คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตำนานที่ 1 : ฟรีซแลนด์ องค์ที่ 2 ผมคือผู้ส่งสารลำดับที่สิบเอ็ด 100%
‘ผมจะทำแบบนี้จนกว่าจะยึดร่างคุณได้นั้นแหละ คุณฟาส์ท แพร๊อท’ ไอเด็นตอบ ‘อ้อ คุณน่าจะขอบคุณผมมากกว่านะที่ทำให้คุณได้ขึ้นเรือประมงมาถึงฟรีซแลนด์ได้เร็วกว่าที่คุณคาดไว้’
“คนพวกนั้นก็เป็นพวกของแกงั้นเหรอ?”
‘ก็มีทั้งใช่และใช่ในอนาคตอันใกล้ล่ะนะ หึๆ’
มันหัวเราะอย่างที่ทำประจำ ‘คุณนี่ขัดขืนตลอดเลยนะ
เวลาผมจะดูดความทรงจำเนี่ย’
“ใครมันจะยอมให้ตัวดูดอย่างแกทำตามใจชอบล่ะ”ฟาส์ทตอบโต้“อยู่ๆ ก็เข้ามาในตัวฉันโดยที่ฉันไม่ได้อนุญาตให้เข้ามาเลยสักนิด
ญาติฝ่ายไหนเชิญมาไม่ทราบ”
“...หน้าสวยแต่วาจาโหดร้ายน่าดู”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่เขากลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายอารมณ์ดี “เป็นบุคลิกที่น่าสนใจ”
“แค่
‘อัลแตร์’ ไม่พอใช่ไหม?” เขาพูดถึงหนึ่งพี่น้องนักส่งสารติดอันดับที่เคยประจำการอยู่ที่ทวีปฟรีซแลนด์
“ไหนๆ ก็ไหนๆ ช่วยบอกสักหน่อยแล้วกันว่าแกทำแบบนี้กับฉัน กับอัลแตร์ทำไมแล้วพาฉันมาที่ทวีปทางเหนือนี่โดยสวัสดิภาพอีก
แกต้องการอะไรกันแน่...”
‘จุ๊ๆๆๆๆ’
เสียงปรามขัดจังหวะโดนพลันก่อนไอเด็นจะพูดต่อ ‘ยังไม่ถึงเวลาหรอกแต่ยังไม่บอกตอนนี้หรอกนะว่าจะทำอะไร
ดูๆ ไปก่อนแล้วกัน ส่วนตอนนี้...ฉันขอความทรงจำของคุณไปพลางๆ ก่อนแล้วกันนะ
คุณฟาส์ท’
พลันรู้สึกถึงบางอย่างกระชากหัว
จากนั้นความเย็นก็เริ่มเข้าปกคลุม...ฟาส์ทไม่รู้สึกถึงความเจ็บ
มันไม่เคยมีความรู้สึกนี้ในการกระทำของมันแม้แต่น้อย
แต่เหมือนบางอย่างของตัวเองได้หลุดจากขอบผาหลุดร่วงเข้าไปในหลุมอันดำมืดไร้ก้นจนสิ้นหวัง
หลังจากนั้น...ว่างเปล่าและหยุดนิ่ง
โดยที่ไม่สามารถต่อต้านมันได้เลย...
“คุณเชฟพาร์ดครับ
คุณเชฟพาร์ด” ฟาส์ทค่อยๆ ลืมตาขึ้น ร่างเขานอนบนพื้นไม้เย็น เขาค่อยๆ
ยันตัวลุกขึ้น แม้จะง่วงงุนอยู่บ้างก็ตาม “คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่าครับ? ผมจะเปิดประตูเข้าไปนะครับ”
กุญแจในมือของเอ็ด สวอนชะงักกึกก่อนจะได้ไขเมื่อประตูถูกดึงเข้าไปด้านในเสียก่อน
“ผมยังดีอยู่คุณเอ็ด
สวอน” ชายหนุ่มว่าเสียงล้าก่อนจะดึงประตูให้อีกฝ่ายเข้า “เข้ามาสิ”
ฟาส์ทเดินเข้าไปข้างใน ตามหลังมาด้วยผู้ดูแลที่กบดานประจำทวีปฟรีซแลนด์
มือหนาหยาบกร้านถือถาดอาหารมาบริการตามหน้าที่ เอ็ดวางมันบนโต๊ะทำงานชิดหน้าต่าง
ฟาส์ทซึ่งนั่งอยู่บนเตียงพยายามครุ่นคิดว่าอาหารหน้าตาเป็นเส้นๆ ราดซอสสีแดงๆ
ใส่อะไรสักอย่างเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมผืนผ้ามันคืออะไร แต่เขาเคยกินมันแน่ๆ! ดันเอาความทรงจำส่วนนี้ออกไปซะได้ โธ่เว้ย!
