ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    High School Vampire โรงเรียนมัธยมแวมไพร์

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 31 มี.ค. 60


      ภายใต้ท้องฟ้าสีดำยามรัตติกาลเต็มไปด้วยมวลเมฆหนาปกคลุม แสงจันทร์ที่เลือนหายไปราวกับเมฆกลืนกินจนความสวยงามของดวงดาวถูกบดบัง ทำให้บรรยากาศรอบปราสาทใหญ่เก่าแก่เบื้องล่างที่ดูร้างเพราะไร้ผู้คนมานานน่าหดหู่เพิ่มมากขึ้น บริเวณนี้ไม่มีแสงสว่างอื่นใดเหลืออยู่นอกจากแสงตะเกียงบนรถม้าคันหนึ่ง ซึ่งถูกขับโดยชายคนวัยกลางคน สวมเสื้อคล้ายเหล่าทหารองค์รักษ์สีดำ ไว้หนวดเคราที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวแค่เล็กน้อย เขากำลังควบม้าให้ไปตามทาง ภายในรถม้ามีหญิงสาววัยสิบหกคนนึงนามว่า'เวียร์'นั่งอยู่ เส้นผมสีแสดแดงปะทะเข้ากับลมพริ้วไสวคล้ายเปลวเพลิง เธอใช้มือข้างนึงจับผ้าม่าน ดวงสีฟ้าคู่สวยจับจองสิ่งต่างๆนอกหน้าต่างรถม้า ที่ลอยอยู่ในอากาศและเคลื่อนผ่านสถานที่แปลกใหม่มาตลอดทาง หญิงสาวมองดูวิวทิวทัศน์เบื้องล่าง ทะเลสีดำสนิทยามกลางคืนชวนให้บรรยากาศเงียบงัน เธอนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้


    ในหมู่บ้านของเธอนั้น...ที่โลกมนุษย์ มีโรงเรียนคล้ายโรงเรียนนานาชาติชื่อดังแห่งหนึ่งตั้งอยู่ โรงเรียนนั้นเป็นที่ลือกันว่า ใครก็ตามที่เข้าไปได้จะต้องเป็นบุคคลที่มีสิ่งพิเศษมากพอที่โรงเรียนนั้นจะรับเข้าโดยไม่มีการสอบหรือการใช้จ่ายใดๆ ที่นั่นจะมองหาคนที่สามารถให้ทุนการศึกษาได้ทุกปี ด้วยคุณสมบัติประการใดก็ตามแต่ไม่เคยมีใครทราบ เล่นเอาชาวบ้านคิดขึ้นเองตั้งหลายรอบ กระทั่งเพื่อนที่เรียนเก่งที่สุดในโรงเรียนเธอยังไม่สามารถสอบเข้าได้เลย ไม่ใช่ยังเก่งไม่พอนะ แต่ไม่มีการสอบเข้า  แม้แต่คนร่ำรวยมากมายก็ไม่สามารถเข้าได้ ไม่ว่าจะเป็นการฝากหรือจ่ายเงินก้อนใหญ่ชนิดที่เลี้ยงคนในหมู่บ้านได้ทั้งปีก็ตาม  ยังมีข่าวลืออีกว่าที่นั้นไม่ค่อยให้นักเรียนออกจากโรงเรียนแถมนานๆครั้งจะมีคนใหม่เข้าไป มีช่วงนึงที่คนในหมู่บ้านเริ่มสงสัยจนเกือบคิดว่าพวกเขาถูกฆ่าหรือหายตัวไปถ้าไม่ใช่เพราะเวลาเทศกาลสำคัญพวกเขาก็ออกมาอย่างปลอดภัย แถมยังดูมีออร่าตลอดเวลาไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนๆคนรอบข้างก็รู้สึกว่าพวกเขามาจากคนละโลกเลยทีเดียว ใครที่เดินผ่านไปเป็นอันต้องหันกลับมามอง  ทำให้เกิดข่าวลือใหม่ขึ้นมาแทนคือใครก็ตามที่เข้าไปเรียนที่นั่นจะสามารถออกจากโรงเรียนได้เฉพาะช่วงเทศกาลวันสำคัญหรือปิดเทอมเท่านั้นยั่งกับโรงเรียนประจำ

