คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทเริ่มแห่งตำนาน : ใต้เปลวไฟแห่งอัสดง องค์ที่1 100%
วีรบุรุษ...
ไม่ได้กำเนิดขึ้นมาเป็นวีรบุรุษ
แต่ถูกสร้างขึ้นให้เป็นวีรบุรุษ
ไม่ว่า ‘เขา’ จะยินยอมหรือยินดีกับมันหรือไม่ตาม
อาบาทอส อาราฟิค้า (วีรบุรุษคนแรกของโลก)
Abatos
Arafika (First Hero of Erath)
…………………………………………….
Begin of
Legend
Greena’s
Escape
การหนีของกรีน่า
บาเด็น
ฉันชื่อกรีน่า
กรีน่า บาเด็น...เป็นผู้ส่งสารลำดับที่แปดของประเทศคาซัคและ...ฉัน
...ไม่มีเวลาเหลืออีกแล้ว...
วันที่ 24 เมษายน อาคาทาที่ 60 เวลาโดยประมาณ 17.00 น.
ณ.ประเทศซีบิล เมืองหลวงแห่งอาคาทา
เสียงฝีเท้าเป็นสิ่งเดียวที่ทำลายความเงียบของเขตร้าง แสงอาทิตย์อาบไล้บ้านเรือนด้วยสีสันราวกับเลือดคล้ายกับบอกว่าทุกสิ่งของที่นี่กำลังถูกคุกคามด้วยลางร้าย
และ..‘ลางร้าย’ ก็กำลังไล่ตามเธอมา
กรีน่าวิ่งผ่านความเสื่อมโทรมอย่างไม่คิดชีวิต
ที่นี่เป็นที่อยู่ของทาสชาวซีเกตุในยุคปัจจุบัน เศษซากความสกปรกกระจายให้เห็นมากมายบนทางแผ่นหินส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวล
ขวามือคือบ้านของชาวซีเกตุที่เรียงต่อกันตลอดแนวซึ่งทรุดโทรมหากเทียบกับสิ่งก่อสร้างทางซ้าย
ถนนเส้นนี้เป็นเสมือนเส้นกั้นเขตระหว่างชุมชนทาสและเมืองหลวงอาคาทา ประตูไม้ผุๆ
ถูกเปิดเข้าไปในบ้านซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นอิฐสีขาว หน้าต่างก็เช่นกันบ่งบอกว่าเคยมีผู้คนอยู่ที่นี่
แต่เวลานี้กลับว่างเปล่าวังเวง
เสียงปืนดังขึ้นถี่รัวจากจัตุรัสกลางเมืองเรียกความสนใจของหญิงสาว
ควันสีดำเป็นสายกำลังลอยขึ้นสูง แม้จะอยู่ค่อนข้างไกลแต่เธอก็เห็นส่วนบนของโบสถ์แบล็กเพิร์ลวิบไหวระหว่างช่องไฟ...โบสถ์สีดำที่กษัตริย์ซีบิลทรงสร้างเพื่อเป็นเกียรติให้กับ
‘แม่ชีอาคาทา วีรสตรีแห่งความซื่อสัตย์และสันติ ’
แม้โบสถ์จะถูกสร้างขึ้นให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อชำระล้างบาปของมวลมนุษย์
แต่การที่ศาสนสถานซึ่งบริสุทธิ์เช่นนั้นต้องตั้งอยู่ท่ามกลางสงครามกลางเมืองซึ่งกำลังจะเปลี่ยนโฉมหน้าของประเทศซีบิลไปโดยสิ้นเชิงนี้
มันก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็นพยานให้กับประวัติศาสตร์เลือดในครั้งนี้เลย
หนูตัวเป้งร้องลั่นเมื่อหญิงสาววิ่งข้ามตัว
กรีน่าหันไปมองข้างหลังเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างว่างเปล่าก่อนเลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็กๆ
ข้างทางหินลาดอย่างรวดเร็ว
นอกจากเสียงฝีเท้าและการเต้นถี่รัวของหัวใจ
หูอันอื้ออึงของเธอแทบจะไม่ยินดีต้อนรับเสียงใดๆ อีก
กรีน่าชะลอความเร็วลงแต่ก็ไม่อาจลดความระแวงลงได้ เธอมองไปรอบทิศไม่เว้นแม้แต่ด้านบนก่อนจะเคาะประตูไม้โทรมๆ
กลางตรอกพลางรอด้วยใจระทึก...
