คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ลมหายใจกับความคิดถึง Part Two.
“ก๊อก
ก๊อกๆ
”
วันเสาร์ถัดมาผมก็ได้มาที่โรงพยาบาลอีกครั้งพลางเคาะประตูห้องพักของออมในมือของผมถือตะกร้าที่มีผลไม้นาๆชนิดทั้งส้ม ฝรั่ง องุ่น กับน้ำสับปะรด ที่ป้าเอามาฝากจากภาคเหนือไว้ให้กินเสียเยอะแยะเมื่อวันพุธที่แล้วแม่ผมก็เอาไปแจกเพื่อนบ้านก็แล้ว มันก็ยังเยอะอยู่ดีผมก็เลยหยิบมาสักเล็กน้อยเอามาเป็นของฝากออม แต่ว่าความรู้สึกหัวใจที่เต้นโครมครามนี้ไม่ว่านานแค่ไหนก็ไม่ชินซักที
“ค่า
รอเดี๋ยวนะคะ
”
“โครมมม!!!...”
“ว้ายยย!!!...โอ๊ย!!!”
“หา
!!!”
ผมได้ยินเสียงโครมครามดังออกมาจากในห้องของเธอจึงรีบผลักประตูเข้าไปในห้องของเธอทันที ภาพที่ผมเห็นก็คือออมหมอบล้มอยู่กับพื้นโดยมีของที่เคยวางไว้ที่โต๊ะกระจัดกระจายไปทั่วด้วย ผมหัวใจตกไปอยู่ตาตุ่มรีบตรงไปพยุงเธอขึ้นมาทันที ผมยาวสลวยของเธอยุ่งไม่เป็นทรงและเปื้อนน้ำที่พื้นผมรีบจับเธอนั่งที่เก้าอี้ก่อนที่จะเอ่ยปากถาม
“ปะ
เป็นอะไรไหม
เจ็บหรือเปล่า
”ออมส่ายหน้าพลางกัดริมฝีปาก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ
ขอบคุณนะหิน”ผมตรวจดูรอบๆตัวเธออย่างคราวๆไม่พบแผลอะไรก็โล่งใจก่อนจะนั่งลงเก็บของที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น แต่แล้วออมก็ค่อยๆลุกขึ้นจากที่เก้าอี้แล้วก็พยายามคลำมือไปทั่วผมก็รีบลุกขึ้นคว้าเข้าที่มือเธอ
“อะไรเหรอครับ
ออมหาอะไรอยู่
”
“ก็เครื่องเล่นเพลงของหินนั่นล่ะค่ะ
ออมจำไม่ได้ว่าเอาไปวางไว้ไหนแล้ว
ขอโทษด้วยนะคะ”ผมมองไปรอบๆก็เห็นMP3ของผมวางอยู่บนโต๊ะวางของหลังห้องผมก็ถอนหายใจ
“เจอแล้วล่ะครับ
ออมอยู่นิ่งๆสักครู่นะเดี๋ยวผมเก็บของให้”เธอหันดวงตาที่มองไม่เห็นของเธอมาทางผมแล้วก็พยักหน้าเบาๆ
“ค่ะ
รบกวนด้วยนะคะ”
“ครับ
”
ผมใช้เวลาสิบกว่านาทีในการจัดการห้องของออมให้กลับมาเป็นแบบเดิมพอจัดการเสร็จผมก็มานั่งแกะส้มให้ออมทาน ถึงตอนแรกผมจะรู้สึกประหม่าอยู่บ้างแต่ในตอนนี้ก็รู้สึกประหม่าน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดพอผมปอกเสร็จก็ยื่นให้ออมเธอก็รับมาพร้อมรอยยิ้มทำให้ผมรู้สึกเหมือนภายในหัวใจของผมนั้นอบอุ่นขึ้นมา
“รสชาติเป็นไงบ้าง
อร่อยไหม”ผมถามเมื่อเธอทานไป3ผลแล้วเธอก็หันมายิ้มให้ผมอย่างมีความสุข
“หวานมากค่ะ
อร่อยมากด้วย หินไปได้มาจากที่ไหนเหรอ
”ผมได้แต่ยิ้มอย่างเขินอาย
“คุณป้าเอามาให้น่ะครับ
ยังมีผลไม้อีกหลายอย่างเลยนะครับ
อยากทานอีกไหมครับ”เธอก็ส่ายหน้าขวับๆ
“ไม่ล่ะค่ะ
อีกหน่อยพี่มะปรางก็จะพาออมไปตรวจแล้ว
ไว้กลับมาค่อยทานต่อก็ได้ค่ะ”ผมก็พยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วประตูห้องของออมก็เปิดออก พี่พยาบาลคนนั้นก็เดินเข้ามาพร้อมกับเก้าอี้รถเข็น
“น้องออมคะพี่มาแล้วป๊ะ
ไปตรวจกันเถอะ”
“ค่ะ
”ออมพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วก็ค่อยๆพยุงตัวเองยืนขึ้นไปนั่งรถเข็น ส่วนพี่พยาบาลที่ชื่อมะปรางนั้นก็พูดขึ้นกับผม
“หินจะตามมาก็ได้น่ะจ๊ะ
หรือจะรออยู่นี่ก็ไม่ว่ากันนะ”ผมก็คิดอยู่ครู่นึงก็พูดขึ้น
“ผมไปด้วยล่ะกันครับ”พี่มะปรางก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วก็เข็นรถเข็นที่ออมนั่งอยู่ออกไปผมก็เดินตามไปอย่างเงียบๆพลางรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย
“น้องหินเรียนอยู่ม.ไหนแล้วคะเนี่ย
”พี่มะปรางถามขึ้นเมื่อผมนั่งรอออมที่เข้ารับการตรวจอยู่หน้าห้องตรวจ วันนี้คนก็น้อยเช่นเคยเนื่องจากอำเภอที่ผมอยู่นี่เป็นอำเภอเล็กๆไม่ค่อยมีประชากรอาศัยอยู่มากนัก จึงนับว่าเป็นเรื่องดีที่คนอำเภอนี้นั้นสุขภาพแข็งแรงกันเป็นส่วนมาก
“อยู่ม.5แล้วครับ”
“เหรอคะ
อีกสองปีก็จบแล้วนี่นา
น้องหินจะไปเรียนคณะอะไรล่ะคะ”
“ก็กะจะเอ็นแพทย์น่ะครับไม่รู้จะได้หรือเปล่า”
“งั้นเหรอ
ถ้าไม่ได้ก็มาเรียนพยาบาลแบบพี่ก็ได้นะที่นี่ยินดีต้อนรับ”
“ครับๆ”ผมพยักหน้ารับ แล้วผมกับพี่มะปรางก็หัวเราะแฮะๆให้กันทันใดนั้นประตูห้องตรวจก็เปิดออกมาพี่พยาบาลอีกคนก็เข็นรถเข็นออมออกมาพี่มะปรางก็ไปรับช่วงต่อจากพี่พยาบาลคนนั้นแล้วก็เข็นออมเดินออกมา ออมเองก็เปลี่ยนที่คาดตาออกใหม่เธอยิ้มและค่อยๆพูดกับพี่มะปราง
“พี่มะปรางคะ
”
“คะ
”
“ช่วยพาออมไปที่สวนหน่อยได้ไหมคะ
พาออมออกไปสูดอากาศหน่อยนะคะ”พี่มะปรางทำหน้าตาบ่งบอกว่าตัวเองกำลังสยองเล็กๆ ผมเองก็จำหน้าของพี่มะปรางได้ตอนที่ผมพาออมมาส่งที่โรงพยาบาล พี่มะปรางคิดอยู่พักนึง
“พี่พาไปก็ได้ค่ะ”พี่มะปรางหันไปพูดกับออม “แต่มีข้อแม้ว่าน้องออมห้ามหายไปอีกนะคะ
ตกลงไหมคะ”พี่มะปรางพูดกับออมด้วยน้ำเสียงขอร้องมากกว่าคำสั่งออมเองก็ยิ้มและพยักหน้า
“คะ
ออมสัญญา”
“งั้นไปล่ะนะคะ
”
“ค่า
”
พี่มะปรางเข็นรถเข็นที่ออมนั่งอยู่มาจนถึงสวนที่เรียกกันว่า “สวนดอกไม้เพื่อสุขภาพ”ที่อยู่ติดด้านหลังของโรงพยาบาลซึ่งเป็นสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม่นานาพันธุ์และต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงา เป็นสวนที่สวยมากจนผมอดทึ่งไม่ได้ว่ามีสวนแบบนี้ในโรงพยาบาลด้วยพูดตรงๆว่าผมเองก็ตกใจเช่นกัน แถมยังไม่มีใครอยู่ที่นี่ดูส่วนตัวเป็นอย่างมาก และแล้วพี่มะปรางก็มองนาฬิกาและก็บอกผมว่าฝากดูแลออมทีเพราะจะถึงเวลาเข้าเวรของพี่มะปรางแล้ว ผมจึงพยักหน้ารับแล้วก็มองพี่มะปรางเดินจากพวกเราสองคนไป ทำให้ผมกับออมอยู่ด้วยกันแค่สองคนอีกครั้ง
ผมมองออมที่สูดอากาศบริสุทธิ์กับสายลมอยู่พักใหญ่ก็อดมีความสุขไม่ได้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรกัน
ผมรู้สึกเป็นสุขทุกครั้งที่ได้มองเธอยิ้มมันเป็นความรู้สึกดีๆทุกครั้งที่ได้มองเธอตั่งแต่พบกันครั้งแรก ผมเห็นบางอย่างในตัวเธอที่งดงาม งดงามจนผมไม่อาจเปรียบเธอกับอะไรได้ สายลมได้พัดใบไม้ใบหนึ่งหล่นลงบนมือขอเธอที่วางอยู่ตรงอาร์มแชร์ออมก็ได้กำมันลงอย่างทะนุถนอมผมเองก็ได้แต่ยิ้มอย่างเป็นสุขด้วยหัวใจที่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกอบอุ่น
“หินคะ
”จู่ๆออมก็พูดขึ้นทำให้สติของผมกลับมา “เป็นอะไรไปเหรอ
จู่ๆก็เงียบไป”
“เปล่าหรอก
ดูออมมีความสุขดีนะ ออมชอบสวนแบบนี้เหรอ”เธอก็ยิ้มพลางหันหน้าไปทางอื่นทว่าใบหน้าของเธอกลับฉายความรู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างปิดบังไม่ได้
“ใช่คะ
”เธอพยักหน้ารับพลางก้มหน้าลง “แต่ถ้าออมสามารถมองเห็นมันได้ล่ะก็
ออมคงจะมีความสุขมากเลย”เธอคลายมือข้างที่กำใบไม้ใบนั้นออกสายลมก็ได้พัดมันออกไปจากมือของเธอ “มันคงสวยน่าดูเลยใช่ไหมคะ
”
“ระ