“ไม่เปิดตะเกียงสักหน่อยเหรอครับ”
ผู้ดูแลหมุนแกนซึ่งฝังอยู่กับฐานตะเกียงให้ แสงสีขาวนวลสว่างวาบทันใดทำให้ห้องคลายความมืดได้มากกว่าแสงจันทร์
อีกฝ่ายดึงเก้าอี้ไม้ออกมาจากโต๊ะ
ร่างหนามานั่งตรงหน้านักส่งสารหน้าสวย “ขอแนะนำตัวนะครับ ผมเอ็ด สวอน
เป็นผู้ดูแลที่กบดานประจำทวีปฟรีซแลนด์” มือหนายื่นมาให้เขาจับ
“ไอเด็น
เชฟพาร์ด” ฟาส์ทแนะนำด้วยชื่อปลอมของตน
เพราะไม่มั่นใจว่าคนตรงหน้าจะไว้ใจได้สักเพียงใด
“นักส่งสารติดอันดับลำดับที่สิบเอ็ด ยินดีที่ได้รู้จักคุณเอ็ด สวอน”
มือเรียวยื่นเข้าไปกระชับความสัมพันธ์พลางเขย่าเบาๆ ตามมารยาท
“เรียกผมว่าเอ็ดพอ”
เอ็ดว่า “คุณมาแทนคุณอัลแตร์หรือครับ?”
“เปล่า
มาส่งแบบเฉพาะกิจน่ะ” ฟาส์ทอธิบาย
“อ้อ
ส่งให้กับท่านเรเนียเหรอครับ” เอ็ดหมายถึง เจ้าแห่งเมืองอิสระเรเนีย
คนที่ปกครองที่นี่ในทวีปเหนือแห่งนี้ที่นี่เป็นเมืองเดียวที่ยังมีคนอยู่ทั้งยังไม่ขึ้นต่อประเทศใดๆ
ว่ากันว่าเธอสืบเชื้อสายมาจากวีรสตรีที่ชื่อว่า ‘เอนเดรีย เรม’ วีรสตรีลำดับที่ห้าสิบ
ผู้ซึ่งเคยเป็นราชวงศ์เก่าของฟรีซแลนซ์ซึ่งได้ล่มสลายลงไปในยุคของเธอ
คงเหลือเพียงเมืองเล็กๆ เมืองนี้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเก่าของทวีปฟรีซแลนด์
“ไม่ใช่”
นักส่งสารปฏิเสธ “ส่งให้เจ้าแห่งแดนเหนือน่ะ”
“ว่าไงนะครับ!” ร่างหนาถึงกับทะลึ่งตัวมองดวงตาของหนุ่มรุ่นลูกด้วยแววตาตื่นตะลึง
“ขุนนางของคาซัคเสียสติแล้วหรือไงครับ!?”