“กรีน่า?” หญิงสาวรีบแทรกตัวเข้าไปอย่างเร่งร้อนแทบทันทีที่เปิด
โดยไม่สนคำอุทานของเจ้าของที่เลยสักนิด
“รีบปิดประตูเลยค่ะ”
“กรีน่าเกิดอะไรขึ้น?” ชายชราถามขึ้นทันควันหลังจากทำตามคำสั่งอันร้อนรนนั่น
หนวดสีดอกเลางอหงิกเป็นก้อนฟูล้อมหน้ากลมๆ สีแทนแทบไม่ต่างอะไรกับเอาขนแกะมาแปะ พุงล้นๆ
ปริเสื้อเชิ้ตและกางเกงเอี๊ยมจนตึงเปรี๊ยะ
ร่างของเขาสูงเลยไหล่ของเธอไปเพียงนิดเดียว
เขาเดินตามหญิงสาวซึ่งเดินตัวปลิวไปยังราวแขวนผ้าที่อัดแน่นไปด้วยบรรดาชุดต่างๆ
และเริ่มเลือกมัน
“หนูต้องการออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ค่ะลุงอัลบาโก้ ‘เซเซนตี้’ หนูขอใช้รหัสหลบหนี” เสียงหวานฟังดูร้อนรนจนไม่อาจปิดได้ ชายชราเห็นดังนั้นจึงเลือกจะใช้เสียงที่อ่อนโยนลงโดยหวังให้เธอรู้สึกสงบลงบ้าง
“กรีน่า? หลานเอ้ยเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า..แล้วเซียร์ล่ะ เขาหายไปไหน?”
มือบางชะงักกึก
ก่อนจะเคลื่อนไหวต่อ
“เซียร์...เขาคลาดกับหนูค่ะ”
กรีน่าอธิบายก่อนจะหยิบเสื้อตัวหนึ่ง มันคือชุดนักเดินทางสำหรับสตรีซึ่งทำผ้าฝ้ายและหนัง
“คลาด?” อัลบาโก้ทวน
กรีน่าถอดวิกผมสีน้ำตาลยาวผูกสูงออก ปลดปล่อยสีแดงประกายลงมา แม้จะสั้นเหนือคางแต่ก็เข้ากับหน้าขาวๆ
และกลมกลืนกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อน “ลุงรู้ว่าข้างนอกกำลังวุ่นวายแต่ด้วยทักษะของพวกเธอที่เป็นนักส่งสารแห่งคาซัค...”
“พวกซีเกตุบุกเข้ามาในคฤหาสน์ที่พวกเราไปส่งสารน่ะค่ะ”
กรีน่าอธิบาย “แล้วคงคิดว่าเราทำงานให้กับทางซีบิลค่ะเลยเล่นงานพวกเรา
หนูกับเซียร์ไม่อยากผิดกฎแสดงฐานะก็เลยหนี แต่ว่าพวกเขาตามไม่เลิกเราเลยต้องแยกกันหนีน่ะค่ะ”
จากนั้นอัลบาโก้ก็ต้องเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ปริ่มน้ำตา
“มันน่ากลัวมากเลยค่ะพวกเขาไล่ล่าเรายังกับสัตว์ป่า
ตอนนี้ทั้งซีบิลและซีเกตุกำลังต่อสู้กันอยู่ที่จัตุรัส ตอนนี้พวกซีบิลกำลังจะปิดเมืองหลวงไม่ให้ใครเข้าออกแล้วด้วย”
ตัวของเธอสั่นเทาแต่ก็พยายามสะกดกั้นอาการทั้งหลายไว้ด้วยการเม้มปาก
ชายชรามองดูอย่างเงียบๆ
เขาทั้งสงสาร เห็นใจและไม่แปลกใจเลยหากเธอจะกลัว
‘กรีน่า บาเด็น’ เป็นพิราบส่งสารติดอันดับคนใหม่ที่พึ่งขึ้นมาแทนนักส่งสารอันดับเดียวกันซึ่งหายตัวไปได้เพียงสองสามเดือน
