ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Youvane Luu and Satuch Daivol

    ลำดับตอนที่ #5 : วันๆ บนโลกมนุษย์ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 63
      0
      16 ต.ค. 57

    วันๆ บนโลกมนุษย์

    1

                    “โลกมนุษย์... มิติเสื่อมโทรมนั้นหรือค่ะท่านพ่อ?” เสียงใสแหลมสูงของหญิงสาวนางหนึ่ง เธอผู้สวมชุดราตรีงดงามราวกับนางฟ้าสีฟ้าอ่อนๆ มีกระโปรงยาวสุ่มยาวจนลากพื้นบวกผสมกับการนั่งพับเพียบทำให้ทั้งเรือนผมสีทองคำขาวยาวสลวยและกระโปรงสุ่มเนื้อผ้าอย่างดีสีฟ้าอ่อนต้องลงไปคลุกอยู่บนพื้นหินอ่อนอย่างช่วยไม่ได้ ดวงตาสีอควาเองก็สะท้อนรูปหน้าของบุคคลผู้นั่งอยู่บนบันลังทองซึ้งสลักลวดลายอย่างวิจิตรงดงามกลางห้องโถงขนาดใหญ่

                หรือก็คือองพระมหาราชาแห่งอาณาจักรดรากอนนา

                “ใช้แล้วละโลกมนุษย์ ว่าแต่... มันเสื่อมโทรมตรงไหนฟระช่วยพูดให้มันดีๆ หน่อยเซ้ไอ้ลูกบ้า!” ชายผู้หนุ่มแค้เพียงรูปร่างภายนอกแต่อายุเข้าหลักพันเอ่ยด้วยความไม่พอใจแกมตักเตือนลูกสาวจอมแก่นผู้นั่งพับเพียบต่อหน้าตนแบบไม่เต็มใจนักเขาถึงกับเผลอลุกออกจากบันลังทองเลยทีเดียว แต่พอตั้งสติได้ว่าตนเองได้ทำเรื่องน่าอับอายลงไปเขาก็ได้กระแอมออกมาหนึ่งครั้งแล้วกลับไปนั่งที่บันลังทองต่อ

                หญิงสาวเบ้ปาก “ก็ที่นั้นไม่มีเวทมนตร์นิค่ะอะไรๆ ก็ใช้แต่สิ่งที่เรียกว่าเครื่องมือกลกันทั้งหมดลูกคิดว่ามันไม่สมบูรณ์ค่ะท่านพ่อ... อีกอย่างมีเรื่องอะไรจะพูดก็รีบๆ พูดมาเถอะค่ะลูกปวดขาแล้วก็เริ่มอึดอัดกับไอ้ชุดงี่เงาพันนี้แล้ว” พอได้โอกาสพูดหญิงสาวก็ใส่ซะพ่อของตัวเองหรือบริกิท ดรากอนนาเถียงไม่ออกถึงแม้เธอจะยิ้มหน้าระรื้นเพราะได้เอาคือก็เถอะ บริกิทกุมขมับตัวเองพลางพึมพำว่า “โอ้ลูกสาวฉัน... กู้ความเป็นกุลสตรีไม่กลับแล้วสินะ” ออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบาแล้วเขาก็เอ่ยกับลูกสาวต่อ

                “เรื่องที่พ่อจะพูดก็คือ...”

                “ท่านบริกิทค่ะมีแขกมาหาค่ะ” จู่ๆ หญิงสาวร่างเตี้ยก็เปิดประตูของห้องโถงขนาดใหญ่อย่างตื่นตระหนกตกใจราวกับเห็นผี รู้สึกว่าเธอจะฮอบนิดๆ ด้วย “บอกให้เขารอก่อนเดี๋ยวฉันขอเคลียกับเจ้าลูกเพี้ยนนี้ก่อนนะ” ทันทีที่ได้ยินคำนั้นหญิงสาวร่างเตี้ยก็ทำหน้าตกใจนิดๆ เชิงกลุ้มใจแล้วเธอก็โค้งให้บริกิทก่อนจะปิดประตูห้องโถงดวยความรีบร้อนแล้ววิ่งหายวับไป