เรื่องนั้น”ผมพูดไม่ออกรู้สึกถึงบรรยากาศรอบๆตัวเริ่มเปลี่ยนไป สายลมเริ่มพัดแรงขึ้น เมฆเริ่มจับตัวกันมากขึ้นอากาศเย็นเริ่มพัดเข้ามาแทนที่
“ตั้งแต่วันนั้นออมก็ไม่มองเห็นอะไรเลยค่ะ
มันรู้สึกเหมือนว่าอะไรบางอย่างมันหายไป
โดยที่ออมไม่รู้ว่ามันคืออะไร
”
“วันนั้น
”
“อุบัติเหตุรถชนน่ะคะ
”ออมพูดด้วยน้ำเสียงสะท้อนเล็กน้อย “แมวของออม
มันได้หายไปจากบ้านออมจึงออกตามหา
พอเจอมันอยู่ที่ถนนฝั่งตรงข้ามออมก็วิ่งเข้าไปหามันแล้ว
”ออมทำหน้าเรียบเฉยทว่ามันได้ซ่อนความเจ็บปวดไว้อย่างปิดบังไม่ได้
“ออม
”ผมพูดกับเธอด้วยเสียงที่แหบพร่า
“ออมมองไม่เห็นอะไรเลย
ออมอยากรู้ว่าดอกไม้ที่เขาว่าสวยงามนั้นมันเป็นอย่างไร
อยากจ้องมองขุนเขา
อยากจ้องมองถึงสิ่งต่างๆที่แม่เคยเล่าให้ออมฟัง
อยากสัมผัส สายลมให้มากกว่านี้
อยากมองเห็นใบหน้าของทุกๆคนที่ออมรู้จัก
ออมไม่ต้องการที่จะอยู่ในกรงขังแคบๆแบบนี้อีกแล้ว”
ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่างพุ่งชนจิตใจของผมจนเกิดรอยร้าว แม้ผมจะไม่อาจสัมผัสได้ว่าแท้จริงแล้วเธอนั้นรู้สึกอย่างไรแต่ผมก็รู้ว่ามันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดมาก เจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหวแน่ มันรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ในตอนนั้นผมจึงได้สัมผัสกับบางสิ่งที่อยู่ภายไต้ความร่าเริงและการมองโลกในแง่ดีของเธอ เด็กสาวตัวเล็กๆที่อยู่ตรงหน้าต้องแบกรับความจริงที่แสนเจ็บปวดจนหัวใจแทบแตกร้าว มันเจ็บปวด
จนแทบทนไม่ไหว
“แต่ว่านะคะ
”จู่ๆออมก็พูดขึ้นผมจึงเงยหน้าขึ้นมองเธอ เธอเอามือประสานไว้ที่หน้าตักนั่งตัวตรงแล้วก็ยิ้มออกมา “ออมก็ได้รับสิ่งดีๆจากคุณแม่ และก็พี่ๆพยาบาลเป็นสิ่งตอบแทนเหมือนกัน
มันก็พอที่จะทำให้ลืมความรู้สึกนี่ได้ชั่วคราวนะคะที่ว่าอย่างน้อย
”เธอเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้า “ก็ยังมีคนที่รักเราอยู่เช่นกัน
”
“
”
ในตอนนี้ผมไม่อาจพูดอะไรได้เลยผมรู้สึกสับสนในตัวเอง รู้สึกผิดที่ไม่อาจช่วยคลายความรู้สึกของเธอออกมาได้เท่าที่ควร ผมอยากจะสามารถรับเอาความรู้สึกเจ็บปวดนั้นแทนเธอทว่ามิอาจทำได้เลย มันอึดอัดใจสิ้นดี
“หินคะ
หิน
”ออมเรียกชื่อของผมผมก็เงยหน้าขึ้นมา
“ครับ
”ผมก็ขานรับอย่างไม่เต็มเสียง เธอก็หันมายิ้มให้ผม
“ช่วยพาออมกลับห้องหน่อยเถอะค่ะ
อากาศเริ่มเย็นแล้ว
”ผมมองเธออย่างด้วยรู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูก ผมระบายความอัดอั้นออกมาด้วยลมหายใจอย่างยากลำบาก
“เอ่อ
ครับ
”แล้วผมก็เดินไปจับหลังรถเข็นของออมแล้วพาเธอไปส่งที่ห้องพัก
สายลมหนาวกำลังพัดเข้ามาแทนที่
“จะกลับเลยเหรอคะ
”ออมพูดขึ้นเมื่อผมกำลังลากลับหลังจากที่มาส่งเธอที่ห้อง ผมเองก็ได้แต่ฝืนยิ้มถึงจะรู้ว่าทำไปเพื่อปลอบใจตนเองไม่ใช่เพื่อทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นแท้ๆ
“ครับ
”
“คือว่า
ขอบคุณนะคะที่วันนี้มาอยู่คุยเป็นเพื่อนอีกวัน
ออมดีใจมากเลยนะคะ
”เธอโค้งให้ผมอย่างที่เคยทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่มีสาเหตุ
“ครับ
ขอให้ออมสบายดีนะครับ
แล้วผมจะมาเยี่ยมอีก
แล้วเจอกันนะครับ
”
“คะ
ออมจะรอนะคะ
”
“ครับ
”แล้วผมก็เดินออกมาจากห้องของเธอพอหลังจากปิดประตูห้องของออมแล้วผมก็ค่อยๆเดินไปที่บันไดก่อนที่จะหันกลับมา
