ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Heroes Builder (ผม?) นี่แหละวีรบุรุษ (รอรีไรท์)

    ลำดับตอนที่ #2 : บทเริ่มแห่งตำนาน : ใต้เปลวไฟแห่งอัสดง องค์ที่ 2 100%

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.ค. 60




                พิราบหมายเลขแปดค่อยๆ พาตัวเองไปตามแผนที่ อย่างที่อัลบาโก้พูดไว้ไม่ผิดที่นี่ไม่แตกต่างจากเขาวงกตจริงๆ ต่างกันว่ามันมีทางออกมากกว่าหนึ่ง ชวนให้สงสัยว่าเมืองหลวงของประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากฮาร์มทำไมถึงมีเขาวงกตใหญ่ขนาดนี้อยู่ข้างใต้ กษัตริย์แห่งซีบิลไม่ทรงรู้พระองค์เลยอย่างนั้นเหรอ?  

                ทว่าเรื่องของเซียร์และการหนีทำให้ไม่อาจจะสนใจได้มากกว่านี้ เธอเป็นห่วงเขาและไม่รู้ว่าการที่เขาล่อพวกทหารไปคนเดียวจะเป็นยังไงบ้าง แต่สิ่งที่กรีน่ามั่นใจที่สุดคือถ้าโดนจับได้เมื่อไรคงไม่พ้นความตายแน่

                เหมือนแอดเน่...

                ย้อนกลับไปเมื่อราวๆ สองชั่วโมงก่อน

                ทั้งเธอและเซียร์มาส่งสารยังคฤหาสน์ของลอร์ดแคมเบลสี่ห้าครั้งแล้วภายในระยะเวลาสองสามเดือนนับตั้งแต่ที่กรีน่ารับตำแหน่ง นักส่งสารหมายเลขแปด แม้ว่าเหตุการณ์ภายในประเทศซีบิลจะเริ่มวุ่นวายหลังจากเหตุการณ์ประหารราชวงศ์คนสุดท้ายของชาวซีเกตุเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ซึ่งเป็นเด็กชายอายุเพียงแปดปีเท่านั้น

                ด้วยข้อหาที่ร้ายแรงที่สุด การทำลายข้อตกลงสันติภาพในตอนแรกเธอไม่เชื่อว่าเด็กแปดขวบจะทำลายข้อตกลงสันติภาพซึ่งมีมากว่าสองร้อยปีได้จริงๆ เรื่องนี้ถูกโจษจันอย่างรวดเร็วไปทั่วทวีปตะวันตก

                ราชวงศ์คนสุดท้ายได้ปีนขึ้นไปบน ต้นไม้ขาว[1] และเด็ด ผลไม้แห่งข้อตกลง[2] มากัดกิน

                ผลไม้นั่นเป็นเหมือนชัยชนะของชาวซีบิลและการกัดกินชัยชนะของชาวซีบิลก็ไม่ต่างอะไรกับการประกาศสงครามดีๆ นี่เอง

                “คิดเรื่องนั้นอีกแล้วเหรอ?” เซียร์ถามขึ้นเบาๆ เขารู้ว่าเธอคิดอะไรเพราะการมองโบสถ์สีดำซึ่งกษัตริย์ซีบิลสร้างให้กับวีรสตรีอาคาทา นอกจากการเข้าไปชื่นชมสักครั้งก็เห็นจะมีเพียงเรื่องเดียว

                “เขาน่าสงสารเกินไปน่ะเซียร์” กรีน่าเอ่ยแต่สายตาไม่ได้ละไปจากโบสถ์สักนิด “แค่เด็กแปดขวบเองนะคะ เขาอาจจะแค่หิวเท่านั้น”

                “เราเป็น พิราบไม่ใช่ วีรบุรุษ นอกจากส่งสารและพัสดุเราไม่มีหน้าที่ทำอะไรอย่างอื่นนอกประเทศคาซัคทั้งนั้น” เซียร์ยิ้มหึ “นอกจากเรื่องเที่ยว”

                “นั้นสิคะ” กรีน่ายิ้มแม้มันจะฝืน กฎของคาซัคมีมากมายทั้งที่เป็นประเทศอิสระแต่ก็เป็นแค่อิสระเท่าที่ควรจะเป็น

