างจากนักเรียนหญิงบางคนที่ไม่มีพูกแต่เลือกผูกโบว์ได้
“ได้สิ”
คนในห้องก็เริ่มส่งเสียงดัง
"ไม่ส่งงานหักตั้งสิบคะแนน แต่ถ้าส่งก็มีคะแนนมากสุดแค่หนึ่งคะแนน" ชายคนหนึ่งพูดขึ้น ตามด้วยเสียงคนอื่นๆ
"ท้ายคาบเหรอ ทำดีที่สุดฉันคงได้แค่ครึ่งคะแนน" หญิงคนนึงพูด
"เมื่อไหร่หมดคาบเนี่ย" ชายอีกคนบ่น
"ทำงานเสร็จแล้วเหรอ?" ???
"ฉันขอคู่กับเธอได้ไหม" ???
แต่ละคนต่างหาคู่ทำรายงาน เวียร์หันไปมองกระดาน หัวข้อคือ สัตว์ประจำเมือง
---ที่นั่งในห้องเรียน---
แถวที่1 แถวที่2 แถวที่3
1 2 1 2 1 2
3 4 3 4ฟินน์ 3 4
5วาเนสซ่า 6ชานิ 5 6ทรอย 5 6
7ดาร์ก 8เวียร์ 7ทไวไลท์ 8ทไวล่า 7มารูน 8เซริส
“ไง! คุณมีคู่ทำรายงานแล้วยัง?” ชายคนนึงลุกออกจากที่นั่งเพื่อถามทไวล่า
เธอเห็นเขาเดินมาจากโต๊ะที่อยู่หน้าของคนที่นั่งด้านหน้าเธอ เขามีผมสีบลอนด์อ่อน
ผมเขาค่อนข้างยุ่งนิดๆ ตาของเขาสีเหลืองอมส้มในความคิดของเธอมันดูเหมือนน้ำผึ้ง
ใบหน้าเขาดูอารมณ์ดีขณะถามเธอ
“มีแล้ว!” เสียงชายคนนึงตอบแทนทไวล่าด้วยท่าทางกวนประสาท เขานั่งอยู่ด้านหน้าเธอนี่เอง ชายคนนี้จึงหันไปหาชายคนที่นั่งด้านหน้า
“ฉันไม่ได้ถามนาย‘ทรอย’ ” เขาพูดก่อนจะหันมาหาเธออีกครั้ง
“ผม‘ฟินน์’ แล้วคุณ? ”
“ทไวล่า” เธอตอบ
เธอมองคนที่อยู่ข้างหน้าเธอเห็นแค่ผมของเขาที่มีผมสีน้ำเงินเข้ม
ส่วนหน้าเขาเธอยังไม่เห็น รู้เพียง‘ทรอย’คือชื่อของเขา
สงสัยเขาสองคนคงสนิทกัน
ทีแรกเธอกะจะคู่กับเพื่อนของเธอมากกว่า
แต่เธอเห็นว่าพวกเธอแต่ละคนคุยกับคนอื่นๆอยู่ เธอจึงคิดว่าพวกเธอคงได้คู่ทำรายงานไปแล้ว
เธอจึงทำรายงานคู่ฟินน์
ในห้องมีนักเรียนเหลือน้อยกว่าครี่งห้อง หลายๆคนจะไปหาข้อมูลที่ห้องสมุดกันแล้ว
วาเนสซ่ากับชานิชวนคู่ของเวียร์และฟินไปห้องสมุด ทไวล่าจึงหันไปถามมารูนที่คู่กับเซริสและทไวไลท์ที่นั่งติดกับเธอข้างซ้ายมือทั้งสองบอกว่าจะไปห้องสมุดเช่นกัน
เลยได้เดินไปพร้อมกันทั้งหมดสิบคน
ภายในห้องสมุดมีความเก่าแก่มาก
แต่ทุกอย่างดูสะอาดและเป็นระเบียบ ทำจากไม้เกือบทั้งหมด ลวดลายตามไม้ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้
โต๊ะ ชั้นหนังสือจะมีการแกะสลักอย่างประณีตส่วนมากเป็นรูปค้างคาว แมงมุม
ที่นี่มีสองชั้นและกว้างมากจนสามารถทำเป็นห้องโถงใช้ประชุมได้เลย หากนักเรียนทั้งโรงเรียนอยู่ในห้องสมุดคงยังไม่มีปัญหา ชั้นล่างเต็มไปด้วยชั้นหนังสือสูงกว่ายี่สิบชั้น มีบันไดสูงและมีแท่นสีดำที่กว้างพอให้คนสามคนยืนได้อย่างสบายๆวางอยู่บนพื้นทุกๆสามชั้นหนังสือ ไว้ทำอะไรน่ะ?