                “หมายความว่ายังไงลูกเพี้ยนนะ!” หญิงสาวเจ้าตัวผู้ถูกเรียกสรรพนามคำว่าลูกเพี้ยนลุกขึ้นยืนชี้หน้าพ่อของตัวเองด้วยสีหน้าโมโห บริกิทมองลูกของตัวเองแล้วถอนหายใจ “ก็เพี้ยนจริงๆ นิ เอาเถอะพ่อจะขอพูดแบบแป๊บเดียวจบนะ”  เขามองหน้าลูกสาวด้วยกิริยาอมยิ้มนิดแล้วเอามือเท้าคางตัวเองกับบันลัง           

                “ก็อย่างที่พ่อได้ถามเจ้าไปว่ารู้จักโลกมนุษย์หรือป่าวซึ้งคำตอบที่พ่อได้รับมันชั่งกวนสิ้นดีแต่นั้นพ่อจะขอสรุปว่าลูกรู้จัก”

                “อันที่จริงลูกมั่วนะค่ะ... ไม่รู้จักสักนิด” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างเชิงกระโชกโหกหากทำให้บริกิทเริ่มหัวเสีย

                “งั้นฟังพ่อนะโลกมนุษย์นะไม่เสื่อมโทรมและไม่ใช้ว่าใช้แต่เครื่องจักรไม่มีเวทมนตร์ เวทมนตร์ที่โลกมนุษย์ก็มีนะแต่เป็นเป็นเวทมนตร์ที่มนุษย์ต้องทำสัญญากับมังกร มังกรก็พวกชั้นต่ำๆ ตกดินทั้งนั้นนั้นแหละนะลูก อีกอย่างน่ะนะ...”

                “น่ารำคาญน่าพ่อ... มีอะไรก็รีบๆ พูดมาเถอะลูกอยากเข้าห้องน้ำแล้ว!” ทันทีที่หญิงสาวพูดเช่นนั้นบริกิทถึงกับสลดนี้คือกิริยามารยาทอันพึงประสงค์ที่โดยปกติลูกจะต้องทำกับพ่อจริงๆ นะหรือ อยากจะรู้ว่าลูกคนนี้ติดนิสัยมาจากใครจริงๆ

                อันที่จริงก็ติดนิสัยจากบริกิทเองนะแหละ...

                หญิงสาวนั่งบิดตัวซ้ายทีขวาทีบางครั้งก็เอาขาถูๆ กันสงสัยเธอคงจะอยากเข้าห้องน้ำจริงๆ เพราะดูจากสีหน้าทุกทรมานของเธอซึ้งเริ่มจะทนไม่ไหวกับกิจธุระส่วนตัวที่เธอจะต้องรีบพึงทำก่อนที่มันจะไหลราดต่อหน้าทุกคนในห้องโถงซึ้งก็คือสถานที่ที่หญิงสาวอยู่ ณ ตอนนี้

                บริกิทมองหน้าลูกสาวแล้วจึงถอนหายใจออกมาพร้อมสีหน้าไม่ค่อยเต็มใจที่จะอนุญาตให้ลูกสาวมากเล่ห์เล่นเหลี่ยมหลายกลคนนี้เท่าไหร่นักพลางกวักมือไล้ “ไปๆ อยากไปในก็ไปพ่อขี้เกียจอธิบายให้เธอฟังแล้วว่าพ่อจะให้เธอไปทำอะไรที่โลกมนุษย์ไปอ่านคู้มือหนังสือคำสั่งเองซะไป๊!” สิ้นเสียงคำไล้ของบริกิทก็บังเกิดกระดาษขนาดเอสี่และหนังสือขนาดไม่ใหญ่มากเล็กมากขึ้นตรงหน้าของหญิงสาว เธอรีบใช้มือคว้ามันขึ้นมาอย่างไวแล้วยืนขึ้นอย่างกระฉับกระเฉงย่อตัวก้มหัวเป็นการทำความเคารพพ่อของตนเองพอเป็นพิธีเสร็จรีบหันหลังให้แล้วเดินออกจากห้องโถงอย่างไวปานสายฟ้า

                บริกิทถอนหายใจอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ของวันนี้

                “เฮ้อ... ความกุลสตรีไม่ได้รับการถ่ายทอดจากแม่เธอเลยงั้นหรือไรกันนะ?” บริกิทมองดูภาพเหตุการณ์ที่ลูกสาวของตนเองทำอย่างกลุ่มใจ

                เขาบ่นพึมพำก่อนที่หญิงสาวคนใช้ร่างเตี้ยคนเดิมจะเปิดประตูของห้องโถงยักษ์นั้นเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักเธอค่อยๆ เดินเข้ามาจนมาหยุดอยู่ตรงหน้าบริกิทแล้วจึงนั่งท้าเทพธิดาไปด้วยก้มหัวไปด้วยราวกับคนทำผิดแล้วเตรียมใจรับโทษไว้แต่แรกแล้วอย่างไรอย่างงั้น

                “มีอะไรหรือครูคครา?” บริกิทเอ่ยพลางมองภาพสาวใช้ที่กำลังร้องห่มร้องให้

                “ครูคคราต้องขอโทษด้วยพะยะค่ะครูคคราไม่สามารถบอกท่านจอมมารให้ทรงประทับอยู่ ณ ห้องทำงานของพระองค์เหนือหัวได้พะยะค่ะ ครูคครามันไร้ความสามารถสิ้นดีได้โปรดตัดหัวของครูคคราด้วยเสียเถอะค่ะ!” สาวร่างเตี้ยผู้บอกตัวเองว่าชื่อครูคคราเอ่ยพลางเอาหัวของตัวเองกระแทกพื้น ทันทีที่บริกิทได้ยินคำนั้นเขาแทบจะอยากกระโดดฆ่าตัวตายขึ้นมาทันที “ซาทัช... ซาทัช ตอนนี้ ซาทัช ยะ อยู่ที่ไหนนะฮ้า! ไม่ใช้ว่าอยู่ที่ปราสาททองคำขาวหรอกนะใช้มั้ย!?” สถานการเริ่มตึงเครียดโดยไร้เหตุที่มาที่ไปขึ้นเรื่อยๆ ครูคคราเงยหน้าซึ้งเปื้อนคราบน้ำตาและน้ำมูกขึ้นสบตากับอีกฝ่ายซึ้งมียศถาบันดาศักดิ์สงกว่าตนมาก

                เธอพยักหน้าด้วยอาการสั่นเทา

                “ใช้แล้วพะยะค่ะ... ท่านซาทัชอยู่ในเขตปราสาททองคำขาวนะแหละค่ะ”

    Y

                  “ฮึย... ท่านพ่อนี้นาคำก็ลูกเพี้ยนสองคำก็ลูกเพี้ยนจะเอาอะไรจากฉันนักหนากัน!” หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีทองคำขาวยาวจนเกือบๆ ลากพื้นเอ่ย ใบหน้าของเธอตอนนี้ถูกสลักด้วยอารมณ์ของความโมโหขึ้นหัวจนบางทีอาจจะมีควันพุ่งออกจากหูก็ได้ เธอเดินด้วยท่าทางเหมือนคนท้องผูกแล้วอุจจาระไม่ออกจนเกิดอาการหงุดหงิด ในมือก็ยังคงกำกระดาษเอสี่จนยับยู่ยี่พร้อมหนังสือเล่มไม่หนามากบางมากซึ้งเขียนว่า คู้มือการอยู่ร่วมกับมนุษย์ ฉบับ เข้าใจง่ายและรวบรัด