                “เดี๋ยวเราต้องออกประตูหลังสวน ไม่อย่างนั้นได้ถูกพวกซีเกตุฆ่าตายแน่” หญิงสาวพยักหน้า

                เพราะเหตุการณ์นั้นเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ของพวกเขาซ้ำอีกฝ่ายยังเป็นเพียงแค่เด็ก การกระทำเช่นนั้นจึงออกเกินเลยมากเกินไป นอกจากนั้นซีบิลเองก็ไม่มีการทำการเจรจาแต่อย่างใด ที่ร้ายที่สุดคือพวกเขากลับตัดสินใจล้างเผ่าพันธุ์ชาวซีเกตุ

                ชาวซีเกตุเองก็ไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกล่า พวกเขาจึงทำการปล้นอาวุธจากคลังแสงของซีบิลเพื่อลุกขึ้นสู้ป้องกันตัวและในที่สุดสงครามกลางเมืองก็ปะทุขึ้น หลังจากพวกเขามาถึงซีบิลได้เพียงสองสามวัน

                พวกเธอเข้าพบลอร์ดแคมเบลและส่งสารเหมือนที่เคยทำ นักส่งสารติดอันดับจะแตกต่างจากนักส่งสารธรรมดาทั่วไป สารที่พวกเขาส่งนั้นเป็นสารที่ส่งจะให้กับคนยศขุนนางขึ้นไปรวมถึงกษัตริย์ซึ่งแตกต่างจากนักส่งสารทั่วไปซึ่งจะส่งจดหมายและพัสดุให้กับบุคคลธรรมดาเท่านั้น

                นักส่งสารติดอันดับจะต้องไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ฐานะหรือมีการแสดงตัวใดๆ เกิดขึ้นนอกจากผู้เกี่ยวข้องกับสารชิ้นนั้นๆ เท่านั้น แม้จะน้อยแต่ก็ยังมีความผิดพลาดได้เช่นกันและถ้าเกิดเรื่องใดๆ ขึ้น คาซัคจะให้ความคุ้มครองด้วยสนธิสัญญาทันทีเพื่อนำตัวกลับมา ทว่าก็ต้องโดนปลดให้กลายเป็นนักส่งสารธรรมดาไม่มีวันก้าวเข้ามาเป็นพวกติดอันดับได้อีก

                ทุกๆ งานมีความเสี่ยง ทำได้เพียงแต่จำใจยอมรับเช่นเดียวกับเรื่องไม่คาดฝัน

                ขณะที่กำลังเดินไปยังประตูหลังสวนของคฤหาสน์

                “ทุกอย่างดูง่ายจังนะ” เสียงหวานดังแว่ว ประโยคถัดมาทำให้กรีน่าถึงกับหยุดเดิน “แค่หลอกล่อเด็กคนเดียวให้ไปกินผลไม้ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองได้เชียวเหรอเนี่ย น่าอัศจรรย์จริงๆ”

                หญิงสาวเหลือบไปมองคนข้างๆ ชายหนุ่มในตอนนี้ไม่แตกต่าง ดูจากริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน รวมถึงดวงตาสีเงินมีแววความเครียดขึ้นมันก็บอกทุกอย่างแล้ว

                พวกเธอกำลังได้ยินในสิ่งที่ไม่สมควรได้ยิน

                “พวกซีเกตุอยากแยกประเทศกับพวกซีบิลนานแล้วแค่รอโอกาสเหมาะๆ เท่านั้น” ครั้งนี้กลับเป็นเสียงผู้ชาย “ที่เหลือก็จัดการหาอาวุธให้นิด ให้คนของฉันไปปลุกใจถึงอิสรภาพอีกหน่อยก็ลุกฮือพร้อมที่จะปลดแอกตัวเองแล้ว เอ่อ..เดี๋ยวอีกสักชั่วโมงขอคนไปสักร้อยสองร้อยคนสิ”

                “นายจะเอาไปหนุนซีเกตุทำให้พวกเขาชนะเหรอ?”

