ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Heroes Builder (ผม?) นี่แหละวีรบุรุษ (รอรีไรท์)

    ลำดับตอนที่ #3 : ตำนานที่ 1 : ฟรีซแลนด์ องค์ที่ 1 ผมคือผู้ส่งสารลำดับที่สิบเอ็ด 100%

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.ค. 60


               

     

     

     

     

     

     

     

    ตำนานที่ 1 ฟรีซแลนด์

    Legend 1 Freezeland

     

     

     

     

     

     

     

                นานมาแล้วมีดาวเคราะห์สีฟ้าไร้นามดวงหนึ่งล่องลอยอยู่ในอวกาศอันมืดดำและยิ่งใหญ่ มันถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าสององค์ องค์หนึ่งคืออัลแซสม่า (Alzasma) พระเจ้าผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็น พระเจ้าแห่งการสร้าง เนื่องด้วยพระองค์ทรงเป็นผู้วางแผนและสร้างโลกใบนี้รวมถึงสิ่งมีชีวิตทั้งมวลขึ้นมา

              ส่วนอีกหนึ่งคือพระแม่เจ้าแอสเทียร์ (Ashtear) พระแม่เจ้าผู้เป็นคู่ชีวิตของอัลแซสม่า..แต่ทว่าพลังของนางนั้นกลับเป็น ‘การกำหนดอายุขัย’ ให้กับทุกสรรพสิ่ง ให้โลกใบนี้มีการเกิดตายตามกฎของชีวิตอันเป็นการสร้างสมดุลให้กับจักรวาล นับตั้งแต่ครั้งโบราณผู้คนขนานนามพระแม่เจ้าองค์นี้ว่า พระแม่เจ้าแห่งทำลายล้าง เพราะนอกเหนือจากพลังของพระองค์แล้ว ยังมีการบันทึกถึงเรื่องราวของแอสเทียร์ตั้งแต่เมื่อคราวยุคสร้างโลก เกี่ยวกับการจำแลงเป็นมนุษย์หลายต่อหลายครั้งเพื่อช่วยเหลือวีรบุรุษและวีรสตรีกวาดล้างสิ่งชั่วร้ายหลากยุคสมัย

                ‘เมื่อครั้งหนึ่งนางเคยปรากฏกายขึ้นเพื่อชำระล้างความชั่วร้ายในยุคๆ หนึ่งซึ่งไม่เป็นที่แน่ชัด

                พระเจ้าทั้งสองช่วยกันสร้างองค์ละครึ่งโลก โดยอัลแซสม่าสร้างทวีปเหนือและตะวันตกรวมถึงมหาสมุทร ในขณะที่แอสเทียร์สร้างทวีปตะวันออก ใต้และท้องฟ้า

                เมื่อพระเจ้าทั้งสองได้รังสรรค์ทุกอย่างเสร็จสิ้นจึงอนุญาตให้ทุกชีวิตอาศัยอยู่และมอบสิทธิในการปกครองเผ่าพันธุ์ของตนเอง จากนั้นพระเจ้าทั้งสองก็หายไปยังท้องนภาอันแสนไกล

                แม้กระนั้นด้วยความเมตตาในทุกสรรพสิ่งของเหล่าพระเจ้า ก่อนจะจากไปพวกพระองค์ได้สร้าง ดวงตาทั้งสี่  ไว้ให้ ดวงตาทั้งสี่นั้นเป็นดั่งเสาค้ำของทวีปทั้งสี่และโลก มีหน้าที่คอยสอดส่องดูแลรับฟังเสียงและช่วยเหลือผู้คนรวมถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหลายอย่างเท่าเทียมกัน อีกทั้งยังมีหน้าที่รายงานสถานการณ์บนโลกแก่พระเจ้าทั้งสองตลอดมายุคแล้วยุคเล่า ด้วยความเคารพนับถือผู้คนจึงเรียกพวกเขาว่าเป็น ตัวแทนของพระเจ้า

           แต่ด้วยหลายสิ่งหลายอย่างในวิถีชีวิตของผู้คนที่ผันแปรไปตามยุคสมัย เรื่องของพวกเขาจึงค่อยๆ เลือนหายจนแทบจะเหลือเพียงคำบอกเล่ากันปากต่อปากว่าพวกเขาเคยมีตัวตน

    .....................................................................................