                ณ สะพานทางเดินเชื่อมระหว่างตัวปราสาทซึ้งทำจากเพชรนิลจินดามากมายจนเมื่อยามแสงอาทิตย์สาดแสงลงมาบางครั้งก็ทำให้เกิดแสงสว่างวาบชวนมองแล้วตาบอด รวมถึงทางเดินที่ถอดยาวประมาณสิบถึงยี่สิบเมตรชวนเดินแล้วปวดขากว่าจะถึงปราสาททองคำขาว ระยะห่างของสะพานเชื่อมตัวปราสาทกับพื้นดินประมาณสองถึงสามเมตรกว่าๆ ได้ พอคิดอย่างนั้นแล้วลองจินตนาการถ้าเกิดมีใครตกลงไปหมอที่ไหนคงไม่รับเย็บเป็นแน่

                อันที่จริงที่นี้มันก็ไม่มีคนนี้นา...

                “เห็นว่าฉันโง่นักหรือไงถึงได้เอาคู้มือบ้าๆ นี้กับไอ้เศษกระดาษไร้ประโยชน์พันนี้ให้ฉันนะ” เมื่อกล่าวจบเธอก็ทำการลงมือฉีกแผ่นกระดาษเอสี่และปล่อยให้เศษแผ่นกระดาษที่ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยปลิวว่อนไปตามกระแสลมที่พัดผ่านก่อนที่จะยกหนังสือคู้มือฉบับรวบรัดขึ้นมาดูพร้อมกันนั้นเธอก็เลี้ยวเดินไปตรงคอบสะพานซึ้งมีรั่วเหล็กดัดรูปวงเวทซึ้งถูกทับซ้อนหลายชั้นแล้วมีอะไรบางอย่างลักษณะเส้นโค้งคดงอชอนชัยพันกันให้มั่วชวนแลดูแล้วงงว่าเส้นไหนเป็นเส้นไหน หลังคาทรงโค้งถูกทาสีด้วยสีขาวนวลแลดูสะอาดตาเว้นระยะห่างกับรั่วเหล็กดัดนั้นประมาณสองร้อยเซนติเมตรซึ้งพอให้คนๆ หนึ่งซึ่งมีส่วนสูงเพียงหนึ่งร้อยหกสิบกว่าๆ ยื่นแขนออกไปนอกรั่วพร้อมหนังสือเล่มไม่หนามากบางมากในมือ

                “จะทิ้งละน่า~” เธอพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าอารมณ์ดีสุดๆ และอยากที่จะลาโลกกับหนังสือเล่มนั้นเต็มทนแต่ทว่า... ดันมีเสียงที่ไม่พึงประสงฆ์จะให้มีมาขัดจังหวะและเวลาแห่งความสุขเสียได้!

                “ทิ้งมันไปจะดีหรือ?” เสียงอันทุ่มต่ำของใครบางคนดังขึ้นมันช่างเป็นเสียงที่ไม่คุ้นหูเธอเลยแม้แต่น้อย

                เส้นผมสีทองคำขาวโบกสะบัดไปตามแรงการเคลื่อนไหวของใบหน้าซึ้งถูกสะบัดเต็มแรงเพื่อหันหน้าเตรียมหาเรื่องให้กับชายผู้มีรูปร่างสง่างาม เส้นผมสีม่วงเลือดหมูถูกมักรวบไว้อย่างดีตรงท้ายทอย ดวงหน้าสีขาวซีดจนแทบจะเห็นเส้นเลือดถูกประดับด้วยริมฝีปากอันบางสีแดงอ่อนๆ จนถึงเกือบๆ จางและมองไม่เห็น ดวงตาสีแดงสว่างแบบแมวบ่งบอกได้เลยว่าเขานั้นไม่ใช้คนเป็นแน่ บวกผสมกับเครื่องแต่งกายอันทรงเกียติผ้าคลุมที่คลุมหมดทั้งตัวทำให้ไม่สามารถมองเห็นเสื้อที่ชายรูกร่างสง่าผู้นี้ใส่แต่ยศที่เขาติดอยู่บนบ่านั้นก็สามารถบ่งบอกได้เลยว่าเขาเป็นใครถ้าเกิดฉลาดที่จะคิด

                สง่างามราวกับเทพแต่นั้นไม่ใช้เทพ...