หันกลับมามองประตูห้องของเธออีกครั้ง
ในคืนนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมนอนไม่หลับ
เป็นความรู้สึกทรมาณมากสำหรับผม มันรู้สึกร้องแผดเผากระทั่งผมต้องลุกขึ้นมานั่งข้างเตียง ในหัวของผมนั้นมีแต่ภาพของออมในตอนนั้นเต็มไปหมด ภาพของออมที่ต้องทนทรมาณอยู่ตลอดกับการมองไม่เห็นได้ปรากฏขึ้นเด่นชัดภายในจิตใจของผม มันเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ทั้งๆที่ผมพึ่งได้พบกับเธอเมื่อเดือนก่อนนี้แท้ๆแต่ผมกลับหลงรักเธอหมดทั้งใจ ทุกวันได้แต่คิดถึงเธออยู่ตลอด และรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้เธอเป็นความรู้สึกที่ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าผมนั้นมีความสุขทว่า
ขณะที่ผมกำลังมีความสุขนั้นใครอีกคนหนึ่งกลับต้องรู้สึกขมขื่นในใจอยู่ทุกวัน รอยยิ้มของเธอที่มอบให้ผมนั้นมันได้แฝงความขมขื่นเอาไว้มาก นี่ผมไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของออมเลยใช่ไหมว่าเธอนั้นต้องทรมาณมานานเท่าไร เจ็บใจตัวเองที่ไม่อาจช่วยให้เธอนั้นมีความสุขได้มากเท่าที่ควร ผมรู้ว่าในวันนี้นั้นถึงแม้ว่าเธอนั้นจะพูดระบายกับผมทว่ามันนั้นยังเจ็บปวดได้ไม่เท่ากับ 1 ใน 10 ที่อยู่ในใจเธอเลย เป็นไปได้ผมนั้นอยากจะเจ็บปวดแทนเธอ ไม่อยากให้เธอนั้นต้องเจอกับเรื่องแบบนี้อีก
ความรู้สึกที่ได้เห็นคนที่เรารักเจ็บปวดนั้น
มันเจ็บปวดมากกว่าพบเจอด้วยตัวเองเสียอีก
หลังจากวันนั้นผมก็มักจะไปเยี่ยมเธอทุกวันทั้งหลังเลิกเรียนและวันเสาร์อาทิตย์ เพียงเพราะไม่อยากให้เธอต้องอยู่คนเดียว และผมนั้นก็แค่อยากจะอยู่กับเธอให้นานๆแม้จะแค่วินาทีเดียวก็เพียงพอ
และนานวันไปผมนั้นก็ยิ่งรู้สึกดีๆกับเธอขึ้นทุกวัน ทางด้านออมเองก็วางตัวเป็นธรรมชาติมากขึ้นเมื่อเราอยู่ด้วยกัน บางวันผมก็จะเอากีต้าร์ที่ยืมมาจากนพพรไปเล่นให้เธอฟังและก็สอนเธอร้องเพลงต่างๆ ออมก็ดูมีความสุขมากเธอหัวเราะยิ้มบ่อยขึ้น พี่มะปรางก็ยังแอบแซวพวกเราอยู่ว่าตอนผมไม่อยู่ออมก็เล่าอะไรต่อมิอะไรเกี่ยวกับผมให้พี่มะปรางฟังบ่อยๆ ออมก็ก้มหน้างุดอย่างเอียงอายผมเองก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆไม่รู้ว่าควรจะขำหรือสงสารเธอดี
แต่ทุกครั้งที่ผมเห็นเธอมีความสุข
ผมก็ดีใจ
“ก๊อกๆๆ
”
หลังเลิกเรียนในวันหนึ่งผมก็ได้มาหาออมดังเคยผมก็ยืนเคาะประตูห้องเธออยู่นานแต่ก็ไม่มีการตอบรับผมเองก็คิดอยู่ว่าเธอคงไปตรวจผมจึงนั่งรอเธออยู่หน้าห้องไม่กล้าเข้าไป ผมรออยู่สักครู่ก็คิดว่าเธอคงอยู่ที่สวนดอกไม้ของโรงพยาบาลผมจึงเดินไปที่นั่น เมื่อไปถึงก็พบว่าไม่มีใครอยู่เลยมีแค่เด็กสาวที่ผมคุ้นตาในชุดของโรงพยาบาลนั่งอยู่บนรถเข็นที่จอดอยู่ใต้ร่มไม้ใบหน้าของเธอได้เหม่อไปทางท้องฟ้า ภาพของเธอที่ตัดกับบรรยากาศยามตะวันคล้อยดูงดงามอย่างบอกไม่ถูกผมก็เดินตรงเข้าไปหาเธอเสียงผมเดินย่ำพื้นดินทำให้เธอรู้ตัวและหันหน้ามาทางผม ผมก็ยิ้ม
“ไม่ต้องตกใจหรอกออม
ผมเอง”เมื่อออมรู้ว่าเป็นผมก็ยิ้มอย่างดีใจเธอรอให้ผมเดินไปใกล้ๆจึงเอ่ยปากขึ้น
“สวัสดีจ๊ะหิน
วันนี้อากาศดีนะ
”
“ก็
ใช่
”
“งั้นเหรอ
ตอนนี้ดวงอาทิตย์กำลังตกดินใช่หรือเปล่า
”เธอพูดพลางหันหน้ามาทางผม
“อืม
ว่าแต่รู้ได้ไงล่ะ
”
“ก็อากาศเริ่มเย็นลงแล้วนี่นา