     

     

    หากไม่มีความซื่อสัตย์ในตัวมนุษย์ ก็ไม่มีสันติในหมู่มนุษย์

     

     แม่ชีอาคาทา (วีรสตรีคนที่ 63 ของโลก )

    St. Akata (Heroine of 63 of the Erath.)


    ‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡

                                                 

    Legend 1: Freezeland

    past 1

    I’m messenger number eleven.

    ตำนานที่ 1 ฟรีซแลนด์

    ตอนที่ 1 ผมคือ นักส่งสารหมายเลข 11

    ..................................................

                ผมชื่อฟาส์ท แพร๊อท...

     

                หิมะตกโปรยปรายพร้อมกับการมาของสายลม

                ความเย็นยะเยือกทำให้ปากของเขาแห้งแตกซ้ำด้วยการแสบที่ใบหน้า วิสัยการมองของดวงตาสีดำภายใต้แว่นกันลมถูกเกล็ดสีขาวพุ่งเข้ามาครอบงำจนแทบมองไม่เห็นข้างหน้า พายุหิมะกำลังทำหน้าที่ของมันอย่างงดงามคือการกลืนกินหนึ่งชีวิตที่กำลังเดินต้านมันอย่างยากลำบากและมีความหวัง

                ‘อีกนิดเดียว ชายหนุ่มรำพันกับตัวเอง หมู่บ้านข้างหน้า...อีกนิดเดียว

                จู่ๆ ขากลับอ่อนเปลี้ยขึ้นมาดื้อๆ ร่างของเขาทรุดลงท่ามกลางความบ้าคลั่งของธรรมชาติ ภายใต้ผ้าปิดปากกลับแสดงอาการหอบเหนื่อยอย่างน่ากลัว ชายหนุ่มกำลังหอบตัวโยนแม้ร่างภายใต้ชุดกันหนาวอย่างหนาจะยังอุ่นจนถึงขั้นเหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง

                “บ้าเอ้ย” เขาสบถพลางเงยหน้ามองพายุเบื้องหน้า เสียงลมตะโกนกลบเสียงของเขา “ฉันยังไม่อยากตายนะ!

                ชายหนุ่มพยายามลุกขึ้นยืนและเดินไปอีกครั้งตามทิศทางที่ตัวเองจดจำได้ในแผนที่แม้จะโซซัดโซเซก็ตาม แถบนี้ไม่มีที่ไหนจะพอเป็นที่พักได้ยกเว้นหมู่บ้านบนเขาที่กำลังจะไป 

                และอันที่จริงในเวลานี้เขาควรจะเห็นทางชันสีขาวของเทือกเขาที่ไล่เรียงอย่างสวยงามด้วยฝีมือของธรรมชาติ ภูเขาซึ่งถูกปกคลุมด้วยหิมะหลายต่อหลายลูกเรียงซ้อนกันไกลออกไป พวกมันจะต้องวาววับสะท้อนจนแสบตาท่ามกลางฟ้าใสเมื่อส่องกระทบกับแสงแรกของดวงอาทิตย์ที่พึ่งขึ้นจากขอบฟ้า ไม่ใช่ด้วยแสงสลัวท่ามกลางพายุหิมะเช่นนี้

                ตั้งแต่ที่เขารับภารกิจนี้ทุกอย่างอยู่เหนือความคาดหมายและผิดพลาดไปหมดเสียเกือบทุกเรื่อง

