คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ตอนที่ 4.2 หนี
ตอนที่ 4.2
“อย่าจ้องแบบนั้นสิครับ คุณย่ากำลังทำให้เด็กๆ กลัวนะ ผมว่าคุณย่ากลับไปก่อนดีกว่า แล้วผมจะไปหาที่บ้านเอง” ธันยธรตัดบทอย่างเกรงใจหญิงสาว เพราะเธอกับลูกไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย
“นี่ตกลงว่าแกมีลูกมีเมียแล้วจริงๆ เหรอตาแทน เด็กสองคนนี่หน้าตาเหมือนแกยังกับแกะ ทั้งหู ตา จมูก ปาก เหมือนไปหมด เหมือนไปยันกระทั่งสีผิว นี่แกแอบไปมีลูกมีเมียตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” คุณหญิงวรางคณาถามอย่างคิดไม่ถึง
“เอ่อ คือไม่ใช่นะคะ” คีตภัทรรีบปฏิเสธแม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม
“ไม่ใช่อะไร นี่เธอตั้งใจจะจับหลานชายฉันใช่ไหม” คุณหญิงหันไปมองหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าด้วยสายตาเหยียดหยัน เธอเดาว่าอีกฝ่ายคงเป็นผู้หญิงจนๆ ที่มายั่วให้หลานชายของเธอหลงใหล แต่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่มีอะไรที่คู่ควรกับตำแหน่งหลานสะใภ้ของเธอเลย แต่เด็กแฝดสองคนนี่หน้าตาน่าเอ็นดู แถมยังมีสายเลือดของหลานชายเธออยู่ เธอเองก็ไม่ใช่คนใจจืดใจดำ จึงหาทางแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
“เอาอย่างนี้ เธอน่ะคงรู้ตัวใช่ไหมว่ายังไงฉันก็ไม่มีวันยอมให้เธอแต่งงานกับหลานชายฉันแน่ๆ เธอเองก็ยังสาวยังสวย เพราะฉะนั้นฉันจะให้เงินเธอไปตั้งตัวก้อนหนึ่ง ส่วนเด็กสองคนนี่ก็ส่งมาให้ฉัน แล้วฉันจะเลี้ยงให้เอง”
“คุณย่า...” ชายหนุ่มปรามเสียงแข็งเมื่อเรื่องชักจะไปกันใหญ่
“ไม่มีทาง ฉันไม่มีวันยอมยกลูกให้พวกคุณเด็ดขาด” คีตภัทรปฏิเสธเสียงดังโดยไม่ต้องคิด ก่อนจะรีบจูงเด็กๆ เดินหนีออกมาทันที
นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมย่าเขาถึงได้พูดแบบนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่มีวันยอมยกลูกให้คนอื่นเด็ดขาด
ธันยธรมองตามหญิงสาวที่เข้าใจผิดไปอย่างร้อนใจ ก่อนจะหันกลับมามองย่าด้วยสายตาตำหนิ แล้วรีบวิ่งตามคีตภัทรไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจเสียงเรียกของย่าที่ดังอยู่ข้างหลัง เขาต้องขอโทษเธอแทนย่าก็เรื่องหนึ่ง แต่ที่สำคัญคือเขายังไม่รู้เลยว่าเด็กสองคนนั้นเป็นลูกของเขาหรือเปล่า
คีตภัทรจ้ำเท้าหนีด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ขาสั้นๆ ของเด็กก็ทำให้เธอไปได้ช้ากว่าที่คิดไว้ เธอจึงอุ้มลูกทั้งสองคนขึ้นมา ทั้งที่ตอนนี้ฝาแฝดหนักเกินคนละสิบกิโลกรัมไปแล้ว เธอไม่น่าพาลูกมาเดินเล่นที่นี่เลย ถ้าหลังจากฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลเสร็จเธอพาลูกกลับบ้านทันที ก็คงไม่ต้องมาเจอกับชายหนุ่มที่นี่ หญิงสาวเร่งฝีเท้าขึ้นอีกเมื่อคิดถึงว่าย่าของเขาตั้งใจจะพรากลูกไปจากเธอ ก่อนจะหันขวับกลับไปมองเมื่อถูกใครบางคนคว้าแขนเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนครับ อย่าเพิ่งไป ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณก่อน”
“เรื่องอะไรคะ เราสองคนไม่มีเรื่องอะไรต้องคุยกันเสียหน่อย” หญิงสาวตอบพลางจะเดินหนีแต่ลูกสาวของเธอกลับประสานเสียงกันขึ้น
“หม้ำหม่ำ...หม้ำหม่ำ...”
