ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Heroes Builder (ผม?) นี่แหละวีรบุรุษ (รอรีไรท์)

    ลำดับตอนที่ #4 : ตำนานที่ 1 : ฟรีซแลนด์ องค์ที่ 2 ผมคือผู้ส่งสารลำดับที่สิบเอ็ด 100%

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.ค. 60




                  ผมจะทำแบบนี้จนกว่าจะยึดร่างคุณได้นั้นแหละ คุณฟาส์ท แพร๊อทไอเด็นตอบ อ้อ คุณน่าจะขอบคุณผมมากกว่านะที่ทำให้คุณได้ขึ้นเรือประมงมาถึงฟรีซแลนด์ได้เร็วกว่าที่คุณคาดไว้

                “คนพวกนั้นก็เป็นพวกของแกงั้นเหรอ?”

                ก็มีทั้งใช่และใช่ในอนาคตอันใกล้ล่ะนะ หึๆมันหัวเราะอย่างที่ทำประจำ คุณนี่ขัดขืนตลอดเลยนะ เวลาผมจะดูดความทรงจำเนี่ย

                “ใครมันจะยอมให้ตัวดูดอย่างแกทำตามใจชอบล่ะ”ฟาส์ทตอบโต้“อยู่ๆ ก็เข้ามาในตัวฉันโดยที่ฉันไม่ได้อนุญาตให้เข้ามาเลยสักนิด ญาติฝ่ายไหนเชิญมาไม่ทราบ”

                “...หน้าสวยแต่วาจาโหดร้ายน่าดู” ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่เขากลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายอารมณ์ดี “เป็นบุคลิกที่น่าสนใจ”

                “แค่ อัลแตร์ ไม่พอใช่ไหม?” เขาพูดถึงหนึ่งพี่น้องนักส่งสารติดอันดับที่เคยประจำการอยู่ที่ทวีปฟรีซแลนด์ “ไหนๆ ก็ไหนๆ ช่วยบอกสักหน่อยแล้วกันว่าแกทำแบบนี้กับฉัน กับอัลแตร์ทำไมแล้วพาฉันมาที่ทวีปทางเหนือนี่โดยสวัสดิภาพอีก แกต้องการอะไรกันแน่...”  

                ‘จุ๊ๆๆๆๆ เสียงปรามขัดจังหวะโดนพลันก่อนไอเด็นจะพูดต่อ ยังไม่ถึงเวลาหรอกแต่ยังไม่บอกตอนนี้หรอกนะว่าจะทำอะไร ดูๆ ไปก่อนแล้วกัน ส่วนตอนนี้...ฉันขอความทรงจำของคุณไปพลางๆ ก่อนแล้วกันนะ คุณฟาส์ท

                พลันรู้สึกถึงบางอย่างกระชากหัว จากนั้นความเย็นก็เริ่มเข้าปกคลุม...ฟาส์ทไม่รู้สึกถึงความเจ็บ มันไม่เคยมีความรู้สึกนี้ในการกระทำของมันแม้แต่น้อย แต่เหมือนบางอย่างของตัวเองได้หลุดจากขอบผาหลุดร่วงเข้าไปในหลุมอันดำมืดไร้ก้นจนสิ้นหวัง หลังจากนั้น...ว่างเปล่าและหยุดนิ่ง

                โดยที่ไม่สามารถต่อต้านมันได้เลย...

     

                “คุณเชฟพาร์ดครับ คุณเชฟพาร์ด” ฟาส์ทค่อยๆ ลืมตาขึ้น ร่างเขานอนบนพื้นไม้เย็น เขาค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น แม้จะง่วงงุนอยู่บ้างก็ตาม “คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่าครับ? ผมจะเปิดประตูเข้าไปนะครับ”

                กุญแจในมือของเอ็ด สวอนชะงักกึกก่อนจะได้ไขเมื่อประตูถูกดึงเข้าไปด้านในเสียก่อน

                “ผมยังดีอยู่คุณเอ็ด สวอน” ชายหนุ่มว่าเสียงล้าก่อนจะดึงประตูให้อีกฝ่ายเข้า “เข้ามาสิ”