                และบางทีพายุหิมะนี่อาจจะเป็นฝีมือของ เจ้าแห่งแดนเหนือ เองก็เป็นได้หรือแม้แต่ เงา ก็ด้วย

                ฟาส์ทแหงนหน้าขึ้น มองดูยอดเขาสูงตรงหน้าแม้ตอนนี้จะมองไม่เห็นมันแต่ตอนที่ฟ้ายังไม่เกิดพายุ เขาเห็นมัน สิ่งก่อสร้างสีดำเพียงเดียวดายบนนั้น  

                ไม่..ไม่ใช่เจ้าแห่งแดนเหนือไม่ทำอย่างนั้นแน่...ผู้ที่เป็นดวงตาของพระเจ้าต้องไม่ทอดทิ้งผู้ที่เดือดร้อนสิ

                ชายหนุ่มกัดฟันกรอดพยายามกอดความเชื่อมั่นของตนไว้และพยายามสลัดความคิดอกุศลต่อตัวแทนของพระเจ้าออกไป และสนใจเพียงความหวังที่รอเขาอยู่ข้างหน้า...มันคือหมู่บ้านๆ หนึ่งในแผนที่ หมู่บ้านแห่งเดียวที่เขาจดจำได้อย่างมั่นใจในเส้นทาง

                หมู่บ้านที่มีผู้คนจะทำให้เขารอด

                แม้จะทรุดไปอีกหลายครั้งแต่ความหวังและการเอาชีวิตรอดเป็นตัวสั่งให้ร่างกายยังคงทำงาน มือขวากำต้นแขนซ้ายไม่อยากไปดูว่ามันเป็นยังไงแต่เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดปะปนกับกระแสกล้ามเนื้อที่เต้นเป็นจังหวะ อาการไข้ที่เขามีพยายามจะฆ่าเขาด้วยความง่วงงุน

                 “ฉันจะต้องไปส่งสารให้เจ้าแห่งแดนเหนือให้ได้” ฟาส์ทพร่ำพูดเพื่อประคองสติของตน “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”

                นักส่งสารยังคงย่ำเท้าต่อไปด้วยสติที่เริ่มลางเลือน พาความทรงจำถอยหลังไปถึงครั้งแรกที่มาที่นี่ ราวหกวันที่แล้ว

    ‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡

     

                ทวีปทางเหนือฟรีซแลนด์ วันที่ 30 พฤศจิกายน อาคาทา ที่ 60 เวลา 18.30 น.

                ณ. เมืองแห่งเดียวในทวีป สโนว์ฟอล (Snowfall)

               

                มืดแล้ว...ทวีปทางเหนือไม่เคยร้างซึ่งความเย็น

                ฟาส์ทถอนหายใจเป็นไอขาว ดวงตาสีดำมองดูทวีปตรงหน้าซึ่งบัดนี้มีแสงเป็นหย่อมๆ จากตะเกียงไปประปรายให้เห็นแต่ไกล สายลมเย็นเคล้าไอทะเลพัดพาเส้นผมสีดำยาวเลยบ่าไปด้านหลัง ร่างเพรียวบางยืนอยู่ใกล้หัวเรือ ในชุดกันหนาวซึ่งประกอบด้วย เสื้อขนสัตว์ตัวหนา กางเกงหนัง รองเท้าบู๊ท ถุงมือหนัง ที่คาดหูและสุดท้ายแว่นกันลมซึ่งห้อยอยู่ที่คอ

                “ไอ้หนุ่ม เดี๋ยวจะเข้าท่าแล้วนะไปเตรียมตัวเถอะ”