“เด็กๆ หิวแล้ว ผมว่าเราพาแกไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า” ชายหนุ่มเสนอพลางมองหาร้านที่เหมาะๆ
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันจะพาลูกกลับไปกินที่บ้าน” คีตภัทรบอกปัดแต่เด็กๆ กลับไม่ให้ความร่วมมือกับแม่เลย เพราะช่วยกันตะโกนสุดเสียงจนคนอื่นๆ หันมามองกันหมด
“คุณกลัวที่จะคุยกับผมเหรอ ท่าทางคุณเหมือนมีอะไรปิดบังผมอยู่นะ” เขาถามอย่างชักสงสัยมากขึ้นทุกที
“เปล่านะคะ ทำไมฉันต้องมีอะไรปิดบังคุณด้วย เราไม่ได้เป็นอะไรกันเสียหน่อย”
“งั้นก็พาเด็กๆ ไปหาอะไรกินกันเถอะ ผมรับรองว่าจะไม่รบกวนเวลาของคุณนานหรอก”
คีตภัทรสบตาชายหนุ่มอย่างชั่งใจ ถ้าเธอปฏิเสธก็จะดูน่าสงสัยขึ้นไปอีก ยอมไปคุยกับเขาให้จบๆ ไปเลยดีกว่า
ธันยธรป้อนไก่ทอดชิ้นเล็กๆ เข้าปากเด็กหญิงคนหนึ่งที่เขาแยกไม่ออกแล้วว่าคนไหนชื่ออะไร ตั้งแต่อาหารมาวางที่โต๊ะเขาก็เสนอตัวที่จะช่วยป้อน เมื่อเห็นว่าคนเป็นแม่ป้อนไม่ทันใจลูกๆ ทั้งสองคน และทำเป็นไม่สนใจคำปฏิเสธของเธอ ระหว่างนั้นก็คอยสังเกตเด็กๆ ไปด้วย เพราะไม่แน่ใจว่าฝาแฝดหน้าเหมือนเขาจริงหรือเปล่า
“อร่อยไหมคะ” ชายหนุ่มถามหนูน้อยที่เคี้ยวตุ้ยๆ อยู่ ก่อนจะยิ้มเมื่อสองแฝดรับคำว่า ค่ะ ขึ้นพร้อมกัน เสียงใสๆ นั้นทำให้เขารีบถามต่ออย่างเอาใจ “อยากดื่มน้ำส้มกันไหมคะ”
“ค่ะ” เสียงเล็กๆ ตอบขึ้นพร้อมกันอีก
“ไม่ต้องค่ะ” คีตภัทรรีบห้ามก่อนที่ชายหนุ่มจะเรียกบริกรมา “แกพูดได้แค่นี้แหละค่ะ คุณถามอะไรแกก็ตอบค่ะหมดแหละ อีกอย่างพวกแกไม่ชอบกินส้มด้วย”
“เหมือนผมเลย ผมก็ไม่ชอบกินส้ม ไม่ชอบทั้งรสทั้งกลิ่น แต่เดาเอาว่าเด็กน่าจะชอบ”
หญิงสาวไม่มีเวลามานั่งพิศวงว่าพ่อลูกเหมือนกันไม่มีผิด เพราะชายหนุ่มสบตาเธอเหมือนจะค้นหาอะไรบางอย่าง ทำให้เธอต้องรีบหลบตาเขาและนึกโมโหตัวเองที่เผลอหลุดปากเรื่องที่เกี่ยวกับลูกออกไป ก่อนจะสะดุ้งใจเต้นแรงจนสะท้านวาบไปทั้งตัว เมื่อได้ยินคำถามต่อมา
“ทิวลิปกับลิลลี่เป็นลูกของผมหรือเปล่าครับ”
ความคิดเห็น