                “เปล่า” ประโยคถัดมายิ่งทำให้ขนหัวลุก “ก็ให้ไปปิดประตูเมือง แล้วหลังจากนั้นก็ช่วยพวกเขาหนีออกไปสวยๆ จากนั้นเราก็พาพวกซีเกตุที่เหลือรอดไปขอความช่วยเหลือจากประเทศของเรา...เท่านี้แผนการแรกก็เรียบร้อย”

                “ใช้ได้นี่ แล้วเธอล่ะสแตปเปอร์ ไม่สิตอนนี้เป็นท่านลอร์ดวานอร์แห่งคาซัคแล้วนี่นา”

                “ก็เรื่อยๆ” เสียงห้าวๆ ของคนที่ชื่อสแตปเปอร์ว่า “แต่ฉันกำลังดำเนินตามแผนทุกอย่างอยู่ อีกไม่นานเราจะค้นหามันเจอ ความลับของคาซัคและจากนั้นเราคงจะทำลายคาซัคได้เสียที”

                บางอย่างเย็นวูบแล่นขึ้นมาเร็วรวด     

                ทุกอย่างของสงครามถูกจัดฉากขึ้นมาอย่างนั้นเหรอ?

                แถม ลอร์ดวานอร์ ขุนนางระดับสูงของคาซัคก็เป็นพวกเดียวกับพวกเขา!’’  

                 “เออ รบกวนพวกคุณช่วยเดินต่อได้ไหมคะ” สาวใช้ข้างหน้ากระตุ้น พวกเขาพยักหน้าแต่ทว่ากลับมีเสียงนี้ดังขึ้น

                กรี๊ด! เพล้ง!

                “ช่วยด้วยช่วยฉันด้วย!” หญิงสาวคนหนึ่งวิ่งพรวดออกมาจากทางแยก กรีน่าจำได้ว่าเธอคือแอดเน่ ลูกสาวคนเดียวของลอร์ดแคมเบล เมื่อหันเห็นพวกเขาก็รีบวิ่งไปยังอีกทางทันที

                “จับมันให้ที อย่าให้หนีไปได้” สิ้นเสียง เร็วกว่าที่ใครจะคาดคิด สาวใช้ตรงหน้าควักมีดสั้นจากผ้ากันเปื้อนและขว้างออกไป พุ่งเสียบที่ขาของแอดเน่อย่างแม่นยำ ร่างของเธอคะมำลงกับพื้น

                “ให้ตายสิ ดีที่มาเจอนายช่วยไว้นะเนี่ย เมซ” เจ้าของเสียงห้าวโผล่ออกมายิ่งทำให้กรีน่าตะลึงเข้าไปอีก เมื่ออีกฝ่ายคือเซฮาด พี่ชายของแอดเน่ เลือดสีแดงกำลังเล็ดรอดจากมือย้อยลงมายังซีกหน้าของเขา

                “ยินดีช่วย มาริด” แล้วเธอก็หันกลับมา “คุณเห็นแล้วใช่ไหมคะ?” ในวินาทีนั้นกรีน่าไม่ได้สนคนพูดแม้น้อย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเธอมองเลยไปด้านหลัง

                ชายหนุ่มกำลังจับเด็กสาวที่คลานหนีอย่างสุดชีวิต เสียงคำรามด้วยความโกรธดังขึ้นครั้งหนึ่ง แม้เธอจะดิ้นรนเพียงใดแต่เสียเปล่าหลังจากมือหนารวบข้อมือของเธอไว้ได้ ก่อนจะถูกกดแผ่นหลังไว้ด้วยเข่า

                “แกทำให้ฉันเสียเวลา”

                “อย่า อย่านะอย่าทำฉันเลยได้โปรด พี่คะตื่นขึ้นมาสิคะพี่!” หญิงสาวร้องไห้พยายามตะโกนเรียกคนตรงหน้า หากอีกฝ่ายกลับเห็นเป็นเพียงลมออกจากปาก

                “ท่านเซฮาดนั้นน้องสาวของท่านนะ” กรีน่าพึมพำไม่รู้ตัวเมื่อเขาชักมีดขึ้นมาและแทงลงไปยังต้นคอของแอดเน่เรียกเสียงกรีดร้องของเธอ “ไม่นะ!

                “โวยวายอะไรกัน” ประตูห้องด้านข้างถูกเปิดออก เหล่านักส่งสารหันหลังขวับ ผู้ที่อยู่ตรงบานประตูคือผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมีดวงตาสีฟ้าค่อนข้างออกไปทางน้ำเงิน ผมสีทองยาวแสกกลางเคลียใบหน้ารูปไข่แต่บางอย่างบอกกรีน่าว่าเธอเป็นคนอำมหิต

                “มาริด ทำพลาดนิดหน่อยน่ะค่ะ” สาวใช้รายงานด้วยสีหน้าเรียบเฉย

                “เหรอ” เธอกลอกตามองทั้งเธอและเซียร์ “แล้วคนพวกนี้...”