                “ครับ” คนถูกเรียกขานรับลูกเรือวัยกลางคนๆ หนึ่งด้วยเสียงทุ้มแฝงความสดใสอันเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ใดๆ ดวงตาสีดำหันกลับไปยังท้องทะเล พระจันทร์ดวงเล็กสีขาวขุ่นจนเกือบเหมือนหิมะสาดแสงลงมายังท้องทะเลสีดำกว้างใหญ่ เสียงคลื่นกระทบท้องเรือฟังดูสงบราวกับอัลแซสม่าเมตตาประทานเพลงกล่อมให้กับทุกคนที่ได้ยิน

                ความมืดเป็นเพื่อนของทวีปนี้มาตั้งแต่เดือนกันยายนหรือช่วงฤดูใบไม้ร่วงของทวีปทางเหนือ ช่วงเวลากลางคืนค่อยๆ กินเวลาช่วงกลางวันไปทีละน้อยจากกลางวันของช่วงฤดูร้อนในเดือนเมษายนที่เคยมีตั้งแต่ยังไม่สางจนถึงตีหนึ่งตีสองก็ค่อยๆ ถูกเวลากลางคืนครอบครองไปทีละน้อยจนถึงในตอนนี้เข้าสู่ช่วงต้นของฤดูหนาวเพียงแค่บ่ายแก่ๆ ดวงอาทิตย์ก็ลาลับไปเสียแล้ว

                 แต่นั่นก็ยังไม่ใช่จุดที่เวลากลางคืนจะมีอำนาจสูงสุดในทวีปนี้

                พื้นเรือส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดในบางจุดเมื่อเขาเหยียบ เรือประมงก็ไม่ได้ทรุดโทรมเท่าไรนักแต่พื้นไม้เริ่มทำท่าจะบวมเพราะโดนน้ำทะเลสัมผัสทั้งวันทั้งคืน กลิ่นคาวปลาลอยเคล้าสายลมเมื่อชายหนุ่มเดินมาเกือบถึงเคบิน แม้ว่าตอนเช้าเขากับลูกเรือจะช่วยกันขัดกันอย่างดีแล้วก็ตามแต่กลิ่นก็ยังติดหนึบกับพื้นแทบไม่จาง ยิ่งวันแรกที่เขาขึ้นมาบนเรือนี้ถึงกับอาเจียน (เขายังนึกว่าตัวเองโชคดีที่ไม่มีอาการเมาคลื่นร่วมด้วย) แต่หลังจากผ่านมาได้สัปดาห์หนึ่งก็เริ่มชินขึ้นมาบ้างตามการปรับตัว

                แน่ล่ะ เขาคือ ฟาส์ท แพร๊อทนักส่งสารหมายเลขสิบเอ็ด เชื่อเถอะไม่มีอะไรที่คนอย่างฟาส์ททำไม่ได้นั้นคือคติประจำใจของเขา

                ไม่นานนัก เรือประมงก็เข้าเทียบท่า ท้องเรือปลายแหลมแหวกน้ำนุ่มนวลแผ่วเบา เด็กหนุ่มคนหนึ่งปีนลงมาด้วยตาข่ายเชือกข้างเรืออีกคนซึ่งอยู่ด้านบนโยนเชือกมาให้คนแรกคล้องท่าไว้ ลูกเรือวัยกลางคนทิ้งสมอลงน้ำเป็นอันเสร็จสิ้นการเทียบท่าเหลือแค่ให้กัปตันลงมาเซ็นเอกสารนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น

                ฟาส์ทลงมาหลังจากการเซ็นชื่อของกัปตันการเทียบท่าก็เสร็จสิ้น กัปตันร่างหนาในชุดกันหนาวก็หันมาจับหมวกโค้งศีรษะน้อยๆ ให้

                “ขอบคุณมากครับคุณเซฟพาร์ดไม่งั้นพวกผมคงต้องติดแหง่กในท่าเรือเซนดร้าแน่ๆ เลย”

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ” นักส่งสารซึ่งตอนนี้ใช้นามสกุลปลอมๆ อยู่ว่า “ผมก็รบกวนข้าวน้ำทุกคนด้วยถือว่าแล้วกันไปก็ได้ครับ” ฟาส์ทยิ้ม

