ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The School Love Story : The Short Story Of Love

    ลำดับตอนที่ #2 : ลมหายใจกับความคิดถึง Part Two.

    • อัปเดตล่าสุด 18 ต.ค. 54


    ลมหายใจกับความคิดถึง

                “ก๊อกก๊อกๆ…”
                วันเสาร์ถัดมาผมก็ได้มาที่โรงพยาบาลอีกครั้งพลางเคาะประตูห้องพักของออมในมือของผมถือตะกร้าที่มีผลไม้นาๆชนิดทั้งส้ม ฝรั่ง องุ่น
     กับน้ำสับปะรด ที่ป้าเอามาฝากจากภาคเหนือไว้ให้กินเสียเยอะแยะเมื่อวันพุธที่แล้วแม่ผมก็เอาไปแจกเพื่อนบ้านก็แล้ว มันก็ยังเยอะอยู่ดีผมก็เลยหยิบมาสักเล็กน้อยเอามาเป็นของฝากออม แต่ว่าความรู้สึกหัวใจที่เต้นโครมครามนี้ไม่ว่านานแค่ไหนก็ไม่ชินซักที
                “ค่ารอเดี๋ยวนะคะ…”

    โครมมม!!!...

    ว้ายยย!!!...โอ๊ย!!!

    หา…!!!”

    ผมได้ยินเสียงโครมครามดังออกมาจากในห้องของเธอจึงรีบผลักประตูเข้าไปในห้องของเธอทันที ภาพที่ผมเห็นก็คือออมหมอบล้มอยู่กับพื้นโดยมีของที่เคยวางไว้ที่โต๊ะกระจัดกระจายไปทั่วด้วย ผมหัวใจตกไปอยู่ตาตุ่มรีบตรงไปพยุงเธอขึ้นมาทันที ผมยาวสลวยของเธอยุ่งไม่เป็นทรงและเปื้อนน้ำที่พื้นผมรีบจับเธอนั่งที่เก้าอี้ก่อนที่จะเอ่ยปากถาม

    ปะเป็นอะไรไหมเจ็บหรือเปล่า…”ออมส่ายหน้าพลางกัดริมฝีปาก

    ไม่เป็นไรหรอกค่ะขอบคุณนะหินผมตรวจดูรอบๆตัวเธออย่างคราวๆไม่พบแผลอะไรก็โล่งใจก่อนจะนั่งลงเก็บของที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น แต่แล้วออมก็ค่อยๆลุกขึ้นจากที่เก้าอี้แล้วก็พยายามคลำมือไปทั่วผมก็รีบลุกขึ้นคว้าเข้าที่มือเธอ

    อะไรเหรอครับออมหาอะไรอยู่…”

    ก็เครื่องเล่นเพลงของหินนั่นล่ะค่ะออมจำไม่ได้ว่าเอาไปวางไว้ไหนแล้วขอโทษด้วยนะคะผมมองไปรอบๆก็เห็นMP3ของผมวางอยู่บนโต๊ะวางของหลังห้องผมก็ถอนหายใจ

    เจอแล้วล่ะครับออมอยู่นิ่งๆสักครู่นะเดี๋ยวผมเก็บของให้เธอหันดวงตาที่มองไม่เห็นของเธอมาทางผมแล้วก็พยักหน้าเบาๆ

    ค่ะรบกวนด้วยนะคะ

    ครับ…”

     

    ผมใช้เวลาสิบกว่านาทีในการจัดการห้องของออมให้กลับมาเป็นแบบเดิมพอจัดการเสร็จผมก็มานั่งแกะส้มให้ออมทาน ถึงตอนแรกผมจะรู้สึกประหม่าอยู่บ้างแต่ในตอนนี้ก็รู้สึกประหม่าน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดพอผมปอกเสร็จก็ยื่นให้ออมเธอก็รับมาพร้อมรอยยิ้มทำให้ผมรู้สึกเหมือนภายในหัวใจของผมนั้นอบอุ่นขึ้นมา

    รสชาติเป็นไงบ้างอร่อยไหมผมถามเมื่อเธอทานไป3ผลแล้วเธอก็หันมายิ้มให้ผมอย่างมีความสุข

    หวานมากค่ะอร่อยมากด้วย หินไปได้มาจากที่ไหนเหรอ…”ผมได้แต่ยิ้มอย่างเขินอาย

    คุณป้าเอามาให้น่ะครับยังมีผลไม้อีกหลายอย่างเลยนะครับอยากทานอีกไหมครับเธอก็ส่ายหน้าขวับๆ

    ไม่ล่ะค่ะอีกหน่อยพี่มะปรางก็จะพาออมไปตรวจแล้วไว้กลับมาค่อยทานต่อก็ได้ค่ะผมก็พยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วประตูห้องของออมก็เปิดออก พี่พยาบาลคนนั้นก็เดินเข้ามาพร้อมกับเก้าอี้รถเข็น

    น้องออมคะพี่มาแล้วป๊ะไปตรวจกันเถอะ

    ค่ะ…”ออมพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วก็ค่อยๆพยุงตัวเองยืนขึ้นไปนั่งรถเข็น ส่วนพี่พยาบาลที่ชื่อมะปรางนั้นก็พูดขึ้นกับผม

    หินจะตามมาก็ได้น่ะจ๊ะหรือจะรออยู่นี่ก็ไม่ว่ากันนะผมก็คิดอยู่ครู่นึงก็พูดขึ้น

    ผมไปด้วยล่ะกันครับพี่มะปรางก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วก็เข็นรถเข็นที่ออมนั่งอยู่ออกไปผมก็เดินตามไปอย่างเงียบๆพลางรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย

     

    น้องหินเรียนอยู่ม.ไหนแล้วคะเนี่ย…”พี่มะปรางถามขึ้นเมื่อผมนั่งรอออมที่เข้ารับการตรวจอยู่หน้าห้องตรวจ วันนี้คนก็น้อยเช่นเคยเนื่องจากอำเภอที่ผมอยู่นี่เป็นอำเภอเล็กๆไม่ค่อยมีประชากรอาศัยอยู่มากนัก จึงนับว่าเป็นเรื่องดีที่คนอำเภอนี้นั้นสุขภาพแข็งแรงกันเป็นส่วนมาก

    อยู่ม.5แล้วครับ

    เหรอคะอีกสองปีก็จบแล้วนี่นาน้องหินจะไปเรียนคณะอะไรล่ะคะ

    ก็กะจะเอ็นแพทย์น่ะครับไม่รู้จะได้หรือเปล่า

    งั้นเหรอถ้าไม่ได้ก็มาเรียนพยาบาลแบบพี่ก็ได้นะที่นี่ยินดีต้อนรับ

    ครับๆผมพยักหน้ารับ แล้วผมกับพี่มะปรางก็หัวเราะแฮะๆให้กันทันใดนั้นประตูห้องตรวจก็เปิดออกมาพี่พยาบาลอีกคนก็เข็นรถเข็นออมออกมาพี่มะปรางก็ไปรับช่วงต่อจากพี่พยาบาลคนนั้นแล้วก็เข็นออมเดินออกมา ออมเองก็เปลี่ยนที่คาดตาออกใหม่เธอยิ้มและค่อยๆพูดกับพี่มะปราง

    พี่มะปรางคะ…”

    คะ…”

    ช่วยพาออมไปที่สวนหน่อยได้ไหมคะพาออมออกไปสูดอากาศหน่อยนะคะพี่มะปรางทำหน้าตาบ่งบอกว่าตัวเองกำลังสยองเล็กๆ ผมเองก็จำหน้าของพี่มะปรางได้ตอนที่ผมพาออมมาส่งที่โรงพยาบาล พี่มะปรางคิดอยู่พักนึง

    พี่พาไปก็ได้ค่ะพี่มะปรางหันไปพูดกับออมแต่มีข้อแม้ว่าน้องออมห้ามหายไปอีกนะคะตกลงไหมคะพี่มะปรางพูดกับออมด้วยน้ำเสียงขอร้องมากกว่าคำสั่งออมเองก็ยิ้มและพยักหน้า

    คะออมสัญญา

    งั้นไปล่ะนะคะ…”

    ค่า…”

     

    พี่มะปรางเข็นรถเข็นที่ออมนั่งอยู่มาจนถึงสวนที่เรียกกันว่าสวนดอกไม้เพื่อสุขภาพที่อยู่ติดด้านหลังของโรงพยาบาลซึ่งเป็นสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม่นานาพันธุ์และต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงา เป็นสวนที่สวยมากจนผมอดทึ่งไม่ได้ว่ามีสวนแบบนี้ในโรงพยาบาลด้วยพูดตรงๆว่าผมเองก็ตกใจเช่นกัน แถมยังไม่มีใครอยู่ที่นี่ดูส่วนตัวเป็นอย่างมาก และแล้วพี่มะปรางก็มองนาฬิกาและก็บอกผมว่าฝากดูแลออมทีเพราะจะถึงเวลาเข้าเวรของพี่มะปรางแล้ว ผมจึงพยักหน้ารับแล้วก็มองพี่มะปรางเดินจากพวกเราสองคนไป ทำให้ผมกับออมอยู่ด้วยกันแค่สองคนอีกครั้ง

    ผมมองออมที่สูดอากาศบริสุทธิ์กับสายลมอยู่พักใหญ่ก็อดมีความสุขไม่ได้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันผมรู้สึกเป็นสุขทุกครั้งที่ได้มองเธอยิ้มมันเป็นความรู้สึกดีๆทุกครั้งที่ได้มองเธอตั่งแต่พบกันครั้งแรก ผมเห็นบางอย่างในตัวเธอที่งดงาม งดงามจนผมไม่อาจเปรียบเธอกับอะไรได้ สายลมได้พัดใบไม้ใบหนึ่งหล่นลงบนมือขอเธอที่วางอยู่ตรงอาร์มแชร์ออมก็ได้กำมันลงอย่างทะนุถนอมผมเองก็ได้แต่ยิ้มอย่างเป็นสุขด้วยหัวใจที่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกอบอุ่น

    หินคะ…”จู่ๆออมก็พูดขึ้นทำให้สติของผมกลับมาเป็นอะไรไปเหรอจู่ๆก็เงียบไป

    เปล่าหรอกดูออมมีความสุขดีนะ ออมชอบสวนแบบนี้เหรอเธอก็ยิ้มพลางหันหน้าไปทางอื่นทว่าใบหน้าของเธอกลับฉายความรู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างปิดบังไม่ได้

    ใช่คะ…”เธอพยักหน้ารับพลางก้มหน้าลงแต่ถ้าออมสามารถมองเห็นมันได้ล่ะก็ออมคงจะมีความสุขมากเลยเธอคลายมือข้างที่กำใบไม้ใบนั้นออกสายลมก็ได้พัดมันออกไปจากมือของเธอมันคงสวยน่าดูเลยใช่ไหมคะ…”