    และจึงไม่แปลกเมื่อเพื่อนบ้านรู้ว่าเธอได้รับทุนแล้วพาลอิจฉา เพราะเชื่อว่าหากเธอเข้าไปเรียนที่นั่นแล้วกลับออกมา เธอต้องเปลี่ยนไปมากแน่ๆ ต้องสง่า เป็นสตรีมีความสามารถ ที่สำคัญมันคงไม่ยุติธรรมถ้าคนที่ไปเรียนที่นั่นเป็นคนที่หน้าตาดี และเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น  ไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วเธอเพิ่งจะออกจากบ้าน หลังจากที่พ่อแม่ร่วมแสดงความดีใจกับเธอ 

    เนื่องจากสถานที่ที่ว่าตั้งอยู่บนเนินเขาห่างจากหมู่บ้านจึงต้องใช้เวลาเดินทางพอสมควร ผ่านมายี่สิบนาทีเธอก็พบกับรั้วสูงสีทองแวววับไร้สนิมเกาะ มันเปิดขึ้นเองโดยกลไกอัตโนมัติ มีทางเดินคั้นกลางระหว่างแนวต้นไม้สองข้าง สังเกตจากดอกไม้ที่ออกดอกหลากสีสันและใบไม้ที่ร่วงจากต้นถูกกวาดไปรวมเป็นกองเสียส่วนใหญ่แปลว่าสถานที่นี้ได้รับการดูแลอย่างดี เธอเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเมื่อเห็นว่าเส้นทางที่เธอเดินทอดยาวไปไกล  ไม่นานบริเวณรอบๆเต็มไปด้วยนักเรียนของที่นี่ บางคนยืนใต้ร่มไม้ บ้างก็จับกลุ่มคุยบนโต๊ะเก้าอี้หินอ่อน ทว่าที่น่าแปลกคือไม่มีสักคนหันมามองเธอ หรือคนที่นี่เห็นว่าเป็นเรื่องปกติ หรือพวกเขาไม่สนใจคนไร้ฐานะดีๆแบบเธอกัน เธอเริ่มคิดแล้วว่าคนที่นี่อาจหยิ่งยโส

    ในที่สุดเธอก็ถึงหน้าประตูของสิ่งที่อาจเรียกว่าปราสาท?จากการก่อสร้างทำให้มันเป็นเช่นนั้น เธอเคาะประตูบานใหญ่ จู่ๆก็มีแสงสีขาวส่องจ้า ตาของเธอถูกปิดลงเนื่องด้วยไม่สามารถทนความสว่างที่มากเกินไป ชั่วพริบตาเธอก็พบว่าตนเองนั่งอยู่บนรถม้าคันนี้เสียแล้ว


    "ขอโทษนะค่ะ...คุณคือ?" เวียร์โชงกหัวออกจากหน้าต่างเพื่อมองคนขับรถม้า เส้นสีแสดแดงของเธอประทะเข้ากับกับสายลม ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเส้นผมสะบัดเข้าตา

    "คนขับรถม้าประจำโรงเรียนนี้ชายขับรถรถม้าอายุราวสามต้นๆกล่าวอย่างอารมณ์ดี หากแต่ดวงตาซ้ายของเขาถูกปิดด้วยที่ปิดตาและผิวขาวซีดคล้ายศพนั้นน่ากลัว เวียร์นั่งลงตามที่เขาพูด คิดไปเองว่าอาจเพราะเขาเป็นคนขาวแต่กำเนิดหรือผิดปกติทางพันธุกรรม

    "นั่งดีๆล่ะ!" เขาบอก ก่อนจะตวัดเชือกทีนึง รถม้ามุ่งลงสู่พื้นเบื้องล่างด้วยความเร็ว หญิงสาวใช้มือจับที่นั่งไว้เพราะกลัวว่าจะหล่นจากที่นั่ง