                “แต่พี่ก็ช่วยงานเราหลายอย่างจนเราเกรงใจเลยทั้งๆ ที่ยังไม่สบายอยู่” เด็กหนุ่มคนที่ผูกเชือกเทียบท่าพูด “ถ้าอึดขนาดนี้ ถ้ายังไม่มีอะไรทำหรือว่างานอื่นมันไม่ดีมาลองเป็นชาวประมงกับเราไหมครับพี่ เงินดีมากเลยนะ อา แต่หลังจากนี้จนถึงมีนาพี่จะขาดรายได้สักหน่อยนะ”

                “ฮ่าๆ เดี๋ยวจะลองไปคิดดูนะ” แม้จะดูพูดจาดีและรอยยิ้มเปี่ยมด้วยไมตรีแต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าตัวเขากำลังอดทนกับอาการมากแค่ไหน “ว่าแต่บาร์ฟรีซแอนด์สโนว์อยู่ทางไหนน่ะ?”

                “อ้อ เดินไปถึงทางแยกที่สองเลี้ยวทีนึงก็ถึงแล้วพี่” เด็กหนุ่มว่า พลันลูกเรือที่อาวุโสที่สุดแตะไหล่เขาเบาๆ พลางยื่นซองๆ หนึ่งให้

                “ยา” เขาพูดแค่นั้น ฟาส์ทหยิบรับมาแล้วยิ้มให้

                “ขอบคุณครับที่ดูแลผมตอนไม่สบาย” ชายแก่พยักหน้าแล้วเดินออกจากกลุ่มไปยังเมืองเป็นคนแรก

                ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน และต่างสำนึกบุญคุณของเขาที่ช่วยเหลือแต่ในใจของฟาส์ทกลับไม่ได้ยินดีเลยแม้แต่น้อย

                มันจะยินดีได้ยังไง ในเมื่อเขาจำอะไรไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่ทำเลยสักนิด! 

    ‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡

     

                เส้นทางสว่างไสวด้วยแสงตะเกียงประดิษฐ์ที่แขวนไว้ยังเสาหน้าบ้าน ฟาส์ทเดินผ่านร้านค้าและบ้านเรือนสวนกับผู้คนซึ่งเดินประปรายบนถนน เสียงลูกค้าสั่งของดังพอควรกับแม่ค้าข้างในร้านที่พยายามบอกให้ลูกค้าใจเย็น พลันแว่วเสียงผู้หญิงกำลังอ่านนิทานให้เด็กน้อยชายหญิงสองคนหน้าเตาผิง ดวงตาของพวกเขาแจ่มจรัสกับเรื่องราวในจินตนาการ หากเป็นตอนก่อนได้รับภารกิจมาเขาอาจจะรู้สึกดีกับเสียงและความคึกคักของผู้คนในยามกลางคืนเช่นนี้

                  แต่ตอนนี้เขากลับระแวงอย่างบอกไม่ถูก

                หึๆๆๆเสียงหัวเราะดังขึ้นในหัว นักส่งสารหนุ่มไม่รู้สึกดีเลยแม้แต่น้อยถ้าจะบอกให้ถูกในตอนนี้เขารู้สึกว่าทุกสิ่งดูเป็นศัตรูไปซะหมด

                แค่เพียงเสียงฮัมเพลงของคนงานคนหนึ่งที่เดินผ่าน กับแค่ชายวัยกลางคนถืออีเต้อกลับบ้านยังทำให้ใจสะดุ้งน้อยๆ

                “ก็แค่ชาวบ้านธรรมดาน่าฟาส์ท” เขาพึมพำแผ่วเบาพลางตบหน้าผากตัวเองถี่ๆ ไล่ความคิดบ้าๆ ออกไปจากหัวสมอง

               

                ในที่สุดเขาก็เดินมาถึงที่บาร์อันเป็นจุดหมายจนได้ ฟาส์ทยืนดูสภาพของมันด้วยความทึ่งปะปนด้วยความ...มึนงง จนต้องอุทาน “ที่นี่น่ะเหรอ?”