    ระเรื่องนั้นผมพูดไม่ออกรู้สึกถึงบรรยากาศรอบๆตัวเริ่มเปลี่ยนไป สายลมเริ่มพัดแรงขึ้น เมฆเริ่มจับตัวกันมากขึ้นอากาศเย็นเริ่มพัดเข้ามาแทนที่

    ตั้งแต่วันนั้นออมก็ไม่มองเห็นอะไรเลยค่ะมันรู้สึกเหมือนว่าอะไรบางอย่างมันหายไปโดยที่ออมไม่รู้ว่ามันคืออะไร…”

    วันนั้น…”

    อุบัติเหตุรถชนน่ะคะ…”ออมพูดด้วยน้ำเสียงสะท้อนเล็กน้อยแมวของออมมันได้หายไปจากบ้านออมจึงออกตามหาพอเจอมันอยู่ที่ถนนฝั่งตรงข้ามออมก็วิ่งเข้าไปหามันแล้ว…”ออมทำหน้าเรียบเฉยทว่ามันได้ซ่อนความเจ็บปวดไว้อย่างปิดบังไม่ได้

    ออม…”ผมพูดกับเธอด้วยเสียงที่แหบพร่า

    ออมมองไม่เห็นอะไรเลยออมอยากรู้ว่าดอกไม้ที่เขาว่าสวยงามนั้นมันเป็นอย่างไรอยากจ้องมองขุนเขาอยากจ้องมองถึงสิ่งต่างๆที่แม่เคยเล่าให้ออมฟังอยากสัมผัส สายลมให้มากกว่านี้อยากมองเห็นใบหน้าของทุกๆคนที่ออมรู้จักออมไม่ต้องการที่จะอยู่ในกรงขังแคบๆแบบนี้อีกแล้ว

    ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่างพุ่งชนจิตใจของผมจนเกิดรอยร้าว แม้ผมจะไม่อาจสัมผัสได้ว่าแท้จริงแล้วเธอนั้นรู้สึกอย่างไรแต่ผมก็รู้ว่ามันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดมาก เจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหวแน่ มันรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ในตอนนั้นผมจึงได้สัมผัสกับบางสิ่งที่อยู่ภายไต้ความร่าเริงและการมองโลกในแง่ดีของเธอ เด็กสาวตัวเล็กๆที่อยู่ตรงหน้าต้องแบกรับความจริงที่แสนเจ็บปวดจนหัวใจแทบแตกร้าว มันเจ็บปวด

    จนแทบทนไม่ไหว

    แต่ว่านะคะ…”จู่ๆออมก็พูดขึ้นผมจึงเงยหน้าขึ้นมองเธอ เธอเอามือประสานไว้ที่หน้าตักนั่งตัวตรงแล้วก็ยิ้มออกมาออมก็ได้รับสิ่งดีๆจากคุณแม่ และก็พี่ๆพยาบาลเป็นสิ่งตอบแทนเหมือนกันมันก็พอที่จะทำให้ลืมความรู้สึกนี่ได้ชั่วคราวนะคะที่ว่าอย่างน้อย…”เธอเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้าก็ยังมีคนที่รักเราอยู่เช่นกัน…”

    “…”

    ในตอนนี้ผมไม่อาจพูดอะไรได้เลยผมรู้สึกสับสนในตัวเอง รู้สึกผิดที่ไม่อาจช่วยคลายความรู้สึกของเธอออกมาได้เท่าที่ควร ผมอยากจะสามารถรับเอาความรู้สึกเจ็บปวดนั้นแทนเธอทว่ามิอาจทำได้เลย มันอึดอัดใจสิ้นดี

    หินคะหิน…”ออมเรียกชื่อของผมผมก็เงยหน้าขึ้นมา

    ครับ…”ผมก็ขานรับอย่างไม่เต็มเสียง เธอก็หันมายิ้มให้ผม

    ช่วยพาออมกลับห้องหน่อยเถอะค่ะอากาศเริ่มเย็นแล้ว…”ผมมองเธออย่างด้วยรู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูก ผมระบายความอัดอั้นออกมาด้วยลมหายใจอย่างยากลำบาก

    เอ่อครับ…”แล้วผมก็เดินไปจับหลังรถเข็นของออมแล้วพาเธอไปส่งที่ห้องพัก

    สายลมหนาวกำลังพัดเข้ามาแทนที่

     

    จะกลับเลยเหรอคะ…”ออมพูดขึ้นเมื่อผมกำลังลากลับหลังจากที่มาส่งเธอที่ห้อง ผมเองก็ได้แต่ฝืนยิ้มถึงจะรู้ว่าทำไปเพื่อปลอบใจตนเองไม่ใช่เพื่อทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นแท้ๆ

    ครับ…”

    คือว่าขอบคุณนะคะที่วันนี้มาอยู่คุยเป็นเพื่อนอีกวันออมดีใจมากเลยนะคะ…”เธอโค้งให้ผมอย่างที่เคยทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่มีสาเหตุ

    ครับขอให้ออมสบายดีนะครับแล้วผมจะมาเยี่ยมอีกแล้วเจอกันนะครับ…”

    คะออมจะรอนะคะ…”

    ครับ…”แล้วผมก็เดินออกมาจากห้องของเธอพอหลังจากปิดประตูห้องของออมแล้วผมก็ค่อยๆเดินไปที่บันไดก่อนที่จะหันกลับมา

    หันกลับมามองประตูห้องของเธออีกครั้ง

     

     

    ในคืนนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมนอนไม่หลับเป็นความรู้สึกทรมาณมากสำหรับผม มันรู้สึกร้องแผดเผากระทั่งผมต้องลุกขึ้นมานั่งข้างเตียง ในหัวของผมนั้นมีแต่ภาพของออมในตอนนั้นเต็มไปหมด ภาพของออมที่ต้องทนทรมาณอยู่ตลอดกับการมองไม่เห็นได้ปรากฏขึ้นเด่นชัดภายในจิตใจของผม มันเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ทั้งๆที่ผมพึ่งได้พบกับเธอเมื่อเดือนก่อนนี้แท้ๆแต่ผมกลับหลงรักเธอหมดทั้งใจ ทุกวันได้แต่คิดถึงเธออยู่ตลอด และรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้เธอเป็นความรู้สึกที่ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าผมนั้นมีความสุขทว่าขณะที่ผมกำลังมีความสุขนั้นใครอีกคนหนึ่งกลับต้องรู้สึกขมขื่นในใจอยู่ทุกวัน รอยยิ้มของเธอที่มอบให้ผมนั้นมันได้แฝงความขมขื่นเอาไว้มาก นี่ผมไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของออมเลยใช่ไหมว่าเธอนั้นต้องทรมาณมานานเท่าไร เจ็บใจตัวเองที่ไม่อาจช่วยให้เธอนั้นมีความสุขได้มากเท่าที่ควร ผมรู้ว่าในวันนี้นั้นถึงแม้ว่าเธอนั้นจะพูดระบายกับผมทว่ามันนั้นยังเจ็บปวดได้ไม่เท่ากับ 1 ใน 10 ที่อยู่ในใจเธอเลย เป็นไปได้ผมนั้นอยากจะเจ็บปวดแทนเธอ ไม่อยากให้เธอนั้นต้องเจอกับเรื่องแบบนี้อีก

    ความรู้สึกที่ได้เห็นคนที่เรารักเจ็บปวดนั้น

    มันเจ็บปวดมากกว่าพบเจอด้วยตัวเองเสียอีก

     

     

    หลังจากวันนั้นผมก็มักจะไปเยี่ยมเธอทุกวันทั้งหลังเลิกเรียนและวันเสาร์อาทิตย์ เพียงเพราะไม่อยากให้เธอต้องอยู่คนเดียว และผมนั้นก็แค่อยากจะอยู่กับเธอให้นานๆแม้จะแค่วินาทีเดียวก็เพียงพอและนานวันไปผมนั้นก็ยิ่งรู้สึกดีๆกับเธอขึ้นทุกวัน ทางด้านออมเองก็วางตัวเป็นธรรมชาติมากขึ้นเมื่อเราอยู่ด้วยกัน บางวันผมก็จะเอากีต้าร์ที่ยืมมาจากนพพรไปเล่นให้เธอฟังและก็สอนเธอร้องเพลงต่างๆ ออมก็ดูมีความสุขมากเธอหัวเราะยิ้มบ่อยขึ้น พี่มะปรางก็ยังแอบแซวพวกเราอยู่ว่าตอนผมไม่อยู่ออมก็เล่าอะไรต่อมิอะไรเกี่ยวกับผมให้พี่มะปรางฟังบ่อยๆ ออมก็ก้มหน้างุดอย่างเอียงอายผมเองก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆไม่รู้ว่าควรจะขำหรือสงสารเธอดีแต่ทุกครั้งที่ผมเห็นเธอมีความสุขผมก็ดีใจ

     

     

    ก๊อกๆๆ…”

    หลังเลิกเรียนในวันหนึ่งผมก็ได้มาหาออมดังเคยผมก็ยืนเคาะประตูห้องเธออยู่นานแต่ก็ไม่มีการตอบรับผมเองก็คิดอยู่ว่าเธอคงไปตรวจผมจึงนั่งรอเธออยู่หน้าห้องไม่กล้าเข้าไป ผมรออยู่สักครู่ก็คิดว่าเธอคงอยู่ที่สวนดอกไม้ของโรงพยาบาลผมจึงเดินไปที่นั่น เมื่อไปถึงก็พบว่าไม่มีใครอยู่เลยมีแค่เด็กสาวที่ผมคุ้นตาในชุดของโรงพยาบาลนั่งอยู่บนรถเข็นที่จอดอยู่ใต้ร่มไม้ใบหน้าของเธอได้เหม่อไปทางท้องฟ้า ภาพของเธอที่ตัดกับบรรยากาศยามตะวันคล้อยดูงดงามอย่างบอกไม่ถูกผมก็เดินตรงเข้าไปหาเธอเสียงผมเดินย่ำพื้นดินทำให้เธอรู้ตัวและหันหน้ามาทางผม ผมก็ยิ้ม

    ไม่ต้องตกใจหรอกออมผมเองเมื่อออมรู้ว่าเป็นผมก็ยิ้มอย่างดีใจเธอรอให้ผมเดินไปใกล้ๆจึงเอ่ยปากขึ้น

    สวัสดีจ๊ะหินวันนี้อากาศดีนะ…”

    ก็ใช่…”

    งั้นเหรอตอนนี้ดวงอาทิตย์กำลังตกดินใช่หรือเปล่า…”เธอพูดพลางหันหน้ามาทางผม

    อืมว่าแต่รู้ได้ไงล่ะ…”

    ก็อากาศเริ่มเย็นลงแล้วนี่นาพอดึกๆจะหนาวด้วยสงสัยเข้าหน้าหนาวแล้วล่ะ…”เธอพูด แต่ก็จริงของเธอตอนนี้เดือนธันวาคมแล้วเข้าสู่หน้าหนาวแล้วนี่นา