                เหล่าคนใช้ ขุนนางต่างๆ ที่เดินผ่านไปผ่านมาบริเวณนั้นถึงกับหยุดการกระทำทุกอย่างของตนถึงแม้จะรีบแค้ไหนก็ตามแล้วรีบตั้งขบวนแถวทำความเคารพชายตรงหน้าทันทีราว

                หญิงสาวมองชายตรงหน้าด้วยสายตาเหยียดหยาม

                “แกเป็นใคร?” เสียงอันหนักแน่นของหญิงสาวพร้อมรังสีอมหิตบ่งบอกได้ถึงความหงุดหงิดที่จู่ๆ ก็มีคนมาขัดจังหวะเวลาแห่งความสุขปรีดีซึ้งเธอกำลังจะทำในสิ่งที่เธออยากทำอยู่อย่างไรอย่างนั้น

                ใบหน้าของชายตรงหน้าจู่ๆ มุมปากแสนบางของเขาก็ขยับเป็นรอยยิ้มที่มุมปากแสนเจ้าเล่ห์เหมือนสุนัขจิ้งจอก ถึงกระนั้นสายตาของเขากับมองเธอเหมือนว่าเธอเป็นของกินอันโอชารสไม่ผิดเพี้ยน ซึ้งนั้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้น้ำโหของหญิงสาวเริ่มที่จะเดือดพล่านขึ้นคราวนี้สงสัยควันออกจากหูจริงๆ แน่

                “ที่แท้กลิ่นอันแสนหอมหวานก็มาจากตัวเธอนี้เอง... โตขึ้นเยอะเลยนะลู ดรากอนนาชายหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้มแสยะชวนขนลุก หญิงสาวหรือผู้ถูกเรียกชื่อจ้องเขม็งไปทางชายหนุ่มจนตาแถบจะถะล่นออกจากเบ้า ส่วนเหล่าขุนนาง เสนาบดี คนรับใช้ทั้งหลายพอได้ยินดังนั้นบางคนก็แผ่รังสีอมหิต บางคนก็กัดฟันแน่นจนปวดกราม บางคนก็เตรียมชักดาบ บางคนก็ทำท่าจะลุกขึ้นเตรียมตัดหัวประหารชีวิตชายหัวม่วงเลือดหมูตรงหน้าได้ทั้งสิ้น

                “นี้นาย... รู้จักชื่อฉันได้ยังไง!?” คราวนี้เธอถึงกับตะหวาดใส่ชายหนุ่มผู้ยังคงยิ้มแสยะอย่างพอใจเหมือนกับเห็นสิ่งที่ตนจะได้กินเป็นอาหารในไม่ช้ากำลังถูกปรุงแต่งให้สมบูรณ์น่าทานอย่างไรอย่างนั้น ใบหน้าของหญิงสาวบัดนี้ถูกแต่งแต้มด้วยความโกรธจนต้องกัดฟันแน่นจนปวดกรามไปหมด ดวงตาสีอควาสะท้อนภาพของชายตรงหน้าด้วยอารมณ์ไม่พอใจสุดขีดจำกัดที่จะรับไหวคราวนี้เธอเองก็คงไม่ต่างจากเหล่าขุนนาง เสนบดี คนใช้ต่างๆ ที่คิดจะฆ่าชายตรงหน้าได้ทุกเมื่อ