                 บาร์ฟรีซแอนด์สโนว์ ตามที่ได้ข้อมูลมาจากต้นสังกัดมันจะต้องเป็นกึ่งบาร์กึ่งโรงแรมมีขนาดเท่าบ้านสองชั้น ทำจากไม้ซุงผ่าครึ่งประกอบเป็นบ้าน มีป้ายไม้สีฟ้าขอบเขียวและเขียนชื่อร้าน ‘Freeze And Snow’ ด้วยสีดำและเน้นเงาด้วยเส้นขาวแบบมีศิลป์ และผู้ดูแลที่กบดานชื่อ เอ็ด สวอนคอยดูแล

                แต่ที่นักส่งสารเห็นตอนนี้มันคือบาร์โทรมๆ เต็มไปด้วยการแผ่นไม้น้อยใหญ่ปะอยู่ส่วนหน้าของบาร์เต็มไปหมด ยิ่งแหงนดูใกล้ๆ แม้แต่ป้ายชื่อร้านก็มีร่องรอยซ่อมแซม เสียงหัวเราะและพูดคุยดังขึ้นระงมเคล้าเสียงชนแก้วเบาๆ บ่งบอกถึงบรรยากาศของสถานที่แห่งนี้ได้อย่างดี

                ทันทีที่ชายหนุ่มเดินเข้าไปยังวงกบประตู (ที่ยังพอให้เห็นว่าเคยมีการติดตั้งบานประตูเล็กๆ) ไว้ ทั้งร้านก็เงียบกริบ ทุกคนในที่นั้นหันมามองเขายกใหญ่ ฟาส์ทนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนยิ้มให้

                เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรบรรยากาศชวนอึดอัดเมื่อครู่ก็ลดลง บางคนยิ้มตอบให้เขาด้วยซ้ำแม้จะมีสายตาพราวระยับชวนไม่ไว้วางใจประปรายอยู่บ้างแต่เสียงแห่งความรื่นรมย์ก็ค่อยๆ ดังขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มเดินเข้าไปด้านในเพื่อติดต่อกับผู้แลที่กบดานซึ่งเป็นโอนเนอร์ควบตำแหน่งบาเทนเดอร์ของที่นี่

                “นังหนูเป็นสาวเป็นแส้ไม่สมควรมานี่ตอนกลางคืนหรอกนะ” ชายแก่ร่างผอมหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์กระดกเบียร์เข้าไปหลังพูดกับฟาส์ท ชายหนุ่มซึ่งกำลังเดินผ่านหยุดแล้วหันไป (ฝืน) ยิ้มอีกที (ด้วยความอดทน)

                ผมผู้ชายครับ” เสียงทุ้มสดใสแต่แฝงความองอาจในทีเปล่งออกมา อาจเป็นเพราะความหมายของมันด้วยที่ทำให้ชายชราถึงกับพ่นเบียร์ทิ้งตามด้วยอาการสำลัก ฟาส์ทถอนหายใจเฮ้อแล้วเดินต่อปล่อยให้คนในร้านจ้องเขาตาเป็นมันราวกับไม่อยากจะเชื่อ

                อันที่จริงเขาเคยถูกเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องเพศจริงๆ อยู่บ้าง ด้วยความสูงที่พอสมส่วนของผู้ชาย (แต่ก็ถือว่าสูงสำหรับผู้หญิง) ร่างเพรียวลมดูไม่มีเรี่ยวแรงมากมายอะไร ผมสีดำไว้ยาวเลยบ่าซึ่งตอนนี้แตกปลายยุ่งเหยิงเพราะไม่ได้รับการดูแลมานาน ใบหน้ารูปไข่ถูกประดับด้วยดวงตาคมสีดำ คิ้วหนา โหนกแก้มหรือก็สูง จมูกโด่งสวย ถ้าเกิดผิวของเขาไม่คล้ำเพราะแดดก็จะพบว่าผิวนั้นขาวจัด จนแม้แต่พี่น้องนักส่งสารติดอันดับด้วยกันยังต้องอิจฉา