พอดึกๆจะหนาวด้วย
สงสัยเข้าหน้าหนาวแล้วล่ะ
”เธอพูด แต่ก็จริงของเธอตอนนี้เดือนธันวาคมแล้วเข้าสู่หน้าหนาวแล้วนี่นา
“นั่นสินะ
”ผมพูดพลางมองเธอ ออมเองก็หันมาทางผมราวกับว่าดวงตาของเธอหายแล้วและสามารถมองทะลุผ้าคาดตานี้ออกมาได้ ผมเองก็รู้สึกหัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะจึงเบนความสนใจ “พี่มะปรางล่ะ
ไปไหนแล้ว
”
“พี่มะปรางไปแล้วล่ะ
แต่ว่าออมขอนั่งเล่นที่นี่ต่อน่ะแล้วก็
”เธอพูดพลางหันหน้าไปทางอื่น “รอหินมาหาน่ะ
”
“ระ
รอผมเหรอ
”
“อืม
”
“ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่าล่ะ
”ผมถามออมก็ส่ายหน้า
“ก็ไม่มีอะไรหรอก
”
“อ๋อ
เหรอ
”
“ก็แค่
”ออมพูดขึ้นด้วยเสียงเบา “คิดถึงเท่านั้นเอง
”
“อ๊ะ
”ผมรู้สึกหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ออมก็หันมาทางผมแล้วก็ยิ้มให้เป็นรอยยิ้มที่งดงามดังเคย
“หิน
ยังจำวันแรกที่เราพบกันได้หรือเปล่า
”
“อะ
อืม
”ผมไม่มีวันลืมวันแรกที่เราเจอกันแน่นอน ในวันที่ผมกำลังเดินกลับบ้านก็มีเด็กผู้หญิงแปลกๆคนหนึ่งเดินอยู่ข้างถนนเธอสวมชุดของผู้ป่วยในโรงพยาบาลและสวมผ้าคาดตา แล้วเธอก็ล้มลงที่พื้นจากนั้นผมก็วิ่งเข้าไปช่วยเธอ
โดยที่ไม่รู้ว่าวันนั้น
จะเป็นวันที่ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป
“วันนั้นน่ะนะ
ออมเหมือนได้ยินเสียงของแมวของออมก็เลยเดินตามเสียงออกไป รู้ตัวอีกทีก็อยู่นอกโรงพยาบาลแล้วตอนนั้นออมกลัว
แต่พูดอะไรไม่ได้เพราะตัวเองเป็นคนออกมาเองกระทั่งหกล้ม
”เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เดาอารมณ์ไม่ออก “ออมก็ได้เจอหิน
”
“อืม
”
“ในวันแรกที่หินมาเยี่ยมออมออมก็เผลอผลักประตูใส่หน้าหินที่ยืนอยู่หน้าห้องจนล้ม แถมยังเผลอก้าวไปเหยียบหินอีก
ออมก็ตกใจเหมือนกันที่หินมาเยี่ยมเพราะตอนนั้นออมก็กำลังคิดถึงหินอยู่พอดี
”ผมมองออมที่กำลังพูดออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง “มันเหมือนมีบางอย่างบอกให้เราต้องพบกัน
แปลกนะคะว่าไหม
”
“นั่นสินะ
ในตอนนั้นผมก็คิดว่าแปลกเหมือนกัน
”
“ฮิ
นั้นสินะคะ
”ออมหัวเราะนิดๆแล้วลมหนาวก็พัดพาใบไม้ใบหนึ่งปลิวมาหล่นลงที่มือของเธอ ออมก็ได้กำมันลงอย่างทะนุถนอม “มันแปลกจริงๆ
”
เราทั้งคู่นิ่งอยู่นาน อย่างที่ผมเคยพูดโลกดูสวยงามขึ้นเมื่อออมยิ้มออกมา ผมเองก็รู้สึกเช่นนั้นในขณะนี้เพราะเธอนั้นกำลังยิ้มอย่างเป็นสุขในขณะนี้ เธอในตอนนี้นั้นดูงดงามราวกับนางฟ้าเลยทีเดียว เป็นอัญมณีสีฟ้าที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด แล้วจู่ๆเธอก็ลุกขึ้นยืนจากวินแชร์ ร่างเล็กๆเซเล็กน้อยก่อนที่จะก้าวเท้าเดินออกไป ผมก็รีบเข้าไปหาเธอ
“มีอะไรเหรอ
จู่ๆก็ลุกขึ้นยืน
”ผมถามขึ้นขณะที่ได้พาเธอมานั่งที่เก้าอี้สำเร็จ ออมก็ยิ้มให้ผม
“ออมก็แค่ต้องการยืนยันบางอย่างน่ะ
”
“เอ๋
”
“ออมก็จะยืนยันว่า ในขณะที่ออมยืนอยู่คนเดียวจะมีใครที่จะมาคว้ามือของออมไว้บ้าง
ตอนนี้คนที่ออมไว้ใจก็มี แม่ พี่มะปราง พี่หวาน น้ารัน แล้วก็ หินอีกคน
ออมจะต้องจำทุกๆคนได้แน่ๆถ้าหากได้จับมืออีกครั้ง
”ผมเริ่มรู้สึกถึงความรู้สึกลึกๆในหัวใจของเด็กสาวที่อยู่ต่อหน้า มันไม่ใช่อย่างที่เห็นแน่นอนลางสังหรณ์ลึกๆในใจของผมบอกว่า
เธอกำลังจะบอกลา
“ออม
ต้องไปแล้วล่ะ
”
วูบ...