                แต่เขาก็ยังคงยิ้ม... แถมเป็นยิ้มที่กวนเอาการเสียด้วย

                “ฉัน... พ่อเธอยังไม่ได้ให้ฉันรับขวัญเธอเลยนะยัยหนูลู ยัยอาหารอันโอชะ” สิ้นเสียงสายตาสีแดงสว่างแบบแมวก็เลื่อนไปมองบุคคลผู้กำลังยืนกำหมัดแน่นจนเล็บแทบจะฉีกแต่ยังดีที่เขานั้นสวมถุงมือแบบหนาสีขาวเอาไว้ ดวงตาสีเหลืองแกงกะหรี่ส่องประกายสะท้อนภาพของชายผู้เหลือบมองเขาด้วยความเขียดแค้นปนความไม่พอใจเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเดินจ้ำอ้าวมาหาชายหนุ่มพร้อมเหล่าคนใช้ที่เดินตามมาติดๆ หนึ่งในนั้นมีครูคคราอยู่ด้วย เขาหรือบริกิทเดินจนมาหยุดอยู่ข้างๆ ตัวลูซึ้งแสดงสีหน้าไม่พอใจสุดๆ เธอกำหนังสือในมือแน่นจนมันแทบจะฉีกออกเป็นเสี่ยงๆ อยู่แล้ว

                “มาทำอะไรตรงนี้นะ... ซาทัช?” ประโยคคำถามของบริกิทและสีหน้าบ่งบอกถึงความเคร่งเตรียดอย่างยิ่ง ซาทัซฉีกยิ้ม “ก็แค้มาหาลูกสาวแกเฉยๆ แล้วก็นะ... มาเจอฉากเด็ดๆ ด้วยละ” สิ้นเสียงเขาก็เดินเข้าไปจับตัวลูพลิกให้หันหลังมาพิงตัวเขาแล้วจับแขนที่ถือหนังสือเล่มนั้นให้ชูขึ้นประมาณ มืออีกข้างหนึ่งจับเอวอันบอบบางของหญิงสาว

                “ลูกสาวนายไม่สนใจโลกมนุษย์ละ...” รอยยิ้มอันแสนเจ้าเล่ห์ของจอมมาร ซาทัช ไดโวล ฉายแววบ่งบอกถึงความสุขที่ได้แกล้งคนอย่างไรอย่างนั้น ลูกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บใจที่ชายหนุ่มที่ตัวเองไม่รู้จักจู่ๆ ก็บอกว่าตัวเองคืออาหารอันโอชะ เดี๋ยวก็เข้าประชิดตัวในระดับใกล้เกิดเหตุ หน่ำซ้ำยังเอาเรื่องที่เธอจะโยนหนังสือที่พ่อให้ทิ้งอีกมันน่าเจ็บใจนัก แต่แล้วเธอก็สะดุ้งเพราะอะไรบางอย่าง ไม่ใช้เพราะลมหายใจอันเย็นเฉียบที่ชายร่างสูงโปร่งหัวม่วงเลือดหมูแถมพูดจาไม่เข้าหูเธอพ้นออกมาแต่เป็นเสียงของใครสักคนที่ดังก้องอยู่ในหู

                อีกสิบหกปี...เสียงนั้นทันทีที่เข้าใกล้ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งคนนี้จู่ๆ มันก็ดังแววเข้ามาในหู มันคือเสียงที่ทุ้มต่ำและแหบแห้งราวกับคนเจ็บคอ แต่ถึงกระนั้นเหมื่อนมันจะมีเค้าโครงเสียงของชายหนุ่มอยู่ไม่มากก็น้อย คำพูดแสนเจ้าเล่ห์แบบนั้นมันใครกัน

                บริกิททำน่าสังเวชตัวเอง

                “นี้พ่อคงบังคับให้ลูกทำอะไรในสิ่งที่ลูกไม่ชอบสินะ...” บริกิทก้มหน้าแล้วหันหลังกลับพลางไหลตก ตอนนี้เขารู้สึกหดหู่และรู้สึกผิด ลูมองพ่อของตัวเอง “อะ เออ... คุณพ่อค่ะ! หนูสนใจที่จะไปโลกมนุษย์มากเลยค่ะ!” เธอตะโกนออกไปในขณะที่ตนกำลังพิงแผงอกอันแสนแข็งและใหญ่ของซาทัชอยู่ดูเหมือนเธอจะไม่คิดเอะใจเรื่องนี้เลย