ฟาส์ทกะไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
“ทำไงได้เบื้องบนสั่งมา
ถึงจะต้องส่งสารให้บุคคลที่เลือนหายไปจากโลกจนกลายเป็นตำนานไปแล้วแต่ก็ต้องทำ
และผมอยากขอช่วยเหลือจากคุณ ทุกๆ เรื่องที่ทำให้ผมส่งสารในครั้งนี้ลุล่วง”
มือเรียวสอดเข้าไปในเสื้อและดึงบางอย่างออกมา
มันเป็นแท่งสีดำขนาดครึ่งฟุตปรากฏออกมา
มันไม่มีมีลวดลายอะไรแม้แต่อย่างเดียวแต่เมื่อโดนแสงจันทร์มันกลับเหลือบเป็นสีม่วงเข้มทำให้พอเดาได้ว่า
มันไม่ได้ทำจากวัสดุธรรมดาอย่างแน่นอน
“ภายในนี้บรรจุสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนกับ
‘เจ้าแห่งแดนเหนือ’
เอาไว้” ฟาส์ทว่า “และมันก็คือความหวังของคาซัคด้วย”
“คาซัคคิดจะ
‘แลกเปลี่ยน’ กับเจ้าแห่งแดนเหนือเหรอครับ คาซัคมีความจำเป็นอะไรทำไมถึง...”
“ฉันบอกนายได้แค่นี้
เอ็ด สวอน” นักส่งสารตัดบท เป็นอันรับรู้กันว่าไม่สมควรก้าวก่ายต่อหน้าที่ของอีกฝ่ายอีก
เอ็ด
สวอนทรุดลงนั่ง เหงื่อของเขาผุดขึ้นท่ามกลางอากาศเย็นๆ
โดยมีเขามองสีหน้ากังวลนั้นอย่างนิ่งๆ
“งั้นผมขอไปเอาของสักครู่นะครับ”
ฟาส์ทพยักหน้า ชายหนุ่มทอดถอนใจคล้อยหลังของผู้ดูแล ไม่ใช่แค่เอ็ดหรอกนะที่ตกใจ
ตอนที่เขาได้รับภารกิจนี้ก็เช่นกัน
ฟาส์ทค้นหาอย่างหนักถึงเบาะแสต่างๆ
และเรื่องเกี่ยวกับทวีปทางเหนือก่อนออกเดินทาง
‘เจ้าแห่งแดนเหนือ’ เป็นหนึ่งในสี่ดวงตาของโลกที่อัลแซสม่าและแอสเทียร์สร้างขึ้นเพื่อคอยดูแลทุกชีวิตบนโลก
ในตำนานกล่าวว่าเขาเป็นผู้ควบคุมความเป็นตายของทุกสิ่งและในขณะเดียวกันก็เป็น ‘ผู้แลกเปลี่ยน’ อีกด้วย
ตัวเจ้าแห่งแดนเหนือเป็นสิ่งลึกลับ
ไม่มีใครทราบว่าตำแหน่งจริงๆ ของเขาอยู่ที่ไหน แต่ความหมายของผู้แลกเปลี่ยนนั้นชัดเจนอย่างเหลือเชื่อ
‘หากนำสิ่งมีค่าเทียบเท่ากับสิ่งที่ขอ
เจ้าแห่งแดนเหนือจะทำให้สมปรารถนาทุกสิ่งสิ้นแต่จงจำไว้
มันจะต้องมีค่าเทียบเท่ากัน’
แต่กลับมีตำนานที่สามารถยืนยันตำแหน่งของเจ้าแห่งแดนเหนือน่าเชื่อถือที่สุด
อยู่ในประวัติศาสตร์เรื่องการล้มสลายของอาณาจักร ‘เรม’
ว่ากันว่าเป็นเพราะเจ้าแห่งแดนเหนือสาปแช่งพวกเขาเนื่องจากกษัตริย์องค์สุดท้ายของเรมทรงผิดคำสัญญา
ตัวแทนของพระเจ้าองค์นั้นจึงบันดาลให้เกิดโลกระบาดไปทั่ว
จนเหลือเพียงเจ้าฟ้าหญิงเอนเดรีย
ซึ่งต่อมาก็ได้กลายมาเป็นวีรสตรีผู้หาญกล้าเข้าจู่โจมจอมเวทนอกรีต ‘เลซซ่า อัลดริก’
แต่ที่สำคัญที่สุดของเรื่องที่ทำให้ทุกอย่างน่าเชื่อถือคือบทความที่นางเขียนระบายความรู้สึกต่อเจ้าแห่งแดนเหนือ