“อะ
อะไรนะ
”ผมพูดอย่างไม่เชื่อหูตนเองรู้สึกเหมือนหัวใจถูกฉีกทิ้งผมจ้องเธออย่างไม่เชื่อสายตา
“ออมกำลังจะต้องไปที่โรงพยาบาลที่ประเทศญี่ปุ่น
ไปผ่าตัดตาที่นั่นน่ะแม่ของออมรู้จักกับหมอคนหนึ่งที่นั่น
แม่บอกว่าเขาจะทำให้ออมกลับมามองเห็นอีกครั้งได้แน่ๆ
ออมเองก็อยากจะกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง
แต่
”ผมสังเกตเห็นว่ามีหยดน้ำหลายหยดได้ไหลรินออกมาผ้าคาดตาสีขาวของเธอ “ออมกลัว
ออมกลัวที่จะจากทุกคนไป
กลัวที่จะต้องรับการรักษา
กลัวทุกอย่าง
ออมไม่อยากจากที่นี่ไปเลย
ออมจะทำยังไงดี
หิน
ออมกลัว
”เธอร้องไห้ออกมาอย่างปวดร้าวพลางโผเข้ากอดผมร่างเล็กๆสั่นไหวอย่างเหน็บหนาวทำเอาผมแทบทำอะไรไม่ถูก เธอกำลังจะไปงั้นเหรอ ถึงผมจะรู้ว่าสักวันวันนี้มันจะมาถึง ผมจึงได้มาหาเธอมาอยู่กับเธอทุกวันเพียงเพราะหวังว่าจะทำใจได้เมื่อวันนี้มาถึงแต่ว่าแบบนี้มันรับไม่ได้ ถึงผมจะทำใจไว้แล้วแต่ว่าแบบนี้มัน
แบบนี้มัน
ผมควรจะทำอย่างไรดี
ผมใช้มือข้างหนึ่งโอบกอดเธอสวนอีกข้างก็ลูบไล้ผมยาวสลวยของเธอเป็นเชิงปลอบใจ ร่างเล็กๆของเธอสั่นอย่างปวดร้าวในอ้อมแขนของผม ผมเองก็ไม่ต่างกันผมรู้สึกเหน็บหนาวในใจอย่างรุนแรง ผมเองก็ได้แต่ฝืนเก็บน้ำตาเอาไว้ไม่อาจพูดอะไรได้ รอจนเธอนั้นหยุดร้องไห้ผมจึงเอ่ยขึ้น
“ออม
จะไปเมื่อไหร่
”
“อีกสองวัน
”เธอพูดปนสะอื้น “อีกสองวัน
ออมก็ต้องไปแล้ว
หิน
ออมไม่อยากไปเลย
”
ผมเองก็นั่งคิดอยู่นานจนผมนึกโทษพวกสูตรฟิสิกส์ที่ผมนั้นเพียรท่องอยู่นานเพราะมันไม่เห็นสามารถนำมาคิดแก้ปัญหาเรื่องแบบนี้ได้เลย กระทั่งผมได้ถอนหายใจออกมา ผมไม่รู้ว่าการตัดสินใจแบบนี้นั้นเป็นการดีหรือไม่แต่ว่า
ผมคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดแล้ว
“ไปเถอะ
”
“เอ๋
”ออมพูดพลางหันมาทางผมอย่างตกใจ “หิน
”
“ผมรู้ดีว่าตัวเองพูดอะไร
ออมไปเถอะ
ดีแล้วนี่ออมจะได้กลับมามองเห็นอีกครั้งไงล่ะ
”
“แต่ว่าหลังจากนี้
ออมจะไม่ได้เจอหินอีกแล้วนะ
”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ
ตั้งแต่วันนี้จนพรุ่งนี้ผมสัญญาว่าจะมาอยู่ที่นี่ผมจะไม่ไปไหน
ผมจะอยู่กับออมทั้งวัน
จะอยู่ด้วยกันเป็นวันสุดท้าย
จะอยู่ข้างๆออมจนเช้า
จนกว่าออมจะออกเดินทาง
ผมก็จะไปส่ง
ผมสัญญา
”เธอนิ่งเงียบไปนานแล้วก็พยักหน้าตอบรับ
“อืม
”ออมพูดขึ้นพลางใช้มือเล็กๆนั่นเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า “ขอบใจมากนะหิน
”
ผมมองเธอแล้วก็รีบลุกขึ้นพาเธอไปส่งห้องพัก ก่อนกลับผมก็ได้หันกลับมาหาเธอขณะที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องของเธอ
“เดี๋ยวผมมานะ
ผมขอกลับไปเตรียมตัวก่อน
แล้วผมจะรีบมานะ
”เธอก็ยิ้มและพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับก่อนที่ผมจะวิ่งออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ผมตระหนักว่าขณะนี้เวลาของผมกับเธอกำลังลดน้อยลงเรื่อยๆวินาทีต่อวินาที ต่อจากนี้ผมจะไม่ยอมให้เวลาผ่านไปโดยไร้ค่าแม้แต่วินาทีเดียว
ผมอยากจะมีเวลาอยู่กับเธอให้นานกว่านี้
แม้จะแค่วินาทีเดียวก็เพียงพอ
3 เดือนถัดมา
ในวันประกาศผลเกรดหลังจบม.5ผมก็ได้เดินจากบ้านไปโรงเรียนคนเดียวตามเคย ดอกไม้และต้นไม้ใหญ่ข้างทางได้พลิ้วปลิวตามแรงลม ผมได้ยื่นมือออกมาก็มีใบไม้ใบหนึ่งได้ปลิวมาตกลงบนฝ่ามือของผม ผมก็ยิ้มและกำมันลงอย่างทะนุถนอมกระทั่งผมนั้นได้เดินผ่านถนนหลังโรงพยาบาลก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวไปมองถนนด้านตรงข้ามกับที่ผมยืนอยู่ ถนนสายเก่าที่เต็มไปด้วยความทรงจำสายนี้ก็ยังคงเดิม ผมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกันหนาวพลางก้าวต่อไปเรื่อยๆกระทั่งถึงโรงเรียน
“ไชโย!...ฉันได้เกรด4คณิตล่ะ
”
“อ๊าคคค!!!ฉันติด ร. สังคมได้ไง
”
“นายได้เกรดเท่าไรเหรอ
”
“ชื่อฉันอยู่ไหนเนี่ย
”
“เฮ้ย!!!ไอ้เดย์ได้เกรด 3.54 ว่ะเป็นไปไม่ได้!!!