แถมยังมาประจำในเขตการทำงานนี้ตอนที่เหตุการณ์ของประเทศซีบิลกำลังคุกรุ่นอยู่อีก
ทุกอย่างเริ่มต้นมาจากพวกซีบิลตัดสินใจประหารเด็กคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้สืบทอดเชื้อสายราชวงศ์คนสุดท้ายของชาวซีเกตุ
และสาเหตุของมันนั้น...เกิดจากการกินผลไม้เพียงหนึ่งผล
“งั้น...เดี๋ยวเซียร์ต้องกลับมาที่นี่แน่นอน”
เขาว่าแต่กรีน่ากลับส่ายหน้า
“เซียร์จะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วค่ะ...เขาตัดสินใจออกนอกเมืองหลวงเลย
เขาตั้งใจจะล่อพวกนั้นออกจากหนูเพื่อให้หนูได้ใช้ทางลับหนีกลับไปยังคาซัค” แล้วประโยคถัดมาก็ทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในความตื่นตะลึง
“ประเทศนี้ไม่ใช่ที่ที่พิราบติดอันดับอย่างเราจะอยู่ได้อีกแล้ว
ถ้าเรายังอยู่และโดนจับได้ล่ะก็พวกเราอาจจะกลายเป็นอุปกรณ์ทางการสงครามของพวกเขาแน่”
“พวกเขาไม่มีสิทธิทำแบบนั้น!” อัลบาโก้พูดจนเกือบตะโกน อีกฝ่ายพลันสะอึกสำนึกได้ว่าตัวเองทำพลาด “ตราบใดที่คาซัคมี
‘สนธิสัญญาแห่งคาซัค’ อยู่ เรื่องแบบนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้น”
กรีน่าเงียบใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ
“มันไม่ใช่แค่นั้นค่ะ”
“หมายความว่าไง?”
เสียงหวานแผ่วเบานั้นเป็นเหมือนถ้อยคำประกาศิต
“พวกเรารู้เบื้องหลังของสงครามครั้งนี้เข้าแล้วล่ะค่ะ...เพราะแบบนั้นพวกเขาถึงต้องการฆ่าพวกเรายังไงล่ะคะ”
“โอ้อัลแซสม่า” อัลบาโก้อุทาน “หลานกำลังจะบอกว่าสงครามกลางเมืองครั้งนี้มีเบื้องหลังอย่างนั้นเหรอ?...งั้นพวกที่ไล่ฆ่าพวกหลานไม่ใช่แค่ชาวซีเกตุพวกเดียว...อย่าบอกนะว่าจริงๆ
แล้วซีบิลเป็นคนจัดฉากเรื่องทั้งหมดขึ้น..แต่เพื่ออะไรล่ะ?”
กรีน่านิ่งเงียบ “หนูไม่รู้ แต่หนูกับเซียร์ได้ยินสิ่งเขาพูดกันยังไม่ทันจบก็โดนเห็นเข้าเสียก่อนจากนั้นก็ถูกไล่ล่า
การที่พวกเขาตั้งใจปิดประตูเมืองสาเหตุก็เพราะพวกเขาไม่อยากให้พวกหนูออกไป
อัลบาโก้ดูหนูตอนนี้สิ! หนูเสี่ยงตายมาที่นี่เพราะมาขอความช่วยเหลือ ดูสิคะ ดูสภาพชุดหนูสิคะ!” กรีน่าหันหลังให้กับอัลบาโก้ รอยสีแดงดวงใหญ่ปรากฏบนเสื้อผ้าฝ้ายสีขาว “มีคนจับหนูได้จนหนูล้มหน้าคะมำแล้วตอนที่เขาคร่อมและกำลังจะแทงหนู
เซียร์เขาก็เลยต้องแทงคน...”