    เบื้องล่างคือปราสาทสูงใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนทะเลแต่ไม่ห่างชายฝั่งมากนัก รถม้าลงจอดได้อย่างสวยงามตรงหน้าสะพานแห่งหนึ่ง ประตูรถม้าถูกเปิดโดยชายคนขับ เธอก้าวลงมาเหยียบบนพื้นดิน ก่อนที่จะเห็นว่าสะพานยาวตรงหน้าใช้ข้ามไปยังปราสาทที่ตั้งระทึกออกไปทางทะเล เวียร์หันกลับไปเพื่อกล่าวขอบคุณชายผู้นั้น ยังไม่ทันได้ปริปากชายคนนั้นก็หายไปพร้อมรถม้าเสียแล้ว ไม่มีกระทั่งเสียงหรือร่องรอยใดๆปรากฎเลย 

    บริเวณที่ค่อนข้างมืดสร้างบรรยากาศให้ขวัญผวาได้ง่าย เหมือนได้หลุดเข้ามาในภาพยนตร์แนวพ่อมดหรือมากกว่านั้น...สยองขวัญ ขณะที่กำลังรวบรวมความกล้าเพื่อไปยังที่หมายเป็นจังหวะเดียวกับที่ฟ้าผ่า ฝนเริ่มตกลงมา ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่มีทางเลือกให้กลับอยู่ดี 

    เธอเริ่มรู้สึกวังเวง แต่ก็ยังก้าวต่อไปโดยไม่จำเป็นหยิกตัวเองหรือพยายามปลุกตนเองให้ตื่น เพราะรู้ว่ามันเป็นความจริงและยังมีสติ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน ฝนเริ่มตกหนักขึ้นเธอจึงใช้มือขึ้นมาบังศรีษะและเร่งความเร็วให้กับฝีเท้า แต่ไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง เวียร์รู้สึกถึงความผิดปกติ ไม่มีฝนหยดลงมาโดนตัวเลย เมื่อมองขึ้นไปด้านบนก็พบว่าสะพานนี้มีหลังคา มันค่อยๆเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้นเหมือนถูกผู้วิเศษมาร่ายมนต์และสร้างสรรค์ให้มีเสาหลายต้นเชื่อมกับหลังคาบนสะพาน เธอเดินต่ออย่างรีบเร่งแม้ว่าเธอจะไม่เปียกฝนแล้วก็ตาม บางสิ่งเรียกร้องให้เธอตามไป เหมือนมีคนในปราสาทรอคอยเธออยู่ทำให้เธอไม่อาจจะหยุดเพื่อคิดได้

    เวียร์เคาะประตูบานใหญ่ตรงหน้า  ตรวจสอบเสื้อผ้าและความเรียบร้อย เธอคิดถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่บนสะพาน ก่อนเงยหน้าขึ้นมองประตูที่เปิดออกเอง ด้านหลังประตูไม่มีใครอยู่เลย 'คงกำลังยุ่งอยู่ล่ะมั้ง ไม่ก็คงเป็นประตูอัตโนมัติ' เธอคิดปลอบตนเองโดยหาคำมาที่น่าจะมีเหตุผล แต่ก็ไม่อาจอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นบนสะพานได้อยู่ดี

    ภายในตัวปราสาทและทุกอย่างมืดไปหมด บรรยากาศตอนนี้ทำให้คิดในแง่ร้ายได้ง่าย เธอระแวงไปเสียหมดราวกับจะมีคนหลอกเธอมาเพื่อฆ่าเสียอย่างงั้น ลมจากภายนอกผ่านเข้ามาจนหลังของเธอสัมผัสได้ แข็ก! เสียงล็อคประตู แม้จะเบาแต่ดังพอจะเรียกความสนใจได้ ประตูถูกปิดแล้ว เป็นอีกครั้งที่มีผู้เล่นกลทำให้แสงไฟบนเชิงเทียนที่วางบนโต๊ะขวามือเธอสว่างขึ้นเอง เธอเริ่มขนลุก

    "สวัสดีค่ะ...มีใครอยู่ไหม" เสียงของเธอดั่งไปรอบห้องกว้าง เธอหยิบเชิงเทียนบนโต๊ะข้างขวามือขึ้นมาเพื่อส่องดูว่ามีช่องลับและกับดักใดๆหรือไม่

    "มีสิ!..." น้ำเสียงนึงตอบรับ ดีที่เสียงนั้นพูดขึ้นต่อเธอจึงยังไม่ร้องลั่นเพราะจำเป็นต้องฟัง "เดินไปจนสุดปราสาท ห้องทางซ้ายมือประตูสีแดงน่ะ"