                โดยเฉพาะริมฝีปากแดงเรื่อนั้น ที่ กรีน่าน้องบุญธรรมและเพื่อนนักส่งสารติดอันดับผู้เรียบร้อยบอกด้วยใบหน้าแดงๆ ด้วยเสียงแผ่วเบา เมื่อเขาให้เธอวิจารณ์เกี่ยวกับใบหน้าเมื่อนานมาแล้วเมื่อครั้งที่มีสาวน้อยสาวใหญ่มาจุ๊บปากใส่ว่า ขอโทษนะคะแต่ปากพี่น่ะ...มันดูน่าจูบ ในบรรดาเครื่องหน้าพี่ทั้งหมดสวยที่สุดก็ปากนี่แหละ

                ใบหน้าของเขามีความเป็นผู้ชายก็จริงโดยเฉพาะดวงตาสีดำที่คมและคิ้วเฉียงหนาจะดูสมชายดีอยู่แล้ว แต่หากคนมองอยู่ในช่วงมึนเมาอยู่แบบนี้ล่ะก็จะมองเห็นเป็นผู้หญิงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

                แทบทุกสายตายังจับจ้องแม้ฟาส์ทจะนั่งอยู่ตรงหน้าบาเทนเดอร์ ดูจากสายตาคงกำลังพินิจพิเคราะห์เขาอยู่ ฟาส์ทมองบาเทนเดอร์นิ่งๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดส่งสารไปให้พวกข้างหลัง

                “อืม...บางส่วนก็ดูเหมือนผู้หญิงอ่ะนะ แต่เจ้าหนุ่มนี่ดูยังไงก็ผู้ชายชัดๆ” พวกชายฉกรรจ์น้อยใหญ่รวมถึงชายชราต่างก้มหน้าก้มตากันไป “แล้วเจ้าหนุ่มมาทำอะไรที่นี่งั้นเหรอ?”

                “ผมขอน้ำผสมน้ำแข็งแก้วหนึ่ง”

                                     

                บาเทนเดอร์จัดให้ตามที่ขอ ฟาส์ทหยิบแก้วน้ำเปล่าขึ้นมาจิบพลันรู้สึกพึงพอใจกับรสชาติปลอดโปร่งปนหวานปะแล่มของน้ำกับน้ำแข็งธรรมชาติซึ่งหาได้จากแค่ในทวีปฟรีซแลนด์แห่งนี้เท่านั้นและเคยเป็นสินค้าส่งออกด้วยซ้ำ

                แต่นับตั้งแต่การ๊าคสามารถสร้างเครื่องผลิตน้ำแข็งสำเร็จและส่งจำหน่ายไปทั่วโลกก็ไม่มีประเทศหรือเมืองไหนสนใจน้ำแข็งธรรมชาติเช่นนี้อีก ด้วยค่าขนส่งที่แพงแสนแพงแถมยังลำบากเพราะการคมนาคมระหว่างทวีปต้องใช้เรือเป็นหลัก เสี่ยงต่อสินค้าเสียหายและหมดมูลค่าอย่างง่ายดาย ผู้คนจึงไม่สนใจในเรื่องนี้แต่แค่การประมง การเพาะสมุนไพรและเหมืองผลิตแร่ก็สามารถหล่อเลี้ยงผู้คนที่นี่ได้อย่างสบาย

                แม้อากาศจะหนาวเหน็บแต่ฟรีซแลนด์เป็นความฝันหนึ่งของฟาส์ทที่เขาจะต้องมาเหยียบย่างสักครั้งในชีวิต ตั้งแต่เมื่อได้ฟังเรื่องราวเมื่อครั้งยังเป็นเพียงนักส่งสารธรรมดา ดินแดนซึ่งมีแต่หิมะและเทือกเขาสีขาวช่างมีเสน่ห์ยวนใจยิ่งนัก ที่นี่ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวด้วยซ้ำผู้คนก็ไม่คึกคักเท่าเมืองใหญ่ๆ มันมีเพียงความสงบ หิมะและสีขาว แต่สำหรับเขาแล้วมันเต็มไปด้วยความลึกลับน่าค้นหา

                โลกใบนี้คือการผจญภัย เรเชล ฟรานเชสก้า วีรบุรุษลำดับที่ยี่สิบสามได้กล่าวเอาไว้ เขาเชื่อมั่นในคำๆ นี้เสมอ แม้แต่การมาประกอบอาชีพนักส่งสารของเขาก็เริ่มต้นมาจากนิยามนี้เช่นกัน

                “มาทำอะไรเหรอพ่อหนุ่ม” บาเทนเดอร์เริ่มต้นถามคำถามง่ายๆ “ไม่เคยเห็นหน้า มีธุระอะไรกับดินแดนรกร้างว่างเปล่าอย่างฟรีซแลนด์กันล่ะ”

                “ผมชื่อไอเด็น เซฟพาร์ด” ฟาส์ทแนะนำตัวด้วยชื่อปลอมๆ “ผมเป็นเพื่อนของหลานลุง อัลแตร์ไงครับ”

                นักส่งสารหน้าสวยพลางหยิบของจากกระเป๋าอกเสื้อพลางใช้นิ้วชี้ไถไปบนโต๊ะ อีกฝ่ายถึงกับเบิกกว้าง

                มันคือเหรียญตราสำริด สลักลายเส้นรูปพิราบคาบสารปลายริบบิ้นผนึกสารมีหมายเลข ‘11’ อยู่

                ชายวัยกลางคนผละสายตาจากเหรียญมามองหน้าเขา นักส่งสารกระตุกยิ้มเบาๆ

                “เพื่อนของอัลแตร์เหรอ?” ผู้ดูแลที่กบดานเริ่มเล่นละคร “อ้าว แล้วเจ้าหลานล่ะเมื่อไรจะกลับมา”

                “สักพักอ่ะลุง ช่วงนี้งานมันยุ่ง” ฟาส์ทว่า “พอบอกว่าจะมาเที่ยวฟรีซแลนด์มันก็ให้ผมเอาของมาให้ลุงด้วย คงจะไม่มาสักพักล่ะมั้ง”

                “อ้อ...งั้น..เพื่อเพื่อนหลานฉัน ฉันใจป้ำเปิดห้องให้ฟรีเลยละกัน” ชายวัยกลางคนหยิบกุญแจเหล็กด้านหลังให้ ป้ายกระดาษเก่าซึ่งมีห่วงเหล็กคล้องกับรูบนหัวกุญแจ เขียนด้วยหมึกสีดำว่า ‘02’

                “ขอบคุณครับ” ฟาส์ทว่าพลางเดินขึ้นไปชั้นบน ชั้นสองซึ่งเป็นชั้นห้องพักมีอยู่เพียงห้าห้อง ซ้ายสามและขวาสองสลับกันเป็นฟันปลา แต่ละห้องก็ติดหมายเลขข้างหน้าไว้อย่างชัดเจน

                 ฟาส์ทล็อกห้องทันทีที่มาถึงห้อง ดวงตาพร่าเลือน ร่างบอบบางทรุดลงกับพื้น มือข้างหนึ่งกุมศีรษะเอาไว้

                “เอาอีกแล้วเหรอแก!” ชายหนุ่มคำราม “ไอเด็น เชฟพาร์ด!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×