“นี่ฆ่าคนด้วยเหรอ!?” หญิงสาวพยักหน้า ชายชราแทบทรุด “นักส่งสารห้ามฆ่าคนนะ”
“หนูขอโทษเซียร์เองก็รู้
แต่เขาก็ช่วยหนูไว้จริงๆ” น้ำตาที่อัดอั้นไว้หลุดร่วงลงมาในที่สุด
“สิ่งที่หนูพูดคือความจริงนะคะ สงครามครั้งนี้มีเบื้องหลังแล้วพวกเขากำลังต้องการจะฆ่าเรา
เพราะงั้นลุงอัลบาโก้ได้โปรดช่วยเปิดทางลับให้กรีน่าด้วยเถอะค่ะ
ตอนนี้เซียร์กำลังดึงความสนใจของพวกเขาอยู่ หนูเองก็ต้องพยายามเหมือนกันอัลบาโก้..หนูขอร้อง
ถ้าช้าไปกว่านี้พวกเขาอาจจะหาที่นี่เจอแล้วเราก็อาจจะตายทั้งคู่”
“โอ้
อัลแซสม่า” ชายชราพึมพำซ้ำไปซ้ำมา เขาเดินไปเดินมาพร้อมกับกุมขมับแม้จะเร่งด่วนแค่ไหนแต่กรีน่าเข้าใจดี
การเปิดทางลับหมายถึงสัญญาณแห่งความโกลาหลอย่างแท้จริง
การหลบหนีของนักส่งสารหรืออีกชื่อพิราบ ผู้โบยบินอย่างอิสระในทุกซีกโลกใบนี้ด้วย ‘สนธิสัญญาแห่งคาซัค’ หากมีการเปิดใช้ทางลับขึ้นมาย่อมหมายถึงกำลังมีบางอย่างคุกคามชีวิตของนักส่งสาร
การที่ผู้ดูแลที่กบดานจะถามไถ่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะหากเปิดทางลับโดยเหตุผลไม่สมควร
ทั้งนักส่งสารและผู้ดูแลจะมีความผิดตามกฎของประเทศคาซัคเพราะทางลับจะถูกอนุญาตให้ใช้เมื่อเป็นทางเลือกสุดท้ายแล้วจริงๆ
เท่านั้น
เธอได้แต่หวังว่าอัลบาโก้จะยินยอมเปิดทางลับให้เพราะการจะเปิดทางลับได้นั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ดูแลที่กบดานแต่เพียงผู้เดียว
ถ้าอัลบาโก้ไม่ยอมเปิดทางลับเธอคงต้องดิ้นรนออกจากประเทศนี้ด้วยตัวเอง
กรีน่าอธิษฐานขออย่าให้เป็นอย่างหลังเลย
“...ได้งั้นลุงจะเปิดให้อีกครึ่งชั่วโมงเตรียมตัวนะกรีน่า
อุ๊บ!” นักส่งสารสาวเข้าสวมกอดชายชราโดยไม่ทันตั้งตัว เสียงถอนหายใจดังข้างหูคล้ายกับอีกฝ่ายได้ยกภูเขาออกจากอก
มืออวบอูมตบหลังเธอเบาๆ ราวกับเด็กน้อย เมื่อผละออกจึงได้เห็นใบหน้านวลดูแจ่มใสขึ้น
“ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณมากนะคะลุงอัลบาโก้ หนูขอโทษที่ทำให้ลุงต้องมาติดร่างแหไปด้วย”
‘แล้วก็ต้องขอโทษนะคะที่กรีน่าไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด’
หวังว่าเขาจะไม่รู้อีกถ้อยคำที่เธอเก็บซ่อน
‡‡‡‡‡‡
‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡‡ ‡‡‡
กรีน่าผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความรวดเร็ว