”
เสียงโหวกเหวกของนักเรียนทั้งโรงเรียนได้ดังกระหึ่มอยู่ที่บอร์ดกลางโรงเรียน และทุกที่ที่มีคะแนนติดประกาศ ผมเองก็ค่อยๆดันตัวเองเข้าไปในระดับชั้นม.5 ห้อง7 เลขที่29เกรด3.87เหรอ
ก็ไม่เลวหรอก
“อ้าวหิน
ได้เกรดเท่าไรเพื่อน
”นพพรตรงเข้ามาถามผมขณะที่กำลังเดินไปที่ห้องโฮมรูมเพื่อไปเอาใบเกรดกับอาจารย์
ป่านนี้เพื่อนคงไปที่นั่นกันหมดแล้ว
“ก็ไม่มากหรอก
เท่าที่เคยได้น่ะล่ะ
”
“เหรอ
เราได้เกรดวิชาภาษาไทยแค่2.5เอง ห้องเรามีคนได้4แค่คนเดียวเองง่ะ
นายก็คงรู้ว่าใคร
”นพพรพูดพลางส่ายหัว
“ฮ่ะๆ
เอาน่า เขาเก่งภาษาเขาก็เก่งไป เราเองก็ได้ทางดนตรีเราก็ทำในสิ่งที่เราถนัดไปสิ
”ผมพูดพลางเอามือวางบนไหล่เพื่อนสนิท นพพรก็พยักหน้าหงึกๆแล้วก็หันมายิ้มให้
“นายนี่นะ
ยังมองโลกในแง่ดีเสมอเลยนะ
ชักอิจฉาแล้วสิ
”นพพรพูดทำให้ผมนึกถึงใครบางคนขึ้นมาผมเองก็ได้หันมองไปบนฟ้า
“ยังมีคนที่มองโลกในแง่ดีมากกว่าฉันอีกนะ
”
“อะไรนะ
พูดอะไรน่ะ
ฟังไม่ชัด
”
“เปล่าหรอก
ไปเหอะ
”ผมกล่าวปัดๆแล้วก็รีบก้าวยาวๆตรงไปที่ห้องโฮมรูม ก่อนที่จะมองไปยังต้นคูณใหญ่ที่อยู่ต่อหน้า
ใบของมันกำลังร่วงหล่นตามสายลม
หลังจากไปรับใบเกรดแล้วผมก็ได้เดินกลับบ้านดังเคยท่ามกลางสายลมหนาวที่พัดผ่านมาเป็นระยะ ถึงแม้เสื้อกันหนาวนั้นจะช่วยป้องกันความหนาวได้ แต่ก็ป้องกันได้แต่เพียงภายนอกเท่านั้น ไม่อาจป้องกันส่วนในของหัวใจที่หนาวเหน็บได้เลย ถนนสายนี้ที่ผมได้เจอเธอครั้งแรกเป็นจุดเริ่มต้นของความทรงจำเล็กๆที่มีทั้งความอบอุ่นและเหน็บหนาว ผมเดินไปเรื่อยๆแล้วก็มานั่งพักที่ใต้ต้นคูณข้างทางพลางมองไปยังขอบถนนด้านตรงข้ามด้วยความรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก พลางนึกถึงเธอคนนั้น
นึกถึงช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันและช่วงเวลา
ที่จำต้องจากลากัน
“ออม
”ผมเอ่ยชื่อเธอเบาๆก่อนที่เธอจะหันกลับมา
ผมรู้ดีว่าหลังจากนี้ผมจะไม่ได้เจอเธออีกแล้วจากนี้ไปเธอจะไม่ได้อยู่ข้างๆผมอีกแล้ว
แต่ผมก็ทำใจยอมรับมันได้แล้ว
วันนี้จะไม่มีน้ำตาอีก
วันนี้ผมจะอวยพรเธอให้จากไปด้วยความรู้สึกดีๆเป็นครั้งสุดท้าย
“หิน
”เธอนั้นก็ยังคงเรียกชื่อผมอยู่อีกฟากหนึ่งที่กั้นด้วยเส้นทางเชื่อมเข้าสู่ตัวเครื่องบินพร้อมกับแม่ของเธอ มันเป็นดังเส้นทางที่กั้นระหว่างผมและออมให้ขาดออกจากกันตลอดไป
“อยู่ที่นู่น
ดูแลตัวเองดีๆนะ
”
“อืม
”
“กินอาหารให้ครบสามมื้อทุกวันนะ
พักผ่อนให้เพียงพอ
อย่าให้ตัวเองเจ็บป่วยนะ
”
“อืม
”
“และที่สำคัญน่ะ
”
“เอ๋
”
“อย่าลืมผมนะ
”ผมพูดขณะที่มองหน้าเธอเป็นครั้งสุดท้าย “ไม่ว่ายังไง
ก็ห้ามลืมเด็ดขาดนะ
”
“อืม
ออมสัญญา
ออมจะกลับมาแน่นอน
ออมสัญญา
”เธอพูดทั้งน้ำตาจากนั้นพี่มะปรางก็พูดอะไรกับเธออีกหลายคำแต่ผมแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
ไม่ได้ยินอะไรเลย
สัญญากันแล้วนี่ว่าจะไม่ร้องไห้
ให้ตายเถอะ
แบบนี้มัน
อดไม่ได้จริงๆ