    นั่นสินะ…”ผมพูดพลางมองเธอ ออมเองก็หันมาทางผมราวกับว่าดวงตาของเธอหายแล้วและสามารถมองทะลุผ้าคาดตานี้ออกมาได้ ผมเองก็รู้สึกหัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะจึงเบนความสนใจพี่มะปรางล่ะไปไหนแล้ว…”

    พี่มะปรางไปแล้วล่ะแต่ว่าออมขอนั่งเล่นที่นี่ต่อน่ะแล้วก็…”เธอพูดพลางหันหน้าไปทางอื่นรอหินมาหาน่ะ…”

    ระรอผมเหรอ…”

    อืม…”

    ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่าล่ะ…”ผมถามออมก็ส่ายหน้า

    ก็ไม่มีอะไรหรอก…”

    อ๋อเหรอ…”

    ก็แค่…”ออมพูดขึ้นด้วยเสียงเบา คิดถึงเท่านั้นเอง…”

    อ๊ะ…”ผมรู้สึกหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ออมก็หันมาทางผมแล้วก็ยิ้มให้เป็นรอยยิ้มที่งดงามดังเคย

    หินยังจำวันแรกที่เราพบกันได้หรือเปล่า…”

    อะอืม…”ผมไม่มีวันลืมวันแรกที่เราเจอกันแน่นอน ในวันที่ผมกำลังเดินกลับบ้านก็มีเด็กผู้หญิงแปลกๆคนหนึ่งเดินอยู่ข้างถนนเธอสวมชุดของผู้ป่วยในโรงพยาบาลและสวมผ้าคาดตา แล้วเธอก็ล้มลงที่พื้นจากนั้นผมก็วิ่งเข้าไปช่วยเธอ

    โดยที่ไม่รู้ว่าวันนั้น

    จะเป็นวันที่ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป

    วันนั้นน่ะนะออมเหมือนได้ยินเสียงของแมวของออมก็เลยเดินตามเสียงออกไป รู้ตัวอีกทีก็อยู่นอกโรงพยาบาลแล้วตอนนั้นออมกลัวแต่พูดอะไรไม่ได้เพราะตัวเองเป็นคนออกมาเองกระทั่งหกล้ม…”เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เดาอารมณ์ไม่ออกออมก็ได้เจอหิน…”

    อืม…”

    ในวันแรกที่หินมาเยี่ยมออมออมก็เผลอผลักประตูใส่หน้าหินที่ยืนอยู่หน้าห้องจนล้ม แถมยังเผลอก้าวไปเหยียบหินอีกออมก็ตกใจเหมือนกันที่หินมาเยี่ยมเพราะตอนนั้นออมก็กำลังคิดถึงหินอยู่พอดี…”ผมมองออมที่กำลังพูดออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาตนเองมันเหมือนมีบางอย่างบอกให้เราต้องพบกันแปลกนะคะว่าไหม…”

    นั่นสินะในตอนนั้นผมก็คิดว่าแปลกเหมือนกัน…”

    ฮินั้นสินะคะ…”ออมหัวเราะนิดๆแล้วลมหนาวก็พัดพาใบไม้ใบหนึ่งปลิวมาหล่นลงที่มือของเธอ ออมก็ได้กำมันลงอย่างทะนุถนอม มันแปลกจริงๆ…”

    เราทั้งคู่นิ่งอยู่นาน อย่างที่ผมเคยพูดโลกดูสวยงามขึ้นเมื่อออมยิ้มออกมา ผมเองก็รู้สึกเช่นนั้นในขณะนี้เพราะเธอนั้นกำลังยิ้มอย่างเป็นสุขในขณะนี้ เธอในตอนนี้นั้นดูงดงามราวกับนางฟ้าเลยทีเดียว เป็นอัญมณีสีฟ้าที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด แล้วจู่ๆเธอก็ลุกขึ้นยืนจากวินแชร์ ร่างเล็กๆเซเล็กน้อยก่อนที่จะก้าวเท้าเดินออกไป ผมก็รีบเข้าไปหาเธอ

    มีอะไรเหรอจู่ๆก็ลุกขึ้นยืน…”ผมถามขึ้นขณะที่ได้พาเธอมานั่งที่เก้าอี้สำเร็จ ออมก็ยิ้มให้ผม

    ออมก็แค่ต้องการยืนยันบางอย่างน่ะ…”

    เอ๋…”

    ออมก็จะยืนยันว่า ในขณะที่ออมยืนอยู่คนเดียวจะมีใครที่จะมาคว้ามือของออมไว้บ้างตอนนี้คนที่ออมไว้ใจก็มี แม่ พี่มะปราง พี่หวาน น้ารัน แล้วก็ หินอีกคนออมจะต้องจำทุกๆคนได้แน่ๆถ้าหากได้จับมืออีกครั้ง…”ผมเริ่มรู้สึกถึงความรู้สึกลึกๆในหัวใจของเด็กสาวที่อยู่ต่อหน้า มันไม่ใช่อย่างที่เห็นแน่นอนลางสังหรณ์ลึกๆในใจของผมบอกว่า

    เธอกำลังจะบอกลา

    ออมต้องไปแล้วล่ะ…”
                วูบ...