                “แขกของนายท่านน่ะค่ะ”

                “เหรอ” แล้วหญิงแปลกหน้าก็ยิ้ม “แล้วมายืนอยู่ตรงนี้นานเท่าไรแล้วล่ะ?”

                “สักประมาณห้านาทีได้น่ะค่ะ” แล้วในตอนนั้นเองที่ดวงตาสีฟ้าเข้มนั่นเป็นประกายวาวโรจน์ขึ้นมา

                “งั้น...ในห้านาทีที่หยุดอยู่ตรงนี้ พวกคุณคงไม่ได้ยินอะไรใช่ไหม?”

                แล้ววินาทีนั้นพวกเรารีบโดดลงมาจากซุ้มหน้าต่าง

                “เดี๋ยวฉันล่อมันให้เอง กรีน่ากลับไปที่กบดานเปิดทางลับไปบอกคาซัคเร็วเข้า” เซียร์บอกอย่างเร่งร้อนขณะที่พวกเธอหลบซ่อนจากการตามล่า “เอาแผนที่ทางลับนี่ไป”

                มือเรียวยาวยื่นแผ่นหนังให้ หญิงสาวรับมันมา “ไปเจอกันที่หมู่บ้านโร๊ก”

                “เซียร์...”

                “ทำหน้าเดาง่ายอีกแล้วนะเธอ” เซียร์ถอนหายใจพลางดีดหน้าผากใส่ “ฉันใช้ดาบเป็นเธอก็เห็นอยู่นี่” ชายหนุ่มพูดถึงดาบเปื้อนเลือดในมือของเขา “แถมก่อนมาเป็นพิราบฉันเคยเป็นขโมยมาก่อนไอ้เรื่องหนีขอให้บอก ไม่จำเป็นต้องห่วงมากเกินไปนัก แล้วอีกเรื่อง...

                ห้ามพูดเรื่องนี้เด็ดขาด ในประเทศบ้าๆ แบบนี้แม้แต่อัลบาโก้ก็อาจเชื่อใจไม่ได้”

                “แล้ว..จะให้ทำยังไง” หญิงสาวเอ่ยแผ่วเบา “อัลบาโก้เป็นคนเดียวที่รู้วิธีเปิดประตูลับ”

                “ก็โกหกสิ” ชายหนุ่มว่า “โกหกหรือปิดบังยังไงก็ได้ให้เขาเปิดประตูทางลับให้ได้ ถ้าเหตุผลมันมากเพียงพอเขาต้องเปิดแน่”

                “แต่ฉันโกหกไม่เก่ง”

                “ดัดแปลงเหตุการณ์เอาสิ จะบอกความจริงเสียครึ่งปิดเสียครึ่งก็เชิญ ทำยังไงก็ได้ให้เขาหมดข้อโต้แย้งโดยที่ไม่สงสัย..การพูดโกหกโดยคนจับพิรุธคำพูดไม่ได้คือจุดสำคัญของการโกหกล่ะ” เซียร์ว่าแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “ฉันว่าเธอต้องทำได้กรีน่า”

                “..แล้วตอนนี้เธอกำลังโกหกฉันอยู่หรือเปล่า?” เซียร์หัวเราะคิก แล้วพูดว่า

                “แล้วเจอกัน”

     

                 “ตรงนี้สินะ”

                กรีน่ามาถึงบันไดเหล็กทางออกหลังจากเดินมานาน เธอทำการเก็บแท่งแสงตามคำอัลบาโก้บอกก่อนจะปีนขึ้นไปยังเบื้องบน

                หญิงสาวผลักประตูไม้ออก เสียงม้าเป็นเสียงแรกที่เธอได้ยินหลังจากผ่านความมืด ตามมาด้วยกลิ่นฟาง ฝุ่นและความอับชื้น  