    "ไม่ต้องกลัวน้าา " คำสุดท้ายเอ่ยขึ้นเหมือนคนกำลังขำราวกับจะหยอกล้อ "เพราะเธอก็คือพวกเรานั้นแหละ...เอ้า! รีบๆเดินสิ" เวียร์ทำตามที่เสียงนั้นบอกแม้ว่าใจจะไม่อยากก็ตาม

    ในที่สุดเธอก็มาถึงห้องที่อยู่ท้ายสุดในปราสาทแถมใช้เวลาไม่นาน เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพาตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรรู้ตัวอีกทีเธอผ่านทางแยกและทางลับต่างๆมาได้เสียแล้ว โดยทุกๆครั้งที่เธอเดินมาถึงทางแยกที่มีประตูหลายบานให้เลือก จะมีประตูบานนึงเปิดขึ้นเองโดยเธอไม่จำเป็นเสี่ยงเปิดประตูสักบาน

    เป๊าะ! เสียงดีดนิ้วมือดังขึ้นหนึ่งครั้ง แสงไฟทั้งห้องสว่างขึ้นพร้อมกันในทันใด เสียงส้นสูงกระทบพื้นค่อนข้างได้ยินชัดเพราะบริเวณนี้เงียบมาก เธอกวาดสายตาเพื่อหาคนในห้อง


    "เวียร์...ใช่ไหม?"

    เธอสะดุ้งเล็กน้อย หันไปเจอหญิงคนนึงที่อยู่ด้านหลัง หญิงคนนี้อายุราวสามสิบสี่สามสิบห้าปี ยิ้มเล็กน้อยให้เธอด้วยริมปากสีม่วงเข้มบนใบหน้าขาวซีด ดวงตาสีหม่นเทามองมาที่เธอด้วยความเป็นมิตรไร้เลศนัย ซึ่งเธอคิดว่าขัดกับสไตล์การแต่งตัวซักหน่อย หญิงคนนี้แต่งตัวด้วยชุดแขนยาวลูกไม้สีแดงกระโปรงยาวจรดพื้น ดูช่างคล้ายแม่มดหรือ...แวมไพร์นัก หญิงคนนั้นเดินมาอยู่ตรงหน้าเธอ...หล่อนอยู่ข้างหลังเธอตอนไหน!

    "อะไรนะค่ะ" เธอไม่ได้ยินที่คนตรงหน้าพูดเมื่อครู่ราวกับดูสะกดไว้ชั่วคราว  คนตรงหน้ายังมีสีหน้าคงเดิมไม่ได้เปลี่ยนไป ยังคงปรากฎรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วถามด้วยคำถามอื่นแทน

    "เธอเป็นนักเรียนที่ได้รับทุนใช่ไหม?" หญิงตรงหน้าเดินนำเธอมาที่เก้าอี้รับแขกค่อนข้างโบราณ 

    "เธออายุสิบหกปี?" หญิงคนนี้ถามขึ้นอีก เวียร์ยังไม่ทันได้ตอบคำถามเพราะเธอคิดว่าหญิงคนนี้ถามเพื่อความแน่ใจมากกว่า ราวกับให้เธอรอฟังหากผิดพลาดก็ให้บอก 

    "เธอมีพ่อแม่บุญธรรม?" เธอพยักหน้า เธอไม่แปลกใจที่คนตรงหน้ารู้เรื่องของเธอ อาจเพราะที่นี่มีประวัติส่วนตัวเธอแล้ว เธอนั่งลงตามบนเก้าอี้ค่อนข้างเก่าตัวนึงโดยมีหญิงตรงหน้านั่งลงก่อนแล้วบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

    "เป็นลูกคนเดียว...อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์" เธอเกือบจะตอบว่าใช่ หากไม่ได้ยินคำข้างหลังที่ทำให้เธอนิ่งไปชั่วครู่ หญิงตรงหน้าพึมพำอะไรสักอย่างก่อนจะบอกเธอว่า

    "เธอเป็นแวมไพร์" หา? คิ้วเธอเลิกขึ้นสูง  

    "อะไรนะค่ะ?"