ชั้นหนังสือบางชั้นมีเพียงสองชั้นใช้ใส่หนังสือที่ใหญ่หรือหนักเป็นพิเศษ หนังสือเล่มนึงในนั้นมีขนาดใหญ่เกือบเท่าความสูงคน! วาเนสซ่าเดินไปยังมุมนึงของห้องสมุด มีแท่นวางที่คล้ายๆแท่นวางสมุดโน๊ตสำหรับนักดนตรีไม่ก็แท่นวางเมนูหน้าร้านอาหารวางอยู่บนพื้นซึ่งยกขึ้นสูงจากพื้นห้องไม่มาก วาเนสซ่ายืนบนพื้นนั้นก่อนจะวางมือข้างหนึ่งบนแท่นวาง
"สัตว์ประจำเมือง เนวี่!" สิ้นเสียงวาเนสซ่าที่พูดชื่อสัตว์ชนิดหนึ่งออกไป หนังสือจำนวนนึงลอยออกมาจากชั้นหนังสือต่างๆมายังตรงหน้าวาเนสซ่า แต่ละเล่มมีแสงสีดำคล้ายพลังก้อนเล็กๆสองก้อนวนอยู่โดยรอบ ก่อนที่ก้อนพลั
งนั้นจะทำให้หนังสือเปิดออกมาโดยพลิกไปยังหน้าที่มีข้อมูลเกี่ยวกับตัวเนวี่อยู่
วาเนสซ่ามองหนังสือแต่ละเล่มก่อนที่จะเลือกหยิบหนังสือออกมาสองเล่ม แล้วเดินออกจากมุมนั้น ตามด้วยหนังสือเล่มอื่นๆที่วาเนสซ่าไม่ได้หยิบมาก็ลอยกลับเข้าที่เดิมตามชั้นหนังสือ แสงสีดำค่อยๆหายไป
ตอนนี้เองที่ทไวล่ารู้ว่าแท่นวางมีไว้ค้นหาหนังสือนี่เอง
และก็รู้อีกว่าแท่นสีดำที่อยู่บนพื้นห่างกันแต่ละสามชั้นหนังสือมีไว้ทำอะไรเมื่อชานิใช้งานมัน ชานิยืนอยู่บนแท่นก่อนที่แท่นสีดำจะลอยขึ้นไปด้านบน ทำให้ชานิหยิบหนังสือชั้นบนได้ง่ายขึ้น อีกทั้งเธอยังเห็นบรรณารักษ์คนหนึ่งนำหนังสือกองใหญ่ไปวางบนแท่นก่อนจะขึ้นไปยืนและลอยไปยังชั้นหนังสือที่อยู่ถัดไป วางหนังสือสองสามเล่มบนชั้นนั้น แล้วก็ลอยไปยังชั้นอื่นๆอีก ไม่จำเป็นต้องแบกหนังสือให้หนักเลย
ที่นี่มีเวทยมนตร์และสิ่งของวิเศษที่ช่างทันสมัยและสะดวกนัก มากกว่าที่โลกเธอเสียอีก บันไดก็ดูจะหมดความหมายไปเลย แต่ละคนแยกย้ายกันหาข้อมูลแล้ว ทไวล่าหยิบหนังสือเล่มนึงที่เกี่ยวกับตัวโคลเรย์ออกจากชั้นหนังสือ ฟินน์เดินมาหาเธอ
"เล่มนี้ผมเอาไปแล้ว" เขาบอกก่อนจะเอาหนังสือในมือเธอมา ตอนนี้เองที่ทไวล่าหันไปเห็นว่าบนชั้นหนังสือมีหนังสือแบบเดียวกันอยู่เล่มนึง เมื่อกี้มีแค่เล่มเดียวนิ! เธอคิด ฟินน์ใส่หนังสือกลับเข้าชั้น ทว่าเขาใส่มันตรงตำแหน่งเดียวกับหนังสือเล่มนั้นพอดีราวกับหยอดกระปุกออมสิน หนังสือที่ใส่เข้าไปแทนที่หนังสือที่วางอยู่ ราวกับเมื่อครู่เป็นเพียงช่องว่างเปล่า บนชั้นควรจะมีสองเล่มสิ!