                ฟาส์ทเดินเข้าไปข้างใน ตามหลังมาด้วยผู้ดูแลที่กบดานประจำทวีปฟรีซแลนด์ มือหนาหยาบกร้านถือถาดอาหารมาบริการตามหน้าที่ เอ็ดวางมันบนโต๊ะทำงานชิดหน้าต่าง ฟาส์ทซึ่งนั่งอยู่บนเตียงพยายามครุ่นคิดว่าอาหารหน้าตาเป็นเส้นๆ ราดซอสสีแดงๆ ใส่อะไรสักอย่างเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมผืนผ้ามันคืออะไร แต่เขาเคยกินมันแน่ๆ! ดันเอาความทรงจำส่วนนี้ออกไปซะได้ โธ่เว้ย!

                “ไม่เปิดตะเกียงสักหน่อยเหรอครับ” ผู้ดูแลหมุนแกนซึ่งฝังอยู่กับฐานตะเกียงให้ แสงสีขาวนวลสว่างวาบทันใดทำให้ห้องคลายความมืดได้มากกว่าแสงจันทร์

                อีกฝ่ายดึงเก้าอี้ไม้ออกมาจากโต๊ะ ร่างหนามานั่งตรงหน้านักส่งสารหน้าสวย “ขอแนะนำตัวนะครับ ผมเอ็ด สวอน เป็นผู้ดูแลที่กบดานประจำทวีปฟรีซแลนด์” มือหนายื่นมาให้เขาจับ

                “ไอเด็น เชฟพาร์ด” ฟาส์ทแนะนำด้วยชื่อปลอมของตน เพราะไม่มั่นใจว่าคนตรงหน้าจะไว้ใจได้สักเพียงใด “นักส่งสารติดอันดับลำดับที่สิบเอ็ด ยินดีที่ได้รู้จักคุณเอ็ด สวอน” มือเรียวยื่นเข้าไปกระชับความสัมพันธ์พลางเขย่าเบาๆ ตามมารยาท

                “เรียกผมว่าเอ็ดพอ” เอ็ดว่า “คุณมาแทนคุณอัลแตร์หรือครับ?”

                “เปล่า มาส่งแบบเฉพาะกิจน่ะ” ฟาส์ทอธิบาย

                “อ้อ ส่งให้กับท่านเรเนียเหรอครับ” เอ็ดหมายถึง เจ้าแห่งเมืองอิสระเรเนีย คนที่ปกครองที่นี่ในทวีปเหนือแห่งนี้ที่นี่เป็นเมืองเดียวที่ยังมีคนอยู่ทั้งยังไม่ขึ้นต่อประเทศใดๆ ว่ากันว่าเธอสืบเชื้อสายมาจากวีรสตรีที่ชื่อว่า เอนเดรีย เรม วีรสตรีลำดับที่ห้าสิบ ผู้ซึ่งเคยเป็นราชวงศ์เก่าของฟรีซแลนซ์ซึ่งได้ล่มสลายลงไปในยุคของเธอ คงเหลือเพียงเมืองเล็กๆ เมืองนี้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเก่าของทวีปฟรีซแลนด์

                “ไม่ใช่” นักส่งสารปฏิเสธ “ส่งให้เจ้าแห่งแดนเหนือน่ะ”

                “ว่าไงนะครับ!” ร่างหนาถึงกับทะลึ่งตัวมองดวงตาของหนุ่มรุ่นลูกด้วยแววตาตื่นตะลึง “ขุนนางของคาซัคเสียสติแล้วหรือไงครับ!?”