    เสียงเปิดประตูดังขึ้นคล้ายถูกเปิดโดยไว คนในห้องจึงหันไปมอง ผู้มาเยือนเป็นหญิงสาวอายุราวๆสิบหกปีเท่าเธอ เส้นผมบลอนด์เป็นลอนเกลียว ดวงตาสวยสีแดงที่เห็นแล้วนึกถึงทับทิมมองมาทางบุคคลทั้งสอง

    "มาแล้วเหรอ" หญิงวัยสามสิบต้นๆเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ ผ่อนคลาย ต่างจากสาวผมบลอนด์ที่เริ่มขมวดคิ้ว พร้อมก้าวเท้าเดินมานั่งลงบนเก้าอี้รับแขกอีกตัว

    "จดหมายนี้หมายความว่าอะไรค่ะ?" สาวผมบลอนด์หยิบจดหมายขึ้นมาให้ดู เมื่อสัปดาห์ก่อนมีจดหมายส่งมาถึงเธอ โดยไม่ระบุชื่อที่อยู่ มีแค่ข้อความอธิบายเกี่ยวกับครอบครัวของเธอพร้อมสายเลือดแวมไพร์ หญิงสาวอ่านแค่สองบรรทัดก่อนโยนมันทิ้งลงถังขยะเพราะคิดว่ามีคนส่งมาแกล้งเธอ ไม่ก็พวกที่หลอกให้เธอออกไปยังที่อันตรายแล้วจับเธอไปเรียกค่าไถ่ล่ะมั้ง ยิ่งบ้านเธอมีฐานะดีซะด้วย แต่วันถัดมาเธอกลับพบจดหมายอยู่ในตู้เสื้อผ้า และทุกๆครั้งที่พยายามกำจัดจดหมายจะปรากฎในวันถัดมาแทนในชั้นรองเท้า โต๊ะหนังสือ จนล่าสุดคือใต้หมอน เธอจึงต้องยอมอ่านจดหมายและเดินทางมาที่นี่ตามที่จดหมายบอก

    "เธอเป็นแวมไพร์ พ่อเธอเขาไม่บอกเรื่องนี้คงเป็นเหตุผลของเขา...เธอรู้ไหมว่าที่พ่อแม่เธอเอาแต่ทำงานไม่กลับบ้านแท้จริงแล้วเวลาครึ่งนึงนั้นพ่อเธอใช้มันในการปกครอง..."

    "ปกครอง!?"

    "ปกครองเมืองออราเฟีย เขาเป็นราชา"

    "เป็นไปไม่ได้ งั้นที่นี่ที่ไหนล่ะ?" สาวผมบลอนด์เริ่มใจร้อน

    "โลกเวทยมนตร์ พ่อของเธอตอนนี้เขาอยู่ที่เมืองออราเฟีย"

    "แล้วเหตุผลอะไรที่เขาต้องปิดบังฉันล่ะ ทำไมเขาไม่บอกฉัน" แววตาสาวผมบลอนด์สั่นไหว เธอจะทำยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้นดี มันเต็มไปด้วยความสงสัย ฉันจะเชื่อเรื่องนี้ได้ยังไง มีเหตุผลอะไรที่ต้องปิดบัง แล้วทำไมเพิ่งบอก

    "ที่เขาปิดบังเรื่องที่เธอเป็นแวมไพร์คงเพราะเหตุผลบางอย่างและเพื่อความปลอดภัยของเธอเขาจึงต้องการให้เธออยู่ที่โลกมนุษย์ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาต้องการคือให้เธอเรียนรู้สิ่งที่แวมไพร์ควรรู้" สาวผมบลอนด์ดูยังไม่เชื่อเรื่องที่ได้ฟังแม้แต่น้อย ทว่าสายตาของคนพูดดูเหมือนว่าจะไม่ได้ล้อเล่น ดูไร้การโกหก และมองมาทางเธออย่างจริงจังแต่ไม่ได้ใช้สายตาข่มขู่หรือในเชิงบีบบังคับ เธอคิด โดยที่ไม่รู้เลยว่าเวียร์เองก็คิดเช่นนั้น

    ในเมื่อไม่รู้ว่าความจริงเป็นยังไงก็ต้องถามพ่อฉันสินะ...แต่ปกติพ่อกลับบ้านปีละครั้งได้ ครั้งนึงแค่อาทิตย์เดียว งั้นต้องรออีกนานเลยสิ...งั้นฉันต้องเรียนที่นี่สินะ! 