เธอถอดชุดผ้าฝ้ายสภาพแย่นี่ออกแล้วทาผิวด้วยน้ำยาที่ทำให้ผิวกลายเป็นสีแทนทั่วร่างเพื่อปกปิดรอยแผลรอยถลอก
ก่อนสวมชุดเดินทางที่เลือกเอาไว้ สุดท้ายจึงจัดแจงใส่วิกผมสั้นสีดำ สีผมสีแดงประกายนั้นเด่นเกินไปสำหรับชาวทวีปตะวันตกเพราะสีผมของเธอบ่งบอกถึงเชื้อสายของทวีปตะวันออกอย่างชัดเจน
ทั้งตัวเธอและพี่สาวเป็นเด็กกำพร้าจึงไม่รู้จริงๆ
ว่าตัวเองเกิดที่ไหน แต่ทุกครั้งที่เธอทำงานในทวีปตะวันตกจึงมักจะต้องทำให้ ‘กลมกลืน’ เสมอและในบางครั้งก็ถึงขั้น ‘ปกปิด’
น้อยคนนักจะพอมีความสามารถมองการปลอมตัวของเธอออก
แม้แต่พี่น้องพิราบติดอันดับด้วยกัน ถึงจะมีสิบสองคนยี่สิบสี่ตาแต่ก็มีจริงๆ
แค่สามสี่คนเท่านั้นที่ดูออก
หญิงสาวสำรวจดูตัวเองในกระจกเป็นครั้งสุดท้าย
เพื่อให้แน่ใจว่าวิกเข้าที่และไม่มีสีแดงประกายเส้นใดหลุดรอดออกมาหรือผิวตรงไหนมีรอยขาวให้เห็น
เพราะถ้าเธอถูกจับได้มันย่อมหมายถึงชีวิตของเธอเอง
พลันรู้สึกถึงพื้นสั่นสะเทือนจนร่างเซ
และการสั่นสะเทือนนี้ไม่ได้เกิดจากอะไรนอกจาก ‘ทวารเหล็กทั้งแปด’ ของเมืองหลวงอาคาทาได้เลื่อนลงมาปิดทางเข้าออก ทวารบานสูงชะลูดประจำทิศทั้งแปดทำจากเหล็กกล้าหนาฟุตหนึ่งซึ่งคอยเป็นปราการให้เมืองหลวงมากว่าสองร้อยปี
แต่ในตอนนี้มันกลับถูกปิดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ซีบิลสร้างเมืองหลวงแห่งอาคาทา หลังจากปิดมันลงมาแล้วเมืองหลวงอาคาทาจะตัดถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อจะฆ่าพวกเธอจริงๆ
“ใจเย็นๆ กรีน่า เธอต้องทำได้
เธอต้องรอด” มือบางหยิบสร้อยเงินตรงหน้ากระจก
จี้รูปดาบมีปีกทั้งสองสยายอยู่เบื้องหลัง
มันเป็นสิ่งเรียบง่ายไม่มีเพชรพลอยหรือรอยสลักอันใดหากมันมีความศรัทธาของเธอกับพี่สาวอัดแน่นอยู่ภายในและเชื่อมั่นว่าพระเจ้าผู้มอบสัญลักษณ์นี้ให้แก่โลกจะปกป้องเธอเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอดยี่สิบสองปี
หญิงสาวยกจี้สัมผัสริมฝีปากอิ่มแผ่วเบา
แล้วพึมพำคำอธิษฐาน
“ข้าแต่อัลแซสม่า พระเจ้าผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นผู้สร้างทวีปตะวันตก
ใต้และท้องทะเล ขอทรงประทานพรให้แก่พวกเรา เซียร์ แลนน์ อัลบาโก้ อามันเดโล่
และข้ากรีน่า บาเด็น ปลอดภัยรอดพ้นจากอันตรายและขอให้ประเทศนี้กลับสู่ในจุดที่มันควรจะเป็นด้วยเถิด
ขอขอบคุณสำหรับความเปี่ยมเมตตาของท่าน”