                มือข้างหนึ่งกำลังยื่นมาตรงหน้าเธอ

                “เซียร์!” กรีน่าร้องออกมาอย่างดีใจเมื่อเห็นใบหน้าสีแทน ดวงตาและผมยาวหนาสีเงินที่คุ้นเคย แม้จะมีรอยแผลอยู่รอยบนข้างแก้มแต่เลือดหยุดไหลไปแล้ว บนชุดผ้าฝ้ายปรากฏร่องรอยของการต่อสู้หลายต่อหลายแห่ง ทั้งยังสกปรกเต็มไปด้วยฝุ่นและเลือดแต่เขาก็ยังไม่ตายและยังยิ้มให้เธออยู่

                “เก่งนี่ ทำให้อัลบาโก้เปิดทางลับให้ได้เนี่ย” หญิงสาวจับมือให้อีกฝ่ายฉุดร่างเธอขึ้น “สำหรับคนสร้างเรื่องไม่เก่งอย่างเธอถือว่าเก่งนะ”

                “จริงๆ ฉันพูดความจริงในเขาฟังพอสมคววรเลยล่ะกว่าเขาจะยอมเปิด..แต่..แต่ฉันไม่ได้พูดออกไปหมดนะ” กรีน่าร้อนรนรีบแก้ตัว “ฉันว่าลุงเขาไม่ได้พวกเดียวกับพวกนั้นเลยชวนเขาแต่เขาไม่มา..แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเราต้องรีบไปคาซัค...แล้ว”

                ไม่ทันได้คาดคิดเมื่อจู่ๆ ร่างหนาจะดึงเธอเข้าไปกอดและกระซิบด้วยถ้อยคำแผ่วเบาราวกับคนรักพาให้หัวใจเต้นระทึก “ฉันนึกว่าเธอจะหลงทางในเขาวงกตนั้นแล้วซะอีกเป็นห่วงเสียแทบแย่”

                “ขอบคุณมากที่เป็นห่วงฉันแต่ปล่อยเถอะ เราต้องรีบไปนะ” เธอพยายามผลักเซียร์ออก แต่อีกฝ่ายกลับไม่สะเทือนซ้ำยิ่งรัดแน่นขึ้นไปอีกจนเธอเริ่มกลัว “เซียร์! จะทำอะไรน่ะ?”

                “คุณคิดว่าผมกำลังโกหกคุณอยู่หรือเปล่า กรีน่า บาเด็น?”

                “ฉันไม่เข้าใจ นายเป็นอะไรไปน่ะเซียร์”

                “ผมไม่ใช่เซียร์ แลนน์” เขาว่า “ผมชื่อโยฮันน์ แอซ ผมไม่อยากทำผู้หญิงหรอกเพราะอย่างนั้นช่วยนิ่งๆ หน่อยนะครับ”

                “มันอะไรกันน่ะเซียร์ ปล่อยสิปล่อย...!” ดวงตาของกรีน่าเบิกกว้าง เจ็บจี๊ดทันทีที่มีดสั้นโค้งถูกเสียบเข้ากลางหลัง ของเหลวสีดำภายในนั้นพุ่งเข้าไปยังร่างของกรีน่าราวกับมีชีวิต หญิงสาวดวงตาเหลือกรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกระตุกก่อนจะวูบดับไป

                กรีน่าตื่นขึ้นมาอีกครั้ง รอบตัวมีแต่ความมืด

                พลันสัมผัสได้ถึงมือเย็นๆ แตะแต้มใบหน้า ร่างของเธอสั่นไม่กล้าหันกลับไปมอง

                “กรีน่า บาเด็น” เจ้าของมือขาวโพลนกระซิบข้างหูราวกับเสียงเพรียกของความตาย “ร่างนี้ฉันขอล่ะนะ”

                เสียงกรีดร้องดังขึ้นก่อนจะหายสาบสูญ

               

                หญิงสาวลืมตาสีเขียวสดในอ้อมกอดของชายหนุ่ม “โยฮันน์”

                “เอเลน่า” เจ้าของชื่อผละอีกฝ่ายออกมาทันที แล้วมองดูใบหน้านวล “นี่เธอใช่ไหม?”

                “จ๊ะ โยฮันน์ของฉัน” หญิงสาวในร่างของกรีน่าตอบ “ฉัน...มีร่างกายแล้ว..ฉันสัมผัสเธอได้แล้ว”

                โยฮันน์ในร่างของเซียร์ แลนน์กอดหญิงสาวอีกครั้ง ก่อนจะตามมาด้วยการจูบหน้าผากและริมฝีปาก และค่อยๆ ผละออกมาเมื่อได้ยินเสียงปรบมือดังจากด้านหลัง

                “ยินดีด้วยกับชีวิตใหม่นะลูก” ชาวบ้านออเข้ามาในโรงม้า ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มนั้น ผมของเขาเป็นสีน้ำตาลประกายตัดสั้นเกือบถึงหนังศีรษะ ร่างกำยำสวมชุดสีดำของบาทหลวง “ผู้หญิงคนนั้น...”