    "เรื่องที่เธอเป็นเจ้าหญิงควรปิดบังไว้ วิชาเกี่ยวกับการปกครองฉันจะคอยช่วยเพราะสักวันเธออาจปกครองออราเฟียต่อจากพ่อเธอ...ไม่ใช่เธอคนเดียวที่มีปัญหาเรื่องนี้แต่ยังมีอีกคน พวกเธอบางคนอาจถูกลบความทรงจำไปก็ได้ ตอนนี้สิ่งที่พวกเธอทำได้คือเรียนรู้สิ่งที่พวกเธอควรรู้" เหมือนสาวผมบลอนด์จะไม่ได้สังเกต เธอเพิ่งหันมามองเวียร์

    "ส่วนเวียร์เรื่องที่เธอได้รับทุน แท้จริงแล้วข่าวลือที่หมู่บ้านเรื่องคุณสมบัติที่สามารถเข้าโรงเรียนนี้ได้ก็คือสายเลือดแวมไพร์ โรงเรียนที่เธอเห็นในโลกมนุษย์ก็แค่ภาพลวงตาที่สร้างขึ้น มันคือประตูมิติที่เชื่อมต่อมายังที่นี่" ไม่น่าถึงไม่มีใครเข้าเรียนที่นี่ได้ เพราะพวกเขาเป็นมนุษย์นี่เอง ส่วนเรื่องที่ไม่มีใครหันมามองเราเลยเพราะพวกเขาไม่ใช่คน...แวมไพร์จริงๆ เวียร์คิด

    "ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ พวกเธอคือนักเรียนของที่นี่ ส่วนฉันคืออาจารย์ฟานาเรีย 'เวียร์'หากใครถามเธอให้เธอบอกว่าเธอมาจากเมืองวิสทีเรีย เอาล่ะ!...นี่ก็ดึกแล้ว ฉันจะส่งเธอสองคนไปที่ห้องพักในหอพักนักเรียนหญิง มีนักเรียนใหม่อีกสามคนที่อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์เช่นเดียวกับพวกเธอรออยู่ก่อนแล้ว  โชคดี!" สิ้นเสียงของหญิงคนนี้ ก็มีเสียงสีทองปรากฎเป็นเส้นวงกลมล้อมพื้นที่ที่นักเรียนทั้งสองนั่งอยู่


    ทั้งสองปรากฎตัวในห้องพักนักเรียนซึ่งมีหญิงสาวสามคนอยู่ในห้องก่อนแล้ว ทั้งหมดหันมองกันก่อนที่ใครคนนึงจะเริ่มทักทายก่อน

    "ฉันชื่อทไวล่า ฉันเป็นลูกครึ่ง แม่ฉันแวมไพร์ ส่วนพ่อฉันเป็นมนุษย์ " หญิงสาวคนนี้นั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือมุมนึงของห้อง เธอเอ่ยก่อนส่งยิ้มอย่างเป็นมิตร ตาสีฟ้าแกมเขียวเหมือนน้ำทะเลกับเส้นผมสีฟ้าทำให้ดูไม่เหมือนแวมไพร์เท่าไหร่

    "ชื่อคล้ายฉันนะ ฉันทไวไลท์ น่าจะแวมไพร์ร้อยเปอร์เซ็นต์...เพิ่งรู้เรื่องตัวเองน่ะ" หญิงสาวผมบลอนด์เป็นลอนเกลียว ดวงตาสีแดงดั่งทับทิมกล่าว 

    "ฉันเซริส เป็นลูกครึ่ง พ่อเป็นแวมไพร์ แม่เป็นมนุษย์ " สาวเส้นผมสีดำขลับดุจปีกกา ดวงตาสีแดงคล้ายเลือดบอก ก่อนจะเดินจากฝั่งหน้าต่างไปนั่งบนโซฟาที่ตั้งอยู่กลางห้อง ส่วนตัวเวียร์คิดว่าเธอเหมือนแวมไพร์ที่สุดแม้จะบอกว่าเป็นลูกครึ่งก็ตาม