จนสิ้นเสียงเครื่องบินลำใหญ่ที่บินออกจากสนามบินไปทำให้ผมที่ยืนอยู่ข้างนอกสนามบินแทบล้มทั้งยืน ผมปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาอย่างไม่สนใจสิ่งใด ตลอดจนเส้นทางกลับมาบ้านมันช่างเคว้งคว้าง เหน็บหนาว และเย็นเยือกอะไรอย่างนี้เป็นคืนที่สองที่ผมนอนไม่หลับจนต้องลุกมานั่งข้างเตียงอีกครั้ง ต่างตรงที่ความรู้สึก มันไม่ได้ร้อนแผดเผา
แต่เหน็บหนาวจนแทบร้องไห้ออกมา
ไม่มี
เธอแล้ว
ใครเล่าจะรู้ว่าหลังจากที่เธอจากไปที่สนามบินวันนั้น ผมก็ได้รู้ถึงคำๆหนึ่งที่เคยได้ยินว่าความอ้างว้างมันเป็นเช่นไร
ถึงแม้จะเป็นเวลาสั้นๆที่ได้อยู่ด้วยกัน
ได้รู้จักกัน ก็นับว่าเป็นการดีที่อย่างน้อยในชีวิตของเราสองคนนั้นก็ยังเคยมีช่วงเวลาที่มีความสุขด้วยกัน ไม่ว่าจะพบเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เจ็บปวดสักเพียงใดเราก็ยังมีภาพของความรู้สึกดีๆที่ได้อยู่ร่วมกันคอยยึดเหนี่ยวจิตใจยามอ่อนล้า
ถึงจะรู้ว่าคงจะเหงาอยู่บ้างแต่ว่าเราสองคนก็จะเดินทางต่อไปบนเส้นทางของตนเอง ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งเส้นทางของเรานั้นอาจจะวกกลับมาบรรจบกันอีกครั้ง และกว่าจะถึงวันนั้นเราสองคนต้องรออีกนานเท่าไรก็ไม่รู้
ช่วงเวลาที่เราห่างกันไปนั้นจะลืมกันหรือเปล่า
ถ้าหากได้พบกันอีกครั้งแล้วเธอจะยังจำผมได้หรือเปล่า
คำถามมากมายให้วิ่งวนอยู่ในใจของผมอยู่ตลอด ผมเองก็ได้แต่ภาวนาให้เธอนั้นกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง ไม่แน่ว่าสักวันที่เราได้เจอกันอีกครั้งเธอจะไม่เปลี่ยนไปจะเป็นคนที่อ่อนโยนและเข้มแข็งดังเดิม
ในชีวิตนี้นั้นอาจจะเหงาไปบ้าง แต่ว่าทุกคนก็ล้วนแล้วแต่อยู่โดยมีความหวัง
ลมหายใจที่ยังมีอยู่ก็ยังคงทำให้เรารู้ว่ายังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไร
ผมก็จะยังคงรอ
และจะไม่มีวันที่จะลืมเธอเป็นอันขาด
ผมเองก็ยังคงหวังว่าจะได้พบเจอกับเธออีกสักครั้งเราจะกลับมามองดูดอกไม้ และแสงอาทิตย์ด้วยกันอีกครั้ง ไม่ว่ายังไงผมก็จะรอ
รอวันนั้น
วันที่เธอจะกลับมา
...สายลมได้พัดมา...
...ใบไม้ใบหนึ่งได้ร่วงหล่นจากต้นไม้...
...หล่นลงบนฝ่ามือของใครคนหนึ่ง...
...เธอได้กำมันลงอย่างทะนุถนอม...
...หากคุณลองฟังเสียงจากสายลมดู...
...คุณจะได้ยินเสียงของใครบางคน...
...ได้ยินหรือเปล่า...
...เสียงที่เธอบอกแก่คุณ...
...ว่าเธอก็รักคุณเช่นกัน...
++++++++++++++++++++++++++++++
ผมกล้องเองนะครับ...จบแล้วครับสำหรับบทของหินกับออม
เนื่องจากบทของหินกับออมนี้นั้นผมพยายามแก้อยู่หลายครั้งจากอันเดิมก็เอาออกสู่สายตาสาธารณชนได้อย่างภาคภูมิใจแล้ว!!! (เย้ๆ)ขอขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ^^
โดยส่วนตัวแล้วผมชอบบทของหินนี้มากแถมแต่งเสร็จก่อนเพื่อนๆคนอื่นๆในห้องของหินทำให้ผมเอามาลงได้ก่อนอย่างไม่มีปัญหาเนื่องจากเป็นเรื่องสั้นจึงอ่านได้โดยไม่ติดขัดเนื้อเรื่องเพราะผมจะพยายามไม่เขียนให้เหตการณ์มันทับกัน แต่ว่าบทนี้ไม่ไดเขียนฉากในห้องเรียนเลยทำให้ไม่ได้เห็นภาพแต่ว่าบทต่อไปทุกท่านจะได้อ่านและรับรู้ถึงความเป็นไปในห้อง7และบรรยากาศของโรงเรียนสามัคคีวิทยาการนี้แน่นอนครับแล้วพบกันคราวหน้านะครับ...เจริญสุขสวัสดีครับผม^^.../เรืองอรุณ
ความคิดเห็น