    อะอะไรนะ…”ผมพูดอย่างไม่เชื่อหูตนเองรู้สึกเหมือนหัวใจถูกฉีกทิ้งผมจ้องเธออย่างไม่เชื่อสายตา

    ออมกำลังจะต้องไปที่โรงพยาบาลที่ประเทศญี่ปุ่นไปผ่าตัดตาที่นั่นน่ะแม่ของออมรู้จักกับหมอคนหนึ่งที่นั่นแม่บอกว่าเขาจะทำให้ออมกลับมามองเห็นอีกครั้งได้แน่ๆออมเองก็อยากจะกลับมามองเห็นได้อีกครั้งแต่…”ผมสังเกตเห็นว่ามีหยดน้ำหลายหยดได้ไหลรินออกมาผ้าคาดตาสีขาวของเธอออมกลัวออมกลัวที่จะจากทุกคนไปกลัวที่จะต้องรับการรักษากลัวทุกอย่างออมไม่อยากจากที่นี่ไปเลยออมจะทำยังไงดีหินออมกลัว…”เธอร้องไห้ออกมาอย่างปวดร้าวพลางโผเข้ากอดผมร่างเล็กๆสั่นไหวอย่างเหน็บหนาวทำเอาผมแทบทำอะไรไม่ถูก เธอกำลังจะไปงั้นเหรอ ถึงผมจะรู้ว่าสักวันวันนี้มันจะมาถึง ผมจึงได้มาหาเธอมาอยู่กับเธอทุกวันเพียงเพราะหวังว่าจะทำใจได้เมื่อวันนี้มาถึงแต่ว่าแบบนี้มันรับไม่ได้ ถึงผมจะทำใจไว้แล้วแต่ว่าแบบนี้มันแบบนี้มันผมควรจะทำอย่างไรดี

    ผมใช้มือข้างหนึ่งโอบกอดเธอสวนอีกข้างก็ลูบไล้ผมยาวสลวยของเธอเป็นเชิงปลอบใจ ร่างเล็กๆของเธอสั่นอย่างปวดร้าวในอ้อมแขนของผม ผมเองก็ไม่ต่างกันผมรู้สึกเหน็บหนาวในใจอย่างรุนแรง ผมเองก็ได้แต่ฝืนเก็บน้ำตาเอาไว้ไม่อาจพูดอะไรได้ รอจนเธอนั้นหยุดร้องไห้ผมจึงเอ่ยขึ้น

    ออมจะไปเมื่อไหร่…”

    อีกสองวัน…”เธอพูดปนสะอื้นอีกสองวันออมก็ต้องไปแล้วหินออมไม่อยากไปเลย…”

    ผมเองก็นั่งคิดอยู่นานจนผมนึกโทษพวกสูตรฟิสิกส์ที่ผมนั้นเพียรท่องอยู่นานเพราะมันไม่เห็นสามารถนำมาคิดแก้ปัญหาเรื่องแบบนี้ได้เลย กระทั่งผมได้ถอนหายใจออกมา ผมไม่รู้ว่าการตัดสินใจแบบนี้นั้นเป็นการดีหรือไม่แต่ว่า

    ผมคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดแล้ว

    ไปเถอะ…”

    เอ๋…”ออมพูดพลางหันมาทางผมอย่างตกใจ หิน…”

    ผมรู้ดีว่าตัวเองพูดอะไรออมไปเถอะดีแล้วนี่ออมจะได้กลับมามองเห็นอีกครั้งไงล่ะ…”

    แต่ว่าหลังจากนี้ออมจะไม่ได้เจอหินอีกแล้วนะ…”

    อย่าพูดอย่างนั้นสิตั้งแต่วันนี้จนพรุ่งนี้ผมสัญญาว่าจะมาอยู่ที่นี่ผมจะไม่ไปไหนผมจะอยู่กับออมทั้งวันจะอยู่ด้วยกันเป็นวันสุดท้ายจะอยู่ข้างๆออมจนเช้าจนกว่าออมจะออกเดินทางผมก็จะไปส่งผมสัญญา…”เธอนิ่งเงียบไปนานแล้วก็พยักหน้าตอบรับ

    อืม…”ออมพูดขึ้นพลางใช้มือเล็กๆนั่นเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า “ขอบใจมากนะหิน

    ผมมองเธอแล้วก็รีบลุกขึ้นพาเธอไปส่งห้องพัก ก่อนกลับผมก็ได้หันกลับมาหาเธอขณะที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องของเธอ

    เดี๋ยวผมมานะผมขอกลับไปเตรียมตัวก่อนแล้วผมจะรีบมานะ…”เธอก็ยิ้มและพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับก่อนที่ผมจะวิ่งออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ผมตระหนักว่าขณะนี้เวลาของผมกับเธอกำลังลดน้อยลงเรื่อยๆวินาทีต่อวินาที ต่อจากนี้ผมจะไม่ยอมให้เวลาผ่านไปโดยไร้ค่าแม้แต่วินาทีเดียว

    ผมอยากจะมีเวลาอยู่กับเธอให้นานกว่านี้

    แม้จะแค่วินาทีเดียวก็เพียงพอ

     

     

    3 เดือนถัดมา

    ในวันประกาศผลเกรดหลังจบม.5ผมก็ได้เดินจากบ้านไปโรงเรียนคนเดียวตามเคย ดอกไม้และต้นไม้ใหญ่ข้างทางได้พลิ้วปลิวตามแรงลม ผมได้ยื่นมือออกมาก็มีใบไม้ใบหนึ่งได้ปลิวมาตกลงบนฝ่ามือของผม ผมก็ยิ้มและกำมันลงอย่างทะนุถนอมกระทั่งผมนั้นได้เดินผ่านถนนหลังโรงพยาบาลก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวไปมองถนนด้านตรงข้ามกับที่ผมยืนอยู่ ถนนสายเก่าที่เต็มไปด้วยความทรงจำสายนี้ก็ยังคงเดิม ผมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกันหนาวพลางก้าวต่อไปเรื่อยๆกระทั่งถึงโรงเรียน