                “นี่เอเลน่าครับ” โยฮันน์พูด “คนรักของผม...ขอบคุณที่ช่วยนะครับหลวงพ่อ ถ้าไม่ได้หลวงพ่อผมก็คงยังไม่มีร่างต่อไป แล้วเอเลน่าก็คงจะ..ยังเป็นวิญญาณต่อไป”

                “เราก็เหมือนๆ กันทุกคนนั้นแหละลูก ทุกคนที่นี่เลย โยฮันน์” หลวงพ่อยิ้ม “วันนี้เป็นวันดีพ่อว่า..นอกจากงานวันเกิดแล้วจัดงานแต่งงานให้ลูกไปพร้อมๆ กันเลยดีไหม?”

                “เอาเลยหลวงพ่อ” ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนออกมา จากนั้นทุกคนก็เห็นด้วย

                “ขอบคุณครับหลวงพ่อ” โยฮันน์พูดอย่างซาบซึ้ง เอเลน่าหลั่งน้ำตาออกมาท่ามกลางเสียงแสดงความยินดีของพวกชาวบ้าน

                แล้วเสียงระฆังโบสถ์ก็ดังขึ้นท่ามกลางรัตติกาล

    ..........................................................................................................................................................

    บทนำ : การหนีของกรีน่า (จบ)

    ขอโทษค่ะที่ยาว



    [1] ต้นไม้ปริศนาที่ไม่มีที่มา ตั้งอยู่ในเขตระหว่างซีบิลและซีเกตุ ต้นไม้สีขาวจะไม่มีใบหรือการออกผลใดๆ แต่มีตำนานเล่าว่าเป็นต้นไม้ที่วีรบุรุษลำดับที่สี่สิบแปด ซีบิล แลนติส ปลูกเอาไว้ มันมีขนาดแค่ไม่เกินสองเมตรและเล็กแห้ง มีคนเคยพูดว่ายามค่ำคืนหากได้อยู่ใกล้ๆ จะได้ยินเสียงลมหายใจของมัน หลังจากการเดิมพันครั้งนั้น ซีบิลจึงย้ายเมืองหลวงมาที่นี่พร้อมทั้งสร้างโบสถ์แบล็กเพิร์ลครอบต้นไม้ขาวไว้ โดยตัวโบสถ์สีดำถูกสร้างขึ้นเพื่อถวายแม่ชีอาคาทา วีรสตรีแห่งความซื่อสัตย์และสันติ มันยังคงมีชีวิตอยู่แม้ว่าจะผ่านมาแล้วสองร้อยปีก็ตาม

    [2] ผลไม้สีแดงเหมือนกับแอปเปิ้ลแต่เป็นผลซึ่งถือกำเนิดมาจากต้นไม้สีขาวว่ากันว่าหากผู้ใดได้กัดกินจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่และเป็นอมตะ เมื่อสองร้อยปีก่อนสมัยที่ซีบิลและซีเกตุต่างฝ่ายต่างมีประเทศของตนแต่เพราะการแย่งชิงผลไม้นี้ แม่ชีอาคาทาซึ่งเป็นวีรสตรีในเวลานั้นจึงทำการให้กษัตริย์ของประเทศทั้งสองทำการทายสีของผลของต้นไม้ขาวเมื่อมันสุกงอมและมีเสนอการเดิมพันเพิ่มเติมว่าหากฝ่ายใดทายผิดจะต้องยุบประเทศเพื่อเข้ากับอีกฝ่ายทันที (ซีบิลและซีเกตุต่างอยากได้ดินแดนกันและกันมานานแล้ว) ซีบิลทายว่ามันจะออกเป็นสีแดงแต่ซีเกตุบอกมันจะเป็นผลไม้สีขาวและผลออกมาคือสีแดง ซีบิลจึงได้ผู้คนและประเทศมาตั้งแต่วันนั้น ซีเกตุตกเป็นทาสของซีบิลมาจนถึงทุกวันนี้

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×