ทไวล่าไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วหนังสือทุกเล่มปรากฏอยู่บนชั้นหนังสือแค่เล่มเดียว เมื่อถูกหยิบไปหากเล่มไหนมีมากกว่าหนึ่งเล่มมันจะปรากฏขึ้นแทนที่ ในห้องสมุดจึงไม่ค่อยมีช่องว่างตามชั้นหนังสือเว้นแต่หนังสือที่มีเพียงเล่มเดียวและถูกใครบางคนหยิบไปแล้ว ทำให้ไม่ต้องรอบรรณารักษ์นำหนังสือมาเพิ่มแถมยังง่ายต่อการเก็บหนังสือเข้าที่เดิม อีกทั้งหนังสือที่เว้นช่องว่างไว้ยังปรากฏภาพหนังสือลางๆอีกด้วย จึงแน่ใจได้เลยว่าหนังสือถูกหยิบไปไม่ใช่เพราะหาไม่เจอ
"ผมไปรอคุณที่โต๊ะนะ" เมื่อเขาเดินออกไปแล้วทไวล่าจึงลองหยิบหนังสือออกจากชั้นวาง เมื่อเห็นว่ามีหนังสือเล่มใหม่ปรากฏแทนที่และในมือก็มีหนังสือที่หยิบออกมา เธอจึงหยิบหนังสือแบบเดิมออกมาจนมันปรากฏภาพหนังสือแบบนั้นลางๆ
หนังสือหมดแล้วสินะ
เธอหยิบหนังสือออกมาทั้งหมดห้าเล่ม หนังสือสองเล่มหล่นจากมือของเธอ เธอจึงก้มลงเพื่อเก็บก่อนจะเห็นว่ามีตัวอะไรบางอย่างบินมาอยู่ใกล้หนังสือที่หล่นอยู่ ค้างคาว! มันเอนหัวไปทางขวาแสดงท่าทีราวกับถามว่าเธอทำอะไรอยู่
ทไวล่ายิ้มแห้งๆ เธอคิดหาคำพูดแก้ตัวกับค้างคาวตรงหน้าที่มีท่าทางน่ารักเหลือเกิน เธอเห็นหนังสือที่หล่นอยู่เขียนไว้ตรงหัวมุมพิมพ์ครั้งที่สอง
"ฉันอยากรู้ว่าหนังสือเล่มนี้พิมพ์กี่ครั้งน่ะ" มันมองหน้าเธอก่อนทำท่าว่าเข้าใจแล้ว จากนั้นก็ใช้ขาทั้งข้างหยิบหนังสือให้เธอ
เธอหยิบหนังสือเข้าชั้น มันกระพือปีกฉับๆ จากนั้นก็ใช้พลังทำให้หนังสือที่เหลือลอยเข้ามาใส่ในชั้นทีละเล่ม
"ขอบใจนะ" มันกระพือปีกสองครั้งราวกับยินดี
เธอเดินไปหาฟินน์ที่เริ่มทำรายงานไปก่อนแล้ว เธอกับฟินน์ทำเสร็จก็เกือบจะหมดคาบ ก่อนจะถึงคาบที่สองเพียงสามนาที
"ฉันรวบรวมงานไปส่งนะ" หญิงสาวคนหนึ่งเดินมาหาฟินน์ ในมือถือกระดาษที่เป็นรายงานของคนอื่นๆอยู่ด้วย ทไวล่ายื่นรายงานที่มีกระดาษเพียงสามแผ่นไปให้เธอคนนั้น