     

    ไชโย!...ฉันได้เกรด4คณิตล่ะ…”

    อ๊าคคค!!!ฉันติด ร. สังคมได้ไง…”

    นายได้เกรดเท่าไรเหรอ…”

    ชื่อฉันอยู่ไหนเนี่ย…”

    เฮ้ย!!!ไอ้เดย์ได้เกรด 3.54 ว่ะเป็นไปไม่ได้!!!…”

    เสียงโหวกเหวกของนักเรียนทั้งโรงเรียนได้ดังกระหึ่มอยู่ที่บอร์ดกลางโรงเรียน และทุกที่ที่มีคะแนนติดประกาศ ผมเองก็ค่อยๆดันตัวเองเข้าไปในระดับชั้นม.5 ห้อง7 เลขที่29เกรด3.87เหรอก็ไม่เลวหรอก

    อ้าวหินได้เกรดเท่าไรเพื่อน…”นพพรตรงเข้ามาถามผมขณะที่กำลังเดินไปที่ห้องโฮมรูมเพื่อไปเอาใบเกรดกับอาจารย์ป่านนี้เพื่อนคงไปที่นั่นกันหมดแล้ว

    ก็ไม่มากหรอกเท่าที่เคยได้น่ะล่ะ…”

    เหรอเราได้เกรดวิชาภาษาไทยแค่2.5เอง ห้องเรามีคนได้4แค่คนเดียวเองง่ะนายก็คงรู้ว่าใคร…”นพพรพูดพลางส่ายหัว

    ฮ่ะๆเอาน่า เขาเก่งภาษาเขาก็เก่งไป เราเองก็ได้ทางดนตรีเราก็ทำในสิ่งที่เราถนัดไปสิ…”ผมพูดพลางเอามือวางบนไหล่เพื่อนสนิท นพพรก็พยักหน้าหงึกๆแล้วก็หันมายิ้มให้

    นายนี่นะยังมองโลกในแง่ดีเสมอเลยนะชักอิจฉาแล้วสิ…”นพพรพูดทำให้ผมนึกถึงใครบางคนขึ้นมาผมเองก็ได้หันมองไปบนฟ้า

    ยังมีคนที่มองโลกในแง่ดีมากกว่าฉันอีกนะ…”

    อะไรนะพูดอะไรน่ะฟังไม่ชัด…”

    เปล่าหรอกไปเหอะ…”ผมกล่าวปัดๆแล้วก็รีบก้าวยาวๆตรงไปที่ห้องโฮมรูม ก่อนที่จะมองไปยังต้นคูณใหญ่ที่อยู่ต่อหน้า

    ใบของมันกำลังร่วงหล่นตามสายลม

     

    หลังจากไปรับใบเกรดแล้วผมก็ได้เดินกลับบ้านดังเคยท่ามกลางสายลมหนาวที่พัดผ่านมาเป็นระยะ ถึงแม้เสื้อกันหนาวนั้นจะช่วยป้องกันความหนาวได้ แต่ก็ป้องกันได้แต่เพียงภายนอกเท่านั้น ไม่อาจป้องกันส่วนในของหัวใจที่หนาวเหน็บได้เลย ถนนสายนี้ที่ผมได้เจอเธอครั้งแรกเป็นจุดเริ่มต้นของความทรงจำเล็กๆที่มีทั้งความอบอุ่นและเหน็บหนาว ผมเดินไปเรื่อยๆแล้วก็มานั่งพักที่ใต้ต้นคูณข้างทางพลางมองไปยังขอบถนนด้านตรงข้ามด้วยความรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก พลางนึกถึงเธอคนนั้นนึกถึงช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันและช่วงเวลา

    ที่จำต้องจากลากัน

     

     

    ออม…”ผมเอ่ยชื่อเธอเบาๆก่อนที่เธอจะหันกลับมาผมรู้ดีว่าหลังจากนี้ผมจะไม่ได้เจอเธออีกแล้วจากนี้ไปเธอจะไม่ได้อยู่ข้างๆผมอีกแล้วแต่ผมก็ทำใจยอมรับมันได้แล้ววันนี้จะไม่มีน้ำตาอีกวันนี้ผมจะอวยพรเธอให้จากไปด้วยความรู้สึกดีๆเป็นครั้งสุดท้าย

    หิน…”เธอนั้นก็ยังคงเรียกชื่อผมอยู่อีกฟากหนึ่งที่กั้นด้วยเส้นทางเชื่อมเข้าสู่ตัวเครื่องบินพร้อมกับแม่ของเธอ มันเป็นดังเส้นทางที่กั้นระหว่างผมและออมให้ขาดออกจากกันตลอดไป

    อยู่ที่นู่นดูแลตัวเองดีๆนะ…”

    อืม…”

    กินอาหารให้ครบสามมื้อทุกวันนะพักผ่อนให้เพียงพออย่าให้ตัวเองเจ็บป่วยนะ…”

    อืม…”

    และที่สำคัญน่ะ…”

    เอ๋…”

    อย่าลืมผมนะ…”ผมพูดขณะที่มองหน้าเธอเป็นครั้งสุดท้ายไม่ว่ายังไงก็ห้ามลืมเด็ดขาดนะ…”