                ละแล้วนี้พ่อให้เราไปทำอะไรที่โลกมนุษย์ละเนี่ย!? นั้นคือคำถามแรกที่แว็บเข้าหัว อันที่จริงเธอยังไม่รู้หรือมีข้อมูลใดๆ อยู่ในหัวเลยถึงเรื่องที่พ่อจะบอก พอพ่อเธอจะบอกเธอก็ทำหงุดหงิดใส่นี้นะ ฝึกตน... เป็นเทพมังกร จ่ๆ เสียงทุ้มต่ำของใครสักคนก็แล่นเข้ามาในหัว เสียงนั้นเสียงของซาทัช ลูใช้หางตามองซาทัชนิดๆ แล้วยิงคำถามใส่ ฝึกตน... โลกมนุษย์บ้าบออะไรกันนะ!? ฉันไม่ไปหรอกลำบากและน่าเบื่อ! เธอส่งกระแสจิตให้ซาทัชที่ยืนจับข้อมือของตนไว้แน่น รายละเอียดค่อยว่าทีหลังแต่ตอนนี้บอกไอ้หมอนั้นไปก่อนเถอะว่าเธอจะไปนะ... ในฐานะเพื่อนแล้วเห็นเพื่อนหดหู่แบบนั้นมันรู้สึกไม่ดีนะจะบอกให้ เขาส่งกระแสจิตตอบลูกลับไปใบหน้าของเขายังคงความนิ่ง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เคยปรากฏบนใบหน้านั้นหายไปไหน ตอนนี้มันมีแต่ความเป็นห่วงเป็นใยไม่สมกับเป็นตัวของเขาไปแล้ว!

                “อะเออ... ท่านพ่อถึงลูกจะยังไม่อ่านรายละเอียดแต่ว่าลูกจะยอมไปฝึกตนก็ได้นะ” เธอเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อย บริกิทซึ้งเดินห่อตัวด้วยความผิดหวังนั้น อันที่จริงเขาแกล้งทำเพื่อให้ลูกยอมตอบตกลงไปก็เท่านั้น เขายิ้มเหมือนคนเพิ่งจะได้ชัยชนะ เข้ายืดหลังตรงหันหลังกลับแล้ววิ่งตรงดิ่งไปหาลูกสาวแล้วลูบหัว “ดีมากลูก... พ่อรักลูกจังเลยงั้นลูกรีบเก็บของแล้วลงไปเอออีกอาทิตย์ ไม่สิ! เอาวันพรุ่งนี้เลยลูกลงไปโลกมนุษย์วันพรุ่งนี้นา นาเด็กดีที่รักของพ่อ” แล้วบริกิทก็ยังคงลูบหัวลูยังกับจะหาเลข ตาของเขาเป็นประกายฉายแววถึงความดีใจสุดขีด

                ซาทัชปล่อยมือออกจากลูแล้วร่างของเขาก็กลายเป็นเงาดำแว็บไปยืนอยู่หลังบริกิท

                “บริกิทฉันมีเรื่องจะคุยด้วย... ตามมาหน่อยอุสาห์ท่อมาถึงนี้” เข้าเดินหันหลังตรงไปยังทางเข้าปราสาทฝั่งตรงข้ามกับปราสาททองคำขาว ผ้าคลุ่มสีดำโบกสะบัดปักลายด้วยรูปหัวกะโหลกสีขาวที่ตาเป็นรูโบแต่มีจุดสีแดงเล็กๆ อยู่ ฟันกรามข้างล้างหายไปเหลือเพียงฟันกรามบนซึ้งมันไม่มีฟันธรรมดาๆ หรอกนะแต่ฟันของเจ้าหัวกะโหลกนั้นคือขาของสัตว์แมลงหลายสายพันธุ์ ลูมองรูนั้นตาแถบไม่กระพริบ ส่วนบริกิทรีบวิ่งตามซาทัชไปแล้ว

                “คุ้นๆ นะ... รูปนั้น” เธอบ่นพึมพำเบาๆ ก่อนที่เธอจะนึกอะไรได้ว่าเธอต้องไปเตรียมเก็บของออกเดินทางพรุ่งนี้แล้วนี่นา!

     


    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×