"ทไวล่าใช่ไหม?" หญิงสาวทักทายเธอด้วยรอยยิ้มที่สวยจนเธอคิดว่าคนตรงหน้าเป็นดาราทีเดียว เธอนิ่งไปชักครู่จนลืมไปว่าคนตรงหน้าถามเธออยู่
"นี่'ลอริน' พี่สาวฝาแฝดผมเอง" ฟินน์บอก เหมือนเขาขำที่เห็นเธอนิ่งไปเมื่อครู่ราวกับเป็นเรื่องปกติ ลอรินไว้ผมตรงยาวถึงกลางหลัง มีผมสีบลอนด์อ่อนและตาสีเหลืองอมส้มเหมือนน้ำผิึงเช่นเดียวกับฟินน์ หน้าตาทั้งคู่มีส่วนที่คล้ายกันแค่บางส่วน แต่ทั้งคู่หน้าตาดีมาก
"ฉันเป็นหัวหน้าห้องน่ะ...ไว้เจอกันนะ" หญิงสาวพูดก่อนจะเดินไปยังโต๊ะที่คนอื่นๆนั่งอยู่
"คิดว่าลอรินหน้าตาดีใช่ไหมล่ะ ปกติก็มีคนชอบเยอะมาก" เขาเอ่ยอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นว่าเธอยังคงมองลอรินอยู่
เสียงระฆังดังหมดเวลา แต่เวลายังเหลืออีกหนึ่งชั่วโมง เธอกับฟินน์จึงหาหนังสือในห้องสมุดอ่าน เธอวางมือลงบนแท่นวางเพื่อค้นหาหนังสือเกี่ยวพวกสมุนไพร เพราะคาบต่อไปคือวิชาปรุงยา...
.......................................................................................................................................................................................
เผื่อใครยังไม่เข้าใจหนังสือที่ทไวล่าหยิบ
ทไวล่าหยิบหนังสือออกมาแล้วเห็นว่าบนชั้นมียังหนังสือเล่มแบบเดิมอยู่(เล่มเดียว)และในมือก็มีหนังสืออยู่ เธอหยิบออกมาอีกก็ได้หนังสือไว้ในมือสองเล่ม ส่วนบนชั้นยังมีหนึ่งเล่มเหมือนเดิม(เพราะหนังสือแบบเดียวกันมีซ้ำ/ยังไม่หมด) เธอหยิบจนมันหมด บนชั้นเลยมีภาพหนังสือเล่มนั้นลางๆ หากมีใครหาหนังสือแบบนั้นอีกเขาก็จะเห็นว่ามันถูกคนอื่นหยิบไปหมดแล้ว(ทไวล่าหยิบคนเดียวหมด) และเขาก็จะได้แน่ใจว่าไม่ได้หาหนังสือไม่เจอ(คิดว่าหาผิดหมวด) ส่วนคนที่ใช้หนังสือเสร็จแล้วก็คืนหนังสือได้ที่เดิมเป๊ะๆ(ถูกหมวดหมู่และอักษร)เพราะมีภาพหนังสือให้เห็น^^
อ่านแล้วแสดงความคิดเห็นได้เลยค่ะ ติชมได้นะจะได้ปรับปรุง
ความคิดเห็น