‘ข้ายังคงแค้นท่านอยู่...แต่ก็ไม่อาจสังหารท่านได้
ท่านพรากทุกสิ่งไปจากข้า แต่ท่านก็มอบทุกสิ่งให้กับข้าเช่นกัน แม้ท่านจะอยู่ภายใต้อาภรณ์มืด
แต่ใจของท่านกลับสว่างยิ่งกว่าใจข้าผู้มีแต่ความเคียดแค้น
ข้ารู้ว่าท่านรักทุกสรรพสิ่ง แต่ใจของข้ากลับมอบมันกับท่านแต่เพียงผู้เดียวและข้า...ก็ยังคงแค้นท่านอยู่ท่านเจ้าแห่งแดนเหนือ’
เอนเดรีย เรม เจ้าฟ้าหญิงแห่งอาณาจักรสูญสลาย
วีรสตรีลำดับที่ห้าสิบ
ผู้มีชัยเหนือเวทร้าย ผู้ซึ่งมอบหัวใจให้กับผู้ที่หัวใจของนางเอื้อมไม่ถึง
ปล.ที่แห่งนั้น ที่เราได้พบกันเป็นครั้งแรกข้าขอมอบมันแด่ท่าน
นั้นเป็นเรื่องเมื่อห้าร้อยปีที่แล้วและคำของนางก็ช่าง...เออ
เอาเถอะแต่อย่างน้อยเขาก็ยังได้คำใบ้เกี่ยวกับที่อยู่...ของเจ้าแห่งแดนเหนือ
ปล.ที่แห่งนั้น
ที่เราได้พบกันเป็นครั้งแรกข้าขอมอบมันแด่ท่าน
ถ้าเป็นอย่างที่เขาสันนิษฐานไว้ล่ะก็...
นานพอสมควร
เอ็ดกลับมาพร้อมกับแผนหนังในมือในจังหวะซึ่งชายหนุ่มจัดการกับอาหารไปได้ครึ่งจาน ฟาส์ทวางจานไว้บนเตียงขณะที่มือหนากางมันลงบนโต๊ะ
ท่อนแขนยกขึ้นมาทำความสะอาดอย่างเร่งด่วนพลางเขยิบเข้ามาดู
แผ่นหนังเต็มไปด้วยเส้นหมึก กลิ่นหนังจางๆ ลอยขึ้นมาเอียนจมูกเล่น
ฟาส์ทย่นจมูกทำฟุดฟิดๆ ก่อนจะละหน้าไปจามนอกแผนที่
“นี่คือแผนที่ของทวีปฟรีซแลนด์ฉบับสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่ผมมี”
เอ็ด สวอนพูด “คุณมีแผนอะไรหรือยังครับ?”
“เท่าที่ข้อมูลของฉันมี
ฉันคิดว่าเจ้าแห่งแดนเหนือน่าจะอยู่ที่ปราสาทดำน่ะ”
นิ้วสัมผัสกับจุดสัญลักษณ์เครื่องหมายรูปปราสาทสีดำ ข้างใต้เขียนมันเขียนว่า ‘ปราสาทดำแห่งเรม’ “ถ้าอ้างอิงกับจดหมายฉบับสุดท้ายของวีรสตรีเอนเดรียซึ่งส่งเพื่อบ่งบอกความในใจของเจ้าแห่งแดนเหนือ...ดูมันไม่สมเหตุสมผลเท่าไรใช่ไหม?”
เขาถาม เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายซึ่งดูยังไม่เข้าใจในจุดประสงค์
“แต่ว่าถ้าเกิดเอาประวัติชีวิตก่อนหน้าที่จะเป็นวีรสตรีของท่านมาเทียบก็จะพบว่านางไม่เคยออกไปจากทวีปนี้เลย
เพราะการพิการแต่กำเนิดตั้งแต่เอวลงไปไม่มีความรู้สึก ซึ่งไม่อำนวยต่อการเดินทางไปไหนอย่างยิ่ง
ชีวิตของท่านอยู่ในปราสาทตลอดจนเกิดโรคระบาดขึ้น ประเทศเรมล่มสลายหลังจากนั้นท่านก็พบกับเจ้าแห่งแดนเหนือแล้วกลายเป็นวีรสตรี”
“ฉันเลยคิดว่าในตอนนี้เจ้าแห่งแดนเหนือก็อาจจะอยู่ที่นั่น”
“แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันไม่ใช่เหรอครับ?...”