                ฟาส์ทกะไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ “ทำไงได้เบื้องบนสั่งมา ถึงจะต้องส่งสารให้บุคคลที่เลือนหายไปจากโลกจนกลายเป็นตำนานไปแล้วแต่ก็ต้องทำ และผมอยากขอช่วยเหลือจากคุณ ทุกๆ เรื่องที่ทำให้ผมส่งสารในครั้งนี้ลุล่วง”

                มือเรียวสอดเข้าไปในเสื้อและดึงบางอย่างออกมา มันเป็นแท่งสีดำขนาดครึ่งฟุตปรากฏออกมา มันไม่มีมีลวดลายอะไรแม้แต่อย่างเดียวแต่เมื่อโดนแสงจันทร์มันกลับเหลือบเป็นสีม่วงเข้มทำให้พอเดาได้ว่า มันไม่ได้ทำจากวัสดุธรรมดาอย่างแน่นอน

                “ภายในนี้บรรจุสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนกับ เจ้าแห่งแดนเหนือเอาไว้” ฟาส์ทว่า “และมันก็คือความหวังของคาซัคด้วย”

                “คาซัคคิดจะ แลกเปลี่ยน กับเจ้าแห่งแดนเหนือเหรอครับ คาซัคมีความจำเป็นอะไรทำไมถึง...”

                “ฉันบอกนายได้แค่นี้ เอ็ด สวอน” นักส่งสารตัดบท เป็นอันรับรู้กันว่าไม่สมควรก้าวก่ายต่อหน้าที่ของอีกฝ่ายอีก

                เอ็ด สวอนทรุดลงนั่ง เหงื่อของเขาผุดขึ้นท่ามกลางอากาศเย็นๆ โดยมีเขามองสีหน้ากังวลนั้นอย่างนิ่งๆ

                “งั้นผมขอไปเอาของสักครู่นะครับ” ฟาส์ทพยักหน้า ชายหนุ่มทอดถอนใจคล้อยหลังของผู้ดูแล ไม่ใช่แค่เอ็ดหรอกนะที่ตกใจ ตอนที่เขาได้รับภารกิจนี้ก็เช่นกัน

                ฟาส์ทค้นหาอย่างหนักถึงเบาะแสต่างๆ และเรื่องเกี่ยวกับทวีปทางเหนือก่อนออกเดินทาง

                เจ้าแห่งแดนเหนือ เป็นหนึ่งในสี่ดวงตาของโลกที่อัลแซสม่าและแอสเทียร์สร้างขึ้นเพื่อคอยดูแลทุกชีวิตบนโลก ในตำนานกล่าวว่าเขาเป็นผู้ควบคุมความเป็นตายของทุกสิ่งและในขณะเดียวกันก็เป็น ผู้แลกเปลี่ยนอีกด้วย

                ตัวเจ้าแห่งแดนเหนือเป็นสิ่งลึกลับ ไม่มีใครทราบว่าตำแหน่งจริงๆ ของเขาอยู่ที่ไหน แต่ความหมายของผู้แลกเปลี่ยนนั้นชัดเจนอย่างเหลือเชื่อ

                หากนำสิ่งมีค่าเทียบเท่ากับสิ่งที่ขอ เจ้าแห่งแดนเหนือจะทำให้สมปรารถนาทุกสิ่งสิ้นแต่จงจำไว้ มันจะต้องมีค่าเทียบเท่ากัน

                แต่กลับมีตำนานที่สามารถยืนยันตำแหน่งของเจ้าแห่งแดนเหนือน่าเชื่อถือที่สุด อยู่ในประวัติศาสตร์เรื่องการล้มสลายของอาณาจักร เรม ว่ากันว่าเป็นเพราะเจ้าแห่งแดนเหนือสาปแช่งพวกเขาเนื่องจากกษัตริย์องค์สุดท้ายของเรมทรงผิดคำสัญญา ตัวแทนของพระเจ้าองค์นั้นจึงบันดาลให้เกิดโลกระบาดไปทั่ว จนเหลือเพียงเจ้าฟ้าหญิงเอนเดรีย ซึ่งต่อมาก็ได้กลายมาเป็นวีรสตรีผู้หาญกล้าเข้าจู่โจมจอมเวทนอกรีต เลซซ่า อัลดริก แต่ที่สำคัญที่สุดของเรื่องที่ทำให้ทุกอย่างน่าเชื่อถือคือบทความที่นางเขียนระบายความรู้สึกต่อเจ้าแห่งแดนเหนือ