มือบางยกสร้อยขึ้นสวมพลางยัดเข้าไว้ในเสื้อ
เธอพร้อมแล้วและหวังว่าอัลแซสม่าจะเมตตาเธอเพียงพอ
“กรีน่า” หญิงสาวเดินมายังห้องเก็บของหลังร้าน
ชายชรายืนอยู่ภายในนั้น มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าหนังสะพายใบหนึ่งพร้อมกับยื่นสายหนังที่มีทั้งปืนสั้นและดาบสั้นโค้งมาให้
“หลานอาจต้องใช้” เขาว่า
“ไม่ว่าหลานจะชอบหรือไม่หลานก็ต้องใช้มันถ้ามันจำเป็น”
“ขอบคุณค่ะ” กรีน่ารับพวกมันมาพลางทำการคาดจนเรียบร้อยหลังจากตรวจปืนและดาบแล้ว
เธอจึงรับกระเป๋าเป็นอย่างสุดท้าย
“ในนั้นลุงใส่ของจำเป็นที่หลานจะต้องใช้และลุงหวังว่ามันจะครบ
เอาล่ะ” อัลบาโก้ยื่นมือออกมา “ทันนี้ก็เหรียญประจำตำแหน่ง”
กรีน่ายื่นเหรียญสำริดขนาดเท่าคุกกี้ชิ้นเล็กๆ
ตรงกลางสลักลายเส้นรูปนกพิราบคาบสาร บริเวณปลายริบบิ้นผนึกสารมีเลข ‘8’ อยู่
“เฮ้อ
ถ้าเป็นไปได้ไม่อยากให้มันจบแบบนี้เลย” เขาพูดหลังจากมือบางวางเหรียญไว้บนมือแล้วตามมาด้วยการถอนหายใจ
“หนูเองก็เหมือนกันค่ะ”
กรีน่ายิ้มเศร้า “ถ้าเป็นไปได้ก็อยากกลับมาที่นี่อีก หวังว่า..ทุกอย่างจะสงบลง...ลุงอัลบาโก้คะ”
เจ้าของชื่อมองเธอนิ่ง กรีน่าเม้มปากราวช่างใจก่อนจะพูดออกมาว่า
“ลุง..หนีไปกับหนูก็ได้นะคะ”
หลังจากเงียบไปเกือบนาที
อัลบาโก้ก็หัวเราะพาให้หญิงสาวงุนงง “เป็นคนดูแลที่กบดานนี่ดีจริงๆ เลย! คิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกอาชีพนี้!...”
ชายชราหัวเราะเสียนานราวกับเวลาไม่ใช่เรื่องสำคัญ “เฮ้อ กรีน่าหลานเอ้ยเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะอย่าพึ่งใจดีกับคนอื่นเลยใจดีกับตัวเองก่อน”
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกระพริบปริบๆ
พลันมือข้างหนึ่งสัมผัสกับไหล่บอบบาง “เฮ้อ~ พวกพิราบนี่เป็นแบบนี้ตลอด พอถึงเวลาจริงๆ
ดันสละอะไรกันไม่เป็นแถมคิดจะเอาไม้ใกล้ฝั่งมาถ่วงตัว กรีน่าเอ้ยรู้ว่าหลานหวังดีแต่ลุงไปไม่ได้หรอก
ถ้าร้านขายเสื้อผ้าใหญ่ขนาดนี้ไม่มีคนเฝ้ามันจะดูน่าสงสัยทันที แล้วที่นี่คงไม่พ้นโดนคุ้ยจนเจอความลับของคาซัค”
หลานคงรู้นะว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา
ประเทศหลานเป็นประเทศอิสระอย่างนั้น ประเทศอิสระที่ลดทอนความอิสระของผู้คนถึงจะด้วยความเต็มใจก็เถอะแต่ก็ไม่แปลกถ้ามีใครอยากจะทำลายมัน...ใครสักคนที่ไม่หวังดีต่อสันติภาพของโลก”