    "ฉันมารูน พ่อเป็นแวมไพร์ แม่เป็นแม่มดน่ะ ครอบครัวฉันอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์โดยไม่ให้ใครรู้ ฉันเรียนเรื่องรู้แม่มดมาตลอด ตอนนี้ก็จะเริ่มเรียนส่วนของแวมไพร์" สาวผิวคล้ำคนเดียวในห้องนี้บอก เธอมีผมสีขาวเช่นเดียวกับหิมะ ดวงตาเหมือนอความารีนสีฟ้าเข้ม

    "ฉันเวียร์ ฉันอยู่กับพ่อแม่บุญธรรมเลยไม่รู้ว่าสายเลือดแวมไพร์เป็นมายังไง" เวียร์กล่าว

    "ดูเหมือนเธอสองคน...ทไวไลท์กับเวียร์เพิ่งจะรู้สายเลือดตัวเองนะ" มารูนพูดขึ้น

    "ฉันไม่รู้เหตุผลพ่อของฉันเลย เขาปิดบังเรื่องสายเลือดกับฉัน" ทไวไลท์บอกพลางเอามือกอดอก เธอคุยกับพ่อมากกว่าแม่เสียด้วย

    "อาจารย์ฟานาเรียบอกว่า เราอาจถูกลบความทรงจำ ฉันอยู่ที่สถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้ามาก่อนพอสามขวบพ่อแม่ก็มารับไปเลี้ยง" เวียร์บอกบ้าง

    "แค่สามขวบไม่น่าจำอะไรได้อยู่แล้วนี่ อาจารย์ฟานาเรียหมายความว่ายังไงกันนะ" ทไวไลท์กล่าว 

    โครม! เสียงฟ้าร้องตามด้วยเสียงฝนตกหนักเทลงมา เสียงลมกระทบหน้าต่างทำให้ทไวล่าที่ยืนใกล้หน้าต่างเอื่อมมือไปปิดให้แน่นกว่าเดิม

    "ไม่ต้องห่วงยังมีเวลาอีกเยอะ เป้าหมายแรกคือต้องปรับตัวเข้ากับที่นี่ก่อน" ทไวล่าบอก 

    "ตอนนี้สี่ทุ่มแล้ว เราน่าจะเข้านอนได้แล้ว แบบว่า...จำได้ว่าที่โลกเพิ่งบ่ายสองเอง ตอนนี้น่าจะบ่ายสาม" เซริสพูดขึ้นบ้าง 

    "ห้องนี้แยกไปเป็นสามห้องนะ จับคู่กันนอนเถอะ ฉันจะอยู่คนเดียวเอง" มารูนบอก ห้องที่พวกเธออยู่เป็นห้องกลางมีโซฟาใช้นั่งเล่นอยู่กลางห้อง ชั้นหนังสือ หรือโต๊ะที่ใช้เขียนหนังสือ ตรงผนังด้านนึงมีประตูแยกออกไปเป็นสามห้อง ใช้เป็นห้องนอน ห้องนึงมีสองเตียง

    "ฉันคู่กับเวียร์แล้วกัน" ทไวไลท์เดินนำไปยังห้องที่อยู่ซ้ายสุด

    "ไปกันเซริส" ทไวล่ากล่าวก่อนจะเดินไปพร้อมกับเซริส ไปยังห้องตรงกลาง

    "ราตรีสวัสดิ์" มารูนเอ่ยก่อนจะเข้าห้องสุดท้ายทางขวาสุด

    "ราตรีสวัสดิ์" เสียงคนอื่นๆตามมาเกือบจะพร้อมกันทั้งหมด

    เปรี้ยง! เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ทำไมอากาศถึงแตกต่างจากบนโลกนักนะ






     





     เรื่องนี้
    รีไรท์ใหม่แล้วนะค่ะ หากอ่านแล้วไม่ชอบขออภัยด้วย มีอะไรที่อยากให้แก้ไขบอกได้ค่ะ คอมเม้นหรือติชมได้ค่ะ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×