ชายกลางคนพูดด้วยความเป็นห่วง “ถ้าคุณสันนิษฐานผิดล่ะ”
ฟาส์ทมีสีหน้าหม่นลง
“ข่าวร้ายเลยล่ะ...แต่มันไม่มีทางเลือกหรือเบาะแสอะไรมากกว่านี้แล้ว”
“ถ้าแค่สภาพอากาศแปรปรวนมันก็ไม่เท่าไรหรอกครับ...แต่มีเรื่อง
‘เงา’ นี่อีก”
นั้นแหละที่ทำให้เขาถึงกับถอนหายใจ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรในช่วงสิบปีมานี่สภาพอากาศของทวีปแปรปรวนจนถึงขีดสุด พายุหิมะเกิดขึ้นแทบตลอดทั้งปีแม้แต่ฤดูร้อนแต่อุณหภูมิราวกับยังอยู่ในฤดูหนาว
บางครั้งก็เกิดพายุลูกเห็บหิมะอย่างหนักเสียด้วยซ้ำ
จนพื้นที่ที่อยู่ลึกภายในไม่มีใครกล้าเยื้องกรายเข้าไปอีกแต่ปัญหาที่หนักกว่านั้นคือ
‘เงา’
เท่าที่ชายหนุ่มได้ยินมา ‘เงา’
เป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดและมีรูปร่างที่หลากหลาย มักจะอยู่ในรูปร่างของสัตว์ต่างๆ
แต่มีขนาดตัวหรือความดุร้ายเกินความจริง
ตัวของมันมีสีดำกลมกลืนไปกับความมืดของค่ำคืนและมีพละพลังมหาศาล
ไม่มีใครสรุปได้เลยว่ามันเกิดมาจากอะไร
“คนในเมืองบอกว่ามันคือคำสาป
แต่บางคนก็บอกว่ามันคือเวทมนตร์ที่น่าจะเกิดจากเจ้าแห่งแดนเหนือ บางก็ว่ามันคือสัญญาณการเริ่มของหายนะโลก”
“ถ้าเป็นของเจ้าแห่งแดนเหนือจริงฉันก็เดาไม่ออกว่าท่านจะทำไปเพื่ออะไร?”
ฟาส์ทว่าอย่างเรียบง่ายแต่ท้าทาย “บางทีการเข้าไปในนั้นอาจจะทำให้ฉันรู้ก็ได้นะ”
“คุณอย่าทำเป็นเล่นไปพวกเงาน่ะร้ายกาจจริงๆ
นะ” เอ็ดทำเสียงเคร่ง “ถ้าแต่ก่อนน่ะมันก็แค่อยู่รอบๆ
เมืองนี้เท่านั้นนะไม่เคยเข้ามาแม้แต่นิด จนเมื่อเดือนที่แล้วมันมาอาละวาดเสียเฉยๆ
ไปทั่วเมือง ดูอย่างร้านผมสิมันอุดต้องปะต้องซ่อมกันถึงขนาดไหน...