“...ขอบคุณค่ะ..ขอบคุณจริงๆ นะคะแล้วหนูก็ต้องขอโทษด้วย”
“อย่าร้องไห้ไม่เอาๆ” รอยยิ้มกว้างจนตาหยีของชายชราทำให้เธออดขำไม่ได้
สำหรับหญิงสาวเขาคือคุณลุงผู้ใจดีและยิ้มแย้มอยู่เสมอ ดูแลเซียร์และเธอเป็นอย่างดีราวกับลูกในไส้
แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่การตัดสินใจรับตำแหน่ง ‘พิราบติดอันดับ’ แล้วมาประจำอยู่ที่นี่มันไม่ใช่เรื่องผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว
“เอาล่ะ เรามาเริ่มกันเลย”
ว่าจบอัลบาโก้ถอดสร้อยออกจากคอ
มันเป็นสร้อยเงินห้อยด้วยจี้รูปหยดน้ำซึ่งดูออกอย่างง่ายดายว่าเป็นสำริดเช่นเดียวกัน
มือหนาอวบแกะส่วนหลังไร้ลวดลายของตราออก
แบ่งมันออกเป็นครึ่ง ด้านหลังที่ไร้ฝาปิดมีช่องรูปหยดน้ำอยู่ กรีน่าเคยลองแกะมันออกอยู่ครั้งหนึ่งจากนั้นมันก็ทำให้เธอสงสัยมาตลอด
คำตอบกำลังจะถูกเฉลย
ชายชราปลดจี้ออกแล้วใส่เข้ากับช่องรูปหยดน้ำนั้น
นิ้วชี้อวบๆ กดเส้นขอบนูนลงไปและเริ่มหมุน เสียงแก๊กดังยาวๆ บริเวณข้างในที่เคยราบเรียบเกิดช่องเล็กๆ จำนวนหกแถววิ่งหมุนกันไปมา
จากนั้นก็กริ๊ก! แล้วอัลบาโก้ก็หงายตราขึ้น
เขาจับมันแค่สองนิ้วแล้วยกขึ้นใกล้ตา นิ้วชี้กดปุ่มตรงเลข ‘8’ และ...
ชิ้ง!
ลิ่มเหล็กโผล่ออกมาจากช่องเหล่านั้น
รอยหยักบนลิ่มนั้นดูไม่ต่างจากก้านกุญแจเลยสักนิด
“เอาล่ะ ต่อไปก็...”
อัลบาโก้เดินไปยังมุมห้อง เขายกตู้เก็บผ้าเล็กๆ ออก ก่อนหันมาทางกรีน่าเป็นเชิงบางอย่าง
หญิงสาวรับรู้จึงพยักหน้าแล้วหันไปอีกทาง
ในความเป็นจริงถึงพวกเขาจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเพียงใดก็ยังมีเรื่องหลายเรื่องเกี่ยวกับหน้าที่ของตนเองที่ไม่สามารถบอกอีกฝ่ายได้เช่นกัน
กรีน่าได้ยินเสียงกริ๊กตามมาด้วยเสียงหมุน
สุดท้ายก็กริ๊กอีกครั้ง ก่อนที่จะรู้สึกถึงพื้นสั่นสะเทือน อัลบาโก้ลุกขึ้นยืน เสียงเฟืองดังกระจายไปทั่วห้องอาจจะเป็นเพราะห้องนี้ไม่ใช่ห้องเก็บของธรรมดาๆ
กลไกเบื้องหลังกำแพงกำลังทำงาน
แผ่นหินกลางพื้นห้องสี่แผ่นปริแยกออกจากกันกลายเป็นช่องรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ก่อนจบด้วยเสียงปึ้งเบาๆ และทุกอย่างหยุดนิ่งลง
คนทั้งคู่มองลงไปในหลุม มีเพียงแสงจากหลอดไฟเบื้องบนส่องกระทบใยแมงมุมตรงขอบหลุมและพื้นแผ่นหินข้างล่างเท่านั้น
“ลุงเคยได้ยินว่าข้างล่างเป็นทางเขาวงกตไม่รู้ว่าจริงไหม?”