                ข้ายังคงแค้นท่านอยู่...แต่ก็ไม่อาจสังหารท่านได้ ท่านพรากทุกสิ่งไปจากข้า แต่ท่านก็มอบทุกสิ่งให้กับข้าเช่นกัน แม้ท่านจะอยู่ภายใต้อาภรณ์มืด แต่ใจของท่านกลับสว่างยิ่งกว่าใจข้าผู้มีแต่ความเคียดแค้น ข้ารู้ว่าท่านรักทุกสรรพสิ่ง แต่ใจของข้ากลับมอบมันกับท่านแต่เพียงผู้เดียวและข้า...ก็ยังคงแค้นท่านอยู่ท่านเจ้าแห่งแดนเหนือ

                                 เอนเดรีย เรม เจ้าฟ้าหญิงแห่งอาณาจักรสูญสลาย

              วีรสตรีลำดับที่ห้าสิบ ผู้มีชัยเหนือเวทร้าย ผู้ซึ่งมอบหัวใจให้กับผู้ที่หัวใจของนางเอื้อมไม่ถึง

    ปล.ที่แห่งนั้น ที่เราได้พบกันเป็นครั้งแรกข้าขอมอบมันแด่ท่าน

     

                นั้นเป็นเรื่องเมื่อห้าร้อยปีที่แล้วและคำของนางก็ช่าง...เออ เอาเถอะแต่อย่างน้อยเขาก็ยังได้คำใบ้เกี่ยวกับที่อยู่...ของเจ้าแห่งแดนเหนือ

                ปล.ที่แห่งนั้น ที่เราได้พบกันเป็นครั้งแรกข้าขอมอบมันแด่ท่าน

                ถ้าเป็นอย่างที่เขาสันนิษฐานไว้ล่ะก็...

                นานพอสมควร เอ็ดกลับมาพร้อมกับแผนหนังในมือในจังหวะซึ่งชายหนุ่มจัดการกับอาหารไปได้ครึ่งจาน ฟาส์ทวางจานไว้บนเตียงขณะที่มือหนากางมันลงบนโต๊ะ ท่อนแขนยกขึ้นมาทำความสะอาดอย่างเร่งด่วนพลางเขยิบเข้ามาดู แผ่นหนังเต็มไปด้วยเส้นหมึก กลิ่นหนังจางๆ ลอยขึ้นมาเอียนจมูกเล่น ฟาส์ทย่นจมูกทำฟุดฟิดๆ ก่อนจะละหน้าไปจามนอกแผนที่

                “นี่คือแผนที่ของทวีปฟรีซแลนด์ฉบับสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่ผมมี” เอ็ด สวอนพูด “คุณมีแผนอะไรหรือยังครับ?”

                “เท่าที่ข้อมูลของฉันมี ฉันคิดว่าเจ้าแห่งแดนเหนือน่าจะอยู่ที่ปราสาทดำน่ะ” นิ้วสัมผัสกับจุดสัญลักษณ์เครื่องหมายรูปปราสาทสีดำ ข้างใต้เขียนมันเขียนว่า ปราสาทดำแห่งเรม“ถ้าอ้างอิงกับจดหมายฉบับสุดท้ายของวีรสตรีเอนเดรียซึ่งส่งเพื่อบ่งบอกความในใจของเจ้าแห่งแดนเหนือ...ดูมันไม่สมเหตุสมผลเท่าไรใช่ไหม?” เขาถาม เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายซึ่งดูยังไม่เข้าใจในจุดประสงค์

                “แต่ว่าถ้าเกิดเอาประวัติชีวิตก่อนหน้าที่จะเป็นวีรสตรีของท่านมาเทียบก็จะพบว่านางไม่เคยออกไปจากทวีปนี้เลย เพราะการพิการแต่กำเนิดตั้งแต่เอวลงไปไม่มีความรู้สึก ซึ่งไม่อำนวยต่อการเดินทางไปไหนอย่างยิ่ง ชีวิตของท่านอยู่ในปราสาทตลอดจนเกิดโรคระบาดขึ้น ประเทศเรมล่มสลายหลังจากนั้นท่านก็พบกับเจ้าแห่งแดนเหนือแล้วกลายเป็นวีรสตรี”

                “ฉันเลยคิดว่าในตอนนี้เจ้าแห่งแดนเหนือก็อาจจะอยู่ที่นั่น”

                “แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันไม่ใช่เหรอครับ?...” ชายกลางคนพูดด้วยความเป็นห่วง “ถ้าคุณสันนิษฐานผิดล่ะ”

                ฟาส์ทมีสีหน้าหม่นลง “ข่าวร้ายเลยล่ะ...แต่มันไม่มีทางเลือกหรือเบาะแสอะไรมากกว่านี้แล้ว”

                “ถ้าแค่สภาพอากาศแปรปรวนมันก็ไม่เท่าไรหรอกครับ...แต่มีเรื่อง เงา นี่อีก”

                นั้นแหละที่ทำให้เขาถึงกับถอนหายใจ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรในช่วงสิบปีมานี่สภาพอากาศของทวีปแปรปรวนจนถึงขีดสุด พายุหิมะเกิดขึ้นแทบตลอดทั้งปีแม้แต่ฤดูร้อนแต่อุณหภูมิราวกับยังอยู่ในฤดูหนาว บางครั้งก็เกิดพายุลูกเห็บหิมะอย่างหนักเสียด้วยซ้ำ จนพื้นที่ที่อยู่ลึกภายในไม่มีใครกล้าเยื้องกรายเข้าไปอีกแต่ปัญหาที่หนักกว่านั้นคือ เงา

                เท่าที่ชายหนุ่มได้ยินมา เงา เป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดและมีรูปร่างที่หลากหลาย มักจะอยู่ในรูปร่างของสัตว์ต่างๆ แต่มีขนาดตัวหรือความดุร้ายเกินความจริง ตัวของมันมีสีดำกลมกลืนไปกับความมืดของค่ำคืนและมีพละพลังมหาศาล ไม่มีใครสรุปได้เลยว่ามันเกิดมาจากอะไร

                “คนในเมืองบอกว่ามันคือคำสาป แต่บางคนก็บอกว่ามันคือเวทมนตร์ที่น่าจะเกิดจากเจ้าแห่งแดนเหนือ บางก็ว่ามันคือสัญญาณการเริ่มของหายนะโลก”

                “ถ้าเป็นของเจ้าแห่งแดนเหนือจริงฉันก็เดาไม่ออกว่าท่านจะทำไปเพื่ออะไร?” ฟาส์ทว่าอย่างเรียบง่ายแต่ท้าทาย “บางทีการเข้าไปในนั้นอาจจะทำให้ฉันรู้ก็ได้นะ”

                “คุณอย่าทำเป็นเล่นไปพวกเงาน่ะร้ายกาจจริงๆ นะ” เอ็ดทำเสียงเคร่ง “ถ้าแต่ก่อนน่ะมันก็แค่อยู่รอบๆ เมืองนี้เท่านั้นนะไม่เคยเข้ามาแม้แต่นิด จนเมื่อเดือนที่แล้วมันมาอาละวาดเสียเฉยๆ ไปทั่วเมือง ดูอย่างร้านผมสิมันอุดต้องปะต้องซ่อมกันถึงขนาดไหน...

                คุณไอเด็น คุณเชื่อไหมว่าขนาดผมเอาปืนยาวไปยิงมัน มันยังไม่สะทกสะท้านเลย! มันคำรามใส่แล้ววิ่งไล่ผมด้วยซ้ำ ผมหนีรอดมาได้ก็บุญขนาดไหนแล้ว!” เขาเล่าไปพลางเสียวสันหลังเมื่อนึกถึงตอนที่หลบซ่อนตัว มันเข้ามาใกล้จนเขารู้สึกได้ถึงความกลัวตายยิ่งกว่าตอนที่แล่นเรือฝ่าคลื่นเพื่อเข้าฝั่งเสียอีก จนต้องโยนปืนยาวไร้ลูกราคาแพงหูฉีกที่กว่าจะซื้อมาได้ต้องเซ็นเอกสารนับไม่ถ้วนเพื่อล่อมันออกไปจากเขาและมันก็กระทืบเสียเละเทะ

                ฟาส์ทเข้าใจถึงสาเหตุของซากโรงแรมนี่ทันควันและเริ่มวิตก ตัวเขาเองก็มีปืนสั้นด้วยเหมือนกันแต่หลังจากฟังเรื่องของเอ็ด ท่าทางความคิดที่จะพึ่งมันคงต้องพับเก็บไปถาวร พอคิดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจพลันคิดเคร่งเครียด แล้วฉันจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย?

                พลันเสียงโหยหวนดังสะท้อนจนคนทั้งคู่สะดุ้งเฮือก ใบหน้าโหดถึงกับถอดสีเหงื่อไหลข้างใบหน้าให้เห็นชัด แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่แตกต่างกันนักต่อให้รับรู้แต่มือที่สั่นน้อยๆ หากไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลย

                ความกลัวในใจยิ่งเข้าเกาะกุมเมื่อเห็นภาพบางอย่าง

                ไม่น่ะ ไม่นะ อย่าเข้ามา

                ‘นี่มันอะไรกัน!’ มือของเขาสั่นหนักขึ้น

                อ๊าก!!!’

                “อ๊าก!!!” โดยไม่รู้ตัวเขากรีดร้องตามเสียนั่น ฟาส์ทรู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวเองสติหลุดลอย ความเจ็บปวดแล่นเข้าทิ่มแทงร่างอย่างไม่ทราบสาเหตุ

                “คุณเซฟพาร์ด!” ผู้ดูแลตะโกนอย่างตื่นตระหนก ฟาส์ทก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่แล้วเสียงโหยหวนก็หยุดลง ชายหนุ่มถึงกับใช้ปากหายใจ เขารู้สึกถึงสัมผัสแฉะๆ ที่ในมือ เมื่อยกทั้งสองขึ้นและแบออกก็พบว่ามันคือเลือด “อยู่ๆ คุณก็ร้องขึ้นมาผมตกใจแทบตาย!

                “นายเห็นเหมือนที่ฉันเห็นไหม?” ฟาส์ทถามอย่างเพ้อๆ

                “คุณพูดเรื่องอะไรน่ะครับ?”

                “ฉันถูกใครบางคน...ฆ่า” ถ้อยคำสุดท้ายนั่นทำให้เขาหวาดกลัวอย่างประหลาดราวกับตัวเขาเองอยู่ในเหตุการณ์นั้น ไม่ใช่หรอก...เหมือนกับโดนคนรุมฆ่าเองเลยอย่างนั้นแหละ

                “คุณไม่เป็นไรนะครับ?”

                “...” ฟาส์ทพูดอะไรไม่ออก เขาไม่เข้าใจเลยเป็นเพราะอะไรกันแม้แต่ตอนนี้ความกลัวก็ยังฝังลึก เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนไม่รู้ว่ามันนานเท่าไรแล้ว

                “ผม..จะไปเอากล่องปฐมพยาบาลกับของอุ่นๆ มาให้ก่อนนะครับ”

                “...”ชายหนุ่มแค่พยักหน้าแม้แต่ตอนนี้มือก็ยังสั่นทั้งๆ ที่เหตุการณ์ผ่านไปแล้ว ในตอนนี้เขาสับสนอย่างที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างประดาประดังเข้ามา

                ทุกอย่างไม่เป็นไปตามคาดหลังจากที่อัลแตร์ทรยศ เรื่องของไอเด็น การส่งสาร การเดินทางและตัวของเขา มันกำลังจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ

                ชายหนุ่มปวดหัวหนัก เปลือกตาค่อยๆ หลุบลงจนหลับไปทั้งๆ ที่นั่งอยู่แบบนั้น

    ‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡

    End : past 1: I’m messenger number eleven.

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×