    อืมออมสัญญาออมจะกลับมาแน่นอนออมสัญญา…”เธอพูดทั้งน้ำตาจากนั้นพี่มะปรางก็พูดอะไรกับเธออีกหลายคำแต่ผมแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยไม่ได้ยินอะไรเลยสัญญากันแล้วนี่ว่าจะไม่ร้องไห้ให้ตายเถอะแบบนี้มันอดไม่ได้จริงๆ

    จนสิ้นเสียงเครื่องบินลำใหญ่ที่บินออกจากสนามบินไปทำให้ผมที่ยืนอยู่ข้างนอกสนามบินแทบล้มทั้งยืน ผมปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาอย่างไม่สนใจสิ่งใด ตลอดจนเส้นทางกลับมาบ้านมันช่างเคว้งคว้าง เหน็บหนาว และเย็นเยือกอะไรอย่างนี้เป็นคืนที่สองที่ผมนอนไม่หลับจนต้องลุกมานั่งข้างเตียงอีกครั้ง ต่างตรงที่ความรู้สึก มันไม่ได้ร้อนแผดเผา

    แต่เหน็บหนาวจนแทบร้องไห้ออกมา

    ไม่มีเธอแล้ว

     

    ใครเล่าจะรู้ว่าหลังจากที่เธอจากไปที่สนามบินวันนั้น ผมก็ได้รู้ถึงคำๆหนึ่งที่เคยได้ยินว่าความอ้างว้างมันเป็นเช่นไรถึงแม้จะเป็นเวลาสั้นๆที่ได้อยู่ด้วยกันได้รู้จักกัน ก็นับว่าเป็นการดีที่อย่างน้อยในชีวิตของเราสองคนนั้นก็ยังเคยมีช่วงเวลาที่มีความสุขด้วยกัน ไม่ว่าจะพบเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เจ็บปวดสักเพียงใดเราก็ยังมีภาพของความรู้สึกดีๆที่ได้อยู่ร่วมกันคอยยึดเหนี่ยวจิตใจยามอ่อนล้าถึงจะรู้ว่าคงจะเหงาอยู่บ้างแต่ว่าเราสองคนก็จะเดินทางต่อไปบนเส้นทางของตนเอง ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งเส้นทางของเรานั้นอาจจะวกกลับมาบรรจบกันอีกครั้ง และกว่าจะถึงวันนั้นเราสองคนต้องรออีกนานเท่าไรก็ไม่รู้ช่วงเวลาที่เราห่างกันไปนั้นจะลืมกันหรือเปล่าถ้าหากได้พบกันอีกครั้งแล้วเธอจะยังจำผมได้หรือเปล่าคำถามมากมายให้วิ่งวนอยู่ในใจของผมอยู่ตลอด ผมเองก็ได้แต่ภาวนาให้เธอนั้นกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง ไม่แน่ว่าสักวันที่เราได้เจอกันอีกครั้งเธอจะไม่เปลี่ยนไปจะเป็นคนที่อ่อนโยนและเข้มแข็งดังเดิมในชีวิตนี้นั้นอาจจะเหงาไปบ้าง แต่ว่าทุกคนก็ล้วนแล้วแต่อยู่โดยมีความหวังลมหายใจที่ยังมีอยู่ก็ยังคงทำให้เรารู้ว่ายังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปและไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไรผมก็จะยังคงรอและจะไม่มีวันที่จะลืมเธอเป็นอันขาดผมเองก็ยังคงหวังว่าจะได้พบเจอกับเธออีกสักครั้งเราจะกลับมามองดูดอกไม้ และแสงอาทิตย์ด้วยกันอีกครั้ง ไม่ว่ายังไงผมก็จะรอรอวันนั้นวันที่เธอจะกลับมา
    ...สายลมได้พัดมา...
    ...ใบไม้ใบหนึ่งได้ร่วงหล่นจากต้นไม้...
    ...หล่นลงบนฝ่ามือของใครคนหนึ่ง...
    ...เธอได้กำมันลงอย่างทะนุถนอม...
    ...หากคุณลองฟังเสียงจากสายลมดู...
    ...คุณจะได้ยินเสียงของใครบางคน...
    ...ได้ยินหรือเปล่า...
    ...เสียงที่เธอบอกแก่คุณ...
    ...ว่าเธอก็รักคุณเช่นกัน...
                ++++++++++++++++++++++++++++++
                ผมกล้องเองนะครับ...จบแล้วครับสำหรับบทของหินกับออม
                เนื่องจากบทของหินกับออมนี้นั้นผมพยายามแก้อยู่หลายครั้งจากอันเดิมก็เอาออกสู่สายตาสาธารณชนได้อย่างภาคภูมิใจแล้ว!!! (เย้ๆ)ขอขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ^^
                โดยส่วนตัวแล้วผมชอบบทของหินนี้มากแถมแต่งเสร็จก่อนเพื่อนๆคนอื่นๆในห้องของหินทำให้ผมเอามาลงได้ก่อนอย่างไม่มีปัญหาเนื่องจากเป็นเรื่องสั้นจึงอ่านได้โดยไม่ติดขัดเนื้อเรื่องเพราะผมจะพยายามไม่เขียนให้เหตการณ์มันทับกัน แต่ว่าบทนี้ไม่ไดเขียนฉากในห้องเรียนเลยทำให้ไม่ได้เห็นภาพแต่ว่าบทต่อไปทุกท่านจะได้อ่านและรับรู้ถึงความเป็นไปในห้อง7และบรรยากาศของโรงเรียนสามัคคีวิทยาการนี้แน่นอนครับแล้วพบกันคราวหน้านะครับ...เจริญสุขสวัสดีครับผม^^.../เรืองอรุณ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×