“มีแต่พิราบด้วยเท่านั้นที่จะรู้ทิศทางไป”
กรีน่าบอกเสียงเครียด “จากนี้ไปเป็นงานของหนูแล้ว”
“ยังมีอีกเรื่องที่หลานต้องรู้”
อัลบาโก้ยื่นให้อีกเหรียญหนึ่ง
แม้ลวดลายคล้ายกันแต่ครั้งนี้กลับเป็นเหรียญเงินและตรงริบบิ้นม้วนสารก็ไม่มีหมายเลขอีกแล้ว
“หลานต้องใช้ตรานี้แทนตราเดิม”
“การเปิดทางลับตามกฎของประเทศเราหมายถึงทางเลือกสุดท้ายหลานคงรู้
และการเปิดประตูก็อย่างที่หลานเห็นว่ามันจะต้องใช้จี้ของผู้ดูแลและตราของนักส่งสาร
เหรียญตราเงินนี้เป็นเครื่องหมายว่ามีการเปิดใช้ทางลับซึ่งในอีกความหมายหนึ่งคือมีภัยคุกคามร้ายแรงต่อนักส่งสาร
ดังนั้นเมื่อเปิดใช้แล้วจะมีการมอบเหรียญเงินแทนเหรียญตราประจำตัวของนักส่งสาร ถ้าถึงคาซัคแล้วหลานต้องแสดงตัวด้วยเหรียญเงินนี้แล้วหลานจะถูกพาไปเข้าเฝ้าต่อหน้ากษัตริย์แห่งคาซัคทันที
หลานจะถูกสอบสวนและได้รับการคุ้มครองอย่างดีที่สุดฉะนั้นไม่ต้องกลัว”
อัลบาโก้มองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั่น
กรีน่าผลิรอยยิ้มบางๆ แล้วถอนหายใจเบาๆ
“หนูอยากให้ลุงไปด้วยจริงๆ” หญิงสาวหยิบเหรียญเงินพร้อมกับโดดลงเข้าช่องนั้น
พลันย่อเข่ารับน้ำหนักตัวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง
“มีแท่งแสงอยู่ในกระเป๋า”
หญิงสาวลงมือค้นทันที เมื่อสัมผัสได้ถึงแท่งเย็นๆ จึงดึงมันออกมา
แท่งแก้วขนาดคืบหนึ่งที่ปลายทั้งสองมีสลักสีเงิน กรีน่าไม่รู้ว่ามันทำจากเงินจริงหรือไม่เพียงแต่มันทำหน้าที่กักของเหลวสีใสข้างในไม่ให้ไหลออกมา
หญิงสาวเขย่ามัน
พลันเกิดแสงสว่างสีเขียวน้ำทะเลจ้าแวบจนต้องผละหนี ดวงตาพร่าไปเล็กน้อย เธอไม่เคยใช้มันแม้แต่ครั้งเดียวแต่เคยเห็นพวกนักส่งสารติดอันดับพี่น้องของเธอเอามาอวดกันอยู่ครั้งหนึ่ง
จำได้ว่าคนที่กระตือรือร้นที่สุดคือฟาส์ท เขาเคยพูดว่ามันเหมือนกับเขากำลังถือดวงดาวเอาไว้ในมือ
“พอมันอ่อนแสงก็เขย่ามัน หลอดแก้วแข็งมากไม่ต้องห่วงถ้าทำตก
พอออกจากที่ซ่อนให้เอาผ้าหรืออะไรพันก่อนไม่ให้แสงมันลอดออกมาแล้วค่อยเก็บไว้ในกระเป๋า
อย่าลืมล่ะ” อัลบาโก้มองหญิงสาวก่อนจะเอ่ยถ้อยคำสุดท้าย
“ขอให้อัลแซสม่าคุ้มครองหลาน”
“เช่นกันค่ะ ขอให้ปลอดภัยนะคะลุงอัลบาโก้”
เธอได้แต่มองช่องลับถูกปิดลงพลางมองไปยังมือของเธอที่ถือแท่งแสงเอาไว้
สีเขียวน้ำทะเลทำให้เธอรู้ว่ารอบตัวมีเพียงแต่กำแพงอิฐ ซุ้มประตูไร้บานตรงหน้าเป็นเส้นทางเดียวที่จะไปต่อ กรีน่ารู้สึกเหมือนเห็นทั้งความหวังและความสิ้นหวังในความมืดมิดหลังประตูแม้จะมีแสงในมือคอยเปิดทางให้ แต่ก็ไม่อาจบอกจุดสิ้นสุดของการหนีครั้งนี้
ความคิดเห็น