คุณไอเด็น
คุณเชื่อไหมว่าขนาดผมเอาปืนยาวไปยิงมัน มันยังไม่สะทกสะท้านเลย! มันคำรามใส่แล้ววิ่งไล่ผมด้วยซ้ำ
ผมหนีรอดมาได้ก็บุญขนาดไหนแล้ว!” เขาเล่าไปพลางเสียวสันหลังเมื่อนึกถึงตอนที่หลบซ่อนตัว
มันเข้ามาใกล้จนเขารู้สึกได้ถึงความกลัวตายยิ่งกว่าตอนที่แล่นเรือฝ่าคลื่นเพื่อเข้าฝั่งเสียอีก
จนต้องโยนปืนยาวไร้ลูกราคาแพงหูฉีกที่กว่าจะซื้อมาได้ต้องเซ็นเอกสารนับไม่ถ้วนเพื่อล่อมันออกไปจากเขาและมันก็กระทืบเสียเละเทะ
ฟาส์ทเข้าใจถึงสาเหตุของซากโรงแรมนี่ทันควันและเริ่มวิตก
ตัวเขาเองก็มีปืนสั้นด้วยเหมือนกันแต่หลังจากฟังเรื่องของเอ็ด ท่าทางความคิดที่จะพึ่งมันคงต้องพับเก็บไปถาวร
พอคิดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจพลันคิดเคร่งเครียด ‘แล้วฉันจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย?’
พลันเสียงโหยหวนดังสะท้อนจนคนทั้งคู่สะดุ้งเฮือก
ใบหน้าโหดถึงกับถอดสีเหงื่อไหลข้างใบหน้าให้เห็นชัด แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่แตกต่างกันนักต่อให้รับรู้แต่มือที่สั่นน้อยๆ
หากไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลย
ความกลัวในใจยิ่งเข้าเกาะกุมเมื่อเห็นภาพบางอย่าง
‘ไม่น่ะ ไม่นะ อย่าเข้ามา’
‘นี่มันอะไรกัน!’ มือของเขาสั่นหนักขึ้น
‘อ๊าก!!!’
“อ๊าก!!!” โดยไม่รู้ตัวเขากรีดร้องตามเสียนั่น ฟาส์ทรู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวเองสติหลุดลอย
ความเจ็บปวดแล่นเข้าทิ่มแทงร่างอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“คุณเซฟพาร์ด!” ผู้ดูแลตะโกนอย่างตื่นตระหนก
ฟาส์ทก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่แล้วเสียงโหยหวนก็หยุดลง
ชายหนุ่มถึงกับใช้ปากหายใจ เขารู้สึกถึงสัมผัสแฉะๆ ที่ในมือ เมื่อยกทั้งสองขึ้นและแบออกก็พบว่ามันคือเลือด
“อยู่ๆ คุณก็ร้องขึ้นมาผมตกใจแทบตาย!”
“นายเห็นเหมือนที่ฉันเห็นไหม?”
ฟาส์ทถามอย่างเพ้อๆ
“คุณพูดเรื่องอะไรน่ะครับ?”
“ฉันถูกใครบางคน...ฆ่า” ถ้อยคำสุดท้ายนั่นทำให้เขาหวาดกลัวอย่างประหลาดราวกับตัวเขาเองอยู่ในเหตุการณ์นั้น
ไม่ใช่หรอก...เหมือนกับโดนคนรุมฆ่าเองเลยอย่างนั้นแหละ
“คุณไม่เป็นไรนะครับ?”
“...”
ฟาส์ทพูดอะไรไม่ออก เขาไม่เข้าใจเลยเป็นเพราะอะไรกันแม้แต่ตอนนี้ความกลัวก็ยังฝังลึก
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนไม่รู้ว่ามันนานเท่าไรแล้ว
“ผม..จะไปเอากล่องปฐมพยาบาลกับของอุ่นๆ
มาให้ก่อนนะครับ”
“...”ชายหนุ่มแค่พยักหน้าแม้แต่ตอนนี้มือก็ยังสั่นทั้งๆ
ที่เหตุการณ์ผ่านไปแล้ว ในตอนนี้เขาสับสนอย่างที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างประดาประดังเข้ามา
ทุกอย่างไม่เป็นไปตามคาดหลังจากที่อัลแตร์ทรยศ
เรื่องของไอเด็น การส่งสาร การเดินทางและตัวของเขา มันกำลังจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ
ชายหนุ่มปวดหัวหนัก
เปลือกตาค่อยๆ หลุบลงจนหลับไปทั้งๆ ที่นั่งอยู่แบบนั้น
‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡
‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡
End : past 1: I’m
messenger number eleven.